21
“พี่ซัน เงยหน้าอีกนิดนึงครับ” อตินว่าพลางช่วยเชยคางคนเป็นพี่ขึ้น พักศีรษะไว้บนขอบโซฟา ขณะที่เบสกำลังเตรียมบีบยาหยอดตา
คนเจ็บนอนพักอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้เบสกับอตินเปลี่ยนผ้าก็อซ สาบานว่าตั้งแต่กลับมาจากร้าน อตินกับซันยังจับมือกันแทบไม่ได้ปล่อยเลย และเริ่มจะกลายเป็นภาพชินตาของคนอื่นไปแล้วซะด้วย ยกเว้นก็แต่บางคนที่อาจจะไม่อยากมองน่ะนะ
ขณะที่กำลังล้อมวงกินผลไม้ที่น็อตปอกมาให้ มินก็เดินหน้าเครียดเข้ามาขวางหน้าจอโทรทัศน์ เรียกเสียงประท้วงจากพี่ทุกคน
“เฮ้ย มีไร”
“เป็นไรหน้าเครียด”
“พอดีญาติผมเสียอะครับ อาจจะต้องขอลางานสัก 4-5 วันไปช่วยงาน” มินตอบกลับ ทำให้บรรยากาศหม่นลงแทบจะทันที
“เสียใจด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ แต่ก็เป็นญาติห่างๆ”
“จะไปพรุ่งนี้เลยเปล่า เดี๋ยวฉันคุยกับคุณวาโยให้เอง”
เบสรับอาสา พยายามตบบ่าปลอบใจคนเป็นน้อง มินก้มหัวเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปจัดกระเป๋าในห้องนอน ทิ้งให้คนที่เหลือนั่งมองหน้ากันปริบๆ ในที่สุดมาร์ชก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น
“งั้นช่วงที่มินไม่อยู่ ให้อตินมานอนกับฉันก็ได้”
อตินถึงกับสะดุ้ง ส่วนคนอื่นก็พากันตกอกตกใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก แอบเห็นซันขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะรีบคลายออกและปรับสีหน้าให้เป็นปกติ น็อตกับแจนแอบส่งสายตาปรึกษาหาเบส แต่ทันทีที่มาร์ชถามย้ำ กลับไม่มีใครกล้าขัดได้
“เอ้อ อย่างงั้นก็ได้”
“ได้ไหมอติน?” แจนถาม ทำให้ทุกสายตาหันไปรวมกันที่เจ้าของชื่อ
“เอ่อ ก..ก็ ก็ได้ครับ”
มาร์ชยกยิ้มพอใจ ขณะที่คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งเร่งเร้าความสงสัยในใจของสมาชิกที่เหลือให้เพิ่มพูน พวกเขาว่าจะไม่คิดแล้วนะ แต่ทุกอย่างในช่วงนี้กลับทำให้ต้องคิด...ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันยังไงกันแน่ แล้วถ้าเป็นอย่างที่คาดเดา การที่อตินยอมคบกับซัน จะไม่ยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงหรอกเหรอ?
น่าเป็นห่วงจริงๆ
สามคนนี้.....
