MY Family : SecretMe คนนี้ต้องลับ !
ตอนที่ 16
“มึง เพกามีคนมาจีบทำไมกูไม่รู้!”
“ก็รู้แล้วนี่ไง” ภูธเรศยักไหล่พลางจิ้มอาหารใส่ปากไม่หยุด
“กูหมายถึงทำไมกูเพิ่งรู้!” ถ้าไม่ติดว่าเสียดายจานราคาแพงกับอาหารฝีมือพ่อฟ้าผมจะเอาจานข้าวฟาดหัวคนตอบสักทีสองที
“มึงไม่ได้ไปโรงเรียนเดียวกับเพกาแล้ว ไม่รู้ก็ไม่แปลกป่าววะ?” บดินทร์เงยหน้าขึ้นตอบพลางส่ายหน้าใส่ผมที่ยังโวยวายไม่หยุด
“มันเป็นใคร กูจะตามไปกระทืบ”
“มึงนี่น้า ตอนอยู่เสือกกีดกันพอมึงจบออกมาคนที่รออยู่แล้วคงยิ้มร่า แทนที่จะให้เพกามีแฟนตอนอยู่ในสายตามึงป่านนี้ก็สบายใจไปละ”
“เหรอ? แฟนคนนั้นต้องเป็นมึงด้วยป่ะไอ้ภู?”
“แหม่ เดาใจได้ถูกเผง”
“พ่อมึงเตรียมเฉาะกบาลอยู่นั่น” ผมชี้ไปทางไอ้ดิน
“กูล้อเล่น! ล้อเล่นเฉยๆ เฉยๆ จริงๆ นะมึ้ง” ไอ้ภูหันไปเกาะแขนบดินทร์ที่มองตาขวาง ผมหัวเราะกับท่าทางนั้นก่อนจะแกล้งมันไปอีกดอก
“โถ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็กลัวผัวนี่หว่า”
“ไอ้กั๊ก! อย่าให้กูรู้นะว่ามึงหงอกับไอ้ครับ กูจะล้อมึงยันแก่แน่!” ผมยักไหล่กับคำขู่ของไอ้ภู ผมไม่แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ของสองเพื่อนรักเพราะบดินทร์ไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งมากนัก ดังนั้นผมเลยไม่เสือกถ้าไม่จำเป็น ดูห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็พอ คอยรับฟังเวลาไอ้ภูมาตีโพยตีพาย ตีตนไปก่อนไข้ ปลอบใจให้มันหายห่อเหี่ยว พอมันมีแรงก็ยุแยงให้ไปรุกไอ้ดินต่อ นอกจากฟังภูธเรศโวยวายแล้วยังต้องฟังเวลามันพร่ำเพ้อด้วย ‘ดินใจดีอย่างนั้น ดินใจดีอย่างนี้’ แม่ง ไอ้ภูมันไม่รู้ความลับของบดินทร์ซะแล้ว!
บดินทร์น่ะมันขี้แกล้งพอๆ กับผมนั่นแหละ โดยเฉพาะกับคนที่ชอบด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ เอาเถอะ ปล่อยให้คนซื่อบื้อที่คิดว่าแอบรักเขาข้างเดียวอย่างภูธเรศโวยวายต่อไปแล้วค่อยหัวเราะใส่มันทีหลังตอนโดนไอ้ดินเขมือบดีกว่า!
“มึงกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่ใช่ไหม หัวเราะเสียงน่าเกลียดชะมัด!” ไอ้ภูผงะถอยหลัง ส่วนไอ้ดินจิกตามองผมสองจึ้กแล้วเมินหน้าหนี
“หือ? เออ แล้วสรุปไอ้คนที่จีบเพกามันเป็นใครวะ?” ผมเสเปลี่ยนเรื่อง เป็นจังหวะที่กระวานเข้ามาพอดี
“ไหน ใครมาจีบเพกา?” เจ้าก้อนนุ่มนิ่มที่เพิ่งมาถึงตาเหลือกกับประโยคนั้น
“ยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร?”
“งั้นเราไปดักที่โรงเรียนกัน ฉันจะแอบฟังเสียงในใจมันเอง พอรู้ว่าเป็นใครนายก็วิ่งไปตีหัวมันเลย!”
