ร้อยองศา
(100°C)
เข่งสะพานปลา
( 2 )
สร้างเงา
หลังจากอุบัติเหตุบนบนทางคู่ขนานลอยฟ้าแล้วสามเดือน เสียงรถของพายุอาจเป็นการมาเยือนเพียงหนึ่งเดียวที่อาณาไม่ต้องรู้สึกแย่นัก
เขาพักฟื้นที่โรงพยาบาลนานเกินจำเป็นเพราะใช้เป็นข้ออ้างหลีกหนีหลายต่อหลายสิ่งที่ต้องเผชิญนับจากนี้ หนึ่งคือพวกนักข่าวที่สร้างกระแสให้เรื่องอุบัติเหตุไม่เว้นวันตลอดเดือนแรก สองคือแรงกดดันจากต้นสังกัดว่าไม่ต้องการให้อพอลโลถูกยุบ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมวงก็คาดหวังกับคำตอบของเขาไม่ต่างจากสื่ออื่น เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาทุกครั้งที่เจอกันก็เท่านั้น
อาณายังไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง เขายังนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าอพอลโลที่ไม่มีสิบทิศจะเป็นอย่างไร
ชายหนุ่มหันไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย จากนั้นจึงก้าวขึ้นรถของมือกลองประจำวงแต่โดยดี มือยกขึ้นขยับแว่นสายตา วันนี้เป็นวันแรกในรอบสามเดือนที่นักร้องนำอพอลโลถูกสั่งให้เข้าบริษัท ทั้งคอนเสิร์ตและงานแสดงซึ่งมีคิวยาวไปจนถึงช่วงต้นปีถูกยกเลิก อพอลโลเป็นวงที่งานชุกที่สุดในค่าย เมื่อเกิดผลกระทบขึ้นจึงสร้างความเสียหายให้บริษัทได้มากเช่นเดียวกัน
“เรื่องวง... ตัดสินใจหรือยัง” พายุถามเสียงเรียบ ส่วนอาณาส่ายศีรษะตอบตามความจริง
“ขอโทษนะ”
“ก็พอเข้าใจอยู่ แต่บริษัทคงอยากเร่งรัดเอาคำตอบจากนาย”
“อืม” อาณาครางตอบ รู้ดีว่ามนุษยธรรมกับธุรกิจ บางครั้งก็ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง “พายุ”
“ว่าไง”
“ฉันสงสัยว่า การตายของสิบทิศจะเป็นฆาตกรรมจริงๆ”
พายุหักรถเข้าข้างทางแทบจะในทันที หันมองเพื่อนร่วมวงที่ปั้นหน้าเครียดแล้วหลุดพูดอะไรแปลกๆ เรื่องอุบัติเหตุออกมา อีกไม่ถึงสองกิโลเมตรข้างหน้าก็จะถึงบริษัทแล้ว พายุไม่อยากให้อาณาแสดงความหมกมุ่นกับเรื่องนี้ต่อหน้าป๋าเกียงหรือผู้บริหารคนไหนอีก ไหนๆ ตอนนี้คดีก็ใกล้จะจบแล้ว ฝั่งญาติผู้เสียชีวิตอย่างตระกูลพิชญเดชายอมรับข้อหาของสิบทิศและยินดีจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์อย่างไม่มีอิดออด
“นายพูดแบบนี้อีกแล้ว รู้ไหมว่าบริษัทหงุดหงิดกับการที่ต้องพยายามปิดปากนักข่าวมากแค่ไหน เรื่องที่นายเมาหัวราน้ำในคืนเกิดเหตุแล้วยังพูดเรื่องรถสีขาวอะไรนั่น”
“คืนนั้นฉันไม่ได้เมา”
“อาณา” พายุว่าเสียงเข้ม “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากเชื่อนะ แต่สิ่งที่นายพูดมันไม่มีหลักฐาน ขืนเอาแต่พูดลอยๆ แบบนี้มันจะเป็นผลเสียกับตัวนายเองแล้วก็อพอลโล”
“ถ้าสิ่งที่ฉันพูดไม่มีหลักฐาน อย่างนั้นสิ่งที่นายประวิทย์พูดก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