“วันนี้พ่อกับแม่ของคุณเกลมาที่ร้านด้วยล่ะ” อตินนั่งกอดเข่าอยู่ข้างซันบนเตียง ข้างๆ กันมีน็อตกำลังทาครีมในห้องนอนของตัวเอง
“จริงเหรอ แล้วมีอะไรหรือเปล่า?” รีบถามกลับด้วยความเป็นห่วง จนคนตัวเล็กอดยิ้มขอบคุณไม่ได้
“ไม่เป็นไร เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วรู้เรื่องวีรกรรมของลูกสาว เลยมาขอโทษ”
“ค่อยโล่งอก พี่นึกว่าเขาจะมาขออตินซะอีก”
“ฮ่าๆ บ้าเหรอ” อตินหัวเราะตาหยี ตีแขนซันไปที คนตัวใหญ่ยิ้มขำแล้วยื่นมือออกมาด้านหน้า เขารู้ดีว่าซันต้องการอะไร จึงรีบเอื้อมมือเข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้หลวมๆ
“ถึงขอก็ไม่ให้”
“อื้อ...ไม่ไปอยู่แล้ว”
ซันยิ้มกว้าง ยิ้มแบบที่เคยมีมาตลอด เขาดีใจนะที่เห็นพี่ชายคนนี้กลับมาร่าเริงอีกครั้ง อย่างน้อยในตอนนี้...เขาอยากลืมหัวใจตัวเอง แล้วทำหน้าที่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ตอนนี้เขาเป็นแฟนซัน นั่นคือเรื่องจริง
“ซัน ไปอาบน้ำได้แล้ว” เบสเปิดประตูผ่างเข้ามา แล้วปีนขึ้นเตียงอย่างถือวิสาสะ พยายามดึงคนบ้าที่เอาแต่เกาะแขนอตินไม่ปล่อย
สักพักก็พากันเดินออกไปอาบน้ำที่ห้องของเบส อตินไม่มีเหตุผลอยู่ต่อเลยตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจังของน็อต เขาหันกลับมานั่งบนปลายเตียง เอียงคอหาคนเป็นพี่อย่างตั้งคำถาม
“อติน”
“ครับ?”
“เราจะคบกับซันต่อไปแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“....ทำไมละครับ”
“นายน่ะใจอ่อนมากเกินไป” ทั้งคำพูดและสายตา ราวกับจะมองทะลุจิตใจเขาไปซะหมด แถมยังดูเหมือนว่าน็อตรู้อะไรมากกว่าที่คิดอีกด้วย
“อย่างมิน หมอนั่นยังเด็กและเข้าใจอะไรง่าย เรื่องมันถึงจบด้วยดี แต่ซันน่ะไม่ใช่นะ”
อตินหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้าน็อตตรงๆ ด้วยว่าเขารู้ดี ทุกสิ่งที่ได้ยินมันคือเรื่องจริงที่เขารู้แก่ใจดี...เพราะเขาใจอ่อนมากจนไม่อาจเห็นคนสำคัญเสียใจได้ แม้สักคนเดียว แต่แย่หน่อยที่หัวใจของเขามีให้ได้แค่คนเดียว...เพราะงั้นมันถึงเจ็บปวดไงล่ะ
ถ้าเรื่องของมินยังยืดยาวมาถึงตอนนี้ ถ้าเด็กนั่นเอาแต่งอแงและตีหน้ารวดร้าวใส่ทุกวันๆ เขาก็อาจใจอ่อน ยอมรับความรู้สึกมาบ้างก็ได้ แต่เพราะมันจบแล้ว หมอนั่นยอมรับอะไรๆ ง่ายกว่าที่คิด ซึ่งก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นหลายเปราะ ส่วนที่ยังติดค้างก็คือซัน ความรัก ความทุ่มเท ที่ซันให้มา มันมากมายจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้ลงคอ ยิ่งมาเจอเรื่องของเกล ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนั้นยอมเสี่ยงเพื่อเขาได้มากแค่ไหน และยอมเสียสละได้มากเพียงใด...
ทำขนาดนั้น แล้วจะให้เขาทิ้งไปอีก...
จะไม่ดูใจร้ายไปหน่อยเหรอ...
“หมอนั่นกำลังเอาเปรียบจากจุดอ่อนของนาย” อตินเงยหน้าขึ้นสบตาน็อตนิ่งๆ เขาไม่นึกอยากได้ยินคนที่คลุกคลีอยู่กับซันมาเนิ่นนาน กล่าวหาว่าร้ายซันแบบนั้น ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ไม่อยากให้พูดแบบนี้
“ไม่หรอกครับ...พี่น็อตไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“แต่...”
