บทที่๑๘
คืนวันแรกของเทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึงแล้ว
หานชินอ๋องมารับซูฮวาที่วัง วันนี้เขาเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในไม่ได้นั่งรอบนม้าเหมือนทุกครั้ง เพราะว่าในงานเทศกาลสำคัญงานนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งต้าจินจะต้องเข้าร่วมพระราชพิธี ชายหนุ่มเคยสัญญาว่าจะพาซูฮวาไปเที่ยวเล่นในงานเทศกาลแต่ต้องเป็นคืนวันพรุ่งนี้
ร่างสูงของแม่ทัพใหญ่นั่งมองพระชายาคนงามของตนแต่งกายด้วยชุดประจำตำแหน่ง จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หยางจินเห็นซูฮวาในชุดเต็มยศอย่างนี้ แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ คนผิดก็คือเขาเองที่ปฏิเสธเข้าร่วมพิธีอภิเษก
มู่ซูฮวาในชุดประจำตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องดูสง่างามราวกับมีแสงพุ่งออกมาจากร่าง แต่ใบหน้าหวานกลับดูอมทุกข์ประหนึ่งกำลังจะไปรับโทษในวังไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเทศกาล
“เจ้าไม่อยากเข้าวังหรือ” หยางจินถามเมื่อหลี่หมิงช่วยแต่งตัวเสร็จและเดินออกไปแล้ว
ทั้งห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน หยางจินจึงเดินไปโอบคนหน้ามุ่ยจากด้านหลัง
ซูฮวาพยักหน้าเศร้าๆ “ข้ากลัวพระมเหสี”
“นางใจดีจะตาย” เพราะหยางจินอยู่ข้างหลังซูฮวาก็เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกล่าวคำนี้ด้วยสีหน้าแบบไหน
“นางไม่ชอบข้า ตอนข้าเข้าวังไปถวายความเคารพนางก็ให้ข้าคุกเข่าอยู่ร่วมสองชั่วยาม” ซูฮวาถอนหายใจ
หยางจินไม่ได้ตอบเพื่อแบ่งรับแบ่งสู้อะไร ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเดินจูงมือคนตัวเล็กกว่าออกมาขึ้นรถม้าที่จอดรอไว้พร้อมแล้ว
ขึ้นชื่อว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ย่อมต้องจัดงานตอนกลางคืน วันนี้ท้องถนนยามราตรีคึกคักมากเป็นพิเศษ เหล่าประชาชนต่างออกมาเที่ยวเล่นในงานเทศกาล รถม้าของพวกซูฮวาจึงต้องใช้เส้นทางอ้อม กว่าจะมาถึงพระราชวังก็ใช้เวลาพอสมควรแต่ซูฮวากลับโปรดการนั่งรถม้ามากกว่าการอยู่ในวัง
ตลอดทางแม้หยางจินจะไม่ปล่อยมือจากซูฮวาเลยแต่ร่างบางก็ไม่ได้รู้สึกอุ่นใจมากนัก
กระทั่งเข้ามาถึงท้องพระโรง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ซูฮวาเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท
ร่างบางอดแปลกใจไม่ได้ที่โอรสสวรรค์ยังคงมีใบหน้าหล่อเหลาแม้จะเริ่มมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาและเส้นผมบางเส้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว ขณะย่อกายทำความเคารพพระองค์ซูฮวาก็เผลอไปสบตากับฝ่าบาทเข้า
และพระองค์ก็กล่าวในสิ่งที่ซูฮวาไม่เคยรู้มาก่อนออกมา “เจ้ามีส่วนคล้ายเสี่ยวเหมยตามคำร่ำลือจริงๆ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซูฮวาไม่แน่ใจนักว่ามันคือคำชมหรือเปล่าจึงขอบคุณไว้ก่อน
เสี่ยวเหมยที่ว่าน่าจะเป็นหานเหมยเหม่ย พระมารดาของหานชินอ๋อง
ร่างบางเหลือบมองหยางจินเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเหมือนเคย หลังจากถวายบังคมเสด็จพ่อเสร็จหยางจินก็จูงมือซูฮวามานั่งที่โต๊ะ ที่โต๊ะตัวข้างๆ มีจินเยว่นั่งรออยู่ก่อนแล้วอย่างเงียบเหงา ซูฮวามองไปทั่วงานเลี้ยงก็พบว่าท่านอ๋องและเหล่าขุนนางทุกคนต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน
มีแค่จินเยว่ที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว
และพี่ชายของจินเยว่ก็ตัดสินใจไม่ลุกไปรื่นเริงกับทุกคน ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงน้องหรือเป็นคนไม่ชอบสนทนาพาทีกับใครอยู่แล้วกันแน่
“จินเยว่ สบายดีไหม” ซูฮวาเห็นว่าสองพี่น้องเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็เลยลองชวนคุยดู
“อื้ม เจ้านั่นแหละ ได้ข่าวว่าตอนนี้กลายเป็นภรรยาคนเดียวในวังของเสด็จพี่แล้วหรือ คิกๆ ร้ายไม่เบาเลยนี่” คนที่ตัวพอๆ กับซูฮวาขยับโต๊ะเตี้ยของตนเองเข้ามาใกล้พระชายาน้อยอีกนิด
ดวงตาสีดำขลับของจินเยว่ทอประกายราวกับดีใจที่ในที่สุดก็มีเพื่อนคุยเสียที เห็นแล้วซูฮวาที่อายุมากกว่าปีหนึ่งก็อดเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันจะเอื้อมมือไปถึงจินเยว่ก็ยกพัดขึ้นมาตีมือขาวจนเกิดรอยแดงเสียก่อน
“คิดจะลูบหัวข้ายังเร็วไปร้อยปี!” ท่านอ๋องที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณีหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง
หลังจากที่ทั้งสองเริ่มคุยเล่นกันคิกคักได้ไม่นานก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าสะอาดสะอ้าน ดูทรงภูมิอย่างปัญญาชนและดูอ่อนโยนเป็นมิตร “พระชายามู่”
อีกฝ่ายกล่าวทักทายซูฮวาก็เลยจะทักทายกลับแต่ดันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใครเสียนี่
“เสด็จพี่ใหญ่” เป็นจินเยว่ที่ทักขึ้นมาก่อน
คนผู้นี้คือองค์ชายใหญ่อย่างนั้นหรือ
