Chapter 19: ระลึกรัก[2]
กว่าจะทำภารกิจเสร็จสิ้น กว่าจะอาบน้ำกินข้าว เก็บข้าวเก็บของออกมาจากบ้านสวนก็ใช้เวลาไปเกือบเที่ยง เพราะพี่อินทร์ไม่ได้ยุติการเอ็นดูผมแค่ในห้องน้ำ ยังจะอุ้มผมกลับมาที่ห้องนอน ซุกไซ้คลอเคลียไม่หยุดจนผมแทบหมดแรงและร้องท้วงเขาว่าไหนจะพาผมไปเที่ยว เขาถึงได้หยุดมือ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงไม่ได้กลับกรุงเทพฯ กันแน่ๆ
ระหว่างทางกลับไปเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เขาก็แวะพาผมเที่ยวอย่างที่ปากพูด มีแวะสวนดอกไม้ที่เขาบอกว่าเป็นหนึ่งในกิจการของครอบครัวด้วย ผมอดแปลกใจไม่ได้เลยว่าบ้านพี่อินทร์ทำอะไร ทำไมถึงได้มีสวนเยอะขนาดนี้ เขาเล่าให้ฟังว่าบ้านของเขาเป็นเจ้าของสวนผลไม้และดอกไม้รายใหญ่ทางภาคใต้ บ้านของพี่บุศย์เองก็เช่นกัน แต่ครอบครัวพี่บุศย์มีการทำประมงด้วย ส่วนธุรกิจที่ทั้งสองครอบครัวเป็นหุ้นส่วนกันก็คือบริษัทส่งออกสินค้าพวกนี้ ผมเลยไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมครอบครัวของพวกเขาถึงได้รวยนัก
ผมเดินดูดอกไม้ไปเรื่อยๆ บรรยากาศร่มรื่นทำให้ผมผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่พี่อินทร์ที่เดินอยู่ข้างๆ ผมชะงักขา ก่อนที่จะร้องเรียกผม
“จิระ”
พอหันไป เขาก็เอาอะไรบางอย่างมาทัดหูให้ ผมอดไม่ได้ที่จะร้องถาม
“อะไรน่ะครับพี่อินทร์”
ผมยกมือขึ้นจับที่ข้างหูของตัวเอง พี่อินทร์ยิ้มน้อยๆ ให้
“ดอกชบา”
ผมหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นดอกชบาสีชมพู ก่อนที่หูอีกข้างจะถูกเขาเอาดอกไม้ทัดอีก พอหยิบมาดูก็พบว่าคราวนี้เป็นสีแดง พี่อินทร์มุ่ยหน้าเล็กน้อยที่เห็นผมไปวุ่นวายกับดอกไม้ของเขา
“อย่าเอาออกสิ ทัดหูไว้น่ารักดี”
แล้วเขาก็เด็ดดอกใหม่มาทัดหูให้ผมอีกครั้งทั้งสองข้าง กลายเป็นผมที่มุ่ยหน้าบ้างแล้วเมื่อเห็นว่าเขาหัวเราะออกมา
“รู้ไหมว่าในสมัยโบราณ ผู้ชายที่เริ่มแตกหนุ่มจะเอาดอกไม้ทัดหูเพื่อให้ผู้หญิงมาสนใจ คนที่เจ้าชู้หน่อยก็จะทัดทั้งสองข้าง จิทัดสองข้างแบบนี้ แสดงว่าเจ้าชู้”
ผมเบ้หน้ามองเขาเลย เรื่องนี้ผมรู้ แต่เรื่องเจ้าชู้น่ะ พี่อินทร์เมื่อครั้งเป็นอิเหนาต่างหาก ไม่ใช่ผม
“เล่นอะไรครับ จิไม่เห็นสนุกเลย”
ผมบุ้ยปากใส่เขา พี่อินทร์ก็หัวเราะใหญ่
“พี่ก็ไม่ได้สนุก”
“แล้วพี่อินทร์หัวเราะทำไม”
“พี่แค่กำลังคิดว่าทำไมจิถึงน่ารักขนาดนี้”