“ผมเลือกแล้ว...และผมเป็นคนเลือกเอง”
เขาพูดทิ้งท้ายแค่นั้น ก่อนปลีกตัวออกจากห้องอย่างด่วนจี๋ ไม่รอต่อล้อต่อเถียงให้ยืดยาว ก็เขาเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เองนี่นะ เลือกแล้ว ตัดสินใจแล้ว ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขากำหนดเอง อะไรที่ตามมา เขาก็ขอรับผลของมันเอง
ไม่เป็นไรหรอก ให้มันเป็นแบบนี้แหละ ดีซะอีก เขาได้ตอบแทนความรักของซันให้มากเท่าที่จะมากได้...ทำให้ซันกลับมายิ้มกว้างๆ ได้อีกครั้ง บางทีเนื้อเพลงของเพลงนั้นอาจจะมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คิดก็ได้
ผู้ชายคนนั้นจะยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเขาเชียวนะ แถมยังน่าสงสารขนาดไหน คนที่ราวกับว่าไม่เคยถูกเข้าใจ ไม่เคยถูกรัก...วันนี้ซันอาจรอแค่เขาคนเดียว ที่จะสามารถเติมเต็มช่องว่างในจิตใจเหล่านั้นได้ อืม...ถ้ามีแค่เขาที่จะทำได้ เขาก็จะยอมทำ
จะเป็นคนที่เข้าใจ จะเป็นคนที่รักซันเอง...
แบบนี้ไม่ดีเหรอ กับมินเขาก็เคลียร์ได้แล้ว กลายมาเป็นเพื่อนรักที่ซี้กันยิ่งกว่าเดิม กับมาร์ชก็ปรับความเข้าใจกันแล้ว ได้กลับมาเป็นพี่น้องที่ผูกพันกันเหมือนเดิม แถมนี่ยังได้รับความรักล้นปรี่จากพี่ชายอีกคน
ต้องเรียกว่าโชคดีต่างหาก
แล้วเรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างมีความสุขใช่ไหม...
ใช่ไหม.....
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก พร้อมภาพของมาร์ชที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง รู้สึกไม่ชินเลยแฮะ ต้องย้ายมานอนห้องนี้แทนที่ซันงั้นเหรอ แล้ว...ต้องอยู่กับมาร์ชสองต่อสองกี่คืนล่ะ
อตินส่ายหัวแล้วตบแก้มตัวเองเบาๆ ถึงเขาจะแอบชอบมาร์ช แล้วยังรู้สึกว่ามาร์ชมีท่าทีแปลกๆ กับตัวเองขนาดไหน ยังไงปัจจุบันเขาก็เป็นแฟนซัน ไม่ควรคิดเกินเลยอะไรอีกแล้ว เฮ้อ...ก็เลือกไปแล้วนี่ เลือกที่จะดูแลซันแล้ว ก็ต้องตัดใจจากมาร์ชนะ จะปล่อยให้ตัวเองมีความสุข แล้วทิ้งให้ซันซึมเศร้าตลอดไป ได้ยังไง
คนตัวเล็กโดดขึ้นเตียงมาซุกหน้าลงกับหมอนของซัน แล้วสูดเอากลิ่นกายที่คุ้นเคย ใช่แล้ว ตัดใจจากมาร์ชซะเถอะ คนที่ควรจะรัก คือคนที่เพิ่งไปช่วยนายออกมาจากยัยโรคจิต แถมยังยอมเสี่ยงตาบอดเพื่อปกป้องนายเลยนะ ซันคนดีที่อยู่ข้างนายตลอดไง
กล้าทรยศความรักของคนคนนั้นได้ลงคอเหรอ...
ไม่หรอก...ไม่กล้าหรอก...
มันมหาศาลเกินไป...
อุตส่าห์ได้รับมาทั้งใจ เขาคงไม่กล้าขว้างมันทิ้งง่ายๆ หรอก...