“พอเลยทั้งกระวานทั้งโป๊ยกั๊ก” พี่ไธม์เดินตามหลังมาส่ายหัวใส่เราสองพี่น้อง
“พี่ใบไธม์!” เพกา เจ้าของเรื่องที่เอาแต่นั่งหัวเราะผมกับเพื่อนรัก และขำการผสมโรงของกระวานกระโดดไปกอดพี่ชายคนโตพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า
“โหยพี่ มีหนุ่มกล้ามาจีบเพกาของพวกเรานะ!” กระวานกางปีกทำท่าทางขึงขังจนพี่ใบไธม์หลุดหัวเราะ
“ไปดักตีหัวเขาไม่กลัวโดนฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายหรือไง?”
“เอ๊อะ!” กระวานชะงักกึก “โป๊ยกั๊กเป็นคนตีงั้นจับโป๊ยกั๊กละกัน”
“เอ้า ไหงงั้นอ่ะ!”
“ช่วยไม่ได้นะ นายเป็นคนตีก็ต้องยอมรับกันไป” กระวานยักไหล่ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจตบท้ายอีกนิด จบคำกระวานเสียงหัวเราะก็ดังลั่นรอบโต๊ะ
“เอาละหนุ่มๆ ทั้งหลาย มาช่วยพ่อยกจานอาหารออกไปได้แล้ว” เพราะวันนี้จำนวนสมาชิกร่วมโต๊ะมากกว่าปกติพ่อเลยจัดการย้ายออกมาหน้าลานบ้าน แม่ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามากอดพ่อจากด้านหลังแล้วหอมแก้มดังฟอดไม่อายสายตาใคร
ผมเดินเข้าไปรับจานอาหารจากพ่อฟ้ามือหนึ่ง อีกมือเอื้อมรับจากคำนับมาถือแล้วลำเลียงวางบนโต๊ะ อาหารหลากหลายชนิดถูกเตรียมเพื่อฉลองการฝึกงานจบของพวกเราสี่คน ผม คำนับและสองเพื่อนซี้ภูธเรศกับบดินทร์
“ทำไมมีแต่ของโปรดโป๊ยกั๊กล่ะครับอาฟ้า?” ภูธเรศละปากจากของว่างกวาดตามองแล้วอุทธรณ์
“พ่อทำของโปรดให้ทุกคนครบนะ”
“งั้นคำนับทำจานไหน?” บดินทร์ถามบ้าง
“จานนี้ นี่ นี่ แล้วก็นี่” คำนับชี้สี่จานตรงหน้าผม
“หืม?” เพื่อนรักทั้งสองร้องหืมแล้วเงยมองหน้าผมอย่างพร้อมเพรียง
“แปลกตรงไหน ก็คำนับไม่รู้นี่ว่าอาหารจานโปรดของใครคืออะไร”
“ใช่ๆ โป๊ยกั๊กพูดถูก ดังนั้นทุกคนไม่ต้องน้อยใจไปนะ” พ่อผู้ที่กลัวว่าศิษย์รักจะถูกโกรธรีบสนับสนุนคำพูดผมทันที ผมพยายามเกร็งคอและกัดกระพุ้งแก้มเอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดยิ้มและคอตั้งกับการถูกเอาใจจากคำนับเพราะฝั่งตรงข้ามมีสายตาจับผิดของพี่ไธม์จ้องอยู่
“แล้วเมื่อกี้ทุกคนหัวเราะอะไรกันเหรอ?” แม่ปล่อยมือจากเอวพ่อแล้วนั่งลงด้านข้าง
“มีคนกล้ามาจีบเพกาแหละแม่!” กระวานรายงานเสียงดังฟังชัด
“ก็ดีแล้วที่มีคนกล้า ขืนไม่มีคนกล้าน้องสาวเราไม่ต้องขึ้นคานเลยหรือไง?” แม่ยักไหล่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร
“แต่เพกายังเด็ก” เจ้าก้อนนุ่มนิ่มเอ่ยค้านหน้างอง้ำ
“ปีหน้าน้องจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” พี่ใบไธม์ละสายตาจากผมไปยังน้องชายคนรอง
“ตอนนี้หนูยังไม่มีแฟนก็ได้ แต่ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่โป๊ยกั๊กกับพี่กระวานอย่ามาห้ามนะ”
“เฮ้ย ได้ไง” ผมโวยวาย
“เอ้า แล้วจะยอมให้หนูมีแฟนได้ตอนไหน?”
