#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง
Intro
เสียงเครื่องยนต์อีกไม่กี่ไมล์ข้างหน้าเคลื่อนมาหยุดอยู่ข้างหูผู้หลับ ให้รับรู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของมัน ร่างกายใหญ่ผุดลุกคลานออกจากรังอาศัย ปะหน้ากับแสงจ้าของอาทิตย์ที่ยังไม่ตกดินก็ยกมือปิด ดอมดมได้กลิ่นหอมแปลกอยู่ไม่ไกล ไม่นานเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนก็เริ่มดังขึ้นให้มันรับรู้
ว่ามีมนุษย์อยู่แถวนี้
บริเวณนี้ทั้งป่าเป็นพื้นที่ของมัน เดิมทีได้ยินเสียงการก่อสร้างที่พักตรงชายป่าก็มิได้สนใจ แต่คราวนี้เห็นทีต้องขึ้นไปดูเสียให้รู้แล้วว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น มันทำเสียงขู่ฮึ่มฮั่มแล้วปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ ไม่สนผมยาวรุงรังสีเงินของตัวเองที่เกาะเหล่ากิ่งไม้จนขาดวิ่น
วิ่งผ่านกิ่งไม้หักลำขาแกร่งก็ชะงักกึกเสียเศษดินกระเด็นกระดอน มันดอมดมกิ่งไม้นั้น ทราบที่มาว่าเพราะสัตว์ทำหักจึงจับเส้นผมยาวจรดพื้นของตัวเองไปพันให้มิด ไม่นานกิ่งไม้ที่หักก็พลันแข็งแรงขึ้นมาทันใด แล้วเสร็จก็ออกวิ่งไปด้านนอก ปีนป่ายอย่างชำนวญ แม้มันตัวใหญ่แต่กลับพริ้วไหวว่องไวนัก
ไปถึง เห็นกระท่อมหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ มีผู้คนกำลังช่วยกันขนของเข้าไปด้านใน พูดคุยกันน่ารำคาญ มันชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นมนุษย์เพศผู้กำลังไต่เดินอยู่บนโขดหินที่ริมธาร รูปร่างเล็กน้อย ปากสีสดราวเชอรีกำลังอ้าค้างขณะสำรวจรายรอบ ไม่นานดวงตาสีน้ำตาลเข้มสดใสของอีกฝ่ายก็มาสะดุดอยู่ทิศนี้
ก่อนมนุษย์ผู้นั้นจะผละไปสนใจที่อื่น
แน่นอน ไม่มีใครมองเห็นมัน คิดแล้วก็เดินมุ่งเข้าหาอีกฝ่ายหวังจะเตือนภัยผู้บุกรุกให้ย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นเสีย หากทว่าเมื่อยิ่งเข้าใกล้เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย มันก็ยิ่งเห็นความสวยงามตราตรึง ลูกตากลมเงาเหมือนแมลงเต่า กลีบเล็บเล็กเหมือนกลีบดอกไม้ ผิวขาวสว่างเหมือนขนกระต่าย
น่ากินไปทั้งตัว...มันคิดทั้งดมฟุดฟิดไปทั่วตัวอีกฝ่าย
เจ้ามนุษย์หยุดยืนดูเศษใยแมงมุมที่เกาะอยู่บนต้นไม้ ช่างสังเกต มือขาวแกะมาพินิจดูแล้วกลับมุ่นคิ้วกับตัวเอง ขาน้อย ๆ เดินไต่ไปเก็บอีกสองสามเส้นถือไว้ ก่อนจะชะงักเท้าราวกับรู้ว่านอกเหนือจากตนเองนั้น ยังมีใครอีกคนที่อยู่แถวนั้นด้วย มันชะงักท่าทางดอมตามลำตัวของอีกฝ่าย ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามนุษย์ผู้นี่ไม่มีทางเห็น
เพราะหากเห็นมัน อีกฝ่ายอาจกลัวเอาได้
มนุษย์ห้ามเห็นมันเด็ดขาด...
