(ต่อ)
!!.. กะจะโบกแท็กซี่กลับไปหาเอี้ยฟ้าสักหน่อย แต่ยังเดินไปไม่ทันถึงถนนดี ก็มีกลุ่มชายชุดดำกรูกันเข้ามาขวางหน้าเราไว้ก่อน
“นายบอกให้ผมไปส่งพวกคุณ” หนึ่งในนั้นก้าวออกมาแล้วพูดภาษาอังกฤษที่ทั้งแปร่งทั้งห้วน
ที่สำคัญ...นี่มันคนหรือยักษ์วะเฮ้ย?! ตัวใหญ่ได้อีก! ขนาดว่าผมสูงเมตรแปดสิบกว่าก็ยังต้องแหงนหน้ามองมันเหอะ!
หลังจากยืนอึ้งทึ่งในความใหญ่โตของคนตรงหน้าอยู่หนึ่งอึดใจถ้วน ผมกับซินก็หันมองหน้ากันเองโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะหันหลังกลับไปมองไอ้คนที่ยังนั่งแช่อยู่ในร้านที่พวกเราเพิ่งจากมา.. สิ่งที่เห็นผ่านกระจกใสคือใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาแตกต่างจากคราแรกที่ได้พบเจอกันมากนัก..
ถอดหน้ากากออกมาแล้วสินะ
เรากลับมามองหน้ากันเองอีกครั้ง.. ก่อนเป็นซินที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “ลักษณะงานจะงอกว่ะ ไอ้น้อง..”
“..เป็นไร่เลยล่ะ พี่ชาย” ผมกระซิบตอบกลับไปในทำนองเห็นพร้องต้องกัน
“เชิญขึ้นรถ..” เจ้ายักษ์อิตาเลี่ยนผายมือไปทางรถเบนซ์สีดำวาวที่เพิ่งเลื่อนมาจอดเทียบฟุตบาทซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว หนึ่งในชนชุดดำรีบเข้าไปดึงประตูตอนหลังให้เปิดออก ค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้เราเข้าไปนั่ง
แต่ขอโทษเหอะ ไม่ทราบว่าหลังจากขึ้นไปบนนั้นแล้วฝาแฝดจะได้ไปโผล่ยังที่หมาย หรือได้ไปโผล่ที่โลกหน้ากันแน่วะครับ?
“บอกที ซันนี่.. นั่นประตูรถหรือประตูนรกกันแน่อ่ะ? พี่มองไม่ค่อยชัด” ซินขมุบขมิบปากพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ประตูรถเบนซ์อย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“ประเสริฐอย่างมึงมันจะมีซักกี่ประตูกันที่กล้าเปิดรับ” ผมตอบกลับไปในระดับเสียงเดียวกัน
“ก็ว่างั้น..” ซินพึมพำเห็นด้วย
“ต้องงั้นแหล่ะ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เชิญ..” เจ้ายักษ์พูดซ้ำเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าฝาแฝดจะยอมขยับเขยื้อนจากจุดที่ยืนอยู่
“เอ้อ.. โทษทีนะพี่ชาย พอดีผมกับน้องกะว่าจะเดินชมวิวชิลล์กันไปเรื่อยๆ น่ะ ..พวกเราไม่ได้รีบ เลยคิดว่าคงไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของพวกพี่ดีกว่า ฝากขอบคุณเจ้านายที่แสนดีของพี่ด้วยนะ พวกเราขอตัวล่ะ ..Ciao~” ซินพูดยิ้มแย้ม แล้วคว้าคอผมไปกอดไว้เตรียมพาเดินหนีไปจากจุดไม่ปลอดภัยนี้แบบเนียนๆ
!!.. แต่ยังไปไม่ครบก้าวดี ข้อมือข้างหนึ่งของผมก็ถูกมือใหญ่เท่าใบลาน ของไอ้คนยักษ์ยึดเอาไว้ซะก่อน
“ปล่อย..” ผมหันกลับไปบอกเสียงเรียบพลางดึงมือของตัวเองกลับ