ซูฮวาแอบสังเกตผู้มาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ชายผู้นี้นั่งอยู่บนรถเข็นซึ่งทำจากไม้อยู่ตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างดูเล็กลีบเมื่อเทียบกับลำตัวซูฮวาจึงคิดว่าขาของอีกฝ่ายน่าจะมีปัญหาจนเดินไม่ได้และต้องนั่งอยู่บนรถเข็นมานานปีแล้ว
องค์ชายใหญ่เกิดจากนางกำนัลสถานะต่ำต้อยจึงไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์แม้จะเป็นลูกชายคนโต แต่ถึงกระนั้นยามที่เขาหันไปกล่าวคำทักทายกับหยางจินผู้เป็นถึงอดีตองค์รัชทายาทและพระโอรสที่ฝ่าบาททรงรักมากที่สุดกลับไม่มีแววริษยาเจือปนอยู่เลย
“น้องห้า ไม่ได้เจอหน้าเจ้าเสียนาน กลับเมืองหลวงก็ไม่ยอมมาทักทายกันเลย หรือเจ้าจะลืมพี่ชายผู้นี้ไปเสียแล้ว”
“ข้าจะลืมได้อย่างไรว่าใครเป็นคนสอนศาสตร์ความรู้มากมายให้ข้า” หยางจินก็ดูเหมือนจะให้ความเคารพองค์ชายใหญ่ไม่น้อย หลังจากทักทายกันเสร็จทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน
ซูฮวากับจินเยว่เลือกที่จะเลี่ยงบทสนทนาขององค์ชายทั้งสองออกมาอีกทางหนึ่ง จินเยว่ที่เดินไปทางไหนก็มีแต่คนหลีกทางหรือหลบหน้าจูงมือซูฮวามาที่สวน ในสวนเองก็คึกคักไปด้วยเหล่าขุนนางชั้นสูงหลายท่านที่กำลังนั่งดื่มสุรา ต่อกลอนและชมจันทร์กันอยู่แต่คนงามทั้งสองไม่ได้สนใจนัก
“ขอพรสิ” จินเยว่ชี้ไปยังพระจันทร์และทำท่าประสานมือให้ซูฮวาดู
“ขออะไรดี” พระชายาน้อยไม่มีสิ่งที่ต้องการเป็นพิเศษ ความฝันที่อยากรับราชการบัดนี้ก็เป็นจริงแล้วแม้จะถูกบังคับให้ทำงานในกองทัพก็เถอะแต่คนมักน้อยอย่างซูฮวาก็รู้สึกว่าทุกอย่างตอนนี้ดีพอแล้ว
“ข้าไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษเลย งั้นข้าขอให้เจ้าแล้วกัน ปีนี้เจ้าจะได้พรถึงสองข้อ”
ได้ยินแล้วจินเยว่ก็หัวเราะออกมา “เจ้าช่างเหมือนท่านพี่เหลือเกิน เขาน่ะนะ ทุกปีไม่เคยขอพรให้ตัวเองเลยแต่กลับขอให้ข้าตลอด เขาขอให้ข้ามีความสุขน่ะ!”
“อ้า อืมมม” ซูฮวาไม่รู้จะตอบอะไรดีเลยอือๆ ออๆ
สถานะของจินเยว่เป็นอย่างไรคนทั้งต้าจินรู้ดี เป็นถึงอ๋องแต่กลับมีชะตากรรมน่าเศร้า ต้องหลบอยู่ในป่าไผ่กับสาวใช้ที่เป็นใบ้ลำพัง จะมีก็แต่หยางจินที่ไปค้างคืนด้วย
คิดมาถึงตรงนี้ซูฮวาก็เบิกตาขึ้นน้อยๆ
ที่แท้หานชินอ๋องก็เป็นพี่ชายที่ดีมากนี่เอง ความจริงถ้าขี้เกียจเดินทางไกลเขาจะค้างคืนที่กองทัพหรือซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่แถวนั้นเลยก็ได้แต่กลับเลือกที่จะอยู่ในวังของเทียนชินอ๋องที่ทุรกันดาร ที่แท้ก็เพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนน้องชายนี่เอง
“เขาเป็นพี่ชายที่ดีนะ” ซูฮวากล่าว
