วิญญาณเสน่หา
บทที่ 1
ไตรภูมิวางลังกระดาษที่บรรจุของใช้จนเต็มกล่องลงบนพื้นที่มีแต่คราบฝุ่นหนา ละอองฝุ่นกระจาย
คละคลุ้งจนเขาต้องยกมือปิดจมูกและปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้มันลอยเข้ามาในปอดไปมากกว่าที่เขาสูดเข้าไป
เยอะแล้ว หลังจากที่เขาขนของเข้ามาวางระเกะระกะเต็มห้องโถงเล็กๆ ที่กำลังยืนอยู่ในตอนนี้
เจ้าของดวงตาเรียวกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างพึงใจในขณะที่ยืดลำตัวสูงโปร่งและยกมือเท้าเอวไว้
แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยในการย้ายที่อยู่อาศัยแต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่จะได้มาอยู่ภายใต้บ้านทรง
ไทยหลังเล็กเก่าคร่ำริมคลองสายน้อยไกลออกมาจากความแออัดของผู้คนในพื้นที่ธุรกิจ
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มในวัยเพียงยี่สิบปีถ้วนๆ แต่ไตรภูมิกลับเป็นวัยรุ่นที่หลงใหลในความงดงาม
ของอดีต เขารักศิลปะเกือบจะทุกรูปแบบโดยเฉพาะบ้านทรงโบราณที่เขามักจะเฝ้ามองด้วยความทึ่งในการ
ออกแบบและก่อสร้าง เขามักจะขับรถยนต์คู่ใจตระเวณไปถ่ายรูปบ้านเหล่านั้นเก็บไว้จนเพื่อนๆรุ่นเดียวกันต่าง
พากันล้อเลียนว่าเขาเป็นตาแก่ในอดีตกลับชาติมาเกิดแต่ไตรภูมิก็ไม่ถือสา แถมยังขำไปกับคำล้อนั้นด้วยซ้ำ
ไตรภูมิเลือกเรียนศิลปะอย่างที่ใจรักในมหาวิทยาลัยชื่อดังทางด้านนี้ ครอบครัวซึ่งมีเพียงแม่ของเขา
เพียงคนเดียวไม่ได้ห้าม แม่ของเขาเลี้ยงลูกอย่างฝรั่งจึงปล่อยให้เขาได้เติบโตและตัดสินใจด้วยตนเอง
แม้กระทั่งตอนที่แม่พบรักกับชาวต่างชาติแล้วชวนเขาให้ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศด้วยกันแต่ไตรภูมิไม่ไป แม่ก็
ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่ซื้อคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองหลวงให้เขาได้อยู่อาศัย แต่ไตรภูมิกลับนึกเบื่อหน่ายความ
แออัดแก่งแย่งแข่งขันของผู้คนจนต้องขับรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่แม้ทิ้งไว้ให้ใช้ไปเที่ยวนอกเมืองอยู่
บ่อยครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ไตรภูมิขับรถมาเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายมาถึงชานเมืองในแถบ
ปริมณฑล เขาพารถคู่ใจเข้ามาในถนนเส้นเล็กที่มีบ้านเรือนสร้างอยู่กระจัดกระจาย แต่แล้วสายตาของไตรภูมิก็
ต้องสะดุดกับบ้านโบราณหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านสมัยใหม่ บ้านหลังนั้นล้อมรั้วด้วยกำแพงอิฐแดงที่มีไม้
เลื้อยดกอยู่จนเป็นพุ่ม มันงดงามจนไตรภูมิต้องหยุดรถและก้าวลงไปดูชัดๆ
หน้าจะเป็นบ้านที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หกถ้าความรู้ของเขาไม่ผิดพลาด ไตรภูมิยืนเกาะรั้วเหล็กที่
น่าจะสร้างขึ้นภายหลังจ้องมองตาโต บ้านสองชั้นที่ได้อิทธิพลมาจากบ้านทรงวิกตอเรียของยุโรป ตัวบ้านสร้าง
ด้วยรูปทรงห้องมุขหกเหลี่ยมและมีลายฉลุที่เรียกกันว่าลายขนมปังขิงกำลังทำให้เขาใจสั่น
ไม่รู้ว่าทำไมบ้านโบราณหลังนี้จึงตรึงสายตามากนัก ทั้งที่มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากบ้านหลังอื่นที่เขา
เคยเห็น แต่เมื่อได้จ้องไปยังตัวบ้านที่ยังไม่ได้ทรุดโทรมถึงขนาดซ่อมแซมไม่ได้ อยู่ๆ ไตรภูมิก็น้ำตาไหลโดยที่
ไม่รู้สาเหตุ
เขาอยากได้บ้านหลังนี้!
