Chapter
2
ฝาแฝด เมื่อขาดคนใดคนหนึ่งไป ก็เหมือนกับขาดอีกครึ่งของชีวิตไป
“น้องชายตายทั้งคนไม่มีน้ำตาสักหยด”
คำพูดของญาติๆที่คอยตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวผมตั้งแต่เกิดมาเป็นฝาแฝดของเนติ เด็กผู้ชายที่ดีพร้อมทุกอย่าง เนไม่เคยมีเรื่องต่อยตีจนต้องโดนย้ายไปเรียนต่างประเทศ เนเรียนเก่ง เนเป็นเด็กดี ใครๆก็รักแฝดน้องของผม
ผิดกับผม ที่เกเรท้าตีท้าต่อยจนถูกพ่อส่งไปดัดนิสัยถึงฝรั่งเศส
เพราะแบบนั้นผมกับเนเลยห่างกัน ไม่ค่อยสนิทกันเหมือนแต่ก่อน แต่ถึงกระนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างฝาแฝดมันก็ไม่เคยจางหายไป
‘อยากได้อะไรกูจะหาให้ โอเคป่ะ ไม่ต้องมาบ่นว่าเกรงใจ กูพี่มึง’
‘อยากให้มึงกลับบ้านไวๆ คิดถึงนะพี่นิ’
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ใบหน้าของเนมันชัดเจนอยู่ในสมองเพราะมันคือใบหน้าของตัวผมเอง ผมถอนหายใจเบาๆพลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตุลาการที่ไม่รู้หายเมาตอนไหนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างโซฟา เจ้าตัวหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองจอกำแพงที่มีรูปเนติดอยู่
“เหมือนกันมาก” เสียงพึมพำของเจ้าของห้อง ในฝ่ามือของตุลถือตุ๊กตาเป็ดตัวใหญ่อยู่
จะไม่ให้เหมือนได้ไง ก็ฝาแฝดกันนี่
“เนไม่เคยบอกล่ะสิว่ามีฝาแฝด” ผมถามขึ้น เพราะดูจากตอนที่เจอหน้ากัน ไอ้ตุลดูตกใจจนตาแทบถลน นอกจากเพื่อนๆที่สนิท เนก็ไม่เคยบอกใครว่ามีฝาแฝด ไม่ใช่เพราะไม่ชอบที่มีคนหน้าเหมือนกันเกิดมาพร้อมกัน แต่เป็นเพราะผมทำเรื่องแย่ๆเอาไว้ และเนมักจะเป็นคนรับแทนในสิ่งที่ผมได้ทำผิดลงไป
ผมถึงบอกไง ว่ามันเป็นกรรมที่ผมทำไว้กับเน
เนไม่เคยเกี่ยงที่จะยอมรับหมัดแทนผมเลยสักครั้ง
“อือ แค่บอกว่ามีพี่ชาย”
“ถ้าเลือกเกิดได้ กูก็ไม่อยากหน้าเหมือนน้องชายตัวเองหรอก” ผมว่าแล้วนอนหันหลังให้กับคนที่นั่งพิงโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผมจำตุ๊กตาเป็ดในอ้อมกอดของตุลาการได้
เนชอบเป็ด
“จำเป็นต้องนอนที่นี่ด้วยเหรอ” ตุลาการถามเสียงเรียบ ผมครางในลำคอเบาๆ
“อือ” อยากอยู่ที่นี่ เพราะว่ามันเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆของเนเต็มไปหมด
“มันเหมือนฝันร้ายรู้มั้ย ที่จะต้องตื่นมาเจอหน้าคนที่หน้าเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วทุกเช้า”
คำพูดที่ดูเหมือนอยากจะไล่ผมออกจากห้องเพราะหน้าผมเหมือนกับผู้ชายที่ทำให้ตุลาการกลายเป็นไอ้ขี้เมาขี้เหล้า
ผมหัวเราะนิดๆ
“เพราะแบบนี้ ถึงกลับห้องดึกแล้วก็เมากลับมาสินะ มึงไม่ชอบหน้ากูขนาดนั้นเลยดิ”
เมากลับมา จะได้ไม่รู้ว่ามีผมอยู่ในห้อง ฉลาดคิดนี่ แต่ก็โง่พอๆกัน
“ออกไปเถอะนิติ ผมดูแลตัวเองได้ไม่ต้องให้ใครมาดูแล ยิ่งคุณอยู่ที่นี่ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่”
“มึงพูดเองว่าไม่ได้รักเนที่หน้า นิสัยกูกับเนมันต่างกันฟ้ากับเหวอยู่แล้ว”
“…”