“นายบอกให้ผมไปส่งพวกคุณ” ไอ้ยักษ์ทวนคำสั่งเดิมที่ได้รับมาราวกับเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์
“ก็บอกว่าจะเดินไปเองไงวะ!” ผมหลุดเสียงตวาดอย่างคนเริ่มมีน้ำโห
“เชิญขึ้นรถ..” แต่ไอ้ยักษ์บ้าใบ้พูดได้แต่คำเดิมๆ นั่นก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ยิ่งผมออกแรงยื้อมากขึ้นก็ยิ่งโดนมันบีบแรงขึ้นจนเริ่มชาไปทั้งมือทั้งแขน
“ไม่ไปโว้ย!!” ผมยื้อสุดแรงเกิดเมื่อมันเริ่มลากผมไปทางที่มันต้องการ
“เชิญ..”“ปล่อยน้องกูนะ ไอ้ยักษ์!” ซินแผดเสียงพร้อมฟาดลูกเตะสูงใส่ แต่ก็สูงได้แค่ต้นแขนของไอ้ยักษ์ปักหลั่นนั่นเท่านั้น(เป็นคนปกติคงโดนก้านคอไปแล้วเหอะ) มันเพียงเสียหลักเซถลาไปเล็กน้อย(ถือว่าฐานมั่นคงกว่าคนทั่วไปมาก) แต่ผมไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอย รีบปล่อยอัปเปอร์คัทเข้าปลายคางมันเต็มเหนี่ยว(เจ็บมือฉิบหายเหอะ! นี่คนหรือก้อนหิน?) ไอ้ยักษ์ถึงกับหน้าหงาย มันเซถอยหลังและเผลอปล่อยมือจากแขนผม
“ทวินคิก!!” ผมกับซินอาศัยช่วงวินาทีได้เปรียบนั้นถีบเข้ายอดอกของมันโดยพร้อมเพรียง
อั้ก!! ..ยักษ์ก็ยักษ์เหอะ เจอตีนแฝดคู่กู้พิภพสยบยักษ์เข้าไปก็หงายท้องได้เหมือนกันล่ะเว้ย! ชะละล่า~!
“เยส!!” ฝาแฝดแท็กมือกันด้วยความสะใจ ก่อนจะหันกลับมามองรอบกายและพบว่าได้ถูกล้อมกรอบไปด้วยชายชุดดำราวห้าถึงหกคน
ซินหันมามองหน้าผม...
ผมเองก็หันไปมองหน้าซิน ..
จากนั้นเราต่างคนต่างก็ยิ้มให้กันอย่างมีความหมาย
“บางทีเราน่าจะต้อนรับพวกต่างถิ่นนี่อย่างเป็นทางการซักหน่อยนะ ซันนี่” ซินพูดกับผมเป็น(ภาษาอังกฤษ) แต่หันไปมองพวกนั้นพลางกระตุกยิ้มมีเลศนัย
ผมรีบรับมุขพี่ชายด้วยการโค้งให้ฝ่ายตรงข้าม แล้วประกาศชัดถ้อยชัดคำ
“แฝดนรกแห่งราชอาณาจักรไทย ยินดีต้อนรับ~” “ฮ่าๆๆๆ สนุกเป็นบ้า! ไม่ได้อาละวาดด้วยกันแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ฮู้ววว!!” ซินตะโกนลั่นรถด้วยความสะใจ มือก็ตบพวงมาลัยถูกอกถูกใจทั้งที่ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยฟกช้ำเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้สนุกก็สนุกอยู่อ่ะนะ” ผมพูดพลางแตะนิ้วลงบนบริเวณแก้มข้างที่รู้สึกเจ็บ ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดกระจกส่องหลังมาส่องดูความเสียหายบนใบหน้าของตัวเอง “..แต่รอยตรงนี้แมร่งช้ำเด่นเป็นสง่าเลยว่ะ”
หึยยยย ช้ำขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? อีกไม่นานมันจะต้องกลายเป็นสีม่วงแล้วก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแน่เลย ให้ตายสิ.. กี่วันจะหายวะ?
“ถ้าแบรี่เห็นล่ะถูกสวดยับไปสามวันเจ็ดวันอีกแน่” แค่คิดก็เหนื่อยจะฟังแล้วผม “ซี้ดดด เจ็บ..”
โอยยย.. กรามก็เจ็บแฮะ ไม่รู้มีฟันซี่ไหนนึกอยากสลัดเหงือกทิ้งบ้างหรือเปล่าเนี่ย? ..หมัดหนักชะมัด กร๊วกเอ๊ย!!
“นิดๆ หน่อยๆ น่า ...ซี้ดดดด” ซินหันมาฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่เจียมบอดี้ ก็เลยไปสะเทือนแผลแตกแถวๆ มุมปากเข้า
“โชคดีที่มันไม่เอาปืนออกมาเป่าหัวเรา” ผมว่า ..นึกๆ ย้อนไปแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังอยู่เหมือนกัน นี่ถ้าพวกมันเอาปืนที่พกไว้ออกมาใช้ ป่านนี้ฝาแฝดคงได้ไปนั่งหัวเราะกันอยู่บนสวรรค์มากกว่าจะมานั่งขำกันอยู่ในรถเบนซ์แบบนี้แน่
รถเบนซ์? ..อ๋อใช่ รถเบนซ์คันนี้เราปล้นไอ้พวกชุดดำมาล่ะ ฮ่ะๆ ก็ใช้ช่วงที่ชุลมุนชุลเกกันนั่นแหล่ะ พวกเราสู้ไปก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้รถไปเรื่อยๆ พอได้จังหวะก็กระโดดเข้าไปถีบไอ้คนขับลง แล้วแย่งรถขับหนีพวกมันมาอย่างที่เห็น
ช่ายยย.. ต้องหนีแหงล่ะ นี่มันไม่ใช่หนังการ์ตูนนะเฮ้ย! ที่ฝ่ายพระเอกสุดหล่อ(?)จะสอยพวกผู้ร้ายที่มีมากกว่าให้ลงไปนอนระเนระนาดแน่นิ่งอยู่บนพื้นได้ง่ายๆ น่ะ ..ล้มได้พวกมันก็ลุกได้(ลุกไวยิ่งกว่าตุ๊กตาล้มลุกอีกเหอะ!) แล้วยิ่งสู้นานพวกเราก็ยิ่งเหนื่อย แถมพวกมันยังมีคนมากกว่า (ส่วนใหญ่)ก็ตัวใหญ่กว่าด้วย ที่สำคัญคือพวกมันเป็นบอดีการ์ดที่ถูกฝึกมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่นักศึกษาธรรมดาหน้าตาดีไปวันๆ(?)เหมือนพวกเราสักหน่อย
ใช้กำลังอย่างเดียวไม่รอดหรอกงานนี้ มันต้องรู้จักใช้สมองด้วย เข้าใจ๋~?
แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถึงเราจะเป็นฝ่ายถอย(..ถอย..ไม่ได้แปลว่าแพ้นะเออ มันเป็นแค่กลยุทธ์หนึ่งในการสงครามน่ะ ..ถอยหนีพึงถอยเลี่ยงอย่างมีแผนเป็นฝ่ายกระทำ..ไง ..ใช่! ก็กลยุทธ์ที่ 36 นั่นล่ะ เอ้อ..แล้วอย่าถามว่าอีก 35 กลยุทธ์ก่อนหน้านี้คืออะไรนะ ...เพราะตอบไม่ได้ กร๊ากกก) แต่เราไม่ใช่ฝ่ายที่ขาดทุนแน่นอน ซันชายน์คอนเฟิร์ม! (ไม่อยากจะบอกว่ากำไรบานเหอะ แถมยังได้เบนซ์มาอีกคันด้วย กรั่กๆๆ)
“จะว่าไปแล้วมันก็ออกจะแปลกๆ ไปหน่อยป่ะว่ะ? ทั้งที่พกปืนติดตัวอยู่แท้ๆ แต่พวกมันกลับไม่เอาออกมาใช้กับเรา” ซินตั้งข้อสังเกต “แทนที่จะเอาออกมายิงเราแค่โป้งเดียวก็จอดแล้ว จะมาสู้กับเราให้เหนื่อยแรงแถมเจ็บตัวไปทำไม?”
ข้อสงสัยของซินเริ่มทำให้ผมนึกเอะใจขึ้นบ้างเหมือนกัน ..นั่นน่ะสิ มันแปลกไปหน่อยป่ะวะ?
แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดี “มันคงไม่อยากทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่ชุมชนมั้ง.. คงตั้งใจจะจับพวกเราไปเชือดทิ้งที่อื่นมากกว่า..รึเปล่า?”
ที่ที่เราวิวาทกันมันก็เป็นแถบของร้านรวง ใกล้ถนนใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านซะด้วยสิ(ตอนเราตีกันคนแถวนั้นพากันวิ่งหนีกระเจิงเลย)
“..ก็อาจเป็นไปได้” ซินพยักหน้า แต่คิ้วยังขมวดอย่างใช้ความคิดอยู่อีกสักพักก่อนจะสะบัดหัวแรงๆ เหมือนขี้เกียจคิดต่อ “เออ! กล่องเค้กอยู่ข้างหลังอ่ะ กูขว้างเข้ามาก่อนจะขึ้นรถ ..หยิบมาดูดิ๊ว่าเป็นไงบ้าง”
“เละเทะ” ผมตอบสั้นๆ ขณะเอี้ยวตัวไปหยิบกล่องเค้กบนเบาะหลังมาดู “แต่ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่เป็นขนมหวานเหอะ หน้าตายังไงเอี้ยฟ้ามันก็แดกได้ทั้งนั้นแหล่ะ”
“กูด้วย” ซินรีบพูดขึ้น
“เออ มึงด้วย” ผมหัวเราะแล้วโยนเค้กไว้ที่เดิม จังหวะที่จะหันกลับมาสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นเบนซ์สีดำอีกคัน(รุ่นเดียวกับที่เราขับเป๊ะ)กำลังไล่ตามมาในระยะที่ประชิดมากขึ้นเรื่อยๆ “..เฮ้ยซิน! ไอ้พวกยักษ์มันตามมาว่ะ”
ซินเหลียวหลังมามองนิดนึง ก่อนเปลี่ยนไปมองผ่านกระจกแทน
“หึ มาเลย.. มาเล่นบางกอกดิฟท์กันหน่อยไปไง” จบคำซินก็เหยียบคันเร่ง แล้วเริ่มออกลายปาดซ้ายปาดขวารถคันอื่นที่อยู่บนถนนเดียวกันจนโดนบีบแตรด่าบ้าง แจกนิ้วกลางบ้าง ประปรายตลอดรายทางสร้างความสนุกสนานชอบใจให้แก่คนขับยิ่งนัก “ฮ่าๆๆๆ”
“วู้วววว~!!” ผมเองก็พลอยสนุกไปด้วย และคอยช่วยซินแจกจ่ายนิ้วกลางคืนสู่ประชาชนพลขับ(ที่มันแจกให้เราก่อน)ด้วยความคะนอง
“ท่าทางว่าคนที่อยากจะเอาปืนมายิงหัวเราคงไม่ได้มีแค่ไอ้พวกที่ไล่ตามมาแล้วว่ะ” ซินพูดกลั้วหัวเราะ
“ก็ว่างั้น ฮ่ะๆๆ” ผมเห็นด้วย หลังจากเพิ่งละสายตาจากรถคันล่าสุดที่เราได้เบียดแซงปาดหน้ามาและฝ่ายนั้นก็ชูนิ้วกลางหราออกมานอกรถด้วยท่าทางโมโห
ผมหันไปมองด้านหลังและยังเห็นเบนซ์อีกคันขับตามมาอย่างไม่ยอมลดละ “แมร่งตามติดเป็นขี้ปลาทองเลยว่ะ”
“ถ้าคิดว่าจะตามทันก็ตามมาเล้ยยยยย! ไอ้พิซซ่าหน้าหอยจุ๊บเอ๊ย!!” ซินร้องเสียงดังพลางเหยียบคันเร่งจนมิดเลยคราวนี้
“GO! GO! GO!!” ผมตะโกนเชียร์พี่ชายสุดใจ ฮ่าๆๆ
!!.. หัวเราะสะใจได้ยังไม่ทันสุดใจ ก็สังเกตเห็นรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์กำลังจะเลี้ยวยูเทิร์นข้างหน้า ห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตร
“เฮ้ยซิน! รถบรรทุกจะยูเทิร์น” ผมรีบบอก
“เห็นแล้ว” ซินตอบกลับ แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง
“เห็นแล้วก็เบาสิวะ!”
“เบาไม่ได้” ทั้งเสียงทั้งสีหน้าของซินดูตื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
“อะไร?!” ทำเอาผมเริ่มใจเสีย
“เบรกไม่ทำงาน!” คำตอบของซินราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวผมเลยทีเดียว
“ว่าไงนะ?!!”
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนน!!ซินไม่ได้เสียเวลาตอบคำถามผม มันบีบแตรลั่นถนน หวังให้ไอ้รถบรรทุกคันนั้นชะลอการยูเทิร์นของตัวเองเอาไว้ก่อน
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ไอ้รถบ้านั่นใช้พื้นที่ตีโค้งกว้างขวางเสียจนปิดถนนหมดทุกเลนส์ ..ปิดทุกทางรอดของพวกเราพี่น้องไม่มีเหลือ!!
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!เหตุการณ์ต่อจากนั้นมันรวดเร็วมากเสียจนผมไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง.. ซินหักหลบจนรถพุ่งตกจากไหล่ทาง วินาทีที่ผมมองเห็นเสาไฟฟ้าอยู่ตรงหน้าก็คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่คราวนี้ แต่ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายรถก็เบี่ยงออกเพราะการหักพวกมาลัยอีกรอบของซิน จังหวะเดียวกับที่มืออีกข้างของซินได้ยื่นมาผลักผมอย่างแรงจนเซไปกระแทกกับประตูรถ
เสาไฟฟ้าไม่ได้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว...
โครมมมมมม!!!!!!!!เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว...การสั่นสะเทือนที่รุนแรง...ความเจ็บแปลบที่แล่นลิ่วมาจากข้างขมับ...ทั้งหมดนั่นทำเอาโลกของผมหมุนติ้วอยู่ชั่วขณะ กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่มีมือชื้นๆ ของใครอีกคนมาแตะตรงแขน
“ซิน!!” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีดกับสภาพของพี่ชาย
รถในแถบที่ซินนั่งถูกอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้า และซินก็ถูกล็อคติดอยู่ตรงนั้น! ในสภาพที่อาบโชกไปด้วยเลือด! ส่วนเดียวที่ยังพอขยับได้ก็คือมือข้างที่เอื้อมมาจับแขนผม..
“...ไม่..เป็นไรใช่.มั้ย...ซัน..นี่....” ซินพยายามเปล่งเสียงออกมาทั้งที่หายใจติดขัดเต็มที “..ไม่.เป็.น..ไร...นะ...” เสียงสุดท้ายหายลงคอไปพร้อมกับมือที่ตกลง หัวที่ตกลง และสติที่หลุดลอยไปของซิน..
“ซิน!! ซิน!! ซิน!!” ผมเขย่าแขนซิน แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนองโดยสิ้นเชิง
“ไม่นะ! ไม่! ซิน! อย่าเป็นแบบนี้ ซิน! อย่าเป็นแบบนี้! อย่านิ่งแบบนี้ซิน!” ผมพยายามจะดึงซินออกมาจากตรงนั้น แต่ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่หลุด และเลือดของซินก็ไหลออกมาไม่หยุด ทั้งจมูกทั้งปากซินก็มีเลือดไหลออกมาด้วย “ไม่นะ! ไม่! ออกสิ! ออกสิโว้ย! ทำไมไม่ออก!”
“ซิน! ซิน!! มึงตอบกูหน่อยสิ! อย่านิ่งแบบนี้! อย่าเป็นแบบนี้ ซิน! ไม่เอานะ! ไม่เอา! อย่าเป็นแบบนี้!! อย่า...”
!!.. แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำเอาผมสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรีบกระวีกระวาดหยิบขึ้นมากดรับและกรอกเสียงลงไปทันทีที่เห็นว่าใครโทรมา
“ฟ้า! ฟ้า ช่วยซินด้วย! ช่วยซินด้วยฟ้า! ช่วยด้วย...ฮืออ...ช่วยซินด้วย...”
ฮืออออ... ใครก็ได้...ช่วยซินของผมด้วย...
TBC.