CHAPTER 2
HALF AN EYESIGHT
ตอนเด็กผมเคยตั้งคำถามว่าความรักคืออะไร
กระทั่งเติบโตถึงได้รู้ สำหรับบางคนแล้ว
มันอาจเป็นคำถามที่คงไม่มีคำตอบ
คำว่า ‘โดนเอาแล้วทิ้ง’ แปรสภาพไม่ต่างจากมีดล่องหนที่พุ่งมาปักอกผมอย่างจัง
หลายครั้งหลายหนที่พยายามหนีจากคำนี้ ผมฝังกลบมันไว้ข้างหลัง วิ่งหนีมาไกลแสนไกลเพื่อให้รู้ว่าสุดท้ายก็ยังมีคนขุดมันขึ้นมา ความเจ็บปวดในอดีตเป็นเหมือนตราบาปของชีวิตเพราะต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่เคยหนีพ้นเสียที
ถึงใครหลายคนจะเอาแต่พูดว่าอีกไม่นานก็คงผ่านไปได้ ทว่านั่นไม่ใช่กับชีวิตของคนชื่ออาคเนย์ เพราะผมไม่เคยผ่านมันไปได้เลย
“เอาไงดีวะ”
เพื่อนๆ เริ่มถามความเห็นหลังไอ้บูสลบไปต่อหน้าต่อตา
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากเกินอธิบาย โลกทั้งใบหมุนเคว้งเต้ง มองดูสีหน้าของเพื่อนๆ ที่มองกลับมาด้วยความอารมณ์หลากหลาย พวกมันไม่เคยรู้แต่วันนี้ก็ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่าจะสงสารเห็นใจหรือสมเพชจนอยากเอาไปโพนทะนาต่อ ผมก็ไม่แคร์อีกแล้ว
“เนย์มึงได้ยินที่กูพูดมั้ย” เสียงของไอ้ดินปลุกภวังค์ที่กำลังจมดิ่งให้กลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง
ผมหันไปมองหน้ามันครู่หนึ่งสลับกับคนที่นอนจมกองเลือด ก่อนตัดสินใจกัดฟันพูดสิ่งที่ต้องการออกไป
“ให้มันตาย”
“ไอ้เนย์...”
“ให้มันตาย! จะทำยังไงก็ได้แต่มันต้องตาย!”
ร่างกายรู้สึกราวกับถูกฝังอยู่ในธารน้ำแข็ง มันเย็นเยียบจนหัวใจค่อยๆ เต้นช้าลง ทุกอย่างที่ทำมาผิดแผนไปหมด เพราะนอกจากมันไม่ยอมขอร้องเพื่อให้ไว้ชีวิตแล้ว กลับกลายเป็นผมที่ต้องกลับมาเจ็บปวดกับเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“มันผิดกฎหมายนะเว้ย” ใครคนหนึ่งเถียงกลับ ผมเลยตวาดลั่น
“ก่อนหน้าพวกมึงยังกระทืบมันได้เลย มันจะยากอะไรวะแค่ลงมือต่อ”
“แต่...”
“งั้นกูทำเอง กูจะทำ!”