มนุษย์น้อยผู้นั้นไปแล้ว หลงเหลือแต่มันที่ก้มลงตรงโขดหินริมธาร ชะโงกหน้าให้สายน้ำสะท้อน ปรากฏความน่าเกลียดน่ากลัวของตัวเองอย่างชัดเจน เส้นผมสีเงินที่ควรสว่างไสวก็ทึบสกปรก เหตุใดมนุษย์นั่นถึงได้เก็บเส้นผมของมันติดตัวไปด้วยก็ไม่อาจรู้ได้ ภูตยักษ์ตัวใหญ่เอียงคอมองตัวเองในสายน้ำ
กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็น มันก็แอบมาชะเง้อมองในเช้าถัดมาเสียได้ คราวนี้ทุกอย่างกลับมาสงบเงียบไร้เสียงน่ารำคาญแล้ว เหลือเพียงมนุษย์ตัวน้อยผู้เดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อ่านหนังสือ แต่ที่สะดุดตาของมันนั้น ก็คงจะเป็นเส้นผมของมันที่บัดนี้ถูกนำไปขัดล้างเสียเงาวับแล้วถักเป็นสร้อยข้อมือ อยู่ที่แขนของมนุษย์น้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันเอียงคอมองที่ข้อมือสกปรกของตัวเอง จับเส้นผมที่ปรกหน้าตามาพันดูบ้าง
ตอนที่ ๑
เสียงฝีเท้าสี่คู่เหยียบกิ่งไม้ใบหญ้า ประสานกันในป่าใหญ่อย่างไม่หยุด มองจากเนินเขาทิศนี้ลงไปเห็นบ้านเรือนอยู่หลายหลังตั้งอยู่ แต่ทุกคนบริเวณนี้กลับมุ่งหน้าเข้าไปด้านในป่าไม้กันมากกว่า ไม่นาน ฝีเท้าสี่คู่ก็หยุดอยู่บริเวณโขดหินริมน้ำตกที่มักมากระโดดเล่นตั้งแต่เล็ก ทั้งสี่มองหน้ากันอย่างมีเลศนัย แล้วแยกย้ายต่างคนต่างไป
คนหนึ่งกระโดดลงว่ายน้ำ อีกคนปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ไปจนสูงสุดถึงปลายยอด ทอดมองจากทิวเขาลูกเล็กแล้วร้องออกไปด้วยความสุข อีกหนุ่มเกลือกกลิ้งเล่นที่ทุ่งหญ้าอ่อนนุ่ม ส่วนอีกคนวิ่งตามฝูงกระรอก รายรอบป่าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ
สนุกกันได้พักเดียวเท่านั้นเสียงนาฬิกาข้อมือหนึ่งหนุ่มก็ดังขึ้น เจ้าตัวสูงหันขวับไปผิวปากเรียกคนอื่นให้มารวมตัวกันในจุดนัดพบ แล้วรีบบอก “เร็วเข้า ปะป๊าเลิกงานแล้ว อย่าให้ถูกจับได้ว่าเรามาที่นี่”
หนุ่มน้อยคนหนึ่งหน้าเหวอ “จะไม่ถูกจับได้ได้ยังไง ฉันเปียกขนาดนี้”
“นั่นมันเรื่องของนาย ใครใช้ให้นายลงไปเล่นน้ำ”
เจ้าตัวกอดอก “นายเองก็ตัวเต็มไปด้วยเศษดิน คิดเหรอว่าปะป๊าจะไม่รู้”
“พอเถอะน่าไคล์เคล กลับไปก่อนที่จะโดนดุ” พี่ใหญ่พักรบ
“เร็วเข้า ถ้าถูกจับได้พวกเราโดนกักบริเวณแน่”
“ใครไปถึงทีหลังล้างจานให้พวกเราหนึ่งอาทิตย์”
“ดีล!” แล้วทั้งสามก็วิ่งนำไปก่อน หนุ่มน้อยตัวเปียกส่ายหน้าระอา แล้วพุ่งตัววิ่งออกไปจนเกิดเสียงลม ฝุ่นใบไม้ปลิดปลิวไปทั่วทุกสารทิศ เรื่องความรวดเร็วในการวิ่งนี้ เขาถูกบิดาที่เก็บมาเลี้ยงสั่งห้ามทำให้ใครเห็น ดังนั้นในป่าจึงเป็นที่ที่หนุ่มน้อยวัยสิบห้าทั้งสี่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
พวกเขาเป็นแฝดสี่ที่ถูกเก็บมาเลี้ยง บิดาเล่าว่า เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว เห็นพวกเขาถูกวางไว้อยู่หน้าบ้านที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นกระมัง เด็กหนุ่มจึงชอบใช้ชีวิตในป่ามากกว่าพบเจอเพื่อนที่โรงเรียน เมื่อเข้ามาแล้วกลับมีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกลับมาบ้านทุกครั้ง ไม่แปลกที่หลังเลิกเรียนแล้วมักจะพากันเข้ามาสนุกสนานก่อนกลับบ้าน ผิดกันกับบิดาบุญธรรมที่ไม่ชอบเอาเสียเลย สั่งห้ามด้วยกลัวว่าพวกเขาได้รับอันตราย