“อาบน้ำก่อน แล้วค่อยขึ้นเตียงสิ” เสียงมาร์ชเอ็ดขึ้น ทำให้อตินยู่หน้าเป็นเด็ก แต่ก็ยอมลากสังขารเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย ไม่นานนักจึงกลับออกมาพร้อมกลิ่นสบู่หอมฟุ้ง
“ผมกลิ่นเหมือนพี่มาร์ชแล้วอ่า” อตินแซวแล้วก้มลงดมตัวเองฟุดฟิด เพราะสบู่ที่ใช้มันของมาร์ชนี่น่า
คนตัวสูงกวักมือเรียก เขาเลยปีนขึ้นไปนอนข้างๆ แอบชะโงกหน้ามองจอโทรศัพท์ที่กำลังเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น LINE หน่ะ แชทกับใครแต่หัวค่ำ ทำไมดิสเพลย์เป็นรูปผู้หญิงสวย
“คุยกับใครครับ”
“เพื่อน”
มาร์ชตอบสั้นๆ แล้วรั้งคออตินเข้ามาซบไหล่ตัวเอง มือซ้ายกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนวางทิ้งไว้บนหัวเตียง ปล่อยให้เพื่อนที่ว่ากลายเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น
“ช่วงนี้ที่ร้านเงียบขึ้นเยอะเลยนะครับ” คนตัวเล็กชวนคุยเรื่อยเปื่อย พลางดึงหนังข้างเล็บเล่น
“ก็ไอ้ซันไม่อยู่นี่”
“นั่นสิ อยากให้พี่ซันดีขึ้นไวๆ จัง”
“แล้วเราเหนื่อยหรือเปล่า ต้องคอยไปๆ มาๆ ดูแลมัน” คงพูดถึงเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบป้อนอาหารกลางวัน แต่เขาก็เอาแต่ส่ายหน้า
“ไม่เลย ผมเต็มใจ”
มาร์ชพยักหน้าแล้วลุกขึ้นนั่งเต็มตัว ส่งสายตาบอกให้อตินเข้านอนได้แล้ว คนตัวเล็กก็ว่าง่ายแสนง่าย รีบย้ายตัวเองกลับไปที่เตียงด้านข้าง แทรกร่างเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่ทันที มาร์ชยิ้มพอใจแล้วชะโงกหน้าตามมา จนสายตาสองคู่ประสานกันแค่เอื้อมมือ
“ราตรีสวัสดิ์” คนเป็นพี่ลูบปอยผมสีน้ำตาลด้านข้าง แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมา ฝากรอยจูบบางเบาไว้บนหน้าผากมน กลิ่นกายหอมฟุ้งโชยขึ้นเตะจมูกจนไม่อยากผละออกไปไหน
“พี่มาร์ช ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”
“หือ” เลิกคิ้วสูง แต่กลับถูกสายตาอ้อนๆ ช้อนใส่
ให้ตาย...ยอมแพ้เลย
คนถูกขอเพียงแค่ยิ้มๆ แล้วลุกไปปิดสวิชต์ไฟ ทันทีที่ห้องมืดและเงียบ เด็กน้อยจึงค่อยๆ งัวเงียจนใกล้จะหลับมิหลับแหล่ รออยู่นานกว่าที่เสียงแหบๆ ของคนข้างตัวจะดังขึ้นแผ่วเบา ราวกับต้องการเพียงแค่กระซิบให้ได้ยิน
“I shouldn't love you but I want to, I just can't turn away.”
มาร์ชไม่ได้ร้องตรงจังหวะสักเท่าไร แต่เขากลับค่อยๆ เปล่งแต่ละประโยค แต่ละคำ ออกมาช้าๆ ชัดๆ สายตาอ่อนโยนระคนปวดใจจับจ้องอยู่บนใบหน้าหวาน ไล่ตั้งแต่เส้นผม ผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิท จมูกโด่งรั้น จนถึงริมฝีปากอิ่ม
“Just so you know...this feeling's takin' control of me and I can't help it. I won't sit around. I can't let him win now.”
เสียงเพลงจากปากของมาร์ชดูลึกซึ้งและแฝงความหมายมากมาย แม้แต่คนที่กำลังจะหลับก็ยังอดอดสัมผัสถึงมันไม่ได้ อตินพยายามข่มตาไม่ให้ลืมขึ้น และปล่อยให้สมองซึบซับเสียงแหบพร่านั้นอย่างตั้งใจ ได้แต่คิดว่ามาร์ชกำลังร้องเพลงนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ มันเป็นแค่เพลงเพลงหนึ่ง หรือกำลังจะบอกอะไร?
“Just so you know...”
จุมพิตบางเบาจรดลงบนแก้มเนียนอีกครั้ง ก่อนที่ห้องทั้งห้องจะเงียบลงจนน่ากลัว...