จบประโยคนั้นผมจัดการเตะสวนเข้าไปที่ร่างสูงอย่างแรงจนเกิดเสียง ไอ้บูไม่รับรู้ความเจ็บปวดและความทรมานแล้ว แต่ผมก็ยังอยากฆ่ามันซ้ำๆ ให้ตายคาตีน
“ไอ้เหี้ย...แม่งเอ๊ย...” สองเท้ายังคงพุ่งเป้าไปยังร่างท่วมเลือด ยิ่งทำก็ยิ่งเหนื่อย เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดซึมตามหน้าผากจนไหลหยดลงมา ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้สาสมกับสิ่งที่มันทำกับผม แต่ต่อให้ลงแรงทำร้ายอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม
มันไม่ใช่เพราะรักข้างเดียวที่ทำให้รู้สึกเจ็บแค้นทรมาน แต่บูรพาทำกับผมมากกว่านั้น
“ไอ้เนย์...” ผมไม่เคยเข้าใจตัวเอง ทำไมถึงได้ร้องไห้ ทำไมน้ำตาถึงไหลลงมาไม่หยุด
อยากฆ่าให้ตาย ทว่าเสี้ยวหนึ่งก็ยังมีความกลัวปะปนอยู่ในนั้น
“เฮ้ยมึงเอาตัวไอ้เนย์ออกมา!” หูสองข้างอื้ออึง เสียงของใครคนหนึ่งดังก้องในหู ก่อนความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมถูกมือล่องหนของใครหลายคนรวบตัว และพยายามพาออกมาจากสถานการณ์ตึงเครียด
“ปล่อยกู! กูบอกให้ปล่อยยังไงวะ”
“โทรเรียกรถพยาบาล รีบโทรแล้วเราหนีกันเถอะ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงพริบตา ร่างของผมลอยหวือเพราะถูกใครคนหนึ่งจับอุ้มพาดบ่า ต่อให้พยายามออกแรงขัดขืนและอยากถลาเข้าไปเตะไอ้บูให้หนักกว่าเดิมมากแค่ไหนก็ทำได้แค่คิดในใจ เพราะร่างกายเหมือนจะไม่อำนวยเอาซะเลย
น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย เรี่ยวแรงที่ใช้ไปกับการทำร้ายศัตรูค่อยๆ หมดลงจนไหล่และขาทั้งสองข้างตกลู่ตามแรงโน้มถ่วง ผมไม่รู้ว่าเพื่อนจะพาผมหนีไปที่ไหน จริงๆ มันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ต่อให้ถูกจับข้อหาฆ่าคนตายยังไงมันก็ไม่ทุกข์ทรมานไปกว่าตอนนี้นักหรอก
ผมชื่ออาคเนย์ มีความฝันในวัยเด็กคืออยากเป็นวิศวกรเหมือนพ่อ เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขท่ามกลางความอบอุ่นของคนในครอบครัว ได้รักกับคนที่อยากรักและสมหวังกับทุกอย่างที่ต้องการ
แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับเพิ่งตระหนักได้ถึงความจริงว่าตัวตนของอาคเนย์มันก็เป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น
ชีวิตผมแตกหักเกินกว่าจะประกอบใหม่ เป็นแก้วที่มีแต่รอยตำหนิ ไม่มีใครต้องการ ไร้ค่า และหลายต่อหลายครั้งก็อยากหายไปจากโลกนี้ ผมอยากทำมาตลอดแต่ที่ยังอยู่ไม่ใช่เพราะไม่มีความกล้าพอ
ทว่า...ยังต้องการมีชีวิต
เพื่อทำลายใครสักคน
“เนย์ อาบน้ำเสร็จแล้วก็รีบลงมากินข้าวนะลูก”
“...”
“เนย์”
“ครับ” ผมขานรับแม่ จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้า ไม่ได้เร่งรีบกุลีกุจอเหมือนเมื่อก่อน
ตอนยังเป็นเด็กเวลาแม่หรือพ่อสั่งอะไรผมจะรีบทำเสมอ อยากให้เขารัก อยากเป็นที่ยอมรับและสมปรารถนาตามสิ่งที่ขอ อาคเนย์จึงเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยกลับบ้านดึกดื่น ไม่เคยทำเกรดต่ำกว่ามาตรฐานและยังคงทำได้ดีเสมอเมื่อเลื่อนชั้นปีถัดไป
อาคเนย์ทำทุกอย่างโดยไม่นึกฝืน แต่พอโตขึ้นเรื่องพวกนี้กลับกลายเป็นเรื่องยากมากๆ
ผมไม่ได้อยากเป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัวอีกแล้ว หรือจะพูดอีกอย่าง ผมไม่ได้อยากเป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่จึงมีแค่การใช้ชีวิตเพื่อแก้แค้นไปวันๆ
“วันนี้ทำของโปรดให้ลูกด้วยน้า มีแกงเขียวหวาน แล้วก็ขนมจีนแบบที่ลูกชอบ”
