ตอนที่ 13
ถ้าจะนับจำนวนครั้งที่ผมได้มาเยือนห้อง 403 หลังจากรู้จักและผ่านเรื่องราวบ้าๆ บอๆ ด้วยกันมาสิบนิ้วมือคงนับไม่พอ คีย์การ์ดที่เจ้าของห้องให้มาก็นับว่าใช้ได้อย่างคุ้มค่า แม้ส่วนใหญ่จะได้ใช้ตอนมาส่งข้าวส่งน้ำก็ตาม
ช่วง 2-3 วันมานี้ผมกลายเป็นคนว่างงานเพราะป้านกปิดร้านพาครอบครัวไปพักผ่อนที่หัวหิน เลยกลายเป็นฤกษ์งามยามดีที่ต้นสนถือโอกาสทวงสัญญา ที่จริงจะเรียกว่าสัญญาก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าโดนบังคับแต่ก็เต็มใจทำจะดีกว่า
หลังจากเลิกเรียนช่วงบ่ายผมก็มุ่งหน้าไปยังตลาดโดยมีสองศรีเพื่อนรักตามมาด้วย เพราะคำสัญญาที่ให้กับต้นสนไว้ว่าจะทำกับข้าวให้กิน เมื่อวานเจ้าตัวเลยยัดเงินใส่มือผมมาห้าร้อยบาทแล้วบอกว่า 'จัดการได้เต็มที่' พร้อมยกครัวให้ด้วย
ส่วนเมนูที่ผมคิดไว้นั้นมีร้อยแปดพัดเก้า ทั้งที่จริงถ้านับที่ทำได้มีไม่กี่สิบอย่างก็เถอะ พอถามเจ้าตัวก็ตอบกลับมาแค่ว่ากินอะไรก็ได้ มาลองนึกๆ ดูที่เคยเห็นต้นสนกินก็มีแต่อาหารไทยทั่วๆ ไป ไม่แกงร้านป้านกก็กับข้าวโรงอาหาร เพราะฉะนั้นเมนูของเย็นวันนี้ผมเลยเลือกทำอะไรที่แปลกออกไปสักหน่อยอย่าง...สปาเก็ตตี้
"มันแปลกตรงไหนวะ" คนที่ขัดความคิดผมคือไอ้เจน ก่อนหน้านี้ผมถามหาไอเดียจากมัน แต่มันดันเสนออาหารเกาหลีอย่างบิบิมบับที่ผมยังไม่รู้เลยว่าหน้าตามันเป็นยังไงเลยตัดทิ้งแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
"กูเคยกินที่เดอะพิชซ่า มันก็อร่อยดีนะมึง แต่ประเด็นคืออย่างอื่นกูทำไม่เป็น"
"อย่างกับไอ้สปาเก็ตตี้นี่มึงทำเป็น ในคาบยังเห็นเปิดกูเกิ้ลจดสูตรอยู่เลย" ไอ้เจนเถียงทันควัน
เออ ยอมรับก็ได้ ไอ้สปาเก็ตตี้เนี่ยผมก็ทำไม่เป็นหรอก วันๆ ช่วยป้านกหั่นผักหั่นหมู ดีหน่อยก็ช่วยปรุง แต่เพราะมันดูจะทำง่ายที่สุดเลยเลือกมา
"แล้วทำไมไม่ทำอะไรที่ทำเป็นอยู่แล้ววะ ข้าวผัดต้มยำที่มึงเคยทำก็อร่อยนะ" ไอ้ว่านเสนอ กับพวกมันผมเคยทำให้กินอยู่บ้างนานๆ ที ก็นับว่าเป็นบุญปากพวกมันแล้วที่ได้ลิ้มรสชาติฝีมือการทำอาหารของผม
"กูกลัวต้นสนเบื่ออาหารไทย"
"ถามแล้วเหรอถึงรู้"
"ปกติก็เห็นกินแต่ข้าวแกง เลยอยากทำอะไรแปลกๆ ดูบ้าง"
ไอ้ว่านกับไอ้เจนหันมองหน้ากัน พวกมันขมวดคิ้วเหมือนกำลังระดมความคิด ดูคิดหนักและเป็นเดือดเป็นร้อนกับอาหารมื้อนี้อยู่ไม่น้อย แต่จะให้มาเปลี่ยนเมนูเอาตอนนี้จะดีเหรอ ผมลิสต์รายการของที่จะซื้อมาหมดแล้ว ถ้าเปลี่ยนก็ต้องคิดอีกว่าจะซื้ออะไรบ้าง