แม้จะบอกว่าเขาเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง แต่ใครต่างก็บอกว่าพวกเขาหน้าตาคล้ายบิดาบุญธรรมอย่างกับมีสายเลือดเดียวกัน อีกทั้งปู่กับย่าเอ็นดูพวกเขาเพราะหน้าตาเหมือนลูกตนเองแทบจะถอดแบบ แม้แต่ลุงเชนผู้เป็นเพื่อนของบิดาก็ยังบอกอยู่ตลอดว่าไม่น่าเชื่อ
ไคล์ เคล วิล และไวน์ เชื่อว่าตัวเองมีความผูกพันกับป่า มันเป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่ทั้งสี่ก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเขารู้ว่าบิดาห่วงและหวง ไม่อยากให้เข้ามาเที่ยวเตร่กันเองอย่างนี้บ่อยนัก แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นป่า ก็เหมือนมีเสียงหนึ่งเรียกหาให้พวกเขาเข้าไป
ไปถึงชายป่าอันเป็นที่วางกระเป๋าสัมภาระ ทุกคนหยิบเสื้อมาขึ้นสวมให้เรียบร้อยแล้วยกกระเป๋าขึ้นสะพาย พากันเดินข้ามถนนมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน แปลกใจที่เมื่อกลับไปถึงแล้วพบรถยนต์ของลุงเชนจอดอยู่ ทั้งสี่มองหน้ากันว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี เพราะหากลุงเชนมาส่งบิดา นั่นแปลว่าท่านมาถึงที่บ้านได้พักหนึ่งแล้ว
“ไปเถลไถลที่ไหนกันมา” คำที่บิดาทักทำเอาทั้งสี่หนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะปรากฏชายร่างผอมโปร่งที่กำลังกอดอกปั้นหน้าดุรออยู่ก่อนแล้ว เด็ก ๆ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบิดา “รถโรงเรียนเพิ่งมาส่งครับ”
“บอกความจริงฉันมานะวิล” มือยาวเอื้อมมาเขี่ยเศษดินที่แก้มออกให้ ก่อนจะก้มลงมองที่กางเกงขาสั้นลูกชายอีกคนราวกับรู้ทัน ทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะถูกจับได้ แก้ตัวกันไม่ออกนอกจากนิ่งฟังคำบ่น “พ่อบอกพวกนายไปหลายครั้งแล้วนี่ ว่าอย่าหนีเข้าไปในป่ากันเองอย่างนี้ ถึงมันจะเป็นป่าเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่มันอาจมีสัตว์มีพิษ”
“พวกมันไม่อันตรายครับ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งรีบพูด
“นายรู้ได้ยังไงเคล”
“ก็...” เจ้าตัวกำลังจะเล่า หากทว่าอีกสามคนส่งสายตาเอ็ด “ไม่มีอะไรครับ”
เชนที่นั่งฟังยกมือกอดอกบ้าง “พวกนายโกหกไม่เนียนเอาเสียเลย”
“สร้อยคอนายไปไหน” ผู้เป็นบิดาแปลกใจ แหวกคอเสื้อลูกชายคนเล็กดูอย่างนึกเป็นห่วง เจ้าตัวเบิกตาแทบถลน ลูบจับล้วงหาของที่ถูกถามถึงก็เหงื่อแตก ใจหายขึ้นมา “สงสัยมันโดนกิ่งไม้เกาะตอนรีบวิ่งกลับมาน่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรากลับไปหากันก็ได้”
“ทำไมไม่รักษาของที่ฉันให้เลยล่ะ สร้อยนั่นเป็นของพ่อที่ให้กำเนิดนายนะ”
คนฟังก้มหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษครับปะป๊า”
“มันเป็นของสิ่งเดียวที่พ่อของพวกนายให้ติดตัวมา ดูแลมันให้ดี”
วิลมองน้องที่กำลังเศร้า “พวกเราใช้ทางที่เดิมประจำ เราจะกลับไปหา”
“ยังก่อน” บิดาส่ายหน้า มองออกไปเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว “ออกไปหาพรุ่งนี้ก็ได้ มืดแล้ว ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว”
“ครับ” ว่าแล้วทุกคนก็หมุนตัวเดินขึ้นบันได
“เคล”
“ฮะ” เด็กหนุ่มหันกลับมา
คนดอกอกนิ่งไปพักหนึ่งอย่างสุขุม ก่อนจะส่ายหน้าเปลี่ยนเรื่อง “ป้าริโกะทำซูชิมาฝาก รีบลงมากันล่ะ”
