คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 52
คนตัดสินใจ
---------
แสงสว่างทำให้นอนไม่สบาย แม้อากาศจะเย็นจนน่าหลับต่อเพียงใดก็ตาม
รติพลิกตัวหลบแสงอย่างอ้อยอิ่ง รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งร่าง สติอันน้อยนิดทำให้เขาฉุกใจ
...แสง...
...แสงสว่าง...
...แสงสว่างหรือ?!...
คนที่ตอนแรกหลบเลี่ยงจากแสงด้วยการซุกหน้ากับหมอนถึงกับลืมตาโดยพลัน แสงสว่างทำให้มองเห็นทุกสิ่งอย่างในห้องพักผ่อนอย่างชัดเจน
และเพราะเป็นเช่นนั้นจึงทำให้เขารู้ว่าตนเองไม่ได้ตื่นในเวลาที่ควรตื่น
รติลุกพรวดขึ้นนั่ง ก่อนที่อาการเจ็บร้าวไปทั้งตัวจะทำให้เขาต้องทรุดตัวลงนอนเม้มปากกลั้นเสียงโอดโอย ไม่ทันได้ไตร่ตรองว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ร่างสูงของสามีก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
“รติ...ตื่นแล้วหรือ” คนทักสาวเท้าเข้ามาหาอย่างไว
“น...นี่...นี่เช้าแล้วหรือ?” รติหน้าตาตื่น มองซ้ายมองขวา สว่างไสวเช่นนี้ มิน่าใช่แค่เพียง ‘เช้า’
“เอ่อ...เที่ยง...” คำตอบของตรัสแสนเบา แต่ทำเอารติตาเหลือก
“อะไรนะ?!”
“เที่ยงแล้ว พุดกรองกำลังยกอาหารมาให้เจ้า”
“ข้าตื่นเที่ยงหรือ?!” คนเพิ่งตื่นชี้หน้าตนเองด้วยความตกตะลึง ทั้งชีวิตเป็นคนตื่นเช้า แต่คราวนี้อย่าว่าแต่ตื่นสายเลย ต้องเรียกว่าตื่นเที่ยง
ตรัสพูดไม่ออก หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้ที่ทำให้รติตื่นเที่ยงก็คือเขา ที่ไม่ปล่อยภรรยาจนกระทั่งรุ่งสาง
โทษสุราไม่ได้ โทษความมึนเมาก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองอย่างนั้นหมดฤทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ค่อนคืนด้วยซ้ำ ต้องโทษตนเองที่ไม่ได้ยับยั้งช่างใจ ภรรยาชิดใกล้ก็อยากแนบชิด ภรรยาเรียกหาก็อยากตอบสนอง ต่อให้หมดเรี่ยวแรงก็ยังลูบไล้ไปทั่วร่าง แตะต้องทุกอณูเนื้อจนกระทั่งหลับ
รติหมดแรงในอ้อมแขนของเขา ตรัสเองก็เหนื่อยอ่อนไม่ต่างกัน แต่พอเช้า เขาต้องออกไปพบหน้าผู้อื่นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ตรัสแจ้งข่าวแก่ท่านอมรา รุจีและระพีว่ารติไม่ค่อยสบาย และไม่รับอาหารเช้า
‘พี่รติไม่สบายหรือเจ้าคะ?! พี่รติเป็นอะไรมากหรือไม่ ขอข้าเยี่ยมได้ไหมเจ้าคะ’
รุจีมีท่าทีตกใจมากทีเดียว ตอนที่เขาบอกว่ารติไม่สบาย ในขณะที่ระพีจวนจะร้องไห้รอมร่อพูดเสียงเครือ
‘พี่รติไม่สบายหรือขอรับ...’ เด็กชายผู้เข้มแข็ง แม้น้ำตาเจียนจะหยดแต่ก็กลั้นสะอื้น