"กูว่าทำอะไรที่มึงมั่นใจดีกว่า กูเชียร์ข้าวผัดต้มยำ"
"กูด้วย อยากกิน"
สรุปที่พวกมันเชียร์เมนูนี้คืออยากกินว่าเองว่างั้น
ก็ได้ เอาเป็นว่าเย็นนี้ทำข้าวผัดต้มยำก็แล้วกัน
ข้าวผัดสีส้มหน้าตาจัดจ้านมีกุ้งกับปลาหมึกโปะหน้าถูกจัดใส่จานสำหรับสองที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว กลิ่นหอมๆ ของเครื่องต้มยำชวนให้น้ำลายสอ หน้าตาเองก็น่ากินไม่หยอก เพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้พ่อครัวมือสมัครเล่นอย่างผมยิ้มกว้างมองอาหารสองจานตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากที่โดนเพื่อนรักทั้งสองทิ้งให้จัดการทำมื้อเย็นคนเดียวด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากเข้ามายุ่มย่ามในห้องของต้นสนเพราะไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว ผมก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะเนรมิตเมนูนี้ออกมาได้ พร้อมทั้งบริการส่งถึงที่เอาไปให้ไอ้ว่านกับไอ้เจนได้ลิ้มลองรสชาติก่อนจะกลับมาจัดโต๊ะสำหรับเจ้าของห้อง 403 ที่ยังไม่กลับมสักที
ตามตารางแล้ววันนี้ต้นสนเลิกเรียนหกโมง แต่เพราะอาจารย์เข้าสายคลาสเลยเลทแบบไม่ต้องสงสัย จนตอนนี้ปาเข้าไปหนึ่งทุ่มกว่า ผมว่าคงจะได้เวลาแล้วล่ะมั้ง
ทว่าคิดยังไม่ทันไรผมก็ได้ยินเสียงประตู สองขาก้าวออกจากครัวไปชะเง้อคอดูก็พบต้นสนในสภาพซอมบี้ หอบกระเป๋าสองใบเดินโซเซแบบแกล้งทำเข้ามาข้างใน
"หอม" พูดออกมาคำเดียวแล้วซอมบี้ผู้หิวโหยก็โยนกระเป๋าลงบนโซฟาเดินเข้ามาในครัว
"ทำข้าวผัดต้มยำนะ"
"น่ากิน"
"มีทับทิมกรอบซื้อมาจากตลาดด้วย"
"อยากกิน"
"นั่งกินหน้าทีวีดีมั้ย"
"ดี"
"ไปล้างมือก่อนไป"
"รับทราบ" ต้นสนรับคำอย่างแข็งขันก่อนเดินไปล้างมือที่ซิงค์
ผมมองท่าทางเหมือนเด็กน้อยนั่นแล้วได้แต่อมยิ้ม ก่อนยกข้าวผัดต้มยำทั้งสองจานไปวางไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นหน้าทีวี ส่วนเจ้าของห้องพอล้างมือเสร็จก็ยกน้ำดื่มตามมา
"กินเลยนะ หิวมาก"
"เอาเลย"
ช้อนส้อมพร้อมอยู่ในมือ พอได้รับคำอนุญาตข้าวผัดคำแรกก็ถูกตักใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ มองตามแล้วผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ทำทีเป็นเขี่ยข้าวยังไม่ยอมกินเพื่อลอบมองปฏิกิริยาจากเจ้าของห้อง จนดวงตาที่คล้ายหมีแพนด้าเบิกกว้างขึ้น ใจผมก็รู้สึกพองโตขึ้นมา
"อร่อยมาก"