พลันคำพูดที่ตั้งใจจะต่อว่าเขาก็หายไปสิ้น ผมเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นยิ้มแต่ก็กลั้นไม่ไหวจนต้องก้มหน้าลงมองพื้นแทน
“ถ้าจิน่ารัก แล้วพี่อินทร์รักจิไหม”
ผมไม่ค่อยอ้อนเขาหรอก แต่ครั้งนี้อยากอ้อน พอช้อนตามอง พี่อินทร์ก็เอาหน้าผากมาชนกับหน้าผากผม
“รักสิ รักจิจัง”
ผมยิ้มกว้างออกมา มีความสุขที่สุดแล้ว
ทว่า...จู่ๆ ความทรงจำจากความฝันเมื่อคืนก็แล่นเข้ามาในหัวโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง
‘ชบาดอกนี้ พี่ให้เจ้า’
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวผม ทำเอายืนนิ่งไปครู่จนพี่อินทร์ต้องร้องถาม
“มีอะไรเหรอจิ”
ผมได้สติ รีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมจู่ๆ ถึงเงียบไป”
พี่อินทร์ทำหน้าสงสัย ผมเลยเอาดอกชบาในมือไปทัดหูให้เขาบ้าง พอเขาเลิกคิ้วสูง ผมก็ว่าออกมา
“ชบาดอกนี้ พี่ให้เจ้า”
คนตรงหน้าผมทำหน้างุนงงมากขึ้นไปอีก ส่งเสียงดัง ‘หืม?’ ออกมา ผมเลยยิ้มให้
“พูดอะไรน่ะ”
พอเขาถาม ผมก็บ่ายเบี่ยง
“ไม่มีอะไรครับ”
พี่อินทร์ก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากจะเด็ดดอกชบาอีกดอกมาทัดหูตัวเองบ้าง
“จะได้เป็นเพื่อนกัน”
ผมก็เลยเอาดอกชบาในมือทัดหูเขาอีกข้าง
“ทัดข้างเดียว พี่อินทร์ก็เสียเปรียบจิสิ พี่อินทร์ต้องทัดสองข้างเหมือนกัน”
เขาหัวเราะ ก่อนจะดึงแก้มผมเบาๆ
“ถ้าเป็นจิแล้ว อะไรพี่ก็ยอมทั้งนั้นแหละ เสียเปรียบก็ไม่เป็นไร แต่มีเรื่องเดียวที่พี่ยอมไม่ได้”
“เรื่องอะไรครับ”
“ถ้าจิรักพี่น้อยกว่าที่พี่รักจิ” พลันก็ทำหน้าสลดขึ้นมา “เรื่องนี้พี่ยอมไม่ได้จริงๆ”
ก็เพราะเขาน่ารักแบบนี้ไง ผมจะไม่รักเขาได้ยังไงล่ะ...
ผมจับมือเขาที่ดึงแก้มผมอยู่มั่น ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าจริงใจที่สุด
“พี่ไม่รักพี่อินทร์น้อยกว่าที่พี่อินทร์รักจิหรอก จิสัญญา”
พี่อินทร์อย่าเปลี่ยนใจไปจากจิก็แล้วกัน...
เราสองคนกลับมาถึงหอในช่วงหัวค่ำ ระหว่างที่กำลังจะเข้าห้องก็เจอพี่บุศย์กำลังจะออกไปหาข้าวกินพอดี เขาเลยชวนให้ไปกินด้วยกัน ผมกับพี่อินทร์ยังไม่ได้กินอะไรเลยตกปากรับคำ ก่อนที่จะโทรชวนสรัลด้วยอีกคนเพราะรายนั้นก็อยู่หอเดียวกับพวกเราเหมือนกัน
ระหว่างกินข้าว พี่บุศย์ก็ถามออกมาด้วยสงสัยว่าพวกเราหายไปไหนกันตั้งแต่เมื่อวาน พอพี่อินทร์บอกว่า...
“กูพาจิไปเที่ยวบ้านสวน”
เท่านั้นพี่บุศย์ก็เบิกตาโต
“อย่าบอกนะว่ามึงให้ไปแล้ว?”