“ตอนจบทำงานแล้ว”
“โห กว่าจะศึกษาดูใจ กว่าจะผ่านด่านพี่ๆ หนูไม่แก่เลยเหรอ?”
“พี่ดูแลเพกาได้ ไม่จำเป็นต้องมีแฟนสักนิด!” ผมตบอก
“ใช่ๆ” กระวานยืดอกสนับสนุน
“นี่ถ้าพี่แยกร่างได้จะตามไปเฝ้าถึงห้องเรียนเลยคอยดู!” ผมชี้หน้าน้องสาวสุดที่รักเพื่อว่าจะทำอย่างนั้นจริงๆ เพกาหัวเราะคิกคักไม่ถือสากับคำพุโของผม พี่ใบไธม์ยังคงส่ายหัว แม่นั่งหัวเราะเอิ้กอ้าก ส่วนพ่อที่ตามไม่ค่อยทันได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ที
หลังอาหารมื้อหลักจบลงพ่อยกเอาขนมอบถาดใหญ่ออกมา ผมหยิบสองชิ้นใส่พัพเพอร์แวร์ปิดฝายัดใส่ตู้เย็น
“เก็บไว้ให้ใครน่ะลูก ถ้าของคุณแป้งกับครับพ่อแบ่งไว้แล้วนะ”
“อันนี้เก็บไว้ให้ตัวผมเองในวันพรุ่งนี้ครับ”
“อ้อ” พรุ่งนี้เป็นคืนเดือนแรมผมจึงเก็บส่วนนี้ไว้ให้กานพลู
หน้าที่ล้างจานหลังอิ่มหนำสำราญตกเป็นของคนไม่ได้ออกแรงอย่างภูธเรศและบดินทร์ จากนั้นพี่ไธม์ก็ไปส่งทั้งสองคนกลับบ้านแล้วไปทำงานต่อ กระวานยังคงนั่งลูบท้องที่อืดตึงไม่ไปไหนมีแม่นั่งเท้าคางมองอยู่ข้างๆ
“กระวาน แม่ไปเที่ยวที่ทำงานกระวานบ้างได้ไหม?”
“หืม?”
“แม่อยากไปส่องหนุ่มน้อยในตู้กระจกอ่ะ”
“แม่!!” พ่อร้องเสียงหลงวิ่งออกมาจากห้องครัวกันเลยทีเดียว ทุกคนต่างพากันหัวเราะพ่อทำปากยื่นใส่แม่ พลางสะบัดบ๊อบอย่างงอนๆ ตบท้ายด้วย แม่ยิ้มกว้างเดินไปนั่งตักพ่อ คล้องคอแล้วหยิกแก้มคนขี้งอนหนึ่งที
“ไม่ไปเที่ยวก็ได้ แต่คืนนี้พ่อต้องยอมเป็นหนุ่มน้อยในตู้กระจกให้แม่นะ” แม่ยักคิ้วหลิ่วตาแบบคนเจ้าชู้ใส่พ่อ
“อีกแล้วเหรอ?” หนุ่มน้อยตู้กระจกจำเป็นอิดออด กระวานกลอกตาใส่พ่อกับแม่แล้วยกมือขึ้นปิดหูเพกา ไม่ยอมให้น้องสาวได้ยินบทสนทนาต่อจากนี้
“ถ้าเป็นเด็กดีจะมีรางวัล” แม่หลอกล่ออีกครั้ง
“กะ ก็ได้ แต่คราวนี้ไม่เอาเจ็บๆ แล้วนะ”
“ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ” แม่แลบลิ้นเลียริมฝีปากทันทีที่พ่อตกปากรับคำ
อา ทำไมผมถึงเห็นกวางน้อยในอุ้งมือเสือกันนะ?