น่ากลัวว่าจะมีใครได้ยินเสียงโครมครามจากหัวใจถึงสองดวง
“อติน ตื่น” เสียงตำหนิดังขึ้นข้างหู สร้างความรำคาญให้ร่างเล็กบนเตียง เขารีบกระชับผ้าห่มไว้แล้วงอตัวเป็นกุ้ง
“ตื่นเร็ว”
“อื้ออ” งอแงเหมือนเด็ก แถมยังยกมือขึ้นปิดหูอีกต่างหาก
มาร์ชมองร่างดักแด้บนเตียงอย่างหน่ายใจ แล้วใช้สองมือช่วยดึงหมอนออกจากหัว ได้ยินเสียงศีรษะกระแทกเตียงดังโปก แต่อตินก็ยังมีความพยายามที่จะนอนต่อ แถมยังหันมากระชากหมอนในมือเขากลับไปอีกต่างหาก เออ เจริญ
งั้นลองเจอมุกนี้เป็นไง?
“อติน...” คนตัวสูงนั่งลงบนเตียง เอี้ยวตัวเข้าหาร่างบางที่เอาแต่คุดคู้ อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรแล้วยกขาก่ายหมอนข้างแน่น
มาร์ชยกยิ้มมีเลศนัย แล้วค่อยๆ โน้มหน้าลงไปใกล้ใบหูเล็ก...ลมเย็นๆ ถูกเป่าออกจากปากแผ่วเบา พอให้อีกฝ่ายระคายเคืองจนถึงยกมือขึ้นปัดแทบไม่ทัน นี่ กลายเป็นเด็กขี้เซาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยากให้เขาเล่นแรงๆ ใช่ไหมฮะ
งั่บ..
“โอ้ย!” ดวงตากลมโตเบิกโพล่ง รีบเด้งตัวลุกขึ้น แล้วคลานหนีออกห่าง สายตาขัดเขินจ้องใบหน้ากรุ้มกริ่มของมาร์ชอย่างนึกคาดโทษ มือเล็กยกขึ้นลูบใบหูแดงฉ่าของตัวเองหลายๆ ที พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อจนปิดไม่มิด
คนบ้าประเภทไหนที่เข้ามากัดหูคนอื่นตอนนอนแบบนั้น แถมยังไม่สำนึกอีก โอ้ยย ไอ้พี่มาร์ช อยากให้เขาหัวใจวายตายงั้นเหรอ!
“พี่มาร์ชบ้า”
“ก็ไม่ยอมตื่นนี่ ไป ไปอาบน้ำได้แล้ว”
คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทั้งที่ยังปิดหูอยู่อย่างนั้น เรียกเสียงหัวเราะของรูมเมทคนใหม่ได้เป็นอย่างดี อยากจะบ้า! เพราะใครกันล่ะทำให้เขาตื่นยากแบบนี้ ก็เมื่อคืนต้องนอนใกล้กัน แถมยังโดนลอบหอมแก้มกลางดึก เล่นเอานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน นี่ยังง่วงอยู่เลย
ผ่านไปพักหนึ่ง อตินกับมาร์ชถึงได้ฤกษ์ปรากฏตัวบนโต๊ะอาหาร มีแจนช่วยป้อนอาหารซันอยู่ อตินเห็นแบบนั้นเลยรีบขอสลับที่แล้วจัดการต่อเอง คนปิดตาจากที่เอาแต่ตีหน้าบึ้ง เลยยิ้มปริ่ม แก้มแทบฉีกออกจากหู
“ทำไมวันนี้ช้าจัง”
“ผมตื่นสายอ่า” อตินหัวเราะแห้งๆ แล้วตักซุปเข้าปากคนเป็นแฟน
“ทำไมตื่นสาย” เบสถามเสียงต่ำ เหลือบมองมาร์ชแวบหนึ่งไม่ให้จับได้
“ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุกน่ะครับ”
“อ่า รีบๆ กินเถอะ เดี๋ยวจะสายกันไปหมด”
ทุกคนพยักหน้าแล้วรีบตักอาหารเข้าปาก ภาพที่อตินคอยดูแลและเอาใจซัน เริ่มกลายเป็นความเคยชินของพี่ๆ ดูเหมือนตั้งแต่เกิดเรื่องเกล ความสัมพันธ์คลุมเครือของสองคนนี้จะพัฒนาไปไวยิ่งกว่าแสง พวกเขาได้แต่เฝ้ามองสองคนนี้ด้วยความเป็นห่วง เพราะเดาไม่ออกจริงๆ ว่าในใจของอติน รู้สึกยังไงกันแน่ ที่ยอมซันขนาดนี้...เพราะรัก หรือเพราะเหตุผลอะไร