พี่อินทร์พยักหน้า คว้ามือของผมที่สวมแหวนอยู่ขึ้นมาโชว์พลางยิ้มร่า
“เรียบร้อยโรงเรียนอินทรา เดี๋ยวจะร่อนการ์ดงานแต่งให้นะครับ”
สรัลถึงกับส่งเสียงสูงออกมาเลยทีเดียว
“ง่อววว์ ไวไฟแท้หลาว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องให้น้องช่วยชงเลยนะ ดีเลย หนูโยนไม้พายทิ้งละ เรือแล่นเอง ไม่ต้องมีกัปตัน”
แล้วก็พูดอะไรก็ไม่รู้ที่ผมไม่เข้าใจสักเท่าไร แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นๆ ได้ดี ผมเองก็เพิ่งจะรู้ในตอนนี้ว่าพี่บุศย์กับสรัลรู้อยู่แล้วว่าพี่อินทร์จะมีแผนจะพาผมไปเที่ยวบ้านสวน ส่วนเรื่องที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องนั้น...
“แล้ว...ได้บ๊ะๆ กันปะ?”
สรัลถามขึ้นมาแล้ว หน้าตางี้เจ้าเล่ห์สุดๆ เลย พี่บุศย์ก็ดันจ้องหน้าผมกับพี่อินทร์สลับกัน รอคำตอบอย่างตั้งใจ ส่วนพี่อินทร์น่ะเหรอ...
“จะเหลือเร้อ!”
ตอบเสียงสูงเชียว ผมเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำเป็นกินข้าวเพราะทนกับสายตาล้อเลียนของทั้งสองคนฝั่งตรงข้ามไว้ไม่ไหว สรัลนี่ตัวดีเลย สิ้นเสียงก็หันมาพูดกับผมใหญ่
“ฮั่นแน่ อัปเกรดจากเพื่อนต่างคณะมาเป็นเพื่อนสะใภ้แล้วว่ะ ร้ายกาจ”
“แล้วนี่...ใครรับใครรุก”
พี่บุศย์ก็เอากับเขาบ้าง ผมก็เบิกตาโตด้วยไม่คิดว่าคนเรียบร้อยอย่างพี่บุศย์จะมีมุมทะเล้นทะลึ่งกับเขา ส่วนพี่อินทร์ก็สวมอินเนอร์ภรรยา เอนตัวมาซบไหล่ผม ส่งเสียงสองกระเง้ากระงอด
“ถึงอิชั้นจะตัวใหญ่บึกบึน แต่อิชั้นก็ชอบถูกกระทำนะฮ้า~”
ตอแหลมาก สะดีดสะดิ้งจนผมอยากจะฟาดสักที แต่ก็หัวเราะผสมโรงไปกับพี่บุศย์และสรัลที่พากันขำน้ำหูน้ำตาไหล ผมหันไปหาพี่อินทร์ เขาก็ส่งเสียงบ้าๆ บอๆ ออกมาไม่หยุด
“สามีอิชั้นเด็ดดวงสุดยอดเลยฮ่ะ อิชั้นร้องครวญครางไม่หยุดเลย อื้อ...คุณจิร้า~ อร๊าง~”
ผมเลยทุบไปที หมั่นไส้นัก พี่บุศย์ยังหมั่นไส้เลย อดไม่ได้ที่จะดักคอ
“ครางหรือหอน มึงเอาดีๆ ไอ้อินทร์ แล้วก็เลิกแกล้งจิได้แล้ว หน้าแดงไม่ไหวแล้วน่ะ”
พยักพเยิดมาทางผมเป็นการใหญ่ด้วย ผมก็เขินจริงๆ แหละ หน้าร้อนผะผ่าวไปหมด พี่อินทร์ก็เลยกระซิบลงมาที่หูผม
“พี่อยากกินชาไข่มุกจังเลย จิไปซื้อให้พี่หน่อยได้ไหม”
รู้ว่าเขาคงอยากให้ผมไปสงบสติอารมณ์ก่อน เพราะดูท่าทางแล้ว พี่บุศย์กับสรัลคงจะคุยเรื่องนี้กันอีกยาว แล้วผมจะต้องเขินอายจนตัวแตกไปอีกเรื่อยๆ แน่ ผมก็เลยพยักหน้า รับกระเป๋าตังค์จากเขามาพลันลุกจากเก้าอี้
“จิไปซื้อของให้พี่อินทร์ก่อนนะครับ”
แล้วก็เดินจ้ำๆ ไปเลย
บุษบากับสังคามาระตา ไม่ว่าชาติไหนก็อยู่ฝ่ายอิเหนา แถมยังแกล้งจรกาอย่างผมไม่เลิกด้วย
แต่...แกล้งแบบนี้ผมก็ชอบนะ
ใจพองดีจังเลย
[Intara’s Part]