“เขายังเป็นลูกที่ดีอีกด้วย พระมเหสีจางก็รักเขา เสด็จพ่อก็รักเขา” จินเยว่โอ้อวด
“พระมเหสีจางด้วยหรือ” ซูฮวาแปลกใจมาก
“พระมเหสีจางน่ะใจดีนะ นางให้องค์ชายทุกคนเรียกนางว่าเสด็จแม่ได้ แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ โดยเฉพาะข้า ตอนเด็กๆ ข้าก็ได้นางเลี้ยงดูมากับมือ” จินเยว่ยิ้มอย่างมีความสุขยามกล่าวถึงมารดาของแผ่นดินคนใหม่
และแล้วคนที่เทียนชินอ๋องกล่าวถึงก็เดินเข้ามาในบทสนทนา พระนางยังคงเพิกเฉยต่อพระชายาน้อยแต่กลับยกมือขึ้นลูบหัวจินเยว่อย่างรักใคร่เอ็นดู
“จินเยว่ ไปกับแม่ทางนี้หน่อย”
“แต่ซูฮวา...” เทียนชินอ๋องทำท่าจะไม่ไปแต่พระมเหสีจางกลับดึงมือเขาไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อเหลือตัวคนเดียวแล้วซูฮวาก็เดินกลับเข้าไปภายในงานเลี้ยง ร่างบางกวาดตามองหาพระสวามีแต่กลับพบองค์ชายใหญ่เท่านั้น
“หานชินอ๋องเล่า” ร่างบางเดินเข้าไปถามหาพระสวามีจากคนที่อยู่สนทนากับพระสวามีเป็นคนสุดท้าย
“ฝ่าบาทเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวน่ะ” องค์ชายใหญ่ตอบ เขาเลื่อนรถเข็นหลีกทางให้ซูฮวากลับเข้าไปนั่งที่
ชายหนุ่มผู้มีขาพิการถอนหายใจออกมายามจับจ้องใบหน้างาม “กระทั่งบัดนี้ความลุ่มหลงที่มีต่ออดีตพระมเหสีหานก็ไม่เคยลดทอนลงเลย แต่เพราะสมัยนั้นมีกระแสทัดทานมากมายจากเหล่าขุนนางเสด็จพ่อเลยจำใจปลดหยางจินออกจากตำแหน่งรัชทายาท”
“...”
“หากอดีตพระมเหสีเป็นภรรยาที่ฝ่าบาทรักที่สุดโดยไม่มีใครอาจโค่นได้แล้วล่ะก็หยางจินก็ยังคงเป็นโอรสอันดับหนึ่งในพระทัยของพระองค์จนถึงบัดนี้” องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ
“หากยังได้รับความโปรดปราณอยู่แล้วทำไมพระองค์จึงส่งหยางจินไปรบตลอดเจ็ดปีเล่า” ทีแรกซูฮวาคิดว่าหยางจินโดนพระมเหสีจางกลั่นแกล้งจึงเฉดหัวเขาออกไปแต่ดูเหมือนพระชายาน้อยจะคิดผิดไปไกลโพ้น
“หยางจินมีพรสวรรค์ ยิ่งเขาทำสงครามพิชิตข้าศึกมามากเท่าไร อำนาจบารมีของเขายิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อโอกาสเหมาะมาถึง ข้า...คิดว่า” พูดมาถึงตรงนี้องค์ชายใหญ่ก็หยุด
หยุดพูดยังไม่ทันไรเสียงของบุคคลที่สามก็ดังแทรกเข้ามา
“เมื่อโอกาสอันสมควรมาถึง เสด็จพ่อก็จะปลดข้าออกจากตำแหน่ง รัชทายาทแล้วก็คืนตำแหน่งให้พี่ห้าผู้เป็นลูกชายของนางอันเป็นที่รัก” ผู้มาใหม่เป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซูฮวา แต่ถึงจะอายุเท่ากันแต่อีกฝ่ายก็สูงกว่าซูฮวานัก สมแล้วที่สืบสายเลือดของราชวงศ์ไท่ติงมา
และฟังจากคำพูดคำจาแล้ว อีกฝ่ายก็น่าจะเป็น...