เขาพยายามจะพูดแบบนี้ในชั้นศาล แต่ก็พบว่ามันฟังไม่ขึ้นเลยเมื่อฝั่งสิบทิศตกอยู่ในสถานะจำเลย และเขาก็เป็นเพียงพยานฝั่งจำเลยเท่านั้น คำให้การของอาณาช่วยสร้างความชอบธรรมให้การตายของสิบทิศไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เขาหมดสติไปสี่วัน พอเข้าวันที่ห้าก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาถึงห้องพักฟื้น การสอบปากคำในครั้งแรกเต็มไปด้วยความสับสนจากอาการช็อกและฤทธิ์ยากล่อมประสาท อาณาจึงไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีได้เท่าที่ควร หากพอสัปดาห์ต่อมาเมื่ออาการคงที่ขึ้น ชายหนุ่มก็ได้รู้ถึงความหนักหนาสาหัสของรูปคดีในตอนนี้ดีกว่าใคร
คำให้การของเขาถูกลดความน่าเชื่อถือลงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ อาณายอมรับว่าเขาดื่มไปเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติรับรู้ทุกอย่างดีพอจะบอกได้ว่ามีรถยนต์ในที่เกิดเหตุถึงสามคัน หนึ่งคือคันสีขาวปริศนาที่ขับตัดหน้า ส่งผลให้สิบทิศจำต้องเบี่ยงหลบอย่างกะทันหัน ก่อนจะถูกรถของนายประวิทย์ซึ่งขับตามมาพุ่งเข้าชนทางด้านขวาในเวลาต่อมา
บนทางคู่ขนานลอยฟ้าไม่มีกล้องตรวจจับความเร็ว จึงทำให้ไม่มีภาพในที่เกิดเหตุมาประกอบสำนวนคดีของพนักงานสอบสวน กอปรกับคำให้การของนายประวิทย์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ยืนยันว่าบนถนนไม่มีรถคันอื่นอยู่อีก รูปคดีถึงออกมาว่า สิบทิศขับรถโดยประมาทจึงเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่อยากให้คดีสิ้นสุด บริษัทอยากให้คดีสิ้นสุด ทุกคนอยากให้คดีสิ้นสุด
เว้นแต่นายอาณา ปารกุล
“ขอยืนยันคำเดิมว่าฉันอยากจะเชื่อนาย” คนตรงหน้ากล่าวตอบ อาณาแน่ใจว่าพายุรู้จักเขาดี “แต่แค่นี้มันไม่มีน้ำหนักอะไรเลย อะไรที่ทำให้นายคิดว่ามันเป็นการฆาตกรรม”
เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำกลิ่นน้ำหอมได้ราวกับมันติดอยู่ปลายจมูก แต่พอให้การกับทางตำรวจไปว่าเห็นเงาตะคุ่มชะโงกหน้าเข้ามาในรถ สิ่งที่ออกมาจากปากคนเมาเช่นเขาก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์กันแน่
อาณายอมสงบปากสงบคำจนกระทั่งพายุพามาถึงบริษัทในที่สุด ชายหนุ่มผิวแทนกดลิฟต์ไปยังชั้นสามสิบสาม ระหว่างนั้นยังพะวงอยู่กับนักร้องนำซึ่งปิดปากเงียบเหมือนอย่างสามเดือนที่ผ่านมา ทุกคนที่ไปศาลรู้ดีว่าอาณาไม่ยอมสลัดฝันร้ายคืนนั้นออกจากหัว และการจากไปพร้อมกับความผิดของมือกีตาร์ก็ไม่ใช่จุดจบที่สวยงามนัก ส่วนทางบริษัทได้พยายามเป็นอย่างยิ่งไม่ให้คำพูดไร้มูลของอาณาถูกเผยแพร่ออกไป
ผลการชันสูตรศพของสิบทิศพบว่ามีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แม้จะแค่เล็กน้อยแต่ก็บิดเบือนความรู้สึกของประชาชนได้มากพอสมควร มิหนำซ้ำทุกคนที่อยู่ในนัดคืนนั้นก็ยืนยันได้ว่าคะยั้นคะยอให้สิบทิศดื่มจริงๆ พยานหลักฐานจึงเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนบนชั้นศาลจนแม้แต่อาณายังต้องยอมจำนน
ประตูลิฟต์เปิดออก พาสองหนุ่มมาถึงชั้นสามสิบสามอันเป็นที่ตั้งของ มอร์มิวสิกเรคอร์ดส ค่ายเพลงใหญ่ในเครือบริษัทจีอีเอ็ม ซึ่งครองตลาดใหญ่ที่สุดในวงการเพลงภายในประเทศ แนวเพลงส่วนใหญ่ของมอร์มิวสิกนั้นเป็นร็อกและป็อปร็อก ทั้งยังมีศิลปินอันดับต้นๆ อยู่ในสังกัดมากมายจนจัดคอนเสิร์ตเฉพาะของค่ายได้ถึงปีละครั้ง ส่วนเจ้าของรายได้อันดับหนึ่งในช่วงสามปีหลังมานี้ย่อมเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกเสียจาก อพอลโล วงป็อปร็อกชื่อดังซึ่งมีความหมายถึงเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และศิลปะการดนตรีนั่นเอง