แม่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นผมก้าวเท้าลงมาจากบันได แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี ใบหน้าของอีกฝ่ายมีริ้วรอยเพิ่มขึ้น นัยน์ตาคู่สวยเต็มไปด้วยความโศก แต่แม่ก็ยังเป็นแม่คนเดิม
ผมทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ มองดูอาหารสองสามซึ่งวางอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองยังฝั่งตรงข้าม แม่กำลังจ้องมองกลับด้วยใบหน้าคาดหวังว่าผมจะพูดเหมือนเดิมเมื่อครั้งยังเด็ก
“น่ากินมากครับ” และใช่! ผมยังคงพูดประโยคนั้น
“งั้นกินให้เยอะๆ นะ นานๆ ลูกจะกลับบ้านมาทีหนึ่ง นี่แม่ก็เตรียมขนมเอาไว้เต็มตู้เย็นเลย”
“ครับ ผมจะกินเยอะๆ”
“เรียนเป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรมั้ย” เราเริ่มจับช้อนและส้อม ตักอาหารใส่ปากได้เพียงคำเดียว บทสนทนาตามประสาคนในครอบครัวก็เริ่มขึ้น
“ไม่มีครับ”
“แม่รู้ว่าเนย์ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ ถ้ารู้สึกไม่ไหวหรือไม่มีความสุขก็บอกได้นะ” เธอเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ ไม่ว่าผมจะเติบโตจนอายุมากแค่ไหนก็ตาม
“ตอนนี้ผมยังไหวอยู่ คิดว่าคงเรียนจบได้ไม่ยาก”
“ดีแล้ว เนย์จะได้มีชีวิตที่ดี” แม่ยังคงยิ้ม จ้องมองหน้าผมด้วยความภาคภูมิใจ
ความจริงแล้วที่นั่งตรงหัวโต๊ะเป็นที่ของพ่อ เรากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันมาเกือบยี่สิบปี มีอะไรผมจะแชร์ให้เขาฟัง ทว่าตอนนี้พื้นที่หัวโต๊ะกลับมีแต่ความว่างเปล่า หลงเหลือคนรับฟังเรื่องราวในชีวิตของผมแค่คนเดียวซึ่งคิดว่ามันก็เพียงพอแล้ว
“ตอนเช้าแม่ไปเยี่ยมบูที่โรง’บาลอีกรอบ อาการก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” หัวข้อบนโต๊ะอาหารถูกเปลี่ยนอีกครั้ง ผมชะงักมือ แต่สองหูยังคงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ “เนย์ไปเยี่ยมเพื่อนบ้างหรือยังลูก”
“ยังเลยครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง”
“แม่เข้าใจ เลยฝากความห่วงใยของลูกถึงบูไปแล้ว”
ไอ้บูนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาลมาสามวัน ช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ๆ ผมหนีกลับห้อง เช้าวันรุ่งขึ้นถึงได้รับสายจากแม่ที่น้ำเสียงดูร้อนรนเต็มที เท่าที่ฟังอาการก็ค่อนข้างหนัก อวัยวะภายในบอบช้ำบางจุดแต่ยังโชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก ทว่าก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นไปอีกเป็นสัปดาห์
จดหมายลาป่วยร่อนมาถึงอาจารย์ประจำวิชา มันเลยได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องเข้าเรียนจนกว่าจะหายดี
จู่ๆ ก็รู้สึกโกรธตัวเอง ทำไมผมไม่เตะให้แรงกว่านี้มันจะได้ตายๆ ไปซะ
“ไปเยี่ยมบูคราวนี้แม่ก็ได้คุยกับแม่ณิแล้วนะ เรื่องที่จะขอให้ลูกไปพักอยู่กับบูน่ะ”
“ผมไม่ไป” เมื่อฟังประโยคก่อนหน้าจบ อดไม่ได้ต้องรีบเถียงกลับทันที
“ถ้าไม่ลำบากจริงๆ ก็คงไม่รบกวนหรอก ตอนนี้บ้านเรามีปัญหา แม่เองก็จะเริ่มหางานทำ” ที่ผ่านมาหลายสิบปีแม่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลเรื่องทุกอย่างในครอบครัว พอขาดเสาหลักไปเราก็ต้องกลับมาดิ้นรนกันอีกครั้ง
ถึงอีกไม่นานเราจะได้เงินก้อนใหญ่มาจากสินสมรสหลังจดทะเบียนหย่า แต่มันก็ไม่มากพออยู่ดี ลำพังค่าเทอมที่จ่ายไปกับคณะที่เรียนก็ทำเอาปาดเหงื่อไปหลายรอบแล้ว พ่อก็เสนอจะจ่ายเพียงครึ่งเดียวเพราะยังมีภาระที่ต้องดูแลอีกครอบครัวหนึ่ง
ทุเรศสิ้นดี
“แม่ไม่ต้องทำหรอก อยู่ดูแลบ้านเนี่ยแหละ ผมจะออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำเอง”
“...”