“รัชทายาท” ซูฮวากับองค์ชายใหญ่รีบทำความเคารพอีกฝ่าย
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสดใสสมวัยยกยิ้มกว้างก่อนจะกล่าวอย่างไม่ถือสาว่า “พวกท่านอย่ามากพิธีไปเลย ข้าก็แค่รัชทายาทตัวสำรองเท่านั้น” พูดจบแล้วก็หัวเราะคิกคักเหมือนอยากโดนปลดออกจากตำแหน่งเต็มแก่
ซูฮวาแปลกใจเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน คงเพราะเจอพระมเหสีจางทำเรื่องเจ็บแสบเอาไว้มากจึงไม่คิดว่าโอรสของนางจะมีอุปนิสัยเป็นมิตรถึงเพียงนี้
แล้วหลังจากนั้นทั้งสามคนก็กล่าววาจากันอีกเล็กน้อยตามมารยาท องค์รัชทายาทกล่าวชมความงามของซูฮวาไม่ขาดปาก เขามีแผนว่าจะทูลขอหญิงที่งามกว่าซูฮวาจากเสด็จแม่ แต่องค์ชายใหญ่บอกว่าพระมเหสีคงหาให้ไม่ได้หรอก คนแบบมู่ซูฮวาต่อให้พลิกแผ่นดินก็ใช่ว่าจะพานพบ
หลังจากนั่งคนเดียวอีกสักพักจินเยว่ก็กลับมาพร้อมขนมไหว้พระจันทร์หอบใหญ่ แถมยังยื่นขนมไหว้พระจันทร์ก้อนที่เล็กที่สุดในมือมาให้ซูฮวาพร้อมบอกว่าชิ้นนี้พระมเหสีจางอยากให้ซูฮวาลองชิมดู “เสด็จแม่ฝากให้เจ้า ลองชิมดูสิ”
พระชายาน้อยน้ำตาแทบกระเด็น ไม่รู้ว่าจินเยว่ไปช่วยพูดอะไรหรือเปล่าพระนางจึงยอมมอบขนมให้ตั้งหนึ่งชิ้น ถึงจะเป็นชิ้นเล็กๆ ก็เถอะแต่ซูฮวาก็ตั้งใจว่าจะเอากลับไปตั้งไว้ที่ข้างหัวเตียง
และในขณะเดียวกันหยางจินที่โดนเรียกตัวไปคุยก็เดินกลับมาด้วยใบหน้าหงุดหงิด ก่อนที่เขาจะเดินกลับมาที่โต๊ะก็มีเสนาบดีท่านหนึ่งเดินเข้าไปขวางทางเขาไว้พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อมว่า “ได้ยินว่าบัดนี้ในวังของท่านอ๋องไม่เหลือภรรยาคนอื่นนอกจากพระชายามู่แล้ว บุตรีของกระหม่อมอายุย่างเข้าสิบแปดปีพอดี กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องน่าจะ---”
“ไสหัวไปซะ!”
แม้จะอยู่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ได้ไกลจนไม่ได้ยินบทสนทนา
ตอนที่เห็นว่ามีขุนนางตรงปรี่เข้ามาเสนอบุตรีกับหยางจิน พระชายาน้อยก็เกิดอาการหัวใจตีบไปแล้ว แต่พอได้ยินพระสวามีไล่ขุนนางท่านนั้นอย่างไม่ไยดีหัวใจก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮ่าๆ ใครอยากให้ลูกสาวเป็นพระสนมในอนาคตก็ต้องรีบมาเสนอขายตั้งแต่ตอนนี้ เผลอๆ ก่อนจบงานเลี้ยงเสด็จพ่ออาจจะถือโอกาสประกาศปลด รัชทายาทก็ได้” ขนาดจินเยว่ที่อยู่ในป่าไผ่ยังรู้เรื่องที่โอรสสวรรค์ต้องการให้พี่ชายของตนกลับมาเป็นรัชทายาทเลย แสดงว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น
เมื่อใดที่หยางจินขึ้นครองราชย์เขาก็จะมีสนมมากมายเป็นร้อยเป็นพัน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วพระชายาน้อยก็เกิดอาการไหล่ตก ใจบางไปหมด