“แม่จะไปตอนนี้เลยป่ะ?” พ่อบิดซ้ายบิดขวาถามแม่พร้อมแก้มแดงปลั่ง
“อะแฮ่ม!”
ทำอะไรเกรงใจลูกบ้างเถอะ!
อ๊ะ! คำนับยืนช็อกวิญญาณหลุดจากร่างคาประตูห้องครัวซะแล้ว!
**********
จากเหตุการณ์พลังพิเศษที่อัพเลเวลขึ้นหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?
กานพลูตามไปเฝ้าคำนับถึงที่ทำงานได้จริงๆ หัวหน้าเชฟคนนั้นแม้จะเอ็นดูคำนับมากขึ้น แต่ในเวลางานจะเข้มงวดและดุมาก กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นกานพลูก็ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา เขาเก็บทุกเม็ด ละเอียดยิ่งกว่าเม็ดทรายเสียอีก ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเวลาเขาเจื้อยแจ้วเรื่องคำนับให้ฟัง อ้อ บางเวลาก็ไปเฝ้าเพกาด้วยนะดูว่ามีใครมาจีบน้องสาวเราหรือเปล่า
“เอ นายรู้เรื่องคำนับละเอียดมากไปป่าววะ?”
“นี่นายคิดว่าคนอื่นจ้องจะงาบครับเหมือนนายหรือไง?” กานพลูขมวดคิ้วใส่ผม “คนที่หื่นใส่ครับทุกวันทุกเวลาก็เห็นจะมีแต่นายคนเดียวนี่แหละ”
“หืม เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งขนาดกล้าด่าฉันแล้วเรอะ?”
“ไม่ๆ นี่ไม่ใช่การด่า แต่เป็นการพูดถึงนิสัยของนายให้นายฟังต่างหาก” กานพลูกอดอกพยายามให้ดูภูมิฐาน ผมเลิกคิ้วมองเขาก่อนจะเดินไปชิดหน้ากระจก กานพลูสะดุ้งโหยงพลางก้าวถอยหลัง
“อย่าให้ฉันรู้ว่าตอนนายออกมา นายไปยุ่มย่ามกับคำนับ”
“อา โป๊ยกั๊กเนี่ยขี้หึงจังเนอะ แหะๆๆ”
“ต่อให้เป็นนายฉันก็ไม่เว้น เข้าใจ๊?”
“ระ รู้แล้วน่า!” ผมหรี่ตามองกานพลูที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพลางกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะทิ้งให้เขาขวัญผวาแล้วออกไปหาคำนับ
นี่กานพลูคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขาเคยกอดกับคำนับ?
กานพลูกอดกับคำนับแล้วยังไง เจ้าซื่อบื้อนั่นคิดว่าผมจะทำอะไรเขาได้เหรอ? ต่อยเขา? ทุบกระจกทิ้ง?
งี่เง่าน่า!
ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นกับน้องชายตัวเองหรอก!
.
.
เมื่อมีการอัพเลเวลขั้นที่หนึ่งย่อมมีขั้นต่อมา หลังๆ กานพลูสามารถโผล่ไปกระจกบานอื่นได้โดยที่ผมไม่ต้องบอก เขาอยากไปไหนก็ไปได้ตามใจชอบ การพัฒนานี้คนในบ้านยังไม่มีใครรู้สักคน กานพลูบอกว่าเอาไว้เซอร์ไพรตอนทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ถึงเวลานั้นให้ผมถ่ายรูปตอนทุกคนตกใจเอาไว้ดูด้วย ไอ้นิสัยขี้แกล้งนี่ก็เป็นส่วนที่พัฒนาขึ้นด้วยซินะ
กานพลูที่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระแบบนี้ผมว่ามันเหมาะกับงานแบบพี่ใบไธม์มาก ถ้าเขาไปช่วยพี่ใบไธม์ทำคดีงานของพี่เขาคงง่ายขึ้น แต่คิดว่าพี่ชายคนโตของบ้านไม่น่าจะยอมแน่ๆ อ๊ะ ว่าไปแล้วมีคนรู้ความลับนี้อยู่หนึ่งคนแฮะ ก็นายเบซิลจอมเจ้าเล่ห์คนรักของพี่ใบไธม์คนนั้นไง หมอนั่นตื่นเต้นใหญ่กับความสามารถของกานพลู แถมยังแอบใช้งานเจ้าซื่อบื้อนั่นไปสองครั้งแล้ว เบซิลสอนทริคการเล่นหุ้น การทำเงินแบบมหาศาลให้เป็นการตอบแทนเลยยิ่งทำให้กานพลูกับเบซิลสนิทสนมกันจนน่าหมั่นไส้ ร้ายไปว่านั้นคือตอนที่กานพลูออกมา หมอนั่นเอาเงินเก็บทั้งหมดของผมไปซื้อหุ้น ย้ำว่าเงินเก็บทั้งหมด! บ้าเอ๊ย! นี่ถ้าไม่ได้กำไรคนที่ต้องตายคนแรกคือเจ้าเบซิลนั่นแน่!