เผ่าเพชรและกสินมาถึงก่อนแล้ว ทั้งสองกำลังนั่งคุยกับทีมงานหลักคนอื่นๆ อยู่ในห้องประชุมที่จัดเตรียมเอาไว้สำหรับการพูดคุยครั้งนี้ จากสีหน้าเคร่งเครียดของเผ่าเพชร อาณารู้ดีว่าอีกฝ่ายกังวลเรื่องที่เขาอาจจะขอยุติบทบาทการเป็นนักร้องนำของอพอลโล เพราะตั้งแต่ที่ได้เจอกันในโรงพยาบาลครั้งล่าสุด บทสนทนากับมือเบสของวงก็จบลงด้วยท่าทีผิดหวังและไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย
“หายดีแล้วนะ?” เผ่าเพชรทักเขาคำแรก ส่วนฝั่งนักร้องนำแค่ยิ้มตอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ท่ามกลางสายตาของทุกคนในห้องประชุม
ไม่นานนัก
คุณพงษ์พัฒน์ ผู้บริหารค่ายมอร์มิวสิกเรคอร์ดส ควบด้วยตำแหน่งลูกชายคนโตของ
พงษธร หรือ ป๋าเกียง ประธานบริษัทจีอีเอ็มก็มาถึง อาณาถูกถามไถ่เรื่องอาการแค่พอเป็นมารยาทเท่านั้น ทุกคนเห็นด้วยตาว่าเขาหายแล้ว ไม่มีเฝือกอ่อน บาดแผลตามเนื้อตัวหายเกือบสนิท รวมถึงท่าทางการเดินเหินก็ปกติดี
“ไม่รู้ว่าเร็วไปหรือเปล่า แต่เรื่องที่เราจะคุยกันหลักๆ ในวันนี้ก็คือทิศทางของอพอลโล... พายุ เผ่าเพชร อาณา ถึงทางค่ายจะลงความเห็นว่าควรหามือกีตาร์คนใหม่มาแทนสิบทิศแล้วทำวงต่อไป แต่การตัดสินใจหลักก็ขอยกให้เป็นของพวกคุณ” พงษ์พัฒน์ว่า ประสานสองมือไว้บนโต๊ะขณะไล่สายตามองศิลปินทั้งสามคนอย่างคาดหวัง หุ้นของจีอีเอ็มไม่ควรดิ่งลงไปมากกว่านี้
การเสียสมาชิกคนสำคัญเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากสูญเสียความสมบูรณ์ของวงแล้วยังก่อให้เกิดผลกระทบทางใจอย่างใหญ่หลวงกับคนที่ยังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณา เพราะหากการคงอยู่ของสิบทิศเปรียบเสมือนเสาหลัก นักร้องนำก็คงเหมือนลายสลักที่เป็นภาพลักษณ์ของวง ต่อให้อีกสองคนดึงดันจะทำอพอลโลต่อก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แล้วยังต้องใช้เวลาค้นหานักร้องนำอีกหนึ่งปี สองปี หรือว่าหลายต่อหลายปีอย่างที่วงอื่นๆ ต้องเผชิญ
“ถ้าหากพวกคุณเลือกที่จะทำต่อ เราจะมาคุยเรื่องหาสมาชิกกัน แต่ถ้าผลออกมาว่าไม่ ก็คงต้องคุยเรื่องสัญญาที่เพิ่งต่อไปเมื่อปีที่แล้วว่าจะมีทางออกกับทั้งสองฝ่ายยังไงบ้าง”
อพอลโลทั้งสามยังนิ่งเงียบ ถึงแม้จะมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่พายุและเผ่าเพชรกลับไม่กล้าตอบออกมาทันที แน่นอนว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของการตัดสินใจครั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลักอย่างอาณา ถ้านักร้องนำบอกว่าไม่ สิ่งที่พวกเขาตั้งความหวังไว้ก็คงพังไม่เป็นท่า
“ทำต่อครับ”
“ไม่ทำครับ”
ทุกคนมองอาณาและเผ่าเพชรซึ่งโพล่งขึ้นพร้อมกัน พายุอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าคนที่ตอบไม่จะกลายเป็นมือเบสของวงไปได้ เผ่าเพชรเองก็เช่นเดียวกัน เขาหันมองอาณา นึกตกใจที่อีกคนตอบตรงกันข้ามกับความกลัวของคนอื่นๆ หน้าตาเฉย