คนที่กินข้าวเสร็จแล้ว พากันทยอยออกไปรอนอกบ้าน สุดท้ายก็เหลือแค่อตินคนเดียว ซึ่งยังต้องจัดการกับพี่ชายสุดดื้อ
“ต้องไปแล้วเหรอ”
“ครับ เดี๋ยวกลางวันก็กลับมาแล้ว”
“ไม่อยากให้ไปเลย” ซันอ้อน รั้งข้อมือบางเอาไว้แน่น จนอตินหลุดหัวเราะในท่าทีเด็กน้อยของเขา
“ต้องไปจริงๆ แล้วครับ”
คนตัวเล็กค่อยๆ แกะมือซันออกจากตัว แล้วโน้มหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกทั้งสองคนชนกันผะแผ่ว ซันดูพอใจกับท่าทีนั้น และยอมโบกมือลาแต่โดยดี อตินโบกมือตอบ ไม่ลืมกล่าวคำล่ำลาครั้งสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าซันคงมองไม่เห็นมือที่ยกขึ้นกลางอากาศนั้น
“จะลุกจะเดินระวังด้วยนะครับ ผมไปละ”
อตินลดมือลงแล้วเดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน เขาคงไม่สะกิดใจอะไรแล้ว ถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนติดตลกของคนในบ้านดังแว่วมาให้ปวดใจเล่น
“อย่านอกใจล่ะ”
ครับ...ไม่นอกใจหรอก
“สตรอเบอรี่เฟรนช์โทสต์ของพี่แจนขายหมดไวมากเลย” อตินกำลังโฟ่เรื่องขนมเมนูใหม่ของร้าน ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้วางขายจากคุณวาโยเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีซันนั่งฟังอย่างตั้งใจอยู่บนเตียง หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ส่วนน็อตกำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซนนั่งเล่นด้านนอก
“แล้วเราได้ชิมหรือยัง”
“แล้ว อร่อยมากกกก”
“ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ใช่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะจิ๊กมาให้พี่ซันกินนะ” ทั้งสองคนหลุดขำออกมาพร้อมกัน ไอ้เรื่องแผนชั่วนี่เหมือนจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยยังไงไม่รู้ สาบานได้ว่าถ้าน็อตหรือแจนได้ยินเข้า ต้องถูกวีนไปสามวันเจ็ดวันแน่ๆ
“แล้วมินเป็นไงบ้าง”
“ก็โทรมาหาเมื่อช่วงบ่าย บอกว่างานดูยุ่งๆ คงอีกสักสองสามวันถึงจะกลับ”
“เราก็ต้องนอนกับมาร์ช..” ซันพูดเสียงอ่อยแปลกๆ อตินพอจะดูออกเลยรีบเข้าไปเกาะแขนคนตัวใหญ่ให้หายคิดมาก รีบทำเป็นออดอ้อนใส่อย่างติดตลก
“ทำไม หึงหรอครับ”
“หึงสิ”
“โอ๋ ไม่หึงน้า~”
คนตัวเล็กไถแก้มไปกับต้นแขนแกร่ง เรียกรอยยิ้มคืนกลับมาบนใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง ซันรีบดันหัวกลมออกห่างเพราะจั๊กจี้ ก่อนจะคลำหามือนุ่มมากอบกุมไว้แน่น ราวกับกลัวว่าคนข้างกายจะหายไปไหน
“พี่รักอตินนะ รักมากเลย”
กี่ครั้งแล้วที่ได้ยินแบบนี้ เขาเอาแต่ย้ำซ้ำๆ เหมือนกำลังกลัวบางอย่าง...