จิระลุกออกจากโต๊ะไป พอคล้อยหลัง ผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับสองคนตรงข้าม
“ล้อน้องจิกูให้มันน้อยๆ หน่อย เขินตัวแตกบึ้มไป จะทำยังไง”
เท่านั้นสรัลก็ส่งเสียงสูง “แหม๊! แตะไม่ได้เลยน้า ข้าวใหม่ปลามัน ไอ้คนหวงของ”
ไอ้บุศย์หัวเราะกับคำพูดของสรัลใหญ่ ผมก็ไม่เถียงหรอกว่าผมหวงจิระจริงๆ จนกระทั่งสรัลเหน็บแนมมาอีก
“ไม่ว่าตอนไหนๆ ก็หวงจริ๊งงง หมั่นไส้”
ผมหัวเราะในลำคอ คำพูดของสรัลทำให้ไอ้บุศย์คิดอะไรออกขึ้นมา
“แล้วนี่มึงจะไม่บอกน้องมันจริงๆ เหรอ”
“เรื่องอะไร”
“อย่าทำมาเป็นไม่รู้หน่อยเลยว่ะ ให้แหวนไปซะขนาดนั้นแล้ว มึงเลิกอ้อมค้อมสักที”
“แล้วมันเรื่องอะไร”
“เรื่องที่มึงเป็นใคร”
“ใครล่ะ”
“อิเหนา”
เพราะผมมัวแต่ยอกย้อน ไอ้บุศย์ก็เลยพูดออกมาจนได้ ผมถอนหายใจ เลิกอ้อมค้อมก็ได้ ผมก็ขี้เกียจเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้แล้ว พลันตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“กูก็กำลังบอกอยู่นี่ไง”
บอกยังไง บอกแบบไหน ไอ้บุศย์กับสรัลเข้าใจดี มันสองคนมองหน้ากัน แล้วก็พากันถอนหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียง
“ไอ้อินทร์ มึงนี่น้า” ไอ้บุศย์ทำท่าระอา ก่อนจะขยายความ “กูหมายถึงให้มึงบอกกับจิด้วยตัวเอง บอกจากปากตัวเองน่ะ มึงไม่คิดจะพูดเหรอ”
ผมชะงัก มองหน้ามันแล้วส่ายหัวน้อยๆ ทำให้สรัลต้องเสริมขึ้นมา
“แต่หนูว่าสมควรบอกได้แล้วนะพี่อินทร์”
แล้วผมก็ต้องถอนหายใจยาว
“แล้วจะให้บอกยังไง”
“ไม่เห็นจะยาก” สรัลว่า
“แค่บอกว่ามึงคือใครก็แค่นั้น” ประโยคนี้เป็นไอ้บุศย์ที่พูด
ผมนิ่งงัน มองสองคนนั้นอย่างจริงจัง ในที่สุดพวกมันก็พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากให้พูดออกมาจนได้ พลันความหนักใจก็พร่างพรายไปหมด
“ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากบอกนะ แต่ก็เข้าใจใช่ไหมว่าเพราะอะไร”
ทำไมสองคนนั้นจะไม่เข้าใจ พวกมันทั้งเห็น ทั้งอยู่ในเหตุการณ์ พวกมันเข้าใจความอึดอัดของผมดีอย่างแน่นอน และก็เป็นไอ้บุศย์ที่ถอนหายใจออกมา
“มึงก็เลยเลือกที่จะให้แหวนนั่นแทนสินะ”
ผมพยักหน้า เท่านั้นทั้งสองก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“งั้นกูก็คงจะไม่แนะนำอะไรมึงอีกแล้ว แล้วแต่มึงเลย ถือว่าช่วยตามที่สัญญาแล้ว แต่มึงรอช้าไม่ได้เข้าใจใช่ไหม เพราะถ้าไอ้เวรนั่นมันมายุ่ง ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่”
ผมพยักหน้า รู้ว่าไอ้เวรนั่นที่ไอ้บุศย์หมายถึงคือใคร เรื่องนี้สรัลก็รู้แล้ว ไอ้บุศย์เป็นคนเล่าให้ฟังเอง ขณะที่สรัลก็นึกอะไรออกขึ้นมา
“แล้วไอ้เวรที่ตามสตอล์กเกอร์พี่บุศย์ล่ะ ยังตามอยู่อีกไหม”
ไอ้บุศย์ส่ายหน้า “ไม่ตามแล้ว แต่ไปตามจิแทน”
สรัลทำหน้าตกใจ ร้องเรียกผมทันที “พี่อินทร์...”
