ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้ง..
ความสัมพันธ์ก็จะเปลี่ยนไป ริมปากระบายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากได้ยินว่าเขาใกล้จะมาถึงอีกในไม่ช้า หน้าบานจนเพื่อนรักถึงกับเอยปากแซว ทว่าผมไม่ได้สนใจ เอาแต่กอดสมุดสีดำไว้แนบกาย เปรียบดังสมบัติค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทองมากกว่าทุกสิ่งอย่างบนโลก
หัวใจที่เต้นโลดแล่น
จากสายตาของเพื่อน ผมคงเป็นไอ้บ้าแน่ ๆ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวเขินอยู่คนเดียว
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นะ
ผมก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน ว่าความรู้สึกของเราจะตรงกันแบบนี้ ด้วยช่วงอายุซึ่งแตกต่าง นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมไม่คิดจะบอกความนัยของตัวเองออกไป เขายังมีโอกาสเจอใครอื่นอีกตั้งมากมาย หน้าตาเขาถือว่าดูดี ถ้าไม่อย่างนั้นคงทำอาชีพอย่างว่าไม่ได้
แต่สุดท้ายเรื่องราวที่ถูกเขียนไว้กลับเป็นคำตอบของทุกอย่าง มันทำให้ผมมองข้ามเรื่องอายุ
ในความคิดของเขา ผมกลายเป็นของสูงที่ไม่อาจเอื้อม และคิดว่าสวรรค์เมตตาในวันที่เขาแทบจะทิ้งทุกสิ่ง กลับเป็นวันที่ผมฉุดเขาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แถมพลั้งปากซื้อเขามานอนกอดทุกคืน
ผมกลายเป็นเหตุผลในการมีชีวิต
ระมัดระวัง ไม่ให้ทราบถึงความรู้สึกอันแท้จริง
ซึ่งถ้าย้อนไปที่จุดเริ่มต้น หากเขาแสดงอาการว่ารักผมแม้แต่ครั้งเดียว เราคงเดินมาไม่ถึงจุดนี้
จุดที่เรามีความรู้สึกตรงกัน
เราต่างก็มีรักครั้งแรก ไม่แปลกเลยที่การแสดงออกจะดูเงอะงะกันทั้งคู่
ต่างคน ต่างคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รักตัวเอง ถึงกลายเป็นอะไรอ้อมโลกกันแบบนี้
"ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ที่มีคนเขียนความรู้สึกถึงนายจนเอ่อล้นทะลัก ถ้าพูดถึงเจ้างี่เง่าล่ะก็ 10 ปี พูดว่ารักครั้งหนึ่ง อยากจะบ้า"
หลังจากเงียบอยู่นาน เห็นผมกอดสมุดนั่นไม่หยุดสักที จึงตัดพ้อเรื่องของตัวเองออกมา ทำให้ผมหลุดจากห้วงความคิด อะไรกันคนที่น่าอิจฉาคือพวกนายแท้ ๆ จะมาอิจฉาทางนี้ทำไม ถึงไม่พูดก็แสดงออกให้เห็นชัดอยู่แบบนั้น
"ใกล้ถึงหรือยัง"
ผมขอไม่ออกความเห็น และยิงคำถามไปแทน
"แหม เอ่ยปากมาก็ถามถึงเด็กต้อย อะไร ๆ ก็เด็กต้อย ถ้ารู้ว่าจะยุ่งยากแบบนี้ล่ะก็ รู้งี้พวกฉันบอกความรู้สึกของนายตั้งแต่แรกไปซะก็ดี"
คำพูดที่เล่นทีจริง
"ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันคงโกรธ"
แต่ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง
หากจะบอกว่ารัก ผมอยากจะให้เขาได้ยินจากปากผมเป็นคนแรก
ผมรู้ว่าเพื่อนหวังดีในแบบของพวกเขา ไม่อยากเห็นผมเจ็บปวด ไม่อยากเห็นผมร้องไห้ ไม่อยากเห็นผมเป็นแบบนี้
เพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ประคับประครองกันมามากมาย ความจริงผมอาจไม่มีสิทธิ์โกรธอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำจริงผมคงผิดหวังน่าดู
คำว่า 'รัก' ที่เขารู้จากคนอื่น
คำว่า 'รัก' ที่ถูกพูดออกไปในวันที่ผมไม่พร้อม
ถ้า Say Yes ก็ดีไป
แต่ถ้า Say No ผมคงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