“ครับ” เจ้าเด็กดื้อรับคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะยอมหมุนตัวเดินตามพี่ ๆ ขึ้นไป หลงเหลือเพียงคนอายุมากทั้งสองที่หันมาสบตากัน ฝ่ายเจ้าของบ้านเดินไปทรุดนั่งตรงกันข้ามกับเพื่อนเพื่อจิบชา สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าคิดอะไร แต่คนรู้จักกันมาหลายสิบปีกลับรู้ทัน เชนกระแอมก่อนจะเริ่มเรื่อง “ฉันว่านายควรเลิกพะวงห่วงเด็ก ๆ เกินจำเป็นซักที พวกเขาโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว”
“พวกเขาเป็นลูกฉัน ยังไงก็ยังคงเป็นเด็ก”
“แต่พวกเขาเกิดในป่า ยังไงก็คงจะมีความผูกพันกับป่า”
“นายเลิกพล่ามเรื่องความเชื่อบ้าบออะไรนั่นสักทีเถอะเชน ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาไปทำตัวเหมือนเป็นคนป่า พวกเขาต้องโต ต้องเรียน ต้องทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อาศัยอยู่ในโพรงไม้” คนกล่าวร่ายยาว
เชนส่ายหน้า “ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่านายคือแวนกัสคนเดียวกับเมื่อสิบกว่าปีก่อน”
“ฉันยังคงเป็นฉัน” เจ้าตัวยักไหล่
“ทำไมนายถึงเกลียดป่านัก ทั้งที่เมื่อก่อนนายแทบอยากจะอาศัยอยู่ในป่า”
คนฟังถอนหายใจ “เลิกพูดเรื่องอดีตซักที” เจ้าของบ้านวางแก้วลงเสียงดัง “เพราะเมื่อก่อนมันเป็นความคิดที่โง่ไง”
“โอเค ๆ” เชนยกมือยอมแพ้
“แล้วนายก็เลิกเล่าเรื่องที่ฉันอยู่ในป่าให้เด็ก ๆ ฟังได้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องสนุก นายอยู่รอก่อนนะ ฉันจะเลี้ยงมื้อเย็น” ชายหนุ่มลุกเดินออกไปจัดอาหารที่เพื่อนสนิทเอามาฝากใส่จานชาม จัดเรียงเป็นสี่ที่ให้ลูกชายทาน หนุ่มน้อยวัยสิบห้าที่กำลังจะลงมาด้านล่างชะงักเท้าหยุดฟังนานแล้ว แล้วเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าไปยังห้องนอน อันมีพี่น้องที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งตัว ครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดบิดาบุญธรรมถึงได้อคติกับป่านัก
ทั้งที่เมื่อก่อนตัวเองก็เคยอาศัยอยู่ในนั้นเช่นกัน อยู่แบบมีความสุขมากเสียด้วย ลุงเชนเล่าให้เขาฟัง
ผู้คนต่างชักชวนให้กลับอย่างไรบิดาบุญธรรมก็ไม่ยอม กระทั่งวันหนึ่งท่านเจอพวกเขา ถึงได้ย้ายออกมาจากป่านั้น
“เคล นายเป็นอะไร” วิลหันไปมองน้องชายที่กำลังเกาหน้าผาก
เจ้าตัวมุ่นคิ้วสะบัดผม “ไม่มีอะไร รู้สึกคัน ๆ เหมือนสิวจะขึ้น”
“ฮ่า เคลน้อยของเรากำลังจะเป็นหนุ่มนี่เอง”
“ปล่อยฉันนะ!” เจ้าตัวสะบัดแขนไคล์จอมกวนออก
“เดี๋ยวก่อน” วิลเพ่งสายตามองไปจับที่เรือนผมน้ำตาลช็อกโกแลตของน้องชาย พวกเขามีสีผมและดวงตาเหมือนกันกับพ่อบุญธรรม แต่บัดนี้เหตุใดก็ไม่อาจทราบ ดูเหมือนว่าสีผมของเคลนั้นคล้ายกำลังหงอก มีบางเส้นเปลี่ยนไปเป็นสีขาว “ทำไมผมนายเป็นสีขาวแล้วล่ะ”
“ไม่มั้ง มืดแล้วมันอาจสะท้อนแสงไฟ”
“จริง” คนอื่นเพ่งมองแล้วเห็นด้วย
“ช่างมันเถอะ ลงไปกินมื้อเย็นกัน ก่อนที่ปะป๊าจะดุ”
“นายมาช้าที่สุดต้องล้างจานให้พวกเราหนึ่งอาทิตย์นะ” ว่าแล้วทุกคนก็วิ่งนำกันออกไป เคลถอนหายใจห่อเหี่ยวแล้วเดินตามลงไปอย่างหน่ายเหนื่อย เห็นบิดากำลังจัดจานสเต๊กให้ด้วย ครั้นไปถึงคนอายุมากกว่าก็ส่งยิ้มให้ มือหนาลูบผมลูกชายที่กำลังเดินไปเข้าที่ “ลูกจะเอาสเต๊กด้วยไหม”
“ไม่ฮะ”
คนตัวใหญ่กว่าไม่ได้ฟัง ตักมาวางไว้ให้ตรงหน้า “พ่อรู้ว่าลูกรักสัตว์ แต่ลูกต้องกินเนื้อบ้าง จะได้โตทันคนอื่น”
