คำเตือน....
เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ภายใต้…ความรู้สึก ผมเป็นผู้ชายครับ… แต่เมื่อ 4 ปีก่อนชีวิตของผม มันถึงจุดเปลี่ยนที่สุด ก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งทางภาค
เหนือ ทั้งที่จริงแล้วผลคะแนนโควต้าอีกมหาวิทยาลัยรัฐทางบ้านผมสูงพอที่จะเข้าคณะได้ แต่ไม่เลย…ปีนั้นเป็นปีที่อะไรๆในชีวิต
เปลี่ยนไปหมด ต้องเรียนไกลบ้าน ต้องยอมรับและทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมไปถึงใจของตัวเองด้วย…
ผมก้าวเดินมาเหยียบบนผืนแผ่นดินมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ ด้วยผลคะแนนแอดมิดชั่นครับ ความกังวลหลายสิ่ง
หลายอย่างที่จะมาเรียนที่นี่มีมากมาย แต่กลับได้เพื่อนอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดินทางมาครั้งแรกเพื่อสัมภาษณ์ ตอนนี้เทอมแรกของ
เด็กปี 1 เปิดแล้ว ผมยังคงใช้ชีวิตปกติทั่วไปตามประสาเด็กใหม่ไฟแรง แก่กล้าที่จะเต็มที่กับทุกวิชา
จนเวลาผ่านเลยไปหนึ่งเทอมความขยันของผม มันทำให้เกรดเทอมแรกผมสูงเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ไม่เท่าไหร่นัก และ
นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมผิดหวังในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ต่อมาก็ใช้ชีวิตปกติ ผมเป็นแบบนี้บ่อยๆแต่ก็ยอมรับสิ่งที่ได้มาอย่างรวดเร็ว
บ่อยๆเช่นกัน
และแล้วจุดเปลี่ยนชีวิตผมก็ดันมาเปลี่ยนเพราะเพื่อนผู้ชายอีกคน ผมได้เจอเขาในงานลอยกระทง ครั้งแรกที่ได้เห็น
เขาผมถึงกับต้องหยุดยืนมอง โดยไม่แคร์สายตาคนอื่นว่าจะหันกลับมามองผมยังไง ชายหนุ่มที่เดินมากับกลุ่มเพื่อน 4 5 คน แต่
ดูเขาสิ เขาโดดเด่นกว่าใคร ใบหน้าที่หล่อเหลาและร่างสูงโปร่งแบบนั้น ผมไม่คิดว่าจะสะกิดใจผมได้รวดเร็วขนาดนี้ และที่สำคัญ
เขาใส่กางเกงขาสั้น สั้นผิดปกติ
คืนวันเดียวกัน ผมตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้ดูเล่นๆกับรุ่นพี่คนหนึ่ง แกเป็นเกย์ครับ พูดง่ายๆเป็นพี่ทางบ้านเลยด้วยซ้ำ
บังเอิญมารู้จักกันก็ตอนเรียนคณะนี้แหละ แต่สิ่งที่ได้คำตอบกลับมาคือ….
“พี่กัส ผู้ชายแท้ๆเขาใส่กางเกงขาสั้นแค่คืบเดียวกันไหมพี่”
“โหเจ มีเยอะแยะไป พี่ว่าผู้ชายใส่ขาสั้นน่ารักจะตาย”
นั่นแหละครับคำตอบที่ผมได้ เขาทำให้ผมนึกถึงหน้าบ่อยๆ และจากนั้นมาผมก็แอบมองดูเขาตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส
ได้เจอหน้ากัน จนบางครั้งผมมองเขานานจนเขาเงยมองผมกลับบ้างด้วยแววตา ตั้งคำถาม หลายอย่าง…และผมก็เป็นอยู่อย่าง
นั้น แอบมองบ่อยๆจนเพื่อนสนิทมากอีกคน แอบรู้ใจผมไปแล้ว ผมตกใจนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่า ผมเองจะถูกเพื่อนเดาใจได้เร็ว
ขนาดนี้ และผมยังไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหัวใจ
นับจากที่เพื่อนสนิทของผมรู้ เขาก็ช่วยผมเต็มที่ แต่ผมไม่แน่ใจ เหมือนเขาจะป่วนสมองผมมากกว่าก็ว่าได้นะ เพื่อน
คนนี้เขาลงทุนนั่งหาเฟสให้ผมถึง 6 ชั่วโมงในวันเสาร์ของสัปดาห์หนึ่งโดยไม่บอกกล่าวผมล่วงหน้า แต่คืนวันนั้นผมจำได้ขึ้นใจ
เวลาเที่ยงคืน ทั้งๆที่ฝนก็ตกแต่มีเสียงมาเคาะประตูหน้าห้อง ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูปรากฏเป็น….เพื่อนสนิทผมเอง
“อ้าว! มาร์ค! มาดึกดื่นเชียวมีอะไร?”