และคงเป็นวันที่ผมไม่เหลือใคร แม้กระทั่ง 'เพื่อน'
ต่อให้รู้ว่าหวังดี แต่มันเป็นความหวังดีที่ผมไม่ต้องการ
ผมมองอีกคนที่กำลังฟุบหน้าลงเตียงอย่างไม่วางตา
"รู้น่า ยังไม่ได้พูดอะไรไปสักหน่อย แค่เอาสมุดสีชมพูอ่อนในลิ้นชักที่ล็อคกุญแจไว้อย่างดี ไปให้เด็กต้อยของนายอ่านเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลย เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งสามสิบกว่าปี สิ่งที่นายคิดทำไมจะไม่รู้ นายโกรธทีไรน่ากลัวจะตาย"
ก่อนจะพูดพึมพำในลำคออย่างสำนึกผิด ผมได้แต่อ้าปากค้าง
สมุดสีชมพูอ่อนที่ว่า
ก็เหมือนกับเขา สิ่งที่อัดแน่นภายในใจ หากไม่ระบายออก ก็คงอกแตกตายกันพอดี สมุดที่เต็มไปด้วยคำสารภาพรักและความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา
หากเราเจอหน้ากันและพูดคุยกันอีกครั้ง
ผมไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากจุดไหนก่อน
อยากจะบ้าชะมัด
เสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่บริเวณประตูหน้าห้องก่อนที่จะเปิดออก ผมจ้องมองอย่างใจเต้นระส่ำ ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่เมื่อเห็นผู้ที่เปิดประตูเดินเข้ามา ไม่ใช่บุคคลที่ผมรอคอยรอยยิ้มหุบไปในทันที พร้อมกับคิดว่าโอกาสที่เราจะได้คุยกันอีกครั้ง
มันอาจจะไม่มีอีกแล้ว
.
.
"คุณชายสี่ คุณชายห้า"
เพื่อนรักอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะลุกยืน โค้งกายทำความเคารพอย่างเผลอตัว เพราะความเคยชินที่ทำแบบนี้มาตลอดสิบห้าปี
ผมจ้องมองคนที่ใส่เสื้อผ้ายี่ห่อหรู ท่าทางหยิ่งผยอง อย่างไม่สบอารมณ์
"มาทำไม"
ก่อนจะถามเสียงกร้าว คิดว่าตนวิเศษวิโสมาจากไหน เวลาที่ผมเจอคนจากบ้านใหญ่ทีไรมักจะไม่มีเรื่องดีตามมาเลยสักครั้ง ถึงแม้ผมจะตัดขาดออกมาแล้ว ไม่รับมรดกอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ผมจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่แล้วก็ตาม
"เรามาเยี่ยมน้องชายมีอะไรน่าแปลกตรงไหน และนี่ของเยี่ยม"
คำพูดพร้อมการกระทำพี่สี่โยนตะกร้าผลไม้ซึ่งถือมาอย่างไม่เต็มใจไปกองกับพื้นด้วยแววตาดูถูกและเหยียดหยาม จนของที่อยู่ภายในกระจัดกระจายเกลื่อนทั่วบริเวณ
"ว่าแต่นี่คือห้อง VIP ของโรงพยาบาลจริง ๆ เหรอเนี่ย"
เจตนาที่แท้จริงคงไม่ได้มาเยี่ยมดั่งคำว่าหรอก
"ใช่ครับพี่สี่ เล็กกว่ากรงเลี้ยงสุนัขของบ้านเราอีก"
ยังไงก็ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ไม่งั้นคงไม่ถ่อสังขารมาถึงชานเมืองแบบนี้
"แถมดูสภาพนายตอนนี้สิน้องหก โธ่ ๆ น่าสมเพชสิ้นดี"
คำพูดถากถางถูกพ่นออกมาไม่ขาด
"ตกต่ำถึงขนาดโดนเบต้า ข่ม-"
"ออกไปซะ"
ผมขบฟันกรอด กำหมัดแน่น อย่างหมดความอดทน มันจะมากเกินไปแล้ว ม้นชักจะมากเกินไปแล้ว มาเพราะเรื่องนี้เหรอ มาเพราะแบบนี้เหรอ
"ออกไปซะ"
ผมย้ำอีกทีอย่างระงับอารมณ์ ย้ำเผื่อว่าผู้มากรากดี จะฟังคำของคนธรรมดาไม่รู้เรื่อง ข่มขืน ? อย่างพวกคุณจะไปรู้อะไร
"เรากลับแน่"
พี่ห้ากล่าวอย่างไม่อยากจะเสวนา
"แต่นายต้องไปกับพวกเรา อีกอย่างขยาดกับสถานที่น่ารังเกียจ สกปรกเต็มทน อยากรีบทำรีบจบ จะได้กลับสักที จะกลับไปดี ๆ ไหม"
"ไม่ไป"
ผมตอบสวนขึ้นมาทันที
"อย่าหาว่าใจร้ายแล้วกัน"
สิ้นคำ พี่สี่ปรบมือเบา ๆ สองครั้ง เพียงเสี้ยววินาทีชายชุดดำก็กรูเข้ามารอบเตียง ผลักเพื่อนรักกระเด็นไปอีกทาง