“เรื่องที่อยู่ก็ไม่ต้องห่วง หอแถวมหา’ลัยราคาถูกๆ มีเยอะ มันไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น”
“แต่ลูกเรียนหนักมากขึ้นทุกวัน ลำพังแค่เวลานอนยังแทบไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานพาร์ทไทม์” เธอพูดอีก คราวนี้ผมเลยเถียงไม่ออก
จะขอไปอยู่กับเพื่อนก็กลัวมันลำบาก ไอ้อั๋นอาศัยอยู่กับที่บ้านซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ไอ้เมพาแฟนมาอยู่ที่ห้องแถมต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนไอ้ดินก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่จึงมีแค่การทำตามคำสั่งแม่
ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากการไล่ให้ไปลงนรก
“แบบนี้ล่ะดีแล้ว ทางโน้นเขาใจดีไม่ให้เราช่วยออกสักบาท อีกอย่างลูกก็สนิทกับบูด้วย”
ผมแค่นยิ้มเมื่อได้ยินคำว่าสนิทจากปากของคนตรงหน้า
ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยรู้เลย ไม่เคยสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเพราะไม่มีใครคิดบอก เราต่างปิดมันเอาไว้เพื่อหวังว่ามันจะตายไปพร้อมกับตัวตนของผมและไอ้บูในสักวัน
“ครับ ผมสนิทกับบู”
“งั้นเนย์ช่วยแม่ได้มั้ย ไม่ต้องหางานทำ แค่ย้ายไปอยู่กับบู แม่ณิใจดีกับเรามาก ถ้าอนาคตลูกได้ดีเราจะได้ตอบแทนเขาทีหลัง”
“แค่นี้ผมก็เหมือนตอบแทนให้ทั้งหมดแล้ว”
“ลูกว่าไงนะ”
“เปล่าครับ เรากินข้าวกันต่อเถอะ”
บรรยากาศแสนเงียบเหงาของการกินข้าวยังคงดำเนินต่อไป รู้ดี...แม่พยายามอย่างมากเพื่อให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เคยมี ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่เหมือนเดิม
“เขาเป็นไงบ้าง” เนิ่นนานเหมือนกันที่จมจ่อมกับสารพัดปัญหา กระทั่งนึกถึงใครคนหนึ่งเข้าเลยตัดสินใจถามออกไป
“เขาเหรอ ไม่รู้สิ แม่ไม่ได้คุยกับเขาสักพักหนึ่งแล้ว”
เรากำลังพูดถึงพ่อ
“แม่เจอเขาได้ยังไง ตอนนั้น...ตอนที่เจอกันครั้งแรก” ตั้งแต่เล็กจนโต เราไม่เคยคุยกันถึงจุดเริ่มต้นของความรัก และผมก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่เพราะสนใจแต่ปัจจุบัน ทว่าวันนี้กลับอยากรู้ขึ้นมาเฉยเลย
“เราเจอกันที่มหา’ลัย ตอนนั้นเขาดังมากเลยนะ ใครๆ ก็ชอบ”
“แล้วแม่ชอบมั้ย”
“ชอบสิ ตั้งแต่ครั้งแรกเลย เขามีรถเบนซ์ด้วยนะ เป็นรถคันเก่าของคุณปู่ที่ตอนนี้ขายทิ้งไปแล้ว แต่สมัยนั้นมันเท่มากเลย”
“จริงๆ แล้วคนเรารักกันเพราะเหตุผลอะไรเหรอแม่”
“ก็หลายอย่าง”
“แล้วแม่กับเขาล่ะ หน้าตา ฐานะ หรืออะไร”
“ไม่รู้สิ”
แม่ยิ้ม ใช้ช้อนเขี่ยขนมจีนในจานไปมาราวกับว่ากำลังสลัดความเจ็บปวดทั้งหมดออก ผมไม่ได้อยากพูดถึงพ่อมากนัก แต่วันหนึ่งเราต่างตระหนักได้ว่ายังไงก็ต้องเดินหน้าต่อ แม้ความเจ็บลึกๆ จะไม่เลือนหาย เราก็คงต้องปล่อยให้มันติดอยู่ในความรู้สึกต่อไป
“แม่...ตอนนี้เขาไม่รักเราแล้ว”