เคลเงียบแล้วตักทุกอย่างเข้าปากไม่มากพิธี สบตากับลุงเชนที่กำลังมองอยู่ แกยกยิ้มแล้วเอื้อมมาลูบหัว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นอะไร “ลุงก็เพิ่งเห็นว่าผมของนายเป็นสีนี้ ผมนายสว่างกว่าคนอื่นอีกนะ นายเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงตัวจริงเสียงจริงแล้วทีนี้”
เคลยิ้มขัน “ผมควรจะดีใจไหมเนี่ย”
ผู้เป็นพ่อหันมามองครู่เดียว แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องเรียนเป็นยังไงกันบ้าง”
“ไม่ชอบเลยฮะ” วิลตอบหน้าตาย
“เมื่อวานผมอ่านหนังสือประวัติศาสตร์” ไวน์เล่า
“ก็ดี ลูกสนใจประวัติศาสตร์งั้นเหรอ”
“เปล่าครับ ผมว่าจะลองอ่านแล้วมันก็ง่วง ผมเลยเอามาหนุนแทนหมอน เพราะมันหนาดี”
“อุ๊บ...” ลุงเชนกลั้นขำ เหลือบหันมองผู้เป็นบิดาที่กำลังทำหน้าระอาอยู่ในที แล้วพยายามอดกลั้นขำอย่างที่สุดเพราะเกรงใจสายตาดุของเพื่อน
“พวกเราไม่เหมาะกับเรื่องเรียนเลยฮะ ไม่เก่งเหมือนเอลลี่หรอก” วิลพูดถึงลูกสาวของลุงเชน อายุน้อยกว่าพวกเขาหนึ่งปี เธอเป็นสาวน้อยผมดำตาเรียวเล็กเชื้อชาติเอเชีย เอลลี่เป็นเด็กสาวที่ชอบกิจกรรม รักการเรียน ได้ฟังแล้วผู้เป็นลุงก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ ผิดกันกับเพื่อนที่นั่งอารมณ์บูดอยู่อีกฝั่ง แต่ที่น่าอิจฉาสำหรับเชนก็คงจะเป็นการมีลูกชายนี่กระมัง เขาอยากมีลูกชายดูสักคน
ขณะแล้วเสร็จมื้อค่ำและลุงเชนกลับไปได้พักหนึ่ง เป็นเคลที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างจานชาม อยู่ในครัวกับบิดาที่กำลังง่วนจัดของ แม้ดูเหมือนว่ากำลังตั้งใจทำงานบ้าน แต่มิวายแอบชำเลืองมองความแปลกไปของเส้นผมลูกชาย “ปกติผมลูกสีน้ำตาลเหมือนพ่อนี่ เขาว่ากันว่าสีผมตอนเด็กกับตอนโตจะแตกต่างกัน แต่ของลูกเปลี่ยนไวดีนะ”
คนฟังพยักหน้า “ครับ ไม่รู้เปลี่ยนไปตอนไหนเหมือนกัน”
“นั่นแปลว่าเดี๋ยวคนอื่นก็มีสีผมเหมือนลูกกันหมด เพียงแต่ว่าพวกเขาเปลี่ยนช้าเท่านั้นเอง”
“ปะป๊าฮะ” เคลหันไปหาคนสุขุมข้างกาย เหมือนมีเรื่องคาใจอยากจะพูด
“...หืม”
“ปะป๊าไม่เคยเจอพ่อของพวกเราจริง ๆ เหรอฮะ”
คนฟังชะงักกับงานที่ทำ “อืม...”
“แต่ปะป๊าพูดเหมือนรู้จักเขาดีเลย”
“ทำไมลูกคิดอย่างนั้น”
“ก็...” เคลลากเสียง “ปะป๊าดูไม่ชอบเขา”
คนฟังนิ่งไป แต่ครู่เดียวที่อยู่ในภวังค์ ผู้ที่อยู่ข้างกายเคลก็ผละมาสบตา “ใช่ เพราะพ่อคิดว่าเขาไม่รู้จักรับผิดชอบ เขาแย่ที่ทิ้งพวกนายไว้ในป่าอย่างนั้น ทั้งที่พวกนายออกจะน่ารักกันขนาดนี้”
คนฟังยิ้มหวานขึ้น “พูดถูกฮะ”
“แต่ก็ต้องขอบคุณเขานะ ไม่อย่างนั้นพ่อก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกนายอย่างนี้” ถ้อยคำแสนอบอุ่นของบิดาทำเอาเคลซาบซึ้งใจ เด็กหนุ่มยกยิ้มแล้วหันกลับมาทำงานตรงหน้าตัวเอง พร่ำบอกอยู่ในใจว่าหากพวกเขาไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากชายข้างกาย ป่านนี้ก็คงกลายเป็นอาหารสัตว์ในป่าแถวนั้นแล้วเป็นได้ แม้ว่าเขาจะอยากเจอพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองแค่ไหนก็ตาม
๑๖ ปีก่อน
แม้ท้องฟ้ามืดดำมีพยับฟ้าพยับฝนแต่ไกล ผู้ออกเดินทางบนรถไม่ได้หวั่นใจเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหลือบออกจากแว่นตากันแดดไปมองสองข้างทางอันเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เขาเดินทางเข้ามาได้ลึกพอสมควรแล้ว ด้านหน้าเป็นป้ายประกาศว่ามีหมู่บ้าน แต่เอาเข้าจริงก็มีไม่กี่หลังคาเรือนนักเพราะห่างไกลความเจริญเกินไป
ใครจะสน ยิ่งเงียบก็ยิ่งดี
“วู้ว!”