อะไรนะ ผมหวงกานพลูงั้นเหรอ?
โคตรไร้สาระเหอะ ผมห่วงเงินตัวเองต่างหาก!
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของคำนับเป็นการสอบเพื่อขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ พ่อติวเข้มให้เขาอยู่หลายวันทีเดียว พอเห็นเขาเดินยิ้มออกมาผมแทบจะวิ่งเข้าไปอุ้มเขาแล้วหมุนไปรอบๆ ถ้าทำแบบนั้นคำนับคงอายแทบมุดแผ่นดินจากนั้นก็ไล่แตะผม
“แสดงว่าจูบเมื่อเช้าได้ผล?”
“นายขี้ตู่ว่ะ” คำนับเบะปากกับคำพูดผม “สิ่งที่ได้ผลคือการติวเข้มของอาฟ้าต่างหาก อ้อ สมองอันชาญฉลาดของฉันด้วย”
“อะไรๆ ก็อาฟ้า นี่ฉันจะหึงจริงๆ แล้วนะเนี่ย”
“จะบ้าหรือไง นั่นพ่อนายนะ?” ผมสวมหมวกกันน็อคให้เขาก่อนจะคร่อมบิ้กไบท์คันเก่ง
“นายชื่นชมใครนอกจากฉันฉันก็หึงหมดนั่นแหละ” ผมหันไปบอกเมื่อเขาขึ้นซ้อนแล้ว
“ประสาท!” คำนับหัวเราะแล้วไม่พูดอะไรต่อ
ผมไม่ได้พาคำนับไปส่งบ้านหรือร้านหิ้วปิ่นโตอย่างทุกที ผมเบี่ยงออกนอกเส้นทาง ยี่สิบนาทีต่อมาจึงหยุดหน้าตึกที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จหลังหนึ่ง เมื่อลงจากรถผมพาคำนับขึ้นไปยังชั้นสองของตึก หยุดยืนตรงด้านหนึ่งแล้วมองไปข้างล่าง
ด้านล่างเป็นถนนเส้นใหญ่ที่ผมขับรถมา ถนนเส้นนี้มีรถสัญจรไม่ขาดสาย ผมเห็นนักท่องเที่ยวหัวสีทองเดินผ่านไป คำนับยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร เขามองตามสายตาของผมสำรวจบริเวณรอบๆ จากนั้นก็นิ่ง
“นายว่าตึกนี้เป็นยังไง? แบบว่า...การเดินทาง จำนวนผู้คน ความสะดวกสบายด้านอื่นๆ แหล่งท่องเที่ยว อะไรทำนองนี้?” ผมหันไปมองคำนับ ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วมองตอบกลับแล้วเหลือบซ้ายแลขวาอีกรอบ
“ตึกนี้ทำเลดีมาก อยู่ใกล้ถนนใหญ่เดินแค่สิบนาทีก็เข้าแหล่งชุมชน อีกด้านเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยนี่ ใช่ไหม?”ประโยคสุดท้ายคำนับเอ่ยถามผม ผมพยักหน้ารับ
“น่าเสียดายแทนเจ้าของตึกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ช่วยไม่ได้แฮะ”
“หืม?”