บอกกับตัวเองอย่างไม่ลังเล พลันสายตาก็หันไปเห็นป้ายโฟมเล็กๆ ที่มีตัวอักษรเขียนว่าขายด่วนพร้อม
เบอร์โทรทิ้งไว้ ดวงตาของไตรภูมิลุกวาบเขาถลาไปคว้ามันและรีบโทรไปตามเบอร์นั้น และเป็นอีกครั้งที่ไตรภูมิ
แปลกใจกับราคาอันถูกเหลือเชื่อ นัยว่าเจ้าของนั้นเปลี่ยนมือมาหลายคนจนสืบเสาะไม่ได้ว่าเจ้าของรุ่นแรกคือ
ใคร ส่วนเจ้าของปัจจุบันนั้นกำลังอับจนในเรื่องเงินจากธุรกิจที่ล้มละลายจึงประกาศขายราคาถูก แต่ก็ไม่มีใคร
ซื้อเพราะเป็นบ้านเก่าที่ต้องบูรณะอีกหลายส่วน ไตรภูมิเอ่ยปากขอซื้ออย่างไม่ลังเลด้วยเงินเก็บจากการขาย
ภาพวาดของเขานั้นก็มีไม่น้อย และไตรภูมิก็ได้เป็นเจ้าของในที่สุด
ใช้วันว่างอย่างวันหยุดสุดสัปดาห์ในวันนี้ย้ายของจากคอนโดมิเนียมมาสู่บ้านหลังเก่า ไตรภูมิใช้เวลา
ไปทั้งวันกว่าจะทำความสะอาดบ้านชั้นล่างจนเสร็จเรียบร้อยและจัดของเข้าที่ทาง ชายหนุ่มยืนมองผลงาน
ตัวเองอย่างพอใจก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ยกเฟรมวาดรูปมาจากหลังรถ จึงรีบเดินไปยกเข้ามาในบ้าน และ
ด้วยความสูงของกรอบไม้มันจึงเกี่ยวอยู่กับประตูทางเข้าตัวบ้าน ชายหนุ่มต้องขยับไปมาจนมุมหนึ่งของกรอบ
ไปเกี่ยวเข้าไปเศษผ้าสีแดงเก่าคร่ำที่อยู่ตรงขอบด้านบนของประตูจนมันขาดหลุดปลิวตามลม
สายลมหอบกรูวูบหนึ่งพัดผ่านกายแตะไล้จนขนลุกชัน ไตรภูมิสะดุ้งอย่างไม่รู้ตัวก่อนที่เขาจะสะบัด
หน้าเรียกสติกลับคืนมา
“จะบ้าหรือไงไอ้ไตร”
เขาบ่นตัวเองเบาๆ กับความรู้สึกแปลกๆนั่น พลางวางเฟรมวาดรูปไว้กลางห้องโถงตรงส่วนมุขด้านหน้า
คืนนี้คงต้องนอนที่ชั้นล่างนี่ไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ถึงจะไปทำความสะอาดข้างบนชั้นสองที่แบ่งเป็นห้องนอนอยู่สอง
ห้อง ไตรภูมิบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยขบพลางเดินไปอุ่นข้าวกล่องในไมโครเวฟที่หอบหิ้วมาด้วยกินจนอิ่มหนำ พลบ
ค่ำพอดีเมื่อเขาเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำที่ดัดแปลงมาจนทันสมัย แล้วมาล้มตัวลงนอนอยู่บนที่นอนฟองน้ำซึ่งใช้
เป็นที่นอนชั่วคราวในคืนนี้ เขาหลับลงอย่างง่ายดายด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่มีตลอดทั้งวัน
เสียงลมหวีดหวิวพัดหอบใบไม้อยู่เบื้องนอก ไตรภูมิขดตัวนอนอยู่บนที่นอนผืนเล็กอย่างเหน็บหนาวราว
กับสายลมนั้นกำลังกรูเข้ามาอาบไล้ไปตามเนื้อตัวจนหนาวสั่นกับความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น
“อื้อ”
ครางแผ่วเบาเมื่อรู้สึกเหมือนฝ่ามือเย็นเยียบกำลังลูบไล้อยู่ตรงท่อนแขน เปลือกตาที่ปิดอยู่เต้นระริก
ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งฝัน
“คุณพุ่ม”
ใคร?