"อร่อยหรือหิว" ผมแกล้งถาม เป็นมุกที่ใจจริงแล้วอยากให้คนฟังตอบย้ำคำพูดแรกมากกว่าตบมุกกลับมา
"อร่อยจริงๆ ฝีมือร้ายกาจนะเนี่ย" พูดแล้วเอาช้อนชี้หน้าผม ทั้งที่ข้าวยังเต็มปากอยู่เลย
"เคี้ยวให้หมดก่อนค่อยพูด"
"คร้าบๆ" น่าแปลกที่วันนี้ต้นสนไม่หาว่าผมบ่น ยิ้มรับตาปิดตักข้าวกินเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี
สรุปอร่อยเพราะหิวใช่ไหมล่ะเนี่ย
"งานเริ่มเยอะอีกแล้วเหรอ" เห็นสภาพในห้องเริ่มกลับมารกอีกครั้งจึงไม่สามารถเดาเป็นอย่างอื่นไปได้ ทั้งสภาพคนทั้งโพสอิท สอบเสร็จก็เปิดรับงานไม่อั้นอีกแล้วสินะ
"เดือนหน้ามีงานออกบูธ ขายพวกนิยาย แฟนฟิค ของไอดอลเกาหลีอะไรพวกนี้ งานเลยเข้าเพียบเลย ทั้งปกทั้งภาพประกอบ คิดอยู่ว่าอยากเอาโปสการ์ดไปขายด้วยเหมือนกัน"
"ทำอะไรเยอะแยะ พักบ้างเถอะ เดี๋ยวก็วูบอีก"
"ไม่ๆ ไม่เยอะเลย โปสการ์ดนี่ของเก่า ส่วนที่จ้างใหม่มีแค่สามงานเอง"
ผมหรี่ตามองคนพูดกลับกลอกอย่างไม่เชื่อ ไหนเมื่อกี้ว่างานเข้ามาเพียบ มาบอกว่างานไม่เยอะตอนนี้มันไม่ทันแล้ว
"แต่ก็จะรับเรื่อยๆ ใช่มั้ย"
"ถ้ามีคนจ้างนะ" ตอบแล้วยิ้มแหย เหมือนกลัวจะโดนผมว่า
"ปฏิเสธบ้างไม่ได้เหรอ"
"มันน่าดีใจออกที่มีคนชอบผลงานเรา อยากให้เรามีส่วนร่วมในงานของเขาหรือเก็บผลงานเราไว้ เพราะงั้นเลยไม่อยากปฏิเสธงาน"
ผมเลิกเซ้าซี้แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าการเป็นคนดัง เป็นคนที่หลายคนยอมรับและถูกชื่นชมมันเป็นยังไง ต้องแคร์ความรู้สึกใครบ้าง ต้องน้อมรับความรู้สึกเหล่านั้นไว้แล้วตอบแทนด้วยผลงานที่ทำให้พวกเขามีความสุขอย่างนั้นน่ะเหรอ
ความสุขกับสภาพร่อแร่อย่างกับซอมบี้
"อย่าหักโหมเกินไปแล้วกัน" ผมก็เตือนได้แค่นี้
"รู้แล้วครับ"
"เรายังเรียนอยู่ ไม่ได้มีเวลามาทุ่มให้งานพวกนี้อย่างเดียว แค่เรียนก็ปวดหัวจะตายแล้วยังมีเรื่องอื่นมาสุมหัวอีก จะทำมันก็ทำได้อยู่หรอก แต่หัดดูแลตัวเองหน่อย"
"ยังมีปลื้มอยู่นี่ไง"
ผมละสายตาจากข้าวผัดตรงหน้าหันไปมองคนพูดที่กำลังอมยิ้ม ล้อเล่นหรือจริงจัง ออกจะโกรธอยู่นิดๆ ที่บอกแล้วต้นสนยังไม่สำนึก แต่ลึกๆ กลับรู้สึกดีใจ เหมือนกับว่าผมสามารถดูแลคนคนหนึ่งได้เขาถึงกล้าพูดแบบนี้ออกมา
"เราคอยดูแลต้นสนตลอดไปไม่ได้หรอกนะ"
"แต่อย่างน้อยก็ตอนนี้"
ริมฝีปากผมยกยิ้มบางๆ อย่างหมดคำพูด ทำทีเป็นเลิกสนใจคนที่เริ่มง้องแง้งใส่แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวที่เหลืออยู่ให้หมดจาน
ถึงจะดูแลตลอดไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ ผมจะดูแลคนคนนี้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
ทั้งของคาวของหวานถูกจัดการจนเกลี้ยง จานยังวางทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยความขี้เกียจ ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งวันสั่งให้ผมเหยียดตัวนอนยาวๆ ทั้งที่เพิ่งกินอิ่ม เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเลียนแบบ
ผมกับต้นสนต่างคนต่างใช้เวลาส่วนตัวหลังจากอิ่มท้อง นอนเล่นมือถือสลับกับมองทีวี อากาศในห้องเย็นจวนเจียนจะหลับ แล้วอยู่ๆ เจ้าของห้องเปิดประเด็นขึ้นมา
"ทำไมปลื้มไม่ลองเรียนทำอาหารดูอ่ะ น่าจะเหมาะ" ต้นสนที่นอนอยู่บนโซฟาชะโงกหน้ามาถาม กะทันหันจนต้องใช้เวลาคิดคำตอบสักพัก
"ไม่เคยคิดเลยแฮะ ไม่ได้คิดด้วยว่าอยากเอามาเป็นอาชีพ"
"แล้วถ้าเรียนจบปลื้มจะทำอะไร"
"เอาจริงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน อยากกลับไปอยู่บ้าน แต่ไม่รู้จะมีงานหรือเปล่า"
บ้านที่ต่างจังหวัดผมค่อนข้างทุรกันดาร ถ้าอยากได้งานดีๆ ต้องเข้าไปทำในตัวเมืองหรือไม่ก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ยาวๆ ไปเลย คนในหมู่บ้านผมส่วนใหญ่ทำการเกษตรกรรม ปลูกข้าว ทำสวน พ่อแม่ผมเองก็เหมือนกัน รายได้ไม่คงที่ แค่พอให้มีอยู่มีกินไปทุกเดือน
"แล้วปลื้มทำอะไรได้อีกนอกจากทำกับข้าว"
ต้นสนโยนคำถามที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนักมาให้ผมอีกครั้ง สิ่งที่ทำได้น่ะมีหลายอย่าง ถ้าถามว่าทำแบบนั้นแบบนี้ได้ไหมให้มันระบุเจาะจงไปเลยยังตอบง่ายกว่า แต่ทุกอย่างที่ทำได้มันไม่สามารถเรียกได้ว่าดีที่สุด
"ก็หลายอย่าง"
"อย่างเช่นอะไรอ่ะ กีฬา บาส บอล วอลเลย์"
"ก็ได้หมด" ผมน่ะนักกีฬาโรงเรียน แถมคงคอนเซ็ปต์เล่นเป็นทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง
"ดนตรี"
"กีตาร์" อันนี้ฝึกไว้เล่นจีบสาว แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้เท่าไร
"ร้องเพลงได้ด้วยป่ะ"
"ก็พอได้อยู่" เสียงผมก็ไม่ได้แย่นักหรอก
"งั้นร้องให้ฟังหน่อยดิ" ต้นสนเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง ร้องขอแววตาเป็นประกายวิบวับคล้ายลูกแมว
"ตอนนี้อ่ะนะ"
"ใช่"
"มีกีตาร์เหรอ"
"ไม่มีอ่ะ"
"แล้วจะร้องเฉยๆ เนี่ยนะ"