ตรัสแปลกใจที่ทั้งสองดูจะเป็นกังวลกับความเจ็บป่วยของภรรยาของเขามาก แต่เพราะเรื่องป่วยคือเรื่องที่ยกขึ้นมาอ้าง เขาจึงไม่ทันสังเกตมากกว่านั้น เพียงแค่บอกให้ทั้งสองสบายใจ
‘ไม่เป็นอะไรมาก ข้าจะดูแลเอง แต่เช้านี้ คงไม่ได้ออกมากินข้าวด้วยเท่านั้น’
รุจีและระพี ย่อมไม่เข้าใจความนัยของการเจ็บป่วย แต่ท่านอมราผ่านเลยวัยมามาก ย่อมรู้ดี เมื่อคืนตรัสเมาเพียงนั้น อีกทั้งรติยังถึงเนื้อถึงตัว เช้านี้ตรัสบอกว่ารติไม่สบายก็เห็นจะเป็นเพียงอาการอ่อนเพลีย
นางเก็บร่องรอยของความยินดีในแผนการของตนเองที่ลุล่วง แล้วจึงช่วยปลอบเด็กๆ ก่อนจะสำทับให้มั่นใจว่ารติจะไม่เป็นอะไร
มื้อเช้า ตรัสให้คนทำน้ำต้มผักอุ่นๆให้หนึ่งถ้วย เขาเป็นผู้ถือถาดน้ำต้มเข้าไปในห้อง ปลุกคนหลับให้สะลึมสะลือขึ้นมาดื่มแล้วก็ปล่อยให้นอนต่อ
มื้อเที่ยง รติยังไม่ตื่น ตรัสจำต้องเป็นฝ่ายออกมารับหน้าเพียงผู้เดียวอีกครั้ง
‘พี่รติไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ’ รุจีถามอย่างห่วงใย
‘พี่รติ...’ ระพีเองก็ได้แต่ครวญ ดวงตาเศร้าสร้อย น้ำตาเอ่อแต่ไม่หยด เพราะยึดมั่นในคำสอนที่ว่าบุรุษต้องเข้มแข็ง
‘ไม่เป็นอะไร ตอนเย็นก็ลุกไหวแล้ว’
ตรัสเป็นหมอ หนำซ้ำพักหลังมานี้ยังดูสนิทสนมกับรติเป็นอันดี แม้จะห่วง แต่รุจีก็พอจะวางใจ ตรัสไม่อยากให้น้องของภรรยาซักถามเรื่องของรติมากนัก จึงชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
‘ว่าแต่เรื่องเรียนของเจ้าเป็นอย่างไร ได้คิดไว้บ้างหรือยัง เห็นรติว่าเจ้าอยากเรียนต่อใช่ไหม’
เมื่อพูดถึงเรื่องที่สนใจ รุจีย่อมถูกชักจูงไปทางนั้นโดยง่าย เด็กสาวยิ้มแล้วพยักหน้าแข็งขัน
‘เจ้าค่ะ ข้าอยากเรียนต่อ แต่...ข้ายังไม่แน่ใจว่าจะสมัครเรียนที่ใดดี...เอ่อ...โรงเรียนที่นี่มีหลายแห่งที่มีชื่อเสียง อย่างโรงเรียนประจำดรุณีพิไล’
‘ดี’
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายระยิบระยับเมื่อได้รับคำสนับสนุน
‘พี่เขยก็เห็นด้วยใช่ไหมเจ้าคะ’ นางร้องอย่างยินดีก่อนจะหันไปทางหญิงชรา ผู้แนะนำให้นางเรียนต่อที่นั่น
‘ท่านย่าบอกว่า ท่านย่าก็จบจากที่นั่น เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของที่นี่ สตรีทั่วเมืองตะวันออกล้วนอยากเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งนั้น’
‘เจ้ามีความรู้ อ่านเขียนออก ข้าเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของเจ้า’
เด็กสาวยิ้มกว้าง ‘ข้าจะพยายามเจ้าค่ะ!’