เสียงเบาจนแทบจับใจความไม่ได้ลอยวนอยู่ในโสตประสาท ไตรภูมิรู้สึกเหมือนเสียงนั้นดังแว่วอยู่ใกล้หู
นี่เอง
“คุณพุ่มของไอ้ดิน”
ความรู้สึกหนาหนักโถมทับอยู่บนร่างกายจนอึดอัด ไตรภูมิพยายามที่จะเหยียดข้อแขนออกก็ทำไม่ได้
ราวกับว่าแรงนั้นกำลังโอบรัดอยู่รอบลำตัวจนกระดิกไม่ได้
“ใครน่ะ”
ตะโกนถามอยู่ในความมืดมิด ไตรภูมิอดนึกกลัวไม่ได้กับสิ่งที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“ในที่สุดคุณพุ่มก็กลับมาหาไอ้ดินแล้ว”
“ปล่อย”
ไตรภูมิกระสับกระส่ายกับแรงที่ยิ่งบีบรัด ลมหายใจของเขาเริ่มถี่ขึ้นแรงนั้นกดผ่านมาแถวใบหน้าบังคับ
ให้เขาต้องเงยหน้ารับแรงกดคลับคล้ายแรงผู้ชายตัวใหญ่กำลังกอดรัด
“คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงคุณพุ่ม”
เสียงนั้นดังแว่วอยู่แถวนี้เอง ไตรภูมิขยับปากเพื่อจะบอกกล่าวว่าเขาไม่ได้ชื่อพุ่ม แต่ทันใดปากของเขา
ก็ต้องอ้าค้างเมื่อมวลหนักนั้นทิ้งลงอยู่แถวริมฝีปากแล้วบดลงมาจนเขาร้อนวูบ
“อื้อ อย่า”
ร้อนวูบไปทั้งโพรงปากกับสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไรกำลังลูบไล้ไปตามลิ้นชื้น มันกระตุ้นหัวใจให้เต้นถี่ไม่
เป็นจังหวะและเผลอไผลเผยอปากรับราวกับคุ้นเคยเนิ่นนาน
กริ๊งงงงงง
ไตรภูมิสะดุ้งเฮือก ดวงตาโตเบิกกว้างมองเพดานห้องอย่างตกใจ เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ
ที่ลืมปิดปลุกเขาในยามเช้ากับแสงเรืองรองที่ลอดผ่านเข้ามาในบ้านทำให้เขาตกใจตื่นจากสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
เด้งตัวขึ้นมานั่งพลางยกมือวางไว้ที่หน้าอกตัวเองเพื่อควบคุมให้มันสงบ คิ้วโก่งเข้มขมวดเป็นปมเมื่อ
ก้มหน้าสำรวจร่างกายตนเองจึงได้เห็นว่ากระดุมชุดนอนหลุดออกจากกันหลายเม็ด
“เฮ้ย เป็นไปได้ไงวะ”
ไตรภูมิงงงัน ต่อให้นอนดิ้นแค่ไหนเขาก็ไม่เคยละเมอขึ้นมาถอดเสื้อแน่ๆ ซ้ำร้ายยังมีรอยแดงจางๆ อยู่
ตามแผ่นอกให้ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก เขายกมือเกาหัวอย่างข้องใจ
“สงสัยจะเหนื่อยมากจนฝันบ้าๆบอๆ”
เจ้าของบ้านคนใหม่ส่ายหน้าไปมาพลางลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ ทันทีที่เห็นใบหน้าตัวเองไตรภูมิก็ต้อง