"ไม่ได้เหรอ" ถามได้หน้าตาบ๊องแบ๊วจนผมอยากจะเขกหัวแรงๆ สักที ร้องเฉยๆ มันก็เขินไง ถ้าดีดกีตาร์แล้วร้องเพลงไปด้วยมันดูเท่กว่ากันเยอะ
"ไว้วันหลังเถอะ" ผมบอกปัด แต่ท่าทางต้นสนจะไม่ยอมง่ายๆ
"อยากได้อะไรมาประกอบจังหวะใช่มั้ย เอาจานได้ป่ะ หรือเปิดคาราโอเกะในยูทูปดี"
ผมเลือกไม่ถูกว่าจะเหนื่อยใจหรือจะขำกับความดันทุรังนี่ดี พอลั่นวาจาว่าอยากให้ทำก็จะเอาให้ได้ ถึงขั้นจะลุกไปหยิบจานมาเคาะจังหวะให้อย่างที่บอกถ้าผมไม่ห้ามไว้เสียก่อน แบบนี้มันลูกคุณหนูเอาแต่ใจของแท้เลย
"ถ้ากีตาร์ ไอ้ว่านน่าจะมีมั้ง" นึกถึงใครไม่ออกให้นึกถึงเพื่อนรัก จำได้ว่าตอนปีหนึ่งเคยมานั่งเล่นกีตาร์ที่ห้องมัน แต่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะยังอยู่หรือเปล่า
"ว่านมีเหรอ"
"น่าจะนะ เดี๋ยวไปถามมันก่อน"
ต้นสนรีบพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำท่าเหมือนเด็กเวลาอ้อนแล้วได้ของตามใจ เป็นอะไรที่มองแล้วต้องเผลอส่ายหน้าใส่ แต่เป็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
ออกมายืนอยู่หน้าห้องไอ้ว่านผมก็โทรเรียกมันให้ออกมาเปิดประตูให้พร้อมบอกจุดประสงค์ โชคดีที่กีตาร์ตัวนั้นยังอยู่ มันไปค้นออกมาจากห้องนอนพร้อมกับโยนคำถามที่ทำเอาผมตอบไม่ถูกมาให้
"พวกมึงจีบกันอยู่เหรอ" ไอ้ว่านถามหน้าตาย ส่วนไอ้เจนที่ไม่ยอมกลับบ้านรอคอยคำตอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ถามอะไรของมึงเนี่ย"
"เอ้า! ก็อยู่ๆ มาขอกีตาร์ไปร้องเพลง กูก็นึกว่าจะร้องเพลงจีบกันไรงี้"
"คิดได้นะมึง แค่ร้องเล่นกันเฉยๆ พวกมึงจะไปด้วยมั้ยล่ะ"
พวกมันสองคนพากันส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
"ตามสบายครับเพื่อน ขอให้สนุกนะ"
"มีอะไรก็มาเล่าให้พวกกูฟังด้วย"
"เออๆ" ผมตอบรับส่งๆ มองพวกมันที่ยิ้มแปลกๆ พร้อมใจกันยกมือบ๊ายบายก่อนผมจะเดินออกมาจากห้องพร้อมกีตาร์โปร่งของไอ้ว่าน
เห็นผมถือกีตาร์กลับเข้ามาในห้องต้นสนก็ยิ้มแฉ่ง ขยับแบ่งที่นั่งบนโซฟาให้ผมครึ่งหนึ่ง
"เอาเพลงอะไรดี" จัดแจงท่านั่งเรียบร้อยผมก็ถามความเห็นคนที่อยากฟัง ตอนนี้ในหัวผมว่างเปล่ามาก นึกไม่ออกเลยว่าจะเล่นเพลงอะไร
"ปลื้มเล่นเพลงอะไรได้บ้าง"
"ถ้ามีคอร์ดก็เล่นได้หมด"
"แล้วจะดูคอร์ดไงอ่ะ" ถามแล้วก็ทำหน้ามึนใส่ แล้วผมจะไปรู้ไหมล่ะ
"เปิดดูในมือถือก็ได้มั้ง"
"งั้นไปหน้าคอมฯ ดีกว่า" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกวักมือเรียกผมยิกๆ ให้เดินตามไป