“นายไม่อยากทำแล้วหรือ” ดวงตาใต้กรอบแว่นหันมองอีกหนึ่งสมาชิก เมื่อสองเดือนก่อน เผ่าเพชรยังยืนกรานว่าอยากจะทำอพอลโลต่อไปอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ปฏิเสธต่อหน้าคุณพงษ์พัฒน์กันเล่า
“เพราะฉันคิดว่านายจะไม่ทำน่ะซี” เผ่าเพชรหัวเราะเหมือนคนน้ำตาจะไหล รีบหันไปแก้คำกับผู้บริหารทั้งเสียงลนลาน “สรุปว่าผมเอาด้วยครับ! อพอลโลจะยังทำเพลงต่อไป”
พายุถอนหายใจอย่างโล่งอก ทั้งที่เมื่อเกือบชั่วโมงก่อนหน้านี้อาณาเพิ่งจะตอบว่ายังไม่ได้ตัดสินใจแท้ๆ แถมเผ่าเพชรเองก็เครียดกับเรื่องนี้มานับตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุ อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยที่ทุกคนยอมทิ้งสิบทิศ แต่อพอลโลก็เป็นชีวิตของพายุ เป็นชีวิตของเผ่าเพชร แล้วก็คงจะเป็นชีวิตของอาณาเหมือนกัน
“ผมไม่อยากให้สิ่งที่สิบทิศสร้างมาเสียเปล่า” อาณาอธิบายเหตุผล หรืออันที่จริงคงเป็นเพราะเขาพ่ายแพ้ต่อความมุ่งมั่นที่พร้อมเดินหน้าต่อของทุกคนในที่นี้ก็ได้
หากมีมือกีตาร์คนใหม่เข้ามา สิบทิศจะถูกลืมเลือนหรือเปล่า?
บรรดาคนในห้องประชุมต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก พอดีกับที่เด็กฝึกงานนำกาแฟจากร้านในตึกชั้นล่างมาส่ง ทั้งเผ่าเพชรและพายุจึงดื่มมันราวกับนี่เป็นเครื่องดื่มแก้วที่อร่อยที่สุดในรอบหลายเดือน ผิดกับอาณาซึ่งยกคาปูชิโนร้อนขึ้นจิบ ตาสีเข้มฉายแววของสิ่งที่ครุ่นคิดในใจเพียงลำพัง
หากเสียสถานะของอพอลโล อาณาก็จะสูญเสียทุกสิ่ง แม้ว่าการร้องเพลงโดยไม่มีสิบทิศแล้วเป็นเรื่องยาก แต่เขาก็ยังฝืนทำต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
บาดแผลในใจของเขาไม่มีทางหาย --
ไม่มีวันตราบใดที่ทุกคนยังเชื่อว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ
-------------------------------------------
‘THE NEXT APOLLO’
ตามหาสมาชิกคนใหม่ของ อพอลโล
คุณสมบัติของผู้สมัคร
1. อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
2. เพศชาย
3. ไม่มีสัญญาผูกมัดกับสังกัดเพลงอื่น
4. อ่านเขียนภาษาไทยชัดเจน
5. ทักษะการเล่นกีตาร์ดีเยี่ยม
ขั้นตอนการสมัคร
1.เลือกเพลงที่ต้องการส่งออดิชั่นจากรายชื่อเพลงที่กำหนด โดยเป็นเพลงเร็ว 1 เพลง และเพลงช้า 1 เพลง
2. บันทึกวิดีโอการเล่นกีตาร์ พร้อมแนะนำตัวเองในแบบของคุณ ความยาวไม่เกิน 3 นาที
ช่องทางการส่ง ทางออนไลน์ อัพโหลดคลิปของคุณ ตั้งชื่อ AP และตามด้วยชื่อของคุณ แล้วส่งมาที่
http://faceboost.com/apollobandสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-345-6789
ระยะเวลาการรับสมัคร 8 ต.ค. - 8 ธ.ค. 2560
โดยหลังจากหมดเขตการรับสมัครแล้ว ทางมอร์มิวสิกเรคอร์ดสจะทำการคัดเลือกผู้ผ่านรอบแรกจำนวน 10 คน เพื่อไปแข่งขันในรอบสุดท้าย ติดตามรายละเอียดได้ในเร็วๆ นี้
-------------------------------------------
“เฮ้ย อพอลโลหามือกีตาร์คนใหม่จริงๆ ด้วยว่ะ”
เสียงของแจ้โพล่งขึ้นระหว่างที่ทุกคนในวงทะเลดำกำลังพักเบรกหลังซ้อมมาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม องศาชะงักมือที่กำลังเกากีตาร์ เหลือบสายตาขึ้นมองสมาชิกจริงๆ ของวงซึ่งกำลังนั่งออดูหน้าจอแมคบุ๊กอยู่ตรงมุมห้องซ้อมดนตรี