“ครั้งหนึ่งเขาเคยรัก เนย์...มันเคยเกิดขึ้น”“พ่อเคยทำให้ผมเชื่อในความรัก แต่ตอนนี้เขาก็ทำให้รู้ซึ้งว่าทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน”
“สักวันลูกจะเจอคนที่ลูกรักและมองข้ามความเชื่อทุกอย่างเอง”
“ผมรักใครไม่ได้หรอกครับ”
“ลูกยังเด็กเกินกว่าจะพูดประโยคนี้นะ”
“อาจจะใช่ อาจเป็นอย่างนั้น”
ยังอายุน้อยเกินกว่าจะเข้าใจโลก แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมาก็สอนอะไรหลายอย่าง ครั้งหนึ่งผมเคยมีความรักให้กับใครคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนในครอบครัว มันเป็นรักครั้งแรกและยังคงหยั่งรากลึกในความรู้สึก
จนวันนี้ผมก็ยังจำหน้าของเขาได้ดี จำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในวันวาน จำกลิ่นหอมของเสื้อผ้าเวลาที่เขาขยับเข้ามาใกล้ ทุกอย่างในวันนั้นสวยงามไปหมด
“แต่สำหรับตอนนี้ ผมคิดว่า...”
“...”
“ผมคงไม่รักใครอีกแล้ว”แม้ไม่รู้ว่าจะฝืนทำมันได้แค่ไหนก็ตาม
“เดี๋ยวแม่สองคนไปก่อนนะ ดูแลกันดีๆ ล่ะ”
คนอายุมากกว่าทั้งสองโบกมือลาก่อนประตูไม้สีขาวจะปิดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูของความทรงจำในอดีตของผมถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ภาพดังกล่าวไม่ชัดเท่าไหร่นัก ทว่าอารมณ์และความรู้สึกหดหู่กลับแผ่ขยายเป็นวงกว้าง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้มมองดูกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้หลายอย่างที่กองอยู่บนพื้น ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นบทสนทนากับคนที่เกลียดที่สุด
“ห้องกูอยู่ไหน”
“เป็นขอทานเหรอ”
“อะไร” ผมหันขวับไปยังอีกฝ่าย
“ก่อนหน้าเคยพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะไม่เหยียบมาที่ห้องกู ทำไมสุดท้ายถึงได้กลืนน้ำลายตัวเองได้วะ” อีกฝ่ายสวนกลับด้วยประโยคยาวเหยียด
“ถ้าแม่ไม่บังคับ คิดเหรอว่ากูอยากจะเหยียบเข้ามา”
“ไอ้ลูกแหง่”
“โทษที มึงก็ลูกแหง่พอกันแหละว้า”
“ปากดีฉิบหาย”
“ด่าตัวเองอยู่หรือไง”
“อยากเจ็บตัวเหรอวะ”
“ทำไม? แค้นเหรอที่กูทำมึงเจ็บวันนั้น” ผมจ้องมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้ารวมถึงร่างกายของไอ้บูมีร่องรอยจากการถูกทำร้าย และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็คงไม่เหลือความเจ็บปวดเหมือนในวันแรกอีก
“กูไม่เคยแค้นแต่กูเกลียด และสาบานได้ว่ากูจะทำให้มึงเจ็บมากกว่าที่กูเจอ” มันกัดฟันชี้หน้าด่า
“ก็ทำให้เจ็บสิ”
“มึงอย่าท้านะไอ้เนย์”
“กูไม่เคยท้า รู้อยู่แล้วว่ามึงทำจริง มึงเป็นคนจริงเสมอหนิเพราะต่อให้ทำเหี้ยกับคนอื่นแค่ไหน ทำลายชีวิตของใครไปบ้างมึงก็ไม่เคยสนอยู่แล้ว”
“เออมึงพูดถูก ถ้าการทำลายสิ่งนั้นแล้วมันทำให้รู้สึกดีกูก็จะทำ ระวังตัวมึงไว้เถอะ”
“ขอบคุณที่เตือน แต่ตอนนี้กูไม่อยากเถียงกับมึงแล้ว สรุปห้องนอนกูอยู่ไหนกันแน่”
“ตรงพื้นนี่ไง นอนได้มั้ย”
“ได้ดิ กูนอนได้หมดแหละแค่ต้องโทรไปบอกแม่ก่อนว่ามึงพูดอะไรไว้บ้าง”