ต้นสนจัดการเปิดคอมพิวเตอร์ จัดเก้าอี้ทั้งสองตัวให้อยู่ระหว่างกลางของหน้าจอพอดี เปิดเข้ากูเกิ้ลแล้วถึงได้หันมาถามผม
"สรุปเอาเพลงอะไร"
"เลือกมาเลย"
"ก่อนฤดูฝนมั้ย"
"เฮ้ยไม่เอา! ร้องไม่ทัน" ผมรีบปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดจนต้นสนหัวเราะออกมา เพลงนี้มันมีท่อนไม้ตายที่ผมยังไม่รู้เลยว่าสรุปท่อนนั้นมันร้องว่ายังไง
"ไหนบอกเอาเพลงอะไรก็ได้ไง"
"แต่ไม่เอาเพลงนี้ เลือกใหม่"
ถึงจะโดนปฏิเสธแต่เจ้าของห้องยังคงยิ้มอารมณ์ดี ผมรู้อยู่แล้วว่าต้นสนแค่จะแกล้งกัน ที่จริงผมน่าจะรับมุกนะ พอถึงท่อนนั้นก็แค่ดำน้ำไปมั่วๆ เจ้าตัวคงชอบใจอยู่ไม่น้อย แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
"งั้นเพลงระยะปลอดภัย"
ผมพยักหน้ารับต้นสนก็ยิ้มกว้างก่อนพิมพ์ชื่อเพลงลงในกูเกิ้ลเพื่อหาคอร์ดกีตาร์ให้ผม ใช้เวลาแป๊บเดียวหน้าเว็บที่มีคอร์ดเพลงระยะปลอดภัยก็โชว์อยู่บนหน้าจอ ผมจับคอร์ดวอร์มนิ้วลองดีดสองสามคอร์ดแล้วเงยหน้าหวังจะให้สัญญา แต่เมื่อเจอสายตาเป็นประกายของอีกฝ่ายที่จ้องมาก็เป็นอันต้องชะงัก
พอเอาเข้าจริงก็ชักรู้สึกเขินขึ้นมา เขินสายตากับรอยยิ้มสดใสนั่น
"เริ่มแล้วนะ"
"อื้ม"
ต้นสนรีบพยักหน้ารับ ริมฝีปากที่ดูไม่ซีดเซียวเหมือนเก่ายังคงแย้มยิ้ม พาลให้ผมที่พยายามจะเก๊กหน้านิ่งเพื่อเก็บอาการเขินยิ้มตามไปด้วย สุดท้ายเลยตัดปัญหาด้วยการก้มหน้ามองคอร์ดมันซะเลย
เริ่มดีดอินโทรผมก็ลอบมองท่าทางของต้นสนเป็นระยะ เจ้าตัวนั่งอมยิ้มโยกหัวตามมือตบต้นขาเป็นจังหวะเดียวกัน นับว่าฟอร์มผมยังพอใช้ได้แม้จะไม่ได้จับกีตาร์มาเป็นเดือน จนเมื่อถึงท่อนร้องริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปบาร์มกลิ่นแอปเปิ้ลก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม
"ช่วงเวลาดีดีที่เธอและฉันไม่ต้องกังวลอะไร
เป็นช่วงเวลาดีดีที่เราทั้งสองจะมีแต่ความเข้าใจ
วันนี้เป็นวันดีดี วันนี้เราควรจะทำอะไร"
"ทำข้าวผัดต้มยำกินไง"
มีจังหวะเว้นให้ต้นสนก็พูดสวนขึ้นมาแล้วหัวเราะชอบใจ ผมมองแล้วได้แต่ยิ้มกว้างจนคิดว่าปากอาจจะฉีกขึ้นไปจนถึงหูแล้วก็ได้
ช่างคิดจังนะคนเรา
"วันที่อะไรอะไรก็ดูจะเหมือนจะคอยเป็นใจให้กัน
วันนี้จะทำอะไร ก็ดูจะเหมือนไม่ต้องระแวดระวัง
วันนี้คือวันดีดีมีฉันและเธอคนดีเท่านั้น"
"ดีจริงๆ นั่นแหละ"
รอบนี้เสียงที่พูดบ่อยกว่าเดิม หากแต่รอยยิ้มยังคงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าไม่จางหายไปไหน ทั้งเขา...และผม