อพอลโลจัดการประกวดหามือกีตาร์คนใหม่ในลักษณะเกมแข่งขัน ท่ามกลางการโปรโมตและแรงสนับสนุนจากทางค่ายและแฟนคลับที่ไม่อยากสูญเสียศิลปินวงโปรดไป โดยการประกวดจะกินระยะเวลาทั้งสิ้นสี่เดือน คัดเลือกจากคนที่มีทักษะทางดนตรีดีพร้อมอยู่แล้ว การหามือกีตาร์ไม่ยากเหมือนอย่างฟรอนต์แมน ดังนั้นใครต่อใครจึงเชื่อว่าอัลบั้มที่ทำค้างไว้ของวงป็อปร็อกอันดับหนึ่งคงถูกปล่อยออกมาภายในปีหน้าอย่างแน่นอน
“โห โคตรโล่งเลยอะ คิดว่าจะยุบวงแล้วนะเนี่ย” เชอรี่แทบร้องกรี๊ด เธอเป็นแฟนคลับตัวยงของอาณา นักร้องนำเสียงทุ้มนุ่มที่มีภาพลักษณ์น่าหลงใหลคนนั้น และสิบทิศ มือกีตาร์ขวัญใจหญิงสาวครึ่งค่อนประเทศด้วยรูปลักษณ์นักดนตรีไฮโซ ลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวแห่งพิชญเดชา ควบตำแหน่งเจ้าสัวน้อยของธุรกิจในเครือพิชญากรุ๊ปไปพร้อมกัน
จากข่าวการเสียชีวิตของสิบทิศในช่วงก่อน องศาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เชื่อว่าอาจถึงคราวจบสิ้นของอพอลโลแล้วจริงๆ ก็ได้ แต่แล้วอย่างไรทุนนิยมก็มาก่อนเสมอ อะไรที่ยังขายได้ ขาดอะไหล่ไปตัวหนึ่งก็แค่หาตัวใหม่เข้ามาเสียบ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“ถ้าคนใหม่หล่อไม่ได้ครึ่งพี่สิบทิศนี่ฉันคงช้ำอะ” ผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่นี้หัวเราะร่า ส่วนแจ้และบอย อีกสองสมาชิกของวงทะเลดำทำเป็นกลอกตาหมั่นไส้
“ก็เชียร์ไอ้องศาไปประกวดดิ จะได้สมใจมึงไง หล่อค่า เล่นกีตาร์เก่งค่า”
แจ้แกล้งแซวเสียงแหลม ได้ยินอย่างนั้นเชอรี่ก็ฟาดแขนเพื่อนร่วมวงเรียงตัวโทษฐานพูดจาไม่เข้าเรื่อง เธอหันมาทำท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ใส่องศา พยายามคิดหาคำแก้ตัวดีๆ ไม่ให้ถูกมองแปลกประหลาดไปเสียก่อน
“พูดอะไรไร้สาระ จะเชียร์องศาทำไมล่ะ ถ้าไปจริงเดี๋ยวพี่แจ้ก็ต้องหามือกีตาร์ใหม่อีก” เชอรี่เถียงเสียงสูง
“โอ๊ย เรื่องเล็ก ถ้าองศามันไปจริงๆ กูจะเกณฑ์คนทั้งมหา’ลัยมาโหวตเลย”
“ว้าย เห็นเส้นนี้ไหม เฟรนด์โซนจ้า”
สองหนุ่มรุมแกล้งนักร้องสาว ถึงแรกๆ นั้นเชอรี่จะดูทีเล่นทีจริงเรื่ององศา แต่จับสังเกตดีๆ ก็พบว่าเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ พอถูกจับได้ก็ยืนกรานว่าไม่อยากให้หนุ่มในฝันรู้ เพราะเธอรู้ดีว่าองศาไม่ได้คิดลงหลักปักหัวใจกับใครหน้าไหน ผู้ชายคนนี้แสดงออกว่าอยากสนใจแค่เรื่องตนเองเท่านั้น
“ถ้าจะมีใครเข้าไปแทนที่สิบทิศได้ กูว่าต้องหล่อก่อนเลยอันดับแรก” บอยเสริม
“นี่ไง กูเชียร์ไอ้องศาแล้วเนี่ย อีรี่จะได้ไม่โวยวายว่าใครจะมาแทนพี่สิบทิศของมัน”
ทั้งสองคนยังเอาแต่พูดหยอกเชอรี่กันไม่เลิก องศาชะงักกับคำพูดนั้นราวถูกตั้งระบบอัตโนมัติเอาไว้ เขารู้ว่าพี่แจ้กับบอยแค่ล้อเล่น และใครๆ ก็พูดกันเรื่องที่มือกีตาร์คนใหม่ของอพอลโลจะต้องกลายเป็นสิบทิศเบอร์สองอย่างช่วยไม่ได้ คนอื่นคงดีใจกับสถานะที่ถูกยกยอว่าเป็นอดีตมือกีตาร์คนนั้น แต่ไม่ใช่เขา --
ไม่ใช่แน่ๆถ้าจะมีใครที่รู้ดีว่าการอยู่ใต้เงาของสิบทิศ พิชญเดชาเป็นอย่างไรแล้วล่ะก็...