“ครับ รักพี่ซันครับ” อตินตอบกลับเสียงราบเรียบ บีบมือใหญ่เป็นการตอบรับ อย่างน้อยซันก็มองไม่เห็น สีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“กี่โมงแล้ว ง่วงหรือยัง?” ซันรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อห้องทั้งห้องดูเงียบลงจนชวนอึดอัด
“ก็ง่วงนิดหน่อยนะ สามทุ่มแล้วอะครับ”
เพราะต้องตื่นเช้าไปเปิดร้าน พวกเขาเลยมีวิสัยการนอนที่ไม่ดึกนัก ส่วนใหญ่ไม่เกินสี่ห้าทุ่มก็ต้องคลุมโปงแล้ว ยกเว้นบางคืนที่มีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับเท่านั้น ซันกอดอตินอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กกลับห้อง
ประตูไม้ถูกเปิดขึ้น พอดีกับเสียงมือถือของเขาที่ดังเอะอะ จนมาร์ชต้องยกมือขึ้นปิดหูอย่างรำคาญ อตินก้มหัวเกรงใจแล้วรีบคว้ามือถือบนเตียงขึ้นมากดรับสายทั้งที่ยังไม่ทันได้มองหน้าจอ
(ฮัลโหล)
“พี่เลโอ!” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกให้สายตาคมเหลือบขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับไปสนใจหนังสือเล่มหนาในมือ
(เป็นไงบ้าง สบายดีนะ?)
“ก็...ดีมั้งครับ”
(พี่รู้เรื่องซันแล้ว ไม่เป็นไรแน่เหรอ)
อตินคลานขึ้นไปนอนพิงหมอนบนเตียงตัวเอง พยายามไม่หันไปสบตากับคนบนเตียงข้างๆ แอบแปลกใจเล็กน้อยที่ข่าวความเคลื่อนไหวฝั่งนี้ กระจายไปถึงหูเลโอรวดเร็ว แต่ก็นะ เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ ลูกค้าก็คุยกันปากต่อปากไปเรื่อยแหละ
“พี่ซันเหรอครับ ไม่เป็นไรหรอก หมอรักษาให้แล้ว อีกไม่กี่วันก็ไปเปิดตาได้ครับ”
(เรื่องนั้นพี่รู้ หมายถึงเราน่ะ คบกับซันไม่เป็นไรเหรอ)
เสียงเลโอไม่ค่อยได้เข้าหัวอตินนัก เพราะอยู่ดีๆ มาร์ชก็หันมาสะกิดเรียก แล้วตบมือลงกับเตียงด้านหน้าตัว เหมือนจะบอกให้เขาย้ายไปนั่งใกล้ๆ ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไงก็เลยเลื่อนตัวเองไปนั่งคุยโทรศัพท์อยู่หน้ามาร์ชตามนั้น ทำไปทำมาก็เลยใช้อกกว้างแทนพนักพิงหลังซะเลย
“หะ พี่เลโอว่าไงนะครับ?”
(พี่ถามว่า เรื่องที่เรายอมคบกับซันน่ะ ไม่เป็นไรแน่เหรอ?)
“อ้าว รู้ด้วย”
(รู้สิ เรื่องพวกนายมันกระจายไปทั่วแล้วไหมล่ะ)
พวกลูกค้าแฟนคลับทั้งหลายนี่บางทีก็รู้ดีรู้ไวจนน่ากลัวเลยแฮะ แต่เลโอรู้แล้วก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องบอกให้รู้อยู่วันยังค่ำ
“ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ผมกับพี่ซันไม่เข้ากันตรงไหน”
อตินเสร้งพูดให้ดูตลก ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้ตลกด้วยเลย และคนด้านหลังก็คงไม่ตลกเหมือนกัน ถึงได้สอดแขนแกร่งเข้ามาล็อกเอวเขาไว้ซะแน่น คางแหลมวางเกยอยู่บนไหล่ เล่นเอาบ่าเขาทรุดไปข้างหนึ่ง ตัวไม่ใช่เบาๆ นะ ยังจะกล้า
(เอ้า ก็นายชอ..)