แม้ท่านอมราจะส่งเสริม ตรัสจะสนับสนุน อีกทั้งรุจีเองก็ประสงค์จะเข้าเรียนที่นั่น แต่ให้อย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากรติผู้เป็นพี่ชาย
อาหารเย็นในวันนั้น จึงถูกกำหนดให้เป็นช่วงเวลาที่รุจีจะขออนุญาตจากรติ
ตอนที่เห็นผู้เป็นพี่ถูกประคองมายังห้องรับประทานอาหารในยามเย็น เด็กสาวก็ยิ้มกว้าง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาครามครัน รีบเดินเข้าไปหา
“พี่รติ หายดีแล้วหรือเจ้าคะ”
รติเม้มปากเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาน้องสาวได้แต่อ้อมแอ้ม
“ดีแล้ว”
“นั่งก่อนเจ้าค่ะ วันนี้ข้าลงครัวเอง มีของโปรดของพี่รติด้วยนะเจ้าคะ” เด็กสาวกระตือรือร้นดูแลพี่ชายอย่างดี เดิมที รุจีไม่ใช่คนนิ่งเฉยต่อผู้อื่น นางดูแลทั้งคนแก่ ทั้งเด็ก ทั้งคนเจ็บคนป่วยได้เป็นอย่างดี แต่ก็มิได้อนอวยประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้ อีกทั้งวันนี้...นางดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
แม้จะมีชนักปักหลังเรื่องอาการไม่ค่อยจะดีจนไม่ได้ออกจากเรือนพักผ่อนมารับประทานอาหารเช้าและเที่ยง แต่รติก็อดปากไม่ได้ที่จะหยอกน้องสาว
“วันนี้ดูอารมณ์ดีจริง มีเรื่องอะไรดีๆหรือ”
รุจีนิ่งไปเล็กน้อย ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม บอกชัดว่าวันนี้มีเรื่องดีจริง
นางหันมองท่านอมราและตรัสที่นั่งลงร่วมโต๊ะอาหารเย็นแล้ว หญิงชราและผู้เป็นพี่เขยพยักหน้าสนับสนุนให้นางเอ่ย เด็กสาวจึงนั่งลงข้างกายพี่ชาย
“เรื่องเรียนต่อเจ้าค่ะ”
“อ้อ...เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ อยากเรียนที่ไหน หรือต้องสมัครสอบอย่างไรล่ะ”
“เอ่อ...ท่านย่ากับพี่เขยแนะว่าข้ามีความรู้ อ่านออกเขียนได้ ก็ควรไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประจำดรุณีพิไล เพราะเป็นโรงเรียนสตรีที่มี่ชื่อเสียงของเมืองตะวันออก สตรีที่จบจากที่นั่นล้วนมีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น ท่านย่าก็จบ...” ประโยคหลังจากนี้ รติแทบไม่ได้ยินเพราะสมาธิเพ่งอยู่กับคำว่าโรงเรียนประจำ
“เจ้าพูดอีกครั้งซิ จะไปสมัครเรียนที่ใด?”
เด็กสาวหันมองทั้งตรัสและท่านอมรา เริ่มหวั่นกับคำถามของผู้เป็นพี่
“อ...เอ่อ...โรงเรียน...โรงเรียนประจำเจ้าค่ะ...”
รติขมวดคิ้วมุ่น
“โรงเรียนประจำ? ประจำอย่างไร?”
“ประจำ หมายถึงกินนอนที่นั่น” ตรัสเป็นคนอธิบาย เพียงเท่านั้นรติก็ถึงกับเหลือกตาโต
“กินนอนที่นั่น?! หมายความว่ารุจีจะต้องไปอยู่ที่โรงเรียนทั้งวันทั้งคืนหรือ?!”
โต๊ะอาหารเย็นเงียบกริบ ทุกคนรู้แน่แล้วว่าการตัดสินใจเรื่องโรงเรียนในครั้งนี้ ไม่เป็นที่พึงใจของรติ ตรัสในฐานะสามี ย่อมเป็นคนเดียวที่กล้าเสนอความเห็น เขากำลังจะกล่อม แต่ภรรยาหน้าบึ้งตึงประกาศโพล่งไม่รอฟังคำใคร
“ข้าไม่อนุญาต!”
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
สามียังพูดไม่ทัน รู้เลยนะคะว่าบ้านนี้ใครเป็นคนตัดสินใจ ฮ่าฮ่า
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