“จะซ้อมต่อหรือยัง” องศาพูดขัดบรรยากาศที่มีแต่เรื่องของอพอลโล มือจัดการรวบผมหน้าม้าขึ้นมัดเป็นจุกเพื่อไม่ให้เปียกเหงื่อตรงหน้าผาก เขาอยากให้ชื่อของสิบทิศเงียบไปจากห้องนี้เสียที
พอได้ยินเสียงกีตาร์บ้าคลั่งของอีกฝั่ง แจ้ก็รีบลุกมาประจำที่หลังกลองชุด ส่วนบอยยกเบสขึ้นคล้องตัวอย่างงุนงง ไม่มีใครรู้ว่าองศาเป็นอะไร อาจจะอารมณ์เสียที่เชอรี่ชอบ หรือไม่ก็เกลียดอพอลโลเข้าไส้เพราะต้องเล่นเพลงของวงนี้แทบทุกคืน
วงทะเลดำซ้อมถึงสี่ทุ่มตามเวลาที่เช่าห้องซ้อมเอาไว้ องศาลาทุกคนแล้วขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้าน แวะซื้อข้าวไข่เจียวพริกซึ่งขายอยู่หลังมหาวิทยาลัย ตั้งใจว่าท้องอิ่มแล้วจะอาบน้ำเข้านอน เก็บแรงสำหรับงานที่ร้านกาแฟกะเช้า
ป่านนี้พิมพ์จันทร์คงเข้านอนไปแล้วซึ่งเป็นเรื่องดี เขาจงใจไม่ข้องเกี่ยวกับเธอมาตลอดสามเดือนนับตั้งแต่ที่ทำท่าว่าอยากปล่อยให้ตั้งครรภ์ ยิ่งวอแวเขาก็ยิ่งไม่อยู่บ้าน จนช่วงหลังมานี้เธอคงรู้ตัว ถึงได้ระวังท่าทีมากขึ้นเพราะกลัวว่าตนเองจะเป็นสาเหตุให้ผู้ชายที่รักหนีไปจริงๆ ใช่ ถ้าไม่ติดว่ามีแม่อยู่ที่นี่ องศาคงทำแบบนั้นไปแล้ว
เขาจอดมอเตอร์ไซด์อย่างคล่องแคล่ว จุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งก่อนจะเดินหมุนกุญแจด้วยนิ้วแล้วใช้มันเปิดประตูบ้าน ตั้งแต่เล็กจนโต องศาไม่ชอบประตูเหล็กยืดฝืดๆ ของบ้านหลังนี้สักเท่าไรนัก เขาต้องออกแรงนิดหน่อยเพื่อขยับให้เลื่อนได้ ทว่า ชายหนุ่มกลับแทบล้มทั้งยืนเมื่อพบว่าไฟทุกดวงยังเปิดสว่าง ข้าวของทุกอย่างระเนระนาด ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ตู้ ม้วนผ้า หรือแม้แต่จักรเย็บก็ยังมีร่องรอยถูกทำลาย
“นี่มันอะไร”
นางอังกาบสะดุ้งเมื่อเห็นลูกชายเพียงคนเดียว ส่วนพิมพ์จันทร์กำลังปาดน้ำตาอย่างเสียขวัญแต่ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านั้น ทั้งหมดนี้ชัดเจนว่ามีผู้บุกรุก แต่กับบ้านโทรมๆ แบบนี้ เชื่อได้ว่าคงไม่ใช่โจรป่าเถื่อนที่ไหนหรอก ยิ่งนางอังกาบจงใจปิดปากเงียบ ก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของให้เข้าที่โดยไม่ยอมตอบคำถามของเขาก็ยิ่งมีพิรุธ
“แม่ นี่มันอะไร” องศาขึ้นเสียงดังกว่าเดิม แน่ใจว่าคงมีเรื่องที่ตนไม่รู้อีกเป็นแน่
“ไม่มีอะไร” หญิงวัยกลางคนปดซึ่งๆ หน้า ทำเอาเขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า
“บ้านเละขนาดนี้ ทำไมยังบอกว่าไม่มีอะไรอีก” ชายหนุ่มตรงเข้าไปดึงร่างมารดาบังเกิดเกล้าขึ้น ก่อนจะพยุงกึ่งบังคับให้ไปนั่งบนเก้าอี้แล้วก้มลงช่วยพิมพ์จันทร์เก็บข้าวของเสียเอง
“เจ้าหนี้...” พิมพ์จันทร์กระซิบบอกทั้งน้ำตา “พวกมันมากันสามคน ทวงเงินจากน้าอังกาบ พอไม่มีให้ก็พังบ้านเป็นค่าเสียเวลาแล้วขู่ว่าจะมาอีก”