ภายในรถยนต์อัดแน่นไปด้วยเสียงเพลงที่คนขับชื่นชอบ ผิดกันกับแวนกัสที่ยกหูฟังขึ้นมาเสียบไม่ต้องการได้ยิน ชายหนุ่มถอนใจ ยกมือถือขึ้นมากดเพิ่มความดังของเพลงที่ตัวเองฟัง อีกไม่ไกลจะถึงจุดหมายที่เขาวาดหวังไว้แล้ว ซึ่งก็คือที่พักพิงแห่งใหม่ของชายหนุ่มนั่นเอง
“เฮ้ นายจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะกัส” เชน หนุ่มหน้าเอเชียหันมาสะกิดขณะโยกตามเพลง ชักชวนให้เพื่อนรักออกสเต็ปด้วย “ฉันอุตส่าห์มาส่งนายแล้วนี่ไง ไม่ต้องเศร้าน่า มาเถอะ”
“ใครบอกว่าฉันเศร้า ฉันดีใจต่างหากที่ได้หนีมาอยู่คนเดียว”
“โธ่ กะอีแค่เลิกกับแฟนคนเดียวไม่เห็นต้องหนีมาทำใจไกลถึงในป่าขนาดนี้เลยนี่นา”
“ใช่เหตุผลนั้นเสียที่ไหน” แวนกัสส่ายหน้า “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบผู้คนเยอะแยะ”
“เฮ้อ...” เชนส่ายหน้าแล้วหรี่เสียงเพลงลง “เกิดเป็นคุณหนูนี่มันดีจริง ๆ นึกอยากมาตกระกำลำบากก็มาเลย ไอ้คนจนอย่างฉันอยากนอนกระดิกนิ้วสั่งอย่างเดียวก็ทำได้แค่วิ่งเต้นหางานพิเศษทำไม่เว้นวัน” เชนหัวเราะขณะหันไปบังคับรถเคลื่อนไปเบื้องหน้า
“เลิกค่อนขอดฉันเถอะ ฉันเลือกที่นี่แล้ว”
“นายนี่น้า” เชนถอนหายใจ “อายุเพิ่งจะยี่สิบหก นายไม่ปลีกวิเวกไวไปหน่อยเหรอ แล้วอย่างนี้นายจะมีเวลาไปจีบหญิงหรือแต่งงานตอนไหนล่ะกัส นายจะหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในนี้ไม่ได้หรอก”
“ก็ไม่ต้องจีบ ฉันอยู่คนเดียวสบายใจกว่า” แวนกัสกอดอก
“ไม่ได้นะ ฉันรู้ว่าเงินของนายมีเยอะจนใช้ไม่หมด แต่นายต้องใช้ชีวิตบ้างสิ”
“ก็นี่แหละชีวิตที่ฉันเลือก นายอย่าเอามาตรฐานความสุขนายมาวัดฉันสิ” แวนกัสหัวเราะหึแล้วชี้นิ้วไปข้างหน้า “โน่น เลี้ยวเข้าไปตรงป้ายนั่น มัวแต่คุยเดี๋ยวก็ขับเลยเหมือนคราวที่แล้วอีก”
“คร้าบ ๆ”
รถยนต์คันเล็กเลี้ยวเข้าไปในป่า คราวนี้สองข้างทางรกกว่าเก่า ถนนไม่ได้ถูกตัดด้วยลาดยาง มีแอ่งน้ำเล็กน้อยเพราะฝนที่เพิ่งตกไปเมื่อคืน ด้วยความที่เลี้ยวเข้ามาด้านในแล้ว จากที่อึมครึมก็ดูมืดลงเพราะใบไม้หนาด้านบนปกคลุม สองข้างทางมีดอกหญ้าบานสะพรั่งสีสันสดใส แวนกัสรีบยกมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บภาพ
อย่างที่เชนพูด เขาเป็นคุณหนูร่ำรวยไม่เคยพบเจอความลำบาก ชายหนุ่มมีอาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ บ้างเพราะแพ้อากาศในเมือง หากถามว่าเหตุใดครอบครัวของเขาถึงยอมปล่อยให้ชายหนุ่มมาใช้ชีวิตเพียงคนเดียวที่นี่ ก็คงเป็นเพราะนี่คือความต้องการของเขากระมัง เขาก็แค่ต้องการความสงบ ใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้างสักปีสองปี หากมันยากจริงอย่างที่ทุกคนพูด เขาคงกลับไปเอง
กระท่อมของเขาน่ารักกระจิดริด ไม่กว้างขวางเพราะอาศัยคนเดียว เดิมเป็นบ้านหลังเก่าของป้ามีญ่ากับลุงแซ็คที่กำลังช่วยจัดของรออยู่เบื้องหน้า ไปถึงชายหนุ่มก็เดินไปจับมือกับทั้งคู่ สูดเอาอากาศดีเข้าเต็มปอด ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว มันเคยเก่าผุพัง ชายหนุ่มจึงจัดการให้คนมาซ่อมแซมเสียใหม่ ตกแต่งเล็กน้อยและซื้อเครื่องใช้มาเพิ่มเติมเท่านั้นเอง
เชนเดินตามหลังมาจับมือกับลุงป้า ก่อนจะหมุนกายมอง “โอ้โห มาคราวนี้น่าอยู่สุด ๆ”
“อยู่ค้างกับฉันก่อนสิ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
เชนพยักหน้ารับ “ได้สิ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านต้นไม้เหมือนกันนะ”
“พูดไปเรื่อยน่า”