“ถ้าไม่เพราะต้องการหนีแบบเร่งด่วนตึกนี้น่าจะขายได้ราคาสูงอยู่” ผมยักไหล่ สอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินสำรวจโดยรอบอีกครั้งมีคำนับเดินตามด้านหลัง
“หมายความว่ายังไง? แล้วนายพาฉันมาที่นี่ทำไม?”
“ก็....”
“หืม?”
“ฉันคิดว่าถ้าได้ทำร้านอาหารตรงนี้คงไม่เลว”
“.....” ผมหันกลับไปมองเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา คำนับหยุดยืนจ้องหน้าผมสีหน้านิ่งเฉย
“เอ่อ ก็ไม่ได้จะให้นายฟรีๆ หรอก” คำนับยังไม่เอ่ยอะไรออกมา ดวงตาเรียวหรี่ลง เขารอให้ผมอธิบายต่อ “แบบ....ถือว่าเป็นสินสอด...”
“ไม่ตลก!” คำนับสีหน้าเครียดขึง เขาไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้ผมแม้ครึ่งก้าว
“........”
“ฉันเข้าใจว่านายหวังดีนะ แต่ของแบบนี้...”
“คำนับ ตีรนันท์ ฉันจะถามนายข้อเดียว” ร่างผอมของคำนับเกร็งขึ้นเมื่อผมเรียกชื่อเต็มพร้อมนามสกุลของเขา ผิวขาวซีดดูซีดจางยิ่งขึ้นในบรรยากาศใกล้ค่ำ “คำถามเดียวกับเมื่อสี่ปีก่อน นายจะตอบฉันได้หรือยัง?”
“โป๊ยกั๊ก?”
“ฉันให้เวลานายคิดห้าวินาที”
“อะไรนะ?”
“ห้า สี่ สาม สอง”
“เดี๋ยวๆๆ นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องตึกนี้เลยนะ?”
“หนึ่ง!”
“เอ๊ะ?”
หมับ! ผมพุ่งเข้าไปหาคนตรงหน้า จับท้ายทอยและแก้มตอบของเขาเอาไว้แน่น บดริมฝีปากให้เขาเปิดรับจูบของผม กวาดต้อนจนเขาแทบหายใจไม่ทัน
“เร็วเข้า ตอบคำถามฉัน นายจะยอมเป็นแฟนฉันได้หรือยัง?” ผมถอนจูบเอ่ยกระซิบถามชิดริมฝีปากแดงเจ่อของคนตรงหน้า
“นาย นายลืมถามไปข้อหนึ่งหรือเปล่า?” คำนับหอบหายใจถามกลับ
“อะไร?”
“ก่อนขอเป็นแฟน นายต้องถามก่อนซิว่าฉันชอบนายหรือเปล่า”
“อา งั้นนายชอบฉันไหม?” ผมถามทั้งๆ ที่ไม่ยอมให้ปลายจมูกห่างจากจมูกของเขา
“ไม่ ไม่ชอบ”
“.....” คำนับยกยิ้ม คำว่าไม่ชอบของเขาทำให้สมองผมตื้อไปชั่วขณะ ร่างกายแข็งค้าง ชาเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางร่าง และก่อนที่ผมจะเตลิดไปไกลกว่านี้ผมก็เห็นแวววิบวับในดวงตาของคำนับ
“ฉันไม่ได้แค่ชอบนาย แต่รักต่างหาก” คำนับยิ้มกว้างกับสีหน้าของผม
“อา ใช่ นั่นก็เป็นความรู้สึกของฉันเหมือนกัน” ผมหัวเราะ “ตอนแรกฉันอาจไม่ชอบหน้านายสักเท่าไหร่ ต่อมาถึงค่อยรู้ตัวว่าสายตาฉันเอาแต่มองหานายตลอดเวลา ความรู้สึกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชอบ จนถึงตอนนี้ก็คือความรัก”
“......” คำนับพยักหน้าหงึกหงักจากนั้นชี้ปลายนิ้วไปรอบๆ “แต่ก็ไม่เกี่ยวกับตึกนี่”
“ไม่เกี่ยวงั้นเหรอ? ก็ไม่เชิงมั้ง?” ทั้งๆ ที่ผมเห็นว่าคำนับแก้มแดงจนลามไปถึงหูและคอเขายังวกกลับเข้ามาเรื่องตึกหลังนี้จนได้
“โอเค งั้นขอคำอธิบาย” คำนับสูดลมหายใจเข้าลึก กระแอมไอพลางกอดอกแล้วขยับถอยห่างจากผมไปหนึ่งก้าว ผมหัวเราะเบาๆ กับการพยายามเรียกสติตัวเองของเขา
“ฉันคิดว่าเชฟทุกคนน่าจะมีความฝันหนึ่งที่เหมือนๆ กัน นั่นคือมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง” คำนับพยักหน้า “อย่างที่นายเห็น ตึกนี้ทำเลดีมาก” คราวนี้เขาพยักหน้ารับสองครั้ง “เบซิล คนรักของพี่ใบไธม์เขารู้ว่าฉันกำลังมองหาอะไรแบบนี้อยู่เลยช่วยดูให้”
“นายจะซื้อ?”