ได้ยินอย่างนั้นองศาก็หยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ลูบหน้าลูบตาแรงๆ เพื่อสกัดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ดวงตาสีเข้มหันไปถลึงใส่ผู้เป็นมารดาจนนางอังกาบต้องเบือนหน้าหนี
“นี่แม่ไปกู้เงินมาอีกแล้วหรอ” เขาพยายามใจเย็น “เท่าไร”
“หกหมื่น”
องศาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก หกหมื่นไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยสำหรับฐานะของสองแม่ลูก “กู้มาทำอะไรนักหนา”
“ก็เอามาหมุน”
กล่องไม้ในมือถูกเขวี้ยงลงพื้นจนเกิดเสียงดัง องศาเสยเรือนผมสีดำขึ้นอย่างลวกๆ เดินงุ่นง่านไปมารอบบ้านจนแม้แต่พิมพ์จันทร์ก็ยังหวาดกลัว ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า “แล้วนี่กู้มาตั้งแต่เมื่อไร มันถึงได้มาพังบ้านเอาแบบนี้”
“เมื่อเดือนมีนา ตอนนั้นไอ้เล้งมันทวงเงินของมันสามหมื่น ก็เลยต้องเอาตรงนี้ไปใช้ก่อน ไม่งั้นมันจะแจ้งความ” นางอังกาบสารภาพ ตาที่เหม่อมองข้าวของบนพื้นเริ่มสั่นไหวด้วยน้ำตารื้นๆ
“หนี้ตรงนั้นมันแค่สามหมื่น แต่นี่แม่กู้มาตั้งหกหมื่น แล้วค่าเลี้ยงดูของบ้านใหญ่ที่เขาให้แม่ทุกเดือนๆ มันไม่พอใช้หรือไง ทำไมยังจะต้องไปกู้เพิ่มเรื่อยๆ แม่คิดบ้างไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน” องศาเสียงอ่อนลงนิดหน่อยเมื่อเห็นน้ำตาของแม่ แต่เขาก็โกรธ -- โกรธจริงๆ ที่มีปัญหาเข้ามาในชีวิตสับปะรังเคไม่จบไม่สิ้น
“ค่าเลี้ยงดูมันมีที่ไหนกันล่ะ!” หญิงวัยกลางคนตวาดเสียงสั่น ราวกับท้อแท้ในชีวิตยากจนข้นแค้นแบบนี้เต็มทีแล้วเหมือนกัน “ตั้งแต่เจ้าสัวตาย พวกมันก็ไม่ได้ให้เงินฉันมานานแล้ว!”
“อะไรนะ...” เขานิ่งอึ้งไปเมื่อได้รู้ความจริง
“สิบทิศมันตัดเราทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมา” นางอังกาบพูดทั้งน้ำตา “พอเจ้าสัวตายก็ไม่มีใครทำเหมือนว่าฉันกับแกยังอยู่ ขนาดโทรไปหา ทนายของมันยังไม่รับสายเลย แล้วแบบนี้แกคิดว่าแค่เงินค่าเย็บเสื้อผ้าพวกนี้จะพอกินหรือไง เดือนเดือนหนึ่งจ่ายค่าเช่าบ้านก็ไม่เหลือแล้ว”
หลังต้องเก็บข้าวของออกจากบ้านพิชญเดชาเมื่อสิบกว่าปีก่อนพร้อมเงินก้อนหนึ่ง เจ้าสัวจะคอยส่งค่าเลี้ยงดูมาให้เป็นประจำทุกเดือนเพื่อเป็นค่ากินอยู่และค่าเล่าเรียนขององศา นานทีปีหนก็จะยอมมาพบหน้าลูกในไส้คนนี้บ้างแล้วพาไปกินของอร่อยๆ ถึงเขาไม่รู้สึกว่ามีความผูกพันระหว่างตนเองกับพ่อบังเกิดเกล้ามากนัก แต่องศาก็เคยชอบการที่ตนเองถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในพิชญเดชาอยู่บ้างเหมือนกัน
และถ้ามารดาบอกว่าไม่ได้ค่าเลี้ยงดูเหล่านั้นนับตั้งแต่เจ้าสัวตาย หมายความว่าบ้านของเขาถูกตัดขาดจากตระกูลใหญ่มาถึงห้าปีแล้วอย่างนั้นหรือ