“รู้แล้วนะ ว่าคนที่แกชอบชื่ออะไร” เพื่อนสนิทพูดเสียงดังไม่เกรงใจเมทห้องของผมเลยแม้แต่น้อย
“ชู้ววววว ไปคุยกันข้างนอก”
หลังจากนั้นผมก็เดินนำเพื่อนมาจนถึงหน้าหอพักด้านล่างชั้น 1 ผมมองไปที่หน้ามาร์ค ไอ้หมอนี่เอาแต่จะแกล้งผม ฉีก
ยิ้มราวกับเขินแทนผมยังไงยังงั้น
“เขาชื่อ…ดิว! ส่วนเฟส เราส่งให้แกทางแชตแล้ว!”
“นี่…ไปหาเฟสเจอได้ยังไง”
“ไม่เห็นยากก็เมทห้องเราเขาเรียนอยู่คณะโซนนู้นพอดีกับ ดิว เลยถามเขาว่า ไอ้คนที่เป็นเดือนคณะ ชื่ออะไร มีเฟสไหม?
ประมาณนี้”
“ขอบใจ คราวหลังจะหาอะไรบอกก่อนสิ”
“เซอไพร์ไงเพื่อน?”
“แล้วแกคิดว่าเขาเป็นไหม?”
“ชัวๆร์ หน้าแบบนี้ แต่บอกก่อนเลยนะ แอบไปสืบแล้วรู้ว่า ดิว มันชอบกินเหล้า เที่ยวกลางคืน ผลับแถวมอเจอแทบทุกคืน”
คำพูดของเพื่อนผม ผมแทบไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะเพื่อนผมคนนี้เป็นสายสืบได้ดีทีเดียว แต่กับการเรียน
เคยสนใจอะไรแบบนี้บ้างรึเปล่านะ?
“เออๆรู้แล้ว พรุ่งนี้เรียนวิชาคณะเสียด้วย ตื่นเช้าๆหน่อยล่ะ”
“จะพยายาม!” มาร์คพูดพลางให้คำตอบไม่ชัดเจน ก่อนจะเดินกลับหอของมันไป
ผมคิดอยู่นานชั่วครู่ ไอ้การที่ผมป่วยไม่สบายเมื่อตอนเทอมแรก จนถึงขั้นลากสังขารตัวเองไปร่วมประกวดดาวเดือนไมได้
นี่มันทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักกับ ดิว ขนาดนี้เลยหรอ…
และแล้วหลังจากนั้นมาผมก็เอาแต่ส่องเฟสของ ดิว ที่เพื่อนสนิทประเคนมาถวายให้ถึงในแชต โชคดีที่เฟสของเขาไมได้
ปิดกั้นให้คนทั่วไปเห็น ผมเลยได้แอบดูอยู่เรื่อยๆว่าตอนนี้วันนี้เขาไปทำอะไรที่ไหน และผมก็แอบส่องอยู่อย่างนี้เป็นเวลา 2 ปีถัด
มา
จนกระทั่งเมื่อเทอมสองของปี 3 ผมตกใจมาก ที่รูปถ่ายของดิวกับผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกปรากฏบนสเตตัส แคปชั่นเขียน
เราจะมีกันและกันตลอดไป บอกตามตรงผมทำใจไม่ได้ จริงอยู่ที่ผมไม่กล้าแอดเฟสไปและทำความรู้จัก แต่ผมก็ยังอยากหวังอยู่
เล็กๆว่าไม่อยากให้ ดิว ไปคบกับใครเลย แต่คงไมได้แล้ว…
“เจ รู้ข่าวยัง” ไอ้เพื่อนสนิทของผมเดินเข้ามากระซิบหลังจากเลิกเรียนคาบปฏิบัติ
“รู้แล้ว!”
“เฮ้ยแก… ไม่เป็นไรใช่ปะ” น้ำเสียงนี่เป็นห่วงหรือมาตอกย้ำกันแน่วะ! ผมคิดในใจ
“อืม ไม่ตายหรอก!”
ผมประชดไปอย่างนั้นก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเป้กลับหอ เสียใจไหม บอกเลยว่ามาก ในตอนนั้น และผมก็ต้องทนเห็นภาพ
เหล่านั้นในเฟสของดิวมาตลอด กับผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นรุ่นพี่แก่กว่าปีเดียว หวานสวีดกันมาก ผมนี่ก็แปลก จะไปส่องเฟสเขาอีก
ทำไมกัน ไม่เข้าใจตัวเองเลย…
แต่ภาพที่บาดตาบาดใจผมมากที่สุดก็คือ เดือนมกราคม หกโมงเช้าตรงหน้าร้านขายของร้านหนึ่งแถวๆหอพักผมพอดี ก็คือ
ดิว กับแฟนสาวที่คบหาดูใจกันได้ 4 เดือนได้มั้ง แหนะแอบไปนับวันเวลาให้เขาอีก!