"มีบรรยากาศฝนตกรถติดช่วยฉัน ยังมีมือเปล่าว่างอยู่ให้จับเท่านั้น
ลองดูที่แก้มฉัน เธอนั้นว่ามีอะไร"
"มีไขมันมั้ง" ว่าแล้วก็ยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผมจนเผลอโยกตัวหนี ยังดีที่ผมสติมั่นคง มือเปลี่ยนคอร์ดในขณะที่ส่งยิ้มให้คนขี้แกล้ง
"เอามือไปแตะหน้าผากว่าตัวร้อนไหม เอาเธอมากอดข้างกายไม่แบ่งใครๆ
มีเราเพียงเท่านั้น มีเธอและมีฉัน อยู่ในวันสำคัญ ของเรา"
เพลงแรกจบลงแต่เพียงเท่านี้ ผมแอบโล่งใจนิดๆ ที่ต้นสนไม่บ้าจี้เล่นตามเพลง อย่างเช่นเอามือมาแตะหน้าผากหรือเข้ามากอดเหมือนตอนเอานิ้วมาจิ้มแก้ม เพราะถ้าหากเป็นแบบนั้นผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ แค่เล่นกีตาร์ร้องเพลงให้ฟังก็รู้สึกเขินจะแย่แล้วต้องมาเจอสายตาเป็นประกายนั่นอีก
ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกแย่ กลับรู้สึกดีมากเสียด้วยซ้ำ
ได้เห็นสีหน้ากับรอยยิ้มที่อยากเห็น ก้อนเมฆสีเทาและความมืดมนที่ค่อยๆ จางหายไป พร้อมกับความรู้สึกใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
"ร้องเพลงเพราะนะเนี่ย"
"อยู่แล้ว"
"ไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอ"
"คนเราต้องยอมรับความจริงไง"
"ครับๆ ต่อไปเอาเพลงอะไรดี" ต้นสนตอบรับมุกผมด้วยสีหน้าหน่ายๆ ก่อนจะยิ้มออกมาให้รู้ว่าแกล้งทำ
"รีเควสมาเลย เดี๋ยวพี่จัดให้"
สายตาที่มองมาเหมือนจะหมั่นไส้อยู่หน่อยๆ ต้นสนยู่หน้าใส่ผมก่อนพิมพ์ชื่อเพลงต่อไปลงในช่องค้นหาแล้วกดปุ่มเอนเทอร์ รอไม่ถึงวินาทีหน้าจอก็แสดงหน้าเว็บที่มีคอร์ดเพลงของเพลงนั้นให้เลือก
เสียงกีตาร์กับเสียงร้องเพราะๆ ของผมยังดังอย่างต่อเนื่องไม่รู้เบื่อ ผมอยากร้อง เจ้าของห้องเองก็อยากฟัง ความเขินในทีแรกหายไปกลายเป็นความสุขเข้ามาแทนที่ ความสุขที่มาพร้อมความสดใส รอยยิ้มนั้นเสียงหัวเราะนั้น
ก้อนเมฆสีอึมครึมที่พาลทำให้บรรยากาศโดยรอบมืดมนนั้นมันคงใกล้จะหายไปแล้วจริงๆ
หายไป...ด้วยฝีมือของผมเอง
TBC
เอาข้าวผัดต้มยำฝีมือปลื้มมาเสิร์ฟค่า
ช่วงที่เขียนตอนนี้เป็นช่วงที่ฝนตกหนักเมื่ออาทิตย์ก่อนๆ ที่น้ำท่วมแหละ
เลยรู้สึกว่ามันตรงกับช่วงเวลาในนิยายเราพอดีเลยเนอะ ตอนเขียนเลยอินสุดๆ อินกับฝน ฮา
ตอนนี้ก็ยังคงอ้อยอย่างต่อเนื่อง บางทีที่บ้านต้นสนอาจจะทำธุรกิจค้าอ้อยก็ได้นะคะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า