“ก็มันจริง ทำเอาฉันอยากรู้เลยว่าตอนเด็ก ๆ พ่อไม่ยอมสร้างบ้านต้นไม้ให้นายรึไง ถึงได้ลงทุนขนาดนี้”
“พ่อไม่ได้สร้าง”
“นั่นไง ว่าแล้วไม่มีผิด”
แวนกัสยกยิ้ม “พ่อฉันจ้างช่างมาทำให้ แต่ฉันก็เห่อปีนขึ้นไปเล่นแค่ไม่กี่วัน”
“โธ่ ไม่สนุกเลย เข้าไปดูข้างในดีกว่า” เจ้าเพื่อนตัวดีหมุนตัวเข้าไปเปิดดูด้านในที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แวนกัสหยุดคุยกับป้ามีญ่า นางย้ายออกไปอยู่ที่ริมถนนลาดยาง ห่างจากที่นี่ไม่กี่ไมล์นักเพราะมีความสะดวกมากกว่า คนแก่ลูบต้นแขนของแวนกัสด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกฝั่งก็เป็นลุงแซ็คที่กำลังขนของลงให้ “พอตกแต่งเสร็จแล้วชอบไหมจ๊ะ”
“ชอบมากครับ ทุกอย่างสวยไปหมด”
“หลังบ้านมีห้องกระจกสำหรับปลูกพืชผักด้วยนะ” นางบอก “แซ็คทำไว้ให้ จะได้ไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก”
“งั้นดีเลยครับ ขอผมไปดูสักเดี๋ยว”
“จ้ะ เดินระวังด้วยนะ พื้นมันแฉะ”
“ครับ” ชายหนุ่มขานรับ เดินลัดเลาะอ้อมไปทางด้านหลัง ไม่ไกลมีธารน้ำไหลเอื่อยเพราะเป็นปลายน้ำแล้ว แม้จะเป็นหน้าฝนแต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยมีน้ำเท่าใดนัก แวนกัสหยุดดูซุ้มกระจกที่ลุงแซ็คคำให้อย่างพอใจ หนำซ้ำแกยังทิ้งพันธุ์ผักไว้ให้อีกหลายชนิด ชายหนุ่มหยุดดูได้ไม่กี่นาทีก็แปลกใจ คล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าของใครเดินอยู่ห่าง ๆ
หันมองออกไปยังธารน้ำไหล ไม่มีใคร คราวแรกนึกว่าเชนเดินตามออกมาเสียอีก แวนกัสส่ายหน้าให้กับความบ้าตัวเอง เดินไต่ไปตามโขดหินเล็กน้อยเพื่อสำรวจหาสิ่งที่น่าสนใจ ไม่นานก็เหลือบเห็นแสงอะไรวาววับที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ในตอนแรกชายหนุ่มนึกว่าเป็นใยของแมงมุม ลองพิศดูแล้วดึงมันออกมาจับ น่าแปลกที่เส้นใยนี่แข็งแรงเหมือนผม ทว่ามันสีเงิน เงาวับ บางมุมก็เหมือนจะเลือนหายไปในอากาศได้
“แปลกแฮะ” และก็น่าสนใจอยู่ในที
ชายหนุ่มแกะมันเอามาม้วนกันเป็นระเบียบแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ ขณะกำลังเดินหาเส้นอื่นก็รู้สึกว่าขนที่ท้ายทอยกำลังลุกขึ้นชัน เหมือนมีอะไรมาหายใจรดต้นคอของเขา แวนกัสหันขวับมองรายรอบตัว ได้แต่แปลกใจที่สัมได้ว่าถูกจับตามอง ทว่ารายรอบกลับว่างเปล่า
ชายหนุ่มส่ายหน้าสะบัดความรู้สึกนั้นออกไป แล้วมุ่นคิ้วพลัน รู้สึกมีกลิ่นสาบของสัตว์ชนิดหนึ่งบริเวณแถวนี้ลอยเข้าจมูก คิดแล้วก็ถอยกลับเข้าไปในบ้าน อ้อมเดินที่ด้านหลัง แอบมองจากหน้าต่างเห็นเชนกำลังเปิดหาอะไรในครัวไปเรื่อย ขณะที่อีกฝ่ายกำลังปิดประตูตู้ ชายหนุ่มก็แกล้ง “แฮ่!”
“ว้ากกกกก!” เชนหงายท้องเงิบก้นจ้ำเบ้าที่พื้น กุมอกตัวเองเสียหน้าซีดเผือด
“ฮ่า ๆ ๆ”
“กัส! เล่นอะไรของนาย ตกใจหมด”
“ดูนายสิ หน้าซีดไปหมดแล้ว” ชายหนุ่มชี้นิ้วล้อ
“ฉันไม่สนุกด้วยนะ”
“แต่ฉันสนุกนี่”
“กัส...” เชนทำเสียงอ้ำอึ้ง ทั้งที่เมื่อครู่ทำท่าจะโกรธชายหนุ่ม แวนกัสทำเป็นกอดอกรู้ทันว่าเพื่อนรักกำลังจะแกล้งเอาคืนเขาบ้าง อีกฝ่ายชี้นิ้วไปทางด้านหลังให้แวนกัสหันไปมอง ดวงตาของเชนสั่นระริกเหมือนกำลังเจอของน่ากลัว แม้คนทางนี้ไม่เชื่อ
แต่แล้วความรู้สึกเหมือนขนหัวลุกก็พรูเข้ามาอีกครั้ง แวนกัสละรอยยิ้ม เอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลัง เจอะเข้ากับร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ “เหวอ!”
ชายหนุ่มผวาตัวติดกำแพงบ้าน แล้วพลันเสียงหัวเราะของเชนก็ดังขึ้นอย่างพออกพอใจ “ฉันบอกแล้ว!”