“จัดการแล้ว ไม่ต้องห่วง”
ผมรีบบอกก่อนที่น้องคนสนิทจะมีสีหน้าเป็นห่วงไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรสักเท่าไรนัก เพราะสรัลไม่ได้มีสีหน้าดีขึ้นเลย
“ระวังตัวนะพี่อินทร์ ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะมาดีหรือมาร้าย”
“พี่รู้ แกไม่ต้องห่วง”
ผมรับปาก ก่อนที่บทสนทนาของเราจะยุติลงเมื่อจิระเดินกลับมาที่โต๊ะเหมือนเดิม
“พี่อินทร์ ชาไข่มุกครับ”
ผมยิ้ม รับแก้วเครื่องดื่มนั้นมา ก่อนที่เจ้าตัวเล็กของผมจะทำหน้าสงสัยเมื่อรู้สึกได้ว่าบรรยากาศที่โต๊ะตึงเครียดขึ้นมาพิกล
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ ทำไมดูเครียดๆ”
ถึงจะยิ้ม แต่คงจะอ่านสายตาผมออกล่ะมั้ง พลันไอ้บุศย์ก็โพล่งขึ้นทันที
“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่แซวมันหนักไปหน่อย กินข้าวต่อเถอะ”
จิระมองผมอย่างขอคำตอบว่าใช่หรือเปล่า ผมเลยยิ้มกว้างให้ ทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่เล็กน้อย
“ก็ปี้อินทร์หวงหนูง่ะ ไม่อยากให้หนูถูกใครล้อเลียน”
เท่านั้นจิระก็เชื่ออย่างสนิทใจ ก้มหน้าก้มตาซ่อนใบหน้าที่แดงเป็นพัลวัน
“ขอบคุณครับ”
ทำตัวบ้าๆ บอๆ แบบนี้ทีไร จิระสบายใจทุกที สงสัยในสายตาเขา การทำตัวปกติของผมคงจะเป็นท่าทางแบบนี้ล่ะสินะ แต่ให้เขาเข้าใจอย่างนี้แหละดีแล้ว ผมลอบถอนหายใจ มองหน้าไอ้บุศย์กับสรัลที่พากันทำตัวปกติแล้วก็ได้แต่ขอบคุณพวกมัน พลันคว้ามือของจิระมาจับไว้ เขามองผมอย่างงุนงง ขณะที่ผมยิ้มให้เขา เผลอใช้ปลายนิ้วลูบเม็ดนิลบนแหวนอย่างเบามือ
บอกเรื่องนั้นเหรอ?...ผมก็กำลังบอกอยู่นี่ไง
กำลังบอกอยู่... แล้วก็หวังว่าจิระจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ในเร็ววัน
พี่จะรอวันนั้น... วันที่เจ้าระลึกได้
...ระตูจรกา
[1] ชื่อของอิเหนาที่ได้จากอง์ประตาระกาหลา เทวดาประจำตระกูลที่มาอวยพรและประทานนามให้เมื่อแรกเกิด เป็นภาษามลายู
เฉลยปมแรกแล้ว ส่วนใหญ่ก็เดาถูกกันเนอะ แต่!!! หลังจากนี้มันลึกลับซับซ้อน พี่บุศย์กับจิณห์เคยเป็นเมียอิเหนามาก่อนหรือไม่นั้นนน ให้คนเขียนทำนายกัน 555
วิหยาสะกำยังไม่หายไปไหนนะคะ กำลังจะกลับมาละ เป็นตัวละครสำคัญอีกตัวนึงเลย ส่วนใครอ่านแล้วกลัวดราม่า ทำใจให้สบายค่ะ ไม่ม่าขนาดนั้น ฟีลกู้ดจ้าฟีลกู้ด