“ใช่”
“ตึกสองชั้นในทำเลทองเนี่ยนะ?” คราวนี้เขาตกใจจริงๆ
“ใช่ เจ้าของเก่าต้องการเงินแบบเร่งด่วน เบซิลเลยจัดการให้”
“เท่าไหร่?”
“เก้า”
“เก้าแสน?”
“เก้าล้าน”
“เก้าล้าน!” คำนับตาโตเป็นไข่ห่าน
“แต่เบซิลจัดการให้เหลือสามล้านห้า”
“.......”
“ตึกสองชั้นทำเลทองในราคาสามล้านห้า ถ้าไม่ซื้อตอนนี้วันข้างหน้าคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีก”
“ก็ใช่ แต่...”
“เงินเก็บทั้งหมดที่ฉันมีเลยแหละ” ผมยักไหล่
“ละ แล้วๆๆ คือ...” คำนับถึงกับติดอ่าง เขาเริ่มลนลานเมื่อได้ยินว่าตึกนี่คือเงินเก็บทั้งหมดของผม ผมไม่ได้โกหก สามล้านห้านี่คือเงินที่งอกเงยจากการเล่นหุ้นของกานพลู กานพลูเอาเงินเก็บทั้งชีวิตของผมไปเล่นหุ้นตามคำแนะนำของเบซิล โชคดีที่ไม่ขาดทุนไม่งั้นผมเอาเขาตายแน่ ดูเหมือนกานพลูเองก็มีหัวทางด้านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เห็นว่าอาทิตย์ก่อนก็ทำเงินได้หลายแสน เจ๋งโคตรๆ!
“นายมีหน้าที่ทำให้เงินเก็บนี่เป็นรูปเป็นร่างและงอกเงยขึ้นมา”
“หมายความว่ายังไง?”
“นี่จะเป็นร้านของเรา”
“นาย!”
“ฉันเชื่อมั่นในตัวนายคำนับ”
“นายมันบ้าโป๊ยกั๊ก!” คำนับหน้าซีดเผือด “ทำไมนายถึงเชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนี้ ถ้าเกิดว่า....”
“เพราะนายเป็นแบบนี้ไง”
“เอ๊ะ?”
“เพราะนายกลัวว่าจะทำให้ฉันผิดหวัง ดังนั้นนายเลยจะต้องพยายามทำให้มันสำเร็จให้ได้” ผมยิ้ม ขยับเท้าเข้าไปใกล้เขา ยกหลังมือแตะแก้มเย็นชืดแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมให้เขาหยุดตระหนก
“แต่...”
“ฉันวางฐาน นายก่อรูปร่าง ไม่มีใครเอาเปรียบใคร” ผมรู้ว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไรจึงเอ่ยสำทับ “ถึงรูปร่างที่นายก่ออาจบิดเบี้ยวฉันก็พร้อมจะเดินเข้าไปประคองเพื่อทำให้มันสวยงาม ฉันไว้ใจนาย แล้วนายไว้ใจฉันหรือเปล่า?”
“ฉัน....”
“ฉันให้นายไปหมดแล้วนะทุกสิ่งทุกอย่างเลย อ้อ อีกอย่างที่ยังไม่ได้ให้”
“?”
“ร่างกาย”
“ไอ้บ้าโป๊ยกั๊ก!”