“ลุงแช็ค มาทำไมครับ ผมตกใจหมด”
แกยิ้มแห้งให้ “มีญ่าให้ผมตามมาดูว่าคุณยังโอเคไหม เห็นเดินมานานแล้ว”
“โธ่ คราวหลังเรียกผมก่อนสิครับ” แวนกัสหัวเราะ
“ไหนใครบอกไม่กลัวกันห๊า”
“เป็นนายไม่ตกใจรึไง ไปกันครับ” ท้ายประโยคแวนกัสบอกคนแก่ เดินตามคุณลุงอ้อมไปยังหน้าบ้าน แต่ตลอดเส้นทางเขาก็สอดส่ายสายตามองรอบกายอย่างระแวดระวัง อาจเป็นเพราะบรรยากาศมืดครึ้มจึงทำให้ทุกอย่างสงบเงียบลงไปผิดหูผิดตา ต่างจากช่วงหน้าร้อนที่เขาเคยแวะมาดูก่อนหน้า มันสว่างสดใส แสงแดดสาดไปได้ทั่วทุกพื้นที่
เขามีรถจักรยานสำหรับปั่นออกไปข้างนอก ไฟที่นี่ต่อมาใช้ได้เพียงเล็กน้อย นอกนั้นชายหนุ่มก็ใช้จากเครื่องปั่นไฟที่มีอยู่ก่อนหน้า ส่วนรถยนต์เขาไม่ค่อยได้ขับนัก จะใช้วิธีปั่นจักรยานไปยืมป้ามีญ่า หรือไม่ก็แค่ฝากซื้อของจากในเมืองมาให้เท่านั้นเอง
แวนกัสเป็นหนุ่มวัยยี่สิบหก ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ รักการใช้ชีวิตสันโดษมากกว่าพบปะผู้คุณ
หลังแล้วเสร็จมือค่ำชายหนุ่มก็ปิดล็อกประตู กะว่าจะผลัดผ้าอาบน้ำ ส่วนเชนก็นอนเกลือกกลิ้งเล่นเกมที่พกติดตัวมาอยู่อีกฝั่ง ภายในบ้านมีห้องโถง ห้องส่วนตัวห้องเดียว ห้องน้ำและห้องครัว อุปกรณ์จิปาถะก็เหมือนบ้านอื่นทั่วไปไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก
ขณะเข้ามาด้านในห้อง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตกทว่าไม่ใช่ มองออกไปพบกับความมืดด้านนอกแล้วชายหนุ่มก็สะบัดหน้า ตั้งใจปลดกระดุมเสื้อเพื่ออาบน้ำล้างตัว มือเรียวสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋า ล้วงออกมาเป็นเส้นใยที่เขาเพิ่งเจอเมื่อตอนบ่าย แวนกัสหมุนตัวไปทรุดอยู่หน้ากระจก ทำความสะอาดให้มันเงาวับเหมือนใหม่ ก่อนจัดเรียงให้มันเป็นเส้นแล้วถักเป็นเปีย ร้อยลูกปัดและด้าย ก่อนจะลองสวมใส่ที่ข้อมือ
มันสวยประหลาด
ชายหนุ่มยกยิ้ม พิศมองของในมือแล้วถอดมันวางไว้ที่หน้ากระจก ก่อนจะละเลียดถอดเสื้อผ้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครเห็น เขาอาศัยอยู่ในป่า ไม่คิดว่าจะมีใครมาลอบมองคนเปลื้องผ้าในห้อง
ครั้นเรือนร่างของแวนกัสไร้อาภรณ์แล้ว ชายหนุ่มก็อ้อยอิ่งไปหยิบยกเสื้อคลุมมาสวมทับ เดินเข้าไปในห้องน้ำ หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถของตัวเองอยู่ในสายตาอะไรบางอย่างในความมืด มันลอบกลืนน้ำลายมองตาม
ถูกแล้วที่ว่าไม่มีคนอยู่แถวนี้
เพราะแถวนี้น่ะ เป็นถิ่นของสิ่งที่ไม่ใช่คนอย่างไรเล่า
มันค้อมหัวลงดอมดมตามกลิ่น เดินวนอยู่รอบบ้านไปเจอรูน้อยนิดของห้องน้ำ ปรากฏภาพร่างมนุษย์น้อยกำลังถอดผ้าออกจากกาย ไร้อาภรณ์ปกปิดกั้นจินตนาการของมันแล้ว มันก็ตั้งอกตั้งใจดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรบ้างอยู่ในนั้นอย่างไม่วางตา...
-------------------------------------------------------
#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง
เปิดมาอีผีมาแอบมองน้องอาบน้ำแบบอีหยังวะมาก ว่าจะเขียนออกมาแบบลึกลับ ทำไมมันมาจบตรงนี้ได้ก็งงเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่ายังไม่อยากบรรยายเรื่องรูปร่างหน้าตาพระเอกมาก รู้แค่นางเป็นยักษ์ เป็นภูต แล้วให้มาลุ้นเรื่องหน้าตาของอีพี่พร้อมกับนายเอกเลยแล้วกัน
เรื่องนี้เขียนทรีตเม้นแล้ว ถึงตอนจบแล้ว ขอเล่าเป็นพาร์ทปัจจุบันกับอดีตสลับกันนะคะ ปัจจุบันคือพาร์ทของเด็กทั้งสี่ค่ะ แล้วเรื่องมันจะมาจรดกันทีหลังช่วงท้าย น้องทั้งสี่มีความสำคัญเป็นอย่างมากนะคะ ห้ามข้าม ห้ามสคิป เพราะคุณจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง อิอิ
เจอกันตอนหน้าค่าาาา