“คนอาศัยอย่างมึงจะเรียกร้องอะไรนักหนาวะ” ร่างสูงตอกกลับพร้อมเตะกระเป๋าจนล้มกลิ้ง ส่งผลให้ผมได้แต่กำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธซึ่งกำลังปะทุขึ้นในใจ
ก่อนมาที่นี่ผมนอนไม่หลับ ในหัวเต็มไปด้วยความกังวลและยังรู้สึกกลัว ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ ไม่ได้มีกำแพงหนาอย่างที่พยายามสร้างขึ้น ความจริงแล้วมันเปราะบาง หลายครั้งที่มีคนทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแตกละเอียด แต่ผมก็ยังเก่งที่สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ เพื่อปกปิดความแหลกละเอียดที่อยู่ภายใน
และคราวนี้ผมก็จะทำเหมือนเดิม เข้มแข็งให้เหมือนกับที่พยายามสร้างมา
คิดได้เท่านั้นจึงรีบกระแทกเท้าตรงดิ่งไปยังห้องนอนฝั่งขวา โดยมีไอ้บูตะโกนด่าตามหลังมาไม่ห่าง
“มึงจะทำอะไร”
ผมไม่ตอบ นอกจากกวาดตามองโดยรอบ เดาว่านี่คงเป็นห้องนอนของอีกฝ่ายไม่ผิดแน่ เพราะข้าวของทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่หลังจากนี้ผมจะค่อยๆ ทำลายมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเพื่อเอาของของตัวเองขึ้นมาวางแทน
เพล้ง!!
เสียงของแข็งตกกระแทกพื้นดังก้องไปทั้งบริเวณ หลังตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีในการกวาดเอาข้าวของทุกอย่างซึ่งอยู่บนตู้โชว์ออก เสียดายที่ทำได้ไม่เท่าไหร่เจ้าของเสียงทุ้มดันถลาเข้ามารั้งแขนไว้ด้วยสีหน้าเอาเรื่องซะก่อน
“ไอ้เหี้ยเนย์!”
ผมไม่สนใจจัดการสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ดึงไม้แขวนเสื้อทั้งเชิ้ตรวมถึงกางเกงยี่ห้อแพงออกมากองทิ้งไว้ตรงพื้น โดยไม่ลืมเหยียบย่ำมันด้วยฝ่าเท้าจนกว่าจะพอใจ ก่อนจะถูกร่างหนาโถมตัวเข้ามารั้งไว้อีกครั้ง แล้วเหวี่ยงผมลงกับเตียงอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ
“มึงเป็นเหี้ยไรวะ!” ร่างสูงตะคอกจนคอแทบเป็นเอ็น สองมือตรึงร่างผมเอาไว้ยากเกินกว่าจะขยับ
“นี่ห้องกู กูจะทำอะไรก็ได้”
ผัวะ!!
กำปั้นหนักๆ ซัดเข้ามาที่ซีกหน้าด้านซ้ายจนชายิบ หูสองข้างอื้ออึงจนจับใจความเสียงสบถจากปากอีกฝ่ายแทบไม่ได้ ต้องใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าจะรวบรวมสติที่กระจัดกระจายให้กลับมาอีกครั้ง ผมอาศัยเรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดในการบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อตบหน้าอีกฝ่าย
แม้ความแรงจะไม่มากนักแต่ก็ยังคงรัวมือไม่ยั้งจนคนถูกกระทำผละออกไป ผมใช้จังหวะนั้นพยายามยันตัวขึ้น ทว่าก็เหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่งเมื่อข้อเท้าขวาถูกมือหนาจับเอาไว้แน่น พร้อมกับกระตุกอย่างแรงจนร่างของผมไถลลงจากเตียง
หัวกระแทกพื้นจนเกิดเสียง พลันรู้สึกมึนงงจนจับจุดอะไรไม่ได้ ภาพตรงหน้าเดี๋ยวเบลอเดี๋ยวสว่างแต่ก็ยังกัดฟันร้องออกมาเท่าที่จะทำได้
“ปล่อยกู...ปล่อย...”
ในใจตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เนื้อตัวเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเนื่องจากประเมินอีกฝ่ายผิดไป ผมควรจะรู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรแต่ก็มักแพ้ให้กับความใจร้อนของตัวเองจนได้ เรี่ยวแรงทั้งหมดแทบไม่หลงเหลือแม้แต่จะขัดขืนต่อต้าน ทำได้เพียงกระเถิบกายหนีตามสัญชาตญาณ สุดท้ายกลับไปไหนได้ไม่ไกลนัก
คนตัวสูงกว่าย่อเข่าลงนั่งตรงหน้า
“มะ...มึงจะทำอะไร จะ...ทำอะไรกู”
มันไม่ตอบ สองมือจับข้อเท้าข้างหนึ่งของผมไว้แน่นพร้อมกับออกแรงหักจนสุด
“โอ๊ยยยยยย!!”
ผมร้องออกมาสุดเสียง เจ็บปวดแทบทนไม่ไหวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้หักข้อเท้าของผมไปต่อหน้าต่อตา
“อึก...” ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วบริเวณ สุดท้ายเลยต้องสบถสาปแช่งในใจไม่ซ้ำคำ
“ไง ร้องออกมาอีกสิวะ ร้องจนกว่าคนข้างนอกจะได้ยิน”
“ฮึก...” ผมกัดฟันเก็บเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ แม้มันจะไม่ได้ผลจนเผลอครางต่ำออกมาเป็นครั้งคราว
“เจ็บใช่มั้ย แต่รู้ไว้ซะว่านี่มันยังไม่ได้ครึ่งกับที่มึงทำกูเจ็บ!” ร่างสูงชันตัวลุกขึ้น ก่อนจะทั้งลากทั้งถูผมเข้าไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็ออกแรงเตะเข้ามาที่ชายโครงแรงๆ อีกครั้งจนต้องงอตัวนอนกับพื้นเพื่อให้ผมหยุดนิ่ง
ไม่นานสายน้ำจากฝักบัวหยดแล้วหยดเล่าก็หล่นกระทบลงบนเสื้อผ้า ความเย็นชื้นที่แผ่ขยายออกมาส่งผลให้ร่างทั้งร่างสั่นหงักโดยอัตโนมัติ
“ไอ้เหี้ย...” ถึงจะเจ็บแค่ไหนก็ยังกลั้นใจก่นด่าคนเหนือร่าง พร้อมตั้งท่ายกมือเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายแต่ก็ต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศเพราะหมดแรงซะก่อน
“กูเหี้ยไม่มากไปกว่ามึงหรอก”
“...”
“อยู่ทบทวนการกระทำของตัวเองซะ ถ้ายังกล้าเล่นกับกูข้อเท้าอีกข้างมึงหักแน่!” ไอ้บูกัดฟันพูดเสียงเหี้ยมเกรียมก่อนเดินออกไป
เสียงล็อกประตูจากทางด้านนอกแว่วเข้าโสตประสาท ส่งผลให้ความอดทนที่มีทั้งหมดขาดสะบั้นจนต้องแหกปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แถมยังเจ็บใจที่ความพยายามของผมไม่ได้ทำให้มันรู้สึกระคายผิวด้วยซ้ำ
ลมหายใจจากที่ถี่กระชั้นในคราแรกเริ่มอ่อนลงแทบประคองสติไม่อยู่ ไม่เหลือแม้กระทั่งเรี่ยวแรงเพื่อผลักตัวเองให้เอื้อมมือขึ้นไปปิดวาล์วน้ำด้วยซ้ำ
ผมรู้ว่าการมาอยู่ที่นี่ต้องเจอกับอะไร รู้ว่าต้องตกนรกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบแต่ก็ยังพาตัวเองเข้ามา ใจหนึ่งทั้งหวาดกลัวและหวาดหวั่น ขณะที่อีกใจหนึ่งกลับเอาแต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าให้เข้มแข็งและเผชิญหน้า แต่มันคงดีกว่าถ้าผมไม่ต้องรู้สึกแบบนี้อีก
อ่านต่อด้านล่างค่ะ