ความจริงเหมือนค้อนหนักๆ ที่ทุบลงบนหัวอย่างไรอย่างนั้น
“แม่เรียกร้องอะไรกับพวกมันไม่ได้เพราะเราไม่มีหนังสงหนังสืออะไรเป็นหลักฐานว่าเจ้าสัวเคยให้”
นี่มันไม่ถูกต้อง ต่อให้ปฏิบัติกับเขาและแม่แย่แค่ไหน แต่พิชญเดชาก็ควรจะรับผิดชอบอะไรบ้างไม่ใช่หรือไง อย่างไรแม่ก็เคยเป็นเมียของเจ้าสัว อย่างไรเขาก็ใช้นามสกุลนี้อยู่แท้ๆ
“สิบทิศไม่ได้ให้อะไรเราเลย มันฉวยโอกาสตัดเราสองแม่ลูกทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นยังไงล่ะ”
องศายังคงนิ่งเงียบ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในวัยเด็กขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาที่เป็นเพียงเด็กตัวน้อยวัยเจ็ดขวบ ก่อนหน้าจะถูกเฉดหัวออกจากบ้านพิชญเดชาถึงสองปี
“ไปเอามาจากไหน”สิบทิศ พิชญเดชา ในวัยสิบสองปีหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะแย่งเอาหุ่นยนต์โมเดลไปถือไว้ในมือด้วยสายตาเย็นชา เขาจำได้ดีว่าตนเองช่างไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยถึงได้เอ่ยตอบไปตามตรงว่าสาวใช้เอามาให้ ด้วยเหตุผลว่าเป็นของที่คุณหนูสิบทิศโละทิ้งแล้ว
องศายินดีที่จะรับของเก่านั้นไว้ แล้วสิบทิศก็เขวี้ยงมันออกไปต่อหน้าต่อตาเขา
“ฉันไม่ได้ให้นายสักหน่อย” คุณชายของบ้านว่า
“ทำไมถึงชอบแย่ง”“ผมไม่ได้แย่งนะ ก็พี่อ้อยบอกว่าพี่สิบทิศจะทิ้งอยู่แล้ว” เด็กน้อยเถียงขาดใจ เขาเองก็เป็นลูกของพ่อ แต่นอกจากคนรับใช้ที่พอเกรงอกเกรงใจกันอยู่บ้างแล้ว กลับไม่มีสมาชิกคนไหนในพิชญเดชาเห็นหัวกันสักคน โดยเฉพาะคนคนนี้ที่ทำเหมือนจงเกลียดจงชังกันอย่างกับอะไรดี
“ถ้าไม่ได้แย่ง มันก็ต้องไปอยู่ในถังขยะสิ”ถ้าไม่ได้แย่ง มันก็ต้องไปอยู่ในถังขยะสิ
ถ้าไม่ได้แย่ง มันก็ต้องไปอยู่ในถังขยะสิ
ถ้าไม่ได้แย่ง มันก็ต้องไปอยู่ในถังขยะสิองศากำหมัดแน่น ผ่านมาสิบสามปีแล้ว แต่ไม่มีวันใดที่เขาจะลืมเรื่องหุ่นยนต์ในวันนั้นได้เลย ในความทรงจำของชายหนุ่มนั้น สิบทิศในช่วงวัยเด็กจนถึงสิบสี่ปีช่างเลวร้าย เป็นคนสุดท้ายบนโลกที่เขาอยากจะเข้าใกล้ก็ว่าได้ เป็นคนที่ทำให้องศาไม่อยากกลับไปเหยียบพิชญเดชา ต่อให้ต้องตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกนี้ในฐานะลูกไร้พ่อก็ตามที
‘สิ่งที่มันควรเป็นของของแก คนที่ยึดเอาไว้ก็ไม่อยู่แล้ว’ไม่ใช่ว่าองศาไม่รู้สถานะของตนเอง ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเข้าใจดีมาตลอดว่าถ้าไม่แย่งก็ไม่มีวันได้มา ต่อให้จะอยากได้สิ่งเหล่านั้นมากแค่ไหน ต่อให้ร้องขอก็ตาม แต่คนคนนั้นก็จงใจให้มันไปอยู่ในถังขยะดีกว่าอยู่ในมือของลูกเมียน้อยอยู่ดี
ทว่าตอนนี้
คนที่ยังอยู่บนโลกคือ องศา พิชญเดชา --
ไม่ใช่นายสิบทิศTBC