“พี่ฮันบิ๊นน” คนตัวเล็กรีบแทรกขึ้นเสียงแหลม แอบเหล่ตามองด้านหลัง กลัวว่าจะทันได้ยิน
(อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกัน)
“ครับ”
(งั้นจะพูดดังๆ เลย) คนปลายสายแกล้งหยอกพร้อมหัวเราะชอบใจ จนอตินเริ่มลนลานอยู่ไม่สุข แต่ถึงงั้นก็ขยับมากไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมีไอ้บ้ากำลังโถมตัวเข้าใส่
“ไม่เอา~ ความลับดิ”
มาร์ชนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น ยิ่งท่าท่างดีใจตลอดเวลาเมื่อได้คุยกับพี่คนสนิทยิ่งทำให้เขานึกหมั่นไส้ วงแขนแข็งแรงเกี่ยวรัดเอวบางเข้าหาตัวยิ่งขึ้น ก่อนจงใจขบเบาๆ ไปที่หูขวาอย่างหยอกล้อ เล่นเอาคนด้านหน้าสะดุ้งจนเกือบทำมือถือหล่น
“อ้ะ!”
(หือ?)
“ปะ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
(มะกี้ร้อง?)
“ยุงกัด...อึ๊!” ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนยุงตัวที่ว่าหาเรื่องอีกรอบ มาร์ชแกล้งใช้ปลายลิ้นแหย่เข้าไปในรูหูที่กำลังขึ้นสีแดงจัด เสียงหัวเราะไม่ค่อยเป็นมิตรดังขึ้นในลำคอ ชวนให้คนตัวเล็กขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา
อตินรีบเบี่ยงตัวหลบทันทีที่สัมผัสถึงความเปียกชื้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นถูหูตัวเองแรงๆ พร้อมหันขวับไปถลึงตาใส่ แต่ดูเหมือนคนซ้อนหลังจะไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด กลับยิ้มกริ่มแล้วโอบร่างเขาไว้แน่นกว่าเดิมจนชักหายใจไม่ออก มาร์ชส่งสายตาเป็นเชิงให้วางโทรศัพท์ แต่อตินยังส่ายหน้าและพยายามคุยต่อ
(มีอะไรหรือเปล่า?)
“เปล่าครับ แล้วนี่พี่เลโอทำอะไรอยู่”
(ชงโกโก้ให้พี่จินน่ะ เห็นบ่นอยากดื่ม)
มือเล็กค่อยๆ แกะแขนหนาออกไปอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายก็หลุดรอดออกมาจากการเกาะกุมจนได้ นี่รัดจนเอวเขาจะคอดอยู่แล้ว ยังมาตีหน้าดุใส่อีก
อตินแลบลิ้นใส่มาร์ชไปทีแล้วกรอกเสียงอ้อนลงไปในมือถือ “คิดถึงโกโก้ของพี่เลโอจัง ไว้ทำให้ผมอีกน้า”
มาร์ชขมวดคิ้วแล้วส่งสัญญาณมือให้เขาวางโทรศัพท์อีกรอบ เขาก็ส่ายหน้าอีกรอบ จนทางนู้นสงบไป แต่นิ่งได้แค่แป๊บเดียวก็เริ่มต้นปริศนาใบ้อันใหม่ คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้จนใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงระยะแขน มาร์ชใช้มือแตะที่หู ก่อนทำท่ากากบาท จากนั้นจึงแตะนิ้วลงกับปากตัวเอง แล้วยื่นมาแตะริมฝีปากของเขาแผ่วๆ เหมือนต้องการจะสื่อว่าถ้ายังไม่ยอมวางสายอีก จะไม่ได้โดนแกล้งแค่ที่หู แต่คราวนี้จะสอดเข้าไป..ใน..ปาก!
“พ..พี่เลโอ”
รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้นมาบนใบหน้าเรียว พร้อมกับร่างหนาที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าประชิด จนเขาเผลอหลับตาหนี รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาบนแก้มทั้งสองด้าน
(อะไรเหรอ?)
“คือ..ผม ผมง่วงแล้วอะ ไว้คุยกันวันหลังนะครับ”
(อ้อ อื...)
ไม่รอให้อีกฝ่ายล่ำลาจบก็รีบกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะผลักอกกว้างตรงหน้าออกห่างอย่างแรง แล้วรีบอพยพตัวเองกลับมาบนเตียงของซัน รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง หวังช่วยปิดบังสีแดงเรื่อบนหน้า
ถ้ามาร์ชยังเอาแต่เล่นแบบนี้
สักวัน...เขาคงต้องกลายเป็นคนทรยศ