กำลังนั่งผิงไฟกัน แบบหวานสุดๆตัวติดกันอย่างกับอะไรดี ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นจนเขาหันกลับมามอง ผมนี่ไปไม่เป็นเลย แวว
ตาดวงนั้นกำลังมองผมราวกับว่า จ้องเขาอยู่ทำไม ผมแก้สถานการณ์ตรงหน้าด้วยการเดินเข้าไปในร้านขายของทันที
ก็เป็นอยู่อย่างนี้ จนผมต้องออกฝึกงานก่อนจบภาคฤดูร้อน ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งทางภาคกลาง ทุกวันที่ฝึกงานผ่าน
ไปเรื่อยๆ พอกลับถึงหอผมก็เช็คเฟสเขา แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะคิดว่าเขามีแฟนแล้ว ไม่ควรจะไปแอบมองด้วยซ้ำ แต่วันนั้นเป็น
วันที่ผมตกใจตาเบิกโพงมาก ผมเลื่อนดูสเตตัสของดิวในเฟส
“ความรัก มันสวยงามจริงๆหรอวะ กูว่าไม่ว่ะ ต่อไปนี้กูไม่สนใจใครแล้ว ขออยู่ตัวคนเดียวแล้วกัน!”
ผมถึงกับยิ้มออก ว่าแต่เขาเลิกกันเรื่องอะไรกันนะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่อยากรู้หรอก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ดิว จะไป
คบใครอีกรึเปล่า
ช่วงเวลาแห่งการฝึกงานเสร็จสิ้น ผมเดินทางกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อเรียนเป็นเทอมสุดท้าย วันๆผมแทบไม่ได้ไปไหน
ไกลจากคณะเลย แทบจะอยู่กินที่นี่เลยก็ว่าได้ มาเรียนเช้า กลับสี่ทุ่มบ้าง ห้าทุ่มบ้าง เที่ยงคืนบ้าง จนชิน โดยไมได้เจอหน้าดิว
เพราะรู้จากเพื่อนสนิทอีกที มาร์ค มันบอกว่า คณะของดิว ได้ฝึกงานเทอมสุดท้าย เขาจะไม่ได้อยู่มอ ผมก็เข้าใจแต่ก็เสียใจนิดๆ
ความหวังเล็กๆของผม อยากเจอหน้าดิวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะย้ายครัวที่ภาคเหนือกลับมาที่บ้านตัวเอง หลังจากนี้ผม
คงไมได้เจอเขาอีกแล้ว จนกว่าจะรับปริญญา สุดท้ายความหวังของผมมันก็ไม่สมหวังนักหรอก ผมกลับบ้านไปด้วยความไม่
สบายใจเท่าไหร่นัก
ในระหว่างการมาอยู่พักผ่อนที่บ้าน ก่อนจะเตรียมตัวหางาน หลังได้ใบประกอบวิชาชีพแล้ว ผมก็ยังเข้าเช็คเฟสของดิว
ทุกวัน แต่วันนี้ คำพูดของมาร์คคำหนึ่ง ผมถึงกับอ้าปากพูดไม่ออก
“เป็นชัวร์!” มาร์คเคยบอกกับผมไว้เมื่อตอนอยู่ปี 1
ใช่แล้ว ภาพที่เห็นคือ ดิว โพสต์รูปคู่กับผู้ชายอีกคนที่ฝึกงาน จังหวัดชลบุรี หวานซะจนไม่มีใครมองไม่ออกว่าเขาเป็นกันหรอก
นะ
นี่ผมพลาดอะไรไป ผมน่าจะเชื่อคำพูดของเพื่อนสนิทตั้งแต่ตอนนั้น กล้าที่จะเข้าไปพูดคุย ไปตีสนิทด้วย แต่เปล่าเลย ผม
ปล่อยให้วันเวลาผ่านไป เพียงเพราะความปลอดของผม จากที่ชอบเขาผมกล้าบอกเลยว่ารักเขาเข้าให้แล้ว แต่ทำยังไงได้ พี่ที่
สนิทก็กรอกหูผมบ่อยๆว่าแย่งแฟนคนอื่นมันบาป! ผมคงต้องปล่อยดิวไปแล้วสินะ
นับจากแฟนคนใหม่ของดิวปรากฎบนเฟส ผมก็ตีห่างออกไป จากสัปดาห์หนึ่งเข้าไปเช็ค ก็กลายเป็น 1 เดือนเข้าไปเช็ค
และจนตลอดทุกวันนี้ผมไม่ได้เข้าไปเช็คแล้ว ผมจะเก็บความรู้สึกดีๆ ของผู้ชายคนแรกที่ผมเห็นแล้วรู้สึกดีด้วยเป็นครั้งแรกนี้เอา
ไว้ภายใต้…ความรู้สึก ของผมที่มีนี้ตลอดไป
ผมยังศรัทธาประโยคนี้ กับคำพูดที่ว่า
หากเป็นเนื้อคู่แท้ ย่อมไม่แคล้วคลาดจากกัน อนาคตจะเป็นยังไงต่อจากนี้ผมไม่สน
แล้ว ผมขอให้บทละครชีวิตของผมมันดำเนินไปเรื่อยๆของมันแบบนี้แหละดีที่สุด
ขอให้โชคดีในความรักของคุณ กล้าลงทุนบอกความในใจ บางทีอาจจะได้กำไรที่งดงามและสำเร็จกลับคืนมาเป็นความรักก็ได้นะ บ้ายบายครับ….................จบ.................