ขมวดคิ้วอีกครั้ง เขายกปลายนิ้วไปแตะอยู่ที่มุมปากเมื่อมองเห็นรอยสีแดงเรื่อปรากฎอยู่
“รอยเหี้ยไรวะ”
สบถอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะเปิดน้ำจากฝักบัวให้ไหลรดความร้อนรุ่มออกไปจากร่างกาย
ถือโอกาสที่ตื่นเช้าไตรภูมิเข้าครัวทำอาหารง่ายๆจากของสดที่เตรียมมาใส่ตู้เย็นไว้ แล้วเดินไปที่หน้า
บ้าน มองเห็นภิกษุชราในจีวรสีเหลืองกำลังเดินเลาะริมถนนตรงมาไม่ห่างนัก
“นิมนต์ครับหลวงพ่อ”
ตักข้าวใส่บาตรพระเสร็จเขาจึงยอบตัวรับพร หลวงพ่อนิ่งมองด้วยสายตาปรานี
“มาอยู่ใหม่หรือพ่อหนุ่ม”
ไตรภูมิยิ้มรับ
“ครับหลวงพ่อ ผมเพิ่งซื้อบ้านหลังนี้”
สายตาที่เริ่มฝ้าฟางของภิกษุชรามองตรงมา แล้วจึงเอ่ยคำพูดที่ไตรภูมิตามไม่ทัน
“ในที่สุดก็กลับมาหากันจนได้สินะ”
“อะไรนะครับหลวงพ่อ ใครกลับมาหาใคร”
“ช่างเถอะ หลวงพ่อก็บ่นเรื่อยเปื่อยตามประสา นั่นมีขวดน้ำอยู่นี่ เอามากรวดน้ำสิหลวงพ่อจะท่องบท
กรวดน้ำให้”
ไตรภูมิทำตามอย่างที่พระภิกษุบอก ก่อนที่เขาจะมองสบตาดวงตาฝ้าฟางนั้นอย่างแปลกใจเมื่อฝ่ามือ
เหี่ยวย่นล้วงลงไปในย่ามแล้วล้วงหยิบพระองค์เล็กมายื่นใส่มือของเขา
“คล้องคอไว้เสียพ่อหนุ่ม พระพุทธคุณจะช่วยคุ้มครอง”
ไตรภูมิหลับสบายในคืนต่อมาหลังจากทำความสะอาดห้องพักชั้นบนเสร็จสรรพ ภายในบ้านหลังเก่า
สะอาดตาขึ้นและภายในสัปดาห์นั้น เขาเกณฑ์เพื่อนฝูงที่เรียนด้วยกันให้มาช่วยกันบูรณะภายนอกจนกระทั่ง
มันงดงามราวกับเป็นบ้านใหม่
ด้านหลังรั้วบ้านไปไม่ไกลมีลำคลองเส้นเล็กที่น้ำยังสะอาดไม่มีกลิ่นเน่าเสีย วันสุดท้ายของการ
ซ่อมแซมบ้านไตรภูมิจึงชักชวนเพื่อนๆ ไปเล่นน้ำที่คลอง
“กูนึกถึงแผลเก่าเลยสัส ดูดิ มีต้นไทรอยู่ตรงนั้นด้วย”
ไตรภูมหันขวับไปมอง ต้นไทรต้นใหญ่จนรากไทรจุ่มจมน้ำ ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมอง
เขาต้องเคยเห็นต้นไทรนี่แน่ๆ มันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน ไตรภูมิไม่เข้าใจว่ามันเพราะอะไร เพราะเขา
มั่นใจว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
มีต่ออีกนิด