"ท่านพ่อเตรียมคู่หมั้นหมายไว้ให้นายแล้ว ท่านไม่ยอมจะให้นายทำเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลไปมากกว่านี้"
ชื่อเสียงเหรอ ? อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย
"ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น"
ชายชุดดำปลดสายน้ำเกลือ
"หยุดนะ จะทำอะไร"
ผมถามอย่างเสียงหลง พวกมันไม่ฟังคำ ก่อนจะยกร่างของผมที่กำลังดิ้นขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี
"เลือดซึ่งหมุนเวียนครึ่งหนึ่งของนายเป็นคนของตระกูล ต้องอุทิศตนเพื่อตระกูล เข้าใจไหม! เลิกดื้อด้านได้แล้ว ท่านพ่อเมตตาแค่ไหน บ่อยให้คนล้มเหลวอย่างนายใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมาถึงทุกวันนี้ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทน"
"ผมไม่เคยรับอะไรจากพวกคุณมาแม้แต่บาทเดียว"
"หึ จริงเหรอ" พี่สี่แสยะยิ้มที่มุมปาก
"ลองหันไปถามคนที่นายเรียกว่าเพื่อนสิ เจ้านั่นรู้ดีหมดทุกอย่างนั่นแหละ"
ผมหันไปตามคำว่า หวังจะได้ยินคำปฎิเสธ แต่กลับเห็นเพื่อนแววตาที่บ่งบอกว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง
"โลกมันโหดร้าย รู้ไหมครับน้องหก ถ้าท่านพ่อใจร้ายขึ้นมาจริง ๆ เงินเก็บที่นายได้มาถึงทุกวันนี้ ไม่มีวันจะได้มาหรอก ท่านมีอำนาจที่จะสั่งให้รับงาน หรือไม่รับงานตามบริษัทเพลงที่นายส่งไปก็ได้ แต่ท่านกลับเลือกเพื่อให้โอกาสนาย แต่บังเอิญว่าเพลงที่นายแต่งดันเปรี้ยงปร้างขึ้นมา"
คิดว่าออกจากใต้เงาของบ้านใหญ่มาได้แล้ว คิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ทุกอย่างกลับตาลปัตร ความภาคภูมิใจที่ผมมีมาตลอด ถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี
สุดท้ายผมก็เป็นเพียงแค่คนโง่ที่หลงระเริงกับอิสระจอมปลอม
อึก..
ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามา
เข็มฉีดยาที่ถูกทิ่มแทงเข้าผิวหนังในจังหวะที่เผลอ ดึงสติผมกลับคืน ทว่าดูเหมือนจะสายไป ภาพทุกอย่างเริ่มเลือนราง แววตามองไปยังเพื่อนที่กำลังพยายามจะนำตัวผมกลับมา จนถูกชายชุดดำสวนหมัดล้มกองไปกับพื้นอีกครั้ง
เขาและเพื่อนรักอีกคนเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี
พยายามจะช่วยทุกวิถีทาง
เสียงอึกทึกฮึกโหม ทำให้ผู้ป่วยหรือแม้กระทั่งหมอและพยาบาลพากันมามุงดู แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะเมื่อเห็นหน้าบุคคลที่ก่อเรื่อง จึงไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง
สภาพสะบักสะบอมของคนสำคัญ
ด้วยความที่ไม่อาจสู้แรงและจำนวนที่มากกว่าได้
สุดท้ายผมถูกพาตัวไป ด้วยสภาพเพื่อนรักและเขา ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว
ไม่แปลกเลย
เพราะชายชุดดำทุกคนล้วนแต่เป็นบอดี้การ์ดชั้นดี เป็นแค่นี้ถือว่ายังปราณี
ใบหน้าของเขาที่ผมอยากเห็น คำพูดที่อยากจะให้เขาได้ยิน
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ทั้งที่อีกนิดเดียว
อีกนิดเดียวแท้ ๆ
เขายังคงพยายามคลานตามมาอย่างสุดความสามารถ ร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ถึงแม้จะมีเลือดไหลอาบใบหน้าก็ตาม เสียงที่เปล่งออกมาอย่างเจ็บปวด
ซึ่งในขณะนี้ผมสิ้นสติไปอย่างสมบูรณ์
TBC