“กลับกันเถอะ” พอกลับมาที่โต๊ะหยางจินก็ดึงมือซูฮวาให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปดึงตัวน้องชายขึ้น “เจ้าเองก็กลับได้แล้ว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” จินเยว่ถาม
หยางจินส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ทุกอย่างเหมือนเดิม”
“อ้อ” พออ้อเสร็จ จินเยว่ก็หันมาร่ำลาสหายรัก
ยามนี้พระชายามู่กับหานชินอ๋องเดินขึ้นมาบนรถม้าแล้ว เนื่องจากเป็นงานใหญ่ซูฮวาจึงพาพวกหลี่หมิงมาด้วยไม่ได้ พอรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวร่างบางก็เริ่มขยุกขยิกนั่งไม่ติด อยากถามใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทเรียกท่านไปพูดเรื่องอะไร แล้วเรื่องที่ว่าท่านจะได้เป็นรัชทายาทนั้นเป็นเรื่องจริงไหม
แต่ซูฮวายังไม่ทันลำดับความคิดเสร็จหยางจินก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เจ้าอยากเป็นพระมเหสีไหม”
“พะ พูดอะไรของท่านน่ะ” ร่างบางรีบกระซิบกระซาบถามกลับ
หยางจินถามออกมาแบบนี้เป็นเรื่องไม่สมควรเลย เป็นคนธรรมดาล่ะก็มีโทษถึงประหารเลยนะ เล่นข้อหาสาปแช่งพระมเหสีองค์ปัจจุบันแบบนี้ ที่สำคัญก็คือ... “ถึงข้าจะมีใบหน้าเหมือนอดีตพระมเหสีหานก็เถอะ แต่ท่านจะยกข้าให้เสด็จพ่อของท่านไม่ได้นะ”
ซูฮวาคิดว่าฝ่าบาทเรียกหยางจินไปคุยเรื่องขอรับตัวซูฮวาเข้าวัง ก็ตอนถวายบังคมซูฮวาเผลอสบตาฝ่าบาทเข้าด้วยนี่สิ
“เจ้าไม่ได้เหมือนพระมารดาขนาดนั้น สิ่งเดียวที่เหมือนก็คืองดงามล่มเมืองเหมือนกัน” หยางจินรู้สึกหนักใจนิดๆ ทำไมพระชายาของเขาถึงตีความคำถามของเขาไปทางนั้นได้เล่า!
“ฟังคำถามของข้าใหม่นะ”
“อ้อ อื้ม” ซูฮวาหัวเราะแหะๆ
“เจ้าอยากเป็นพระมเหสีไหม”
“ในกรณีที่ท่านขึ้นครองราชย์หรือ” ซูฮวาย้อนถาม
หยางจินพยักหน้าร่างบางจึงนั่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
พี่หยางจินเป็นจักรพรรดิ ตนเป็นพระมเหสี มีอำนาจล้นฟ้าคับแผ่นดิน แต่ก็ต้องแบ่งปันพี่หยางจินกับสตรีนางอื่นอีกนับร้อยและราชกิจต่างๆ มากมาย ชั่งน้ำหนักดูแล้วซูฮวาคิดว่าถ้าหยางจินครองราชย์เมื่อใดทุกอย่างในปัจจุบันก็คงมลายหายไป
“ข้าคิดว่าข้าคงไม่เหมาะกับวังหลังเท่าไร หากท่านอยากครองราชย์จริงๆ ก็หย่าขาดกับข้าเถิด ไม่ต้องห่วง หลังจากหย่ากับท่านแล้วข้าจะออกบวชละซึ่งทางโลก” ซูฮวาตอบได้แค่นี้ บอกตรงๆ ว่าทำใจไม่ได้
ทั้งๆ ที่ทำใจไว้นานแล้วแท้ๆ ต่อให้ไม่ครองราชย์แต่สักวันหยางจินก็ต้องตบแต่งอนุคนใหม่เข้ามาอยู่ดี
“ข้า...ไม่เคยอยากเป็นภรรยาอยู่แล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ เป็นขุนนาง เป็นจอมยุทธ เป็นคนที่เข้มแข็ง ฮึก...เรื่องแค่นี้ทำข้าร้องไห้ไม่ได้หรอกนะ ฮือ” ปากพูดว่าไม่ แต่น้ำตานี่ไหลแหมะๆ