“กูจะอยู่ที่นี่ ถ้ามึงจะเมากลับมาทุกคืนเพื่อหนีหน้ากูนั่นก็เรื่องของมึง แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วเนติจะมีความสุข ก็คิดใหม่ซะนะ”
ผมตัดบทสนทนาเพียงแค่นั้นพลางคว้าเสื้อคลุมของตัวเองเดินออกมาจากห้องของไอ้ตุล ยอมรับว่าตัวผมเองใจร้ายที่เอาหน้าเหมือนกับน้องชายไปโผล่ให้แฟนน้องเห็นบ่อยๆ
แต่สัญญาคือสัญญา
ผมต่อสายโทรศัพท์ไปยังเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่ผมโดนส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส ไม่นานผมก็มาหยุดอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูข้างถนนที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
“ไอ้นิ”
วงแขนกว้างกระชับกอดผมด้วยความคิดถึง ผมกอดตอบไปด้วยความคิดถึงเพื่อนสนิทของตัวเองพอๆกัน คนตรงหน้าผมชื่อสิท เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม กลุ่มเรามีสมาชิกกันห้าคน ซึ่งตอนนี้ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ผมไม่ค่อยรู้ข่าวเพื่อนแต่ละคนมากเท่าไรเพราะไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่จบม.6 มีก็แค่ไอ้สิทเนี่ยแหละที่ยังคุยกันบ่อยๆ
ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว
“จะย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯเนี่ยนะ” ไอ้สิทมีท่าทีตกใจหลังจากที่ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง อันที่จริงเพื่อนทุกคนต่างก็เป็นห่วงผม พวกมันไปงานศพทั้งของเนและของแม่ผม
“ให้ป๊าทำเรื่องโอนให้ว่ะ ว่าแต่มึงอ่ะ เรียนเป็นไงวะ” ผมถามไอ้สิท มันก็ยักคิ้วหลิ่วตาตามประสาคนที่โดดเรียนเป็นเรื่องปกติ
“ก็เฉยๆว่ะ ชีวิตเรื่อยๆ มึงไม่โทรหาไอ้เจลบ้างเหรอ มันโคตรห่วงมึงเลยรู้มั้ย”
“ไม่ว่ะ กลับมาก็เจอหน้าอยู่แค่สองคน มึงกับ…” ผมเงียบไปเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่ไม่รู้ป่านนี้จะตรอมใจแขวนคอตายตามน้องชายของผมไปหรือยัง ยอมรับว่าไอ้ตุลาการอะไรนั่นทำให้ผมหัวปั่นได้พอสมควรตั้งแต่มาเหยียบประเทศไทย
เนชอบอะไรแบบนี้งั้นเหรอ
ผมไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด
“ช่างเหอะ”
“พวกกูรู้นะว่ามึงเป็นคนยังไง แต่บางเรื่องก็บอกพวกกูได้นะเว้ย มึงไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวก็ได้ไม่มีใครด่าหรอก” ไอ้สิทบีบไหล่ผมเบาๆ ฝ่ามือหนักๆของมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ผมยิ้มมุมปากเหมือนทุกๆครั้งที่มีเรื่องอะไรหนักใจ ซึ่งเป็นเชิงบอกพวกเพื่อนๆว่ากูโอเค กูแค่ไม่อยากพูดถึงมัน มันผ่านไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือทำตอนนี้ให้ดีที่สุด
“แล้วจะเข้าเรียนที่ไหนวะ”
“ยังไม่รู้เลยว่ะ แค่อยากเรียนให้จบ ถ้าทำเรื่องไม่ได้ คงต้องหางานทำ”
“เออ มีไรให้ช่วยก็บอกพวกกูนะ”
“อยากเจอพวกมึงทุกคนว่ะ” ผมพูดเบาๆ ไอ้สิทยิ้มมุมปากอย่างสู่รู้
“อยากเมาก็บอก เออไว้กูนัดให้ พวกมันไม่เกี่ยงหรอกถ้าเป็นมึง”
“เออรู้ก็ดี ใครเกี่ยงกูตัดให้เป็ดกินแน่”
“โห ไอ้โหด!”
ผมกับสิทคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมันขอตัวกลับ สุดท้ายผมเลยไม่มีอะไรทำ จะกลับไปห้องไอ้ตุลก็ยังไม่อยากกลับ เลยเดินร่อนเร่ไปทั่ว สองปีที่ผมจากไปอะไรๆก็เปลี่ยนไปเยอะ
นิสัยเกเรสมัยเด็กๆของผมมันก็หายไป เพราะว่าจากที่โดนตามใจ กลายเป็นต้องพึ่งตัวเอง
รอจนเกือบตีสามผมถึงได้พาตัวเองกลับมาที่ห้องของตุลาการ เรื่องกุญแจห้องผมได้มาจากไอ้ตุลที่เป็นคนเก็บของๆเนไว้ทุกอย่าง ทั้งกระเป๋าสตางค์ มือถือ หรือแม้แต่สร้อยที่ไอ้ตุลเคยให้เนไว้ผมก็ริบมาเก็บไว้กับตัวทั้งหมด
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพลางสอดสายตาไปทั่วห้อง ป่านนี้เจ้าของห้องคงหลับไปแล้ว
ขาสองข้างของผมพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่ที่ประตูห้องที่ถูกเปิดกว้างอยู่ ไอ้ตุลนอนหลับอยู่บนเตียง ผมมองภาพๆนั้นพลางเปิดรูปในโทรศัพท์ดู รูปที่เนเคยส่งมาให้ผมตอนที่เนเคยยืนอยู่ตรงนี้
‘พี่ตุลหลับปุ๋ยเลย’
ผมหัวเราะกับข้อความที่ผมคุยกับเนเรื่อยเปื่อย ถึงจะมีเนฝ่ายเดียวที่พิมพ์ไว้ซะเยอะแยะและผมตอบกลับไปแค่อืม ก็ดี แต่เนก็ยังขยันจะเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ผมฟังตลอด
ถ้าได้ฟังจากปากก็คงจะดี
สุดท้ายผมก็ทำเพียงแค่ดึงประตูห้องนอนของไอ้ตุลปิดลงเบาๆแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟากว้างพลางพยายามข่มตาหลับ
ปล่อยให้อีกคืนผ่านไป พร้อมกับสัญญาของเนติที่กำลังค่อยๆถูกสานต่อ
‘เพล้ง’
แก้วน้ำใบใหญ่ร่วงลงจากมือของเจ้าของห้องเมื่อตุลาการเห็นใบหน้าผมผ่านทางกระจก ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องนอนของมันเพื่อที่จะเอาเสื้อผ้าของเนมาสวม คนที่กำลังแปรงฟันแล้วเปิดประตูห้องน้ำค้างไว้คงจะตกใจที่เห็นแฟนตัวเองที่ตายไปแล้วมาโผล่อยู่ในกระจก
กว่าจะชินก็คงอีกนานมั้ง
ผมเดินเข้าไปหาคนที่ยืนก้มหน้ามองอ่างล้างหน้าไม่พูดไม่จา ก่อนจะจับขาของไอ้ตุลให้เขยิบออกไปเพราะกลัวแก้วจะบาด
มือสองข้างของผมจับผ้าปูพื้นแล้วกวาดเศษแก้วพวกนั้นเพื่อเอาไปทิ้งถังขยะ
ไม่มีบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้ตุล
ผมเลือกทำอาหารง่ายๆอย่างแซนวิชแล้วก็ไข่ดาวกับกาแฟ เห็นเนบอกว่าไอ้ตุลชอบกินกาแฟ ผมทำทุกอย่างแล้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟาราวกับว่าชีวิตว่างหนักหนา
คนตัวสูงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ตุลาการมองหน้าผมแล้วเสยผมขึ้นไปลวกๆด้วยความอึดอัดพลางเดินตรงไปห้องครัว ไม่นานนักเจ้าตัวก็โผล่หัวออกมา คิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นปม
“กาแฟ?” ไอ้ตุลเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย ผมไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือ แค่ตอบไปตามที่มันอยากรู้
“เนบอกทุกเรื่องเกี่ยวกับมึงให้กูฟัง”
“…” เจ้าของห้องไม่ได้พูดอะไรอีก แค่เดินหายเข้าไปในครัวแล้วนิ่งเงียบไป
Rrrr Rrrr
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ชื่อบนหน้าจอเป็นชื่อที่ผมไม่อยากจะสนทนาด้วยในตอนนี้
“Hi” ผมทักทายอย่างลวกๆ ปลายสายรัวกลับมาด้วยความโมโหที่ผมไม่ได้บอกเธอว่าจะกลับไทยกะทันหัน และมีอีกเรื่องก็คือ ผมคงไม่กลับไปที่ปารีสอีกแล้ว
(Niti, where are you) เบอร์โทรศัพท์นี่ เจ้าตัวคงได้จากพี่ที่ทำงานพิเศษด้วยกันกับผม
“I don’t know where I am” (ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมอยู่ที่ไหน)
(Stop joking around, will you come back to Paris?) (อย่าเล่นน่า จะกลับมาปารีสมั้ย)