พ่อฟ้าฉลองการสอบผ่านของคำนับด้วยการลงมือทำอาหารเมนูที่คำนับอยากกินที่สุด ‘แกงพะแนงหมู’ เพียงแค่คำแรกหลังจากตักเข้าปากเขาก็น้ำตาไหล พ่อฟ้าตกใจพลางหันไปมองน้าแป้ง น้าแป้งเพียงแค่ยกยิ้มแล้วลูบหัวลูกชายแผ่วเบา ครู่ใหญ่กว่าคำนับจะหยุดสะอื้น เขายกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กตัวน้อยๆ
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”
“ไม่หรอก” พ่อฟ้าส่ายหน้ายิ้มใจดีส่งให้คำนับ “ว่าแต่พะแนงฝีมืออาไม่อร่อยถึงขนาดที่ครับต้องร้องไห้เลยเหรอ?”
“เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้น!” คำนับปฏิเสธรัวเร็ว
“แกงพะแนงคุณฟ้ารสมือเหมือนที่พ่อของครับทำน่ะค่ะ” น้าแป้งอธิบาย สายตาเวลามองคำนับอ่อนโยนกว่าเดิมเท่าตัว บางทีน้าแป้งอาจจะเห็นใครอีกคนในตัวลูกชาย
“ขอโทษนะครับ อาฟ้ารู้สึกแย่หรือเปล่าที่ผมมองเห็นพ่อซ้อนกับอาฟ้า?” เสียงของคำนับสั่นอย่างเห็นได้ชัดตอนเอ่ยถาม
“ไมหรอก” พ่อฟ้าส่ายหัว รอยยิ้มอบอุ่นยังคงประดับใบหน้า แววตาอ่อนโยนทอดมองคำนับเหมือนเวลามองคนในครอบครัว “อาดีใจนะที่จะมีลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณ” แล้วคำนับก็ร้องไห้อีกครั้ง
ตึกที่ผมพาคำนับไม่ได้ถูกทำเป็นร้านอาหารในทันทีทันใดหลังจากนั้นเพราะเรายังไม่มีทุนมากพอ หลังจากจบมาและได้ใบอนุญาตคำนับก็ไปทำงานตามโรงแรมใหญ่และภัตคารที่เขาเคยฝึกงาน ความจริงแล้วเขาเคยถูกทาบทามจากบรรดาเจ้าของโรงแรมต่างชาติด้วย เพราะคำนับเคยได้รางวัลตอนแข่งทำอาหารสมัยเรียน ได้เหรียญทองบ้าง เหรียญเงินบ้าง เอามาประดับห้องไว้ไม่ใช่น้อย เขาโดดเด่นตั้งแต่สมัยเรียนเลยทีเดียว ยิ่งอาหารไทยแบบไทยแท้หากินได้ยากหนำซ้ำอาหารไทยยังดังไปทั่วโลกแบบนี้เขายิ่งเป็นที่ต้องการตัว มีครั้งหนึ่งเจ้าของโรงแรมดังในฝรั่งเศสมาขอให้เขาไปทำงานโดยให้เงินเดือนเดือนละหลายแสน แต่คำนับยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมไป ผมถามเขาว่าทำไม พอฟังเหตุผลของคำนับ ผมงี้ลากเขาเข้าห้องไปปล้ำแทบไม่ทัน
‘ให้ห่างจากนายจากแม่ ไม่เอาด้วยหรอก’
เหตุผลแม่งโคตรน่ารัก!
แต่สุดท้ายคำนับก็ไปทำงานที่ฝรั่งเศสเพราะพ่อฟ้าบอกว่านั่นจะทำให้เก็บเงินได้เร็ว อีกอย่างคำนับจะได้มีประสบการณ์มากขึ้นด้วย เขาไปเมื่อผมพยักหน้ายอมให้เขาไป
เขาใช้ทุนให้ทางโรงแรมแทนคำนับจากนั้นไปทำสัญญากับทางโน้นแทนเป็นเวลาห้าปี ผมไปส่งเขาที่สนามบิน เราไม่ได้เอ่ยลา ไม่มีของแทนใจอะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่จูบและความเชื่อใจที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน
**********