หยางจินตามซูฮวาไม่ทันอีกแล้ว เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าประโยคคำถาม สั้นๆ ของเขาทำให้พระชายาน้อยจินตนาการไปไกลถึงไหนแล้ว ร่างสูงรีบลากคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดปลอบ ทีนี้คนที่ร้องอยู่ก็ยิ่งร้องหนักขึ้นไปอีก
ซูฮวาใช้แขนทั้งสองข้างกอดพระสวามีเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน
ใครใช้ให้พี่หยางจินใจดีกับซูฮวานัก ใครใช้ให้เขาเป็นท่านอาจารย์จินที่สอนตนอย่างทุ่มเท แล้วใครใช้ให้เขาเป็นหานชินอ๋องสามีของมู่ซูฮวากัน! ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของชายคนนี้! ถ้าไม่ใช่ชายคนนี้ล่ะก็ซูฮวากล้าสาบานได้เลยว่าจะไม่มีวันเกิดความรู้สึกรักขึ้นมาหรอก
ใช่แล้ว ซูฮวาหลงรักหยางจินเข้าแล้ว
รักทั้งๆ ที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายแค่ลุ่มหลงนั่นแหละ
“ข้าปฏิเสธเสด็จพ่อไปแล้ว แต่พระองค์บอกว่าให้ข้ากลับมาคิดดูอีกทีหนึ่งข้าก็เลยลองถามเจ้าดูว่าเจ้าอยากเป็นพระมเหสีไหม หากเจ้าอยากเป็นข้าก็จะยอมเป็นโอรสสวรรค์ให้เจ้า...”
“ฮึก หือ เห...” คนงามเงยหน้าขึ้นมากะพริบตาปริบๆ “ท่านปฏิเสธไปหรือ!”
ซูฮวาตกใจมาก เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแต่หยางจินก็ยังคงยืนยันคำเดิม “ข้าไม่เคยปรารถนาในเรื่องนี้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่สิ ข้าน่ะ ไม่เคยมีสิ่งที่ต้องการเป็นพิเศษเลยดังนั้นทุกๆ ปีข้าจึงขอพรจากพระจันทร์ให้จินเยว่ แต่ว่าปีนี้ข้าไม่ขอพรให้คนอื่นแล้ว”
“ท่านมีสิ่งใดที่ปรารถนาหรือ”
“เจ้า”
“...”
“ข้าปรารถนาในตัวเจ้า”
“...”
“ดังนั้นถ้าเจ้ากล้าพูดว่าจะออกบวชอีกข้าจะตีเจ้าให้เจ้าเดินไม่ได้ไปเดือนนึงเลย”
ซูฮวาเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
“เจ้าก็น่าจะรู้จักคำว่าตีก้นของข้าดี”
พระชายาน้อยหน้าแดงไปหมด แต่ก็ยังคงพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มและความในใจของตนต่อไปอย่างสุดความสามารถ
หลี่หมิงสอนว่าเจ็บใหญ่ครั้งเดียวไปเลยดีกว่าเจ็บน้อยๆ แต่เจ็บนานๆ
แต่ซูฮวาคิดว่าได้รับความหลงใหลจากหานชินอ๋องแม้เพียงชั่วขณะ แต่ชาตินี้ก็นับว่าเกิดมาคุ้มค่าแล้ว
ร่างบางขยับตัวเข้าไปกอดซบอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฮวาเป็นฝ่ายเข้ามาออดอ้อนหยางจินจึงรู้สึกแปลกใจแต่ก็สวมกอดเอวเล็กเอาไว้แน่น ใบหน้าคมคายก้มลงซุกไซ้บริเวณซอกคอขาวอย่างเผลอไผล หลังจากสูดดมกลิ่นกายหอมหวานของคนงามจนหนำใจแล้วก็ผละตัวออกมาก่อน เพราะขืนกอดต่อไปล่ะก็คงยาวแน่
-------------------------------------
พี่หยางจินนนนนนนนนนนนนน โดนน้องเรียกว่าพี่หยางจินหน่อยเดียวก็สูญเสียมาดเย็นชาไปหมดดดดดดดด
#มาลาสุราลัย