“No, sorry for not telling you, thanks for everything” (ไม่ ขอโทษที่ไม่ได้บอก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง)
(You ok right?) (โอเคหรือเปล่า)
“I don’t know either” (ไม่รู้เหมือนกันว่าโอเคมั้ย)
(don’t be such an idiot who doesn’t know your own feeling, if you wanna cry, then cry) (อย่าทำตัวเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องไห้ซะสิ)
“I don’t wanna cry, gotta go now, thank you Joanna and ... goodbye” (ไม่ได้อยากร้องไห้ ไปก่อนนะ ขอบคุณโจแอนนา แล้วก็ … ลาก่อน)
ผมกดสายทิ้งแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โจแอนนาเป็นผู้หญิงที่คอยตามตื้อผมเมื่อตอนที่ผมอยู่ปารีส เธอเป็นคนดีแต่ผมไม่ได้ชอบเธอ ตอนกลับกรุงเทพฯผมก็ไม่ได้บอกใครว่าจะกลับนอกจากพี่ที่ทำงาน ผมนั่งเงียบๆอยู่คนเดียวก่อนจะสะดุ้งไปเมื่อขวดน้ำเย็นๆสัมผัสที่แก้ม ผมรับขวดน้ำจากเจ้าของห้องมาดื่มในขณะที่ตุลาการนั่งลงข้างๆผม
เจ้าตัวหันมามองหน้าผมอย่างพินิจพิจเคราะห์
คงจะหาจุดไม่เหมือนกันเหมือนเล่นเกมจับผิดภาพของผมกับเนล่ะมั้ง
“ถ้ามองใกล้ๆ ก็ต่างกันอยู่” คนตรงหน้าพึมพำ ผมเลิกคิ้ว
“ต่างกันตรงไหน ขนาดพ่อยังแยกเราไม่ออกเลยด้วยซ้ำ”
“เนไม่มีแผลเป็นที่หางคิ้ว” มือของไอ้ตุลถือวิสาสะแตะปลายคิ้วของผม จนกระทั่งฝ่ามือหยาบๆของมันแตะลงบนแก้มของผม
“ผิวเนไม่กระด้างแบบนี้” เหอะ ผมควรจะดีใจกับคำพูดนี่มั้ย
“เนไม่เจาะหู แล้วก็ไม่ชอบไว้ผมยาว” ตุลาการจับใบหูของผมที่มีจิวหูสีดำติดอยู่ แล้วก็เลื่อนไปถึงปรอยผมที่ยาวประบ่า
ผมยิ้มจางๆแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร
“ดีแล้ว แล้วก็จำใส่หัวไว้ว่าคนละคน จะได้ไม่ตกใจทำข้าวของแตกอีก”
ผมทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่มือหยาบๆของไอ้ตุลคว้าผมไว้อีกครั้ง คราวนี้มันลากผมให้นั่งลงที่เดิมแล้วเคลื่อนใบหน้าของมันเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ไม่ได้ตกใจหรืออยากจะผลักไส อยู่ที่ปารีสผมก็เจออะไรแบบนี้จนชิน
“แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน” ไอ้ตุลทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมยิ้มแหยๆส่งให้มัน
ยังไม่ทันไรริมฝีปากอุ่นๆก็ประทับลงบนริมฝีปากของผมราวกับโหยหา ผมเบิกตากว้างแล้วเบือนหน้าหนีไอ้ตุลที่บีบแขนผมแน่นไม่ยอมปล่อย ลมหายใจหนักๆของตุลาการเป่ารดปลายจมูกของผมราวกับว่ามันทรมานจนอยากจะหายไปจากโลกนี้ซะ
ผมใช้แรงเฮือกใหญ่ผลักไอ้ตุลกระเด็นออกไป ไม่ลืมที่ฟาดหมัดใส่ปลายคางมันจนหน้าหงาย ตุลาการนั่งกุมคางของตัวเองเอาไว้เงียบๆผิดกับผมที่หอบจนตัวโยนด้วยความโมโห
ถ้ามันทำแบบนี้กับผม แสดงว่ามันก็เคยทำกับเน
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องคิด
นอกซะจากว่า
“กูไม่เคยคิดจะแทนที่เน จำใส่หัวไว้”
“ขอโทษ แค่เผลอไป …”
ผมนิ่งแล้วยืนมองหน้าไอ้ตุลด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมแค่จะบอกว่าพวกคุณสองคนเหมือนกันที่ว่าเข้มแข็งเหมือนกัน”
“ห่ะ…”
“ไม่ว่าจะเจ็บสักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยเห็นน้ำตาจากเนเลยสักครั้ง ไม่ว่าเนจะโดนไอ้กุ๊ยที่ไหนตีกลับมา เนก็ไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็น”
สิ่งที่ตุลาการพูดออกมามันเหมือนเป็นดาบคมกริบที่แทงซ้ำๆลงบนร่างกายของผม เมื่อก่อนผมมีเรื่องบ่อย จนไอ้พวกกุ๊ยนั่นแค้น แต่ผมดันโดนย้ายไปเรียนที่ฝรั่งเศส เนเลยโดนไอ้พวกเวรนั่นมากระทืบเพราะนึกว่าเป็นผม
ผมทำให้เนเจ็บ ผมไม่เคยลืมเรื่องนั้น
“ผมแค่อยากบอกว่า ถ้ามันทรมาน ไม่เห็นจำเป็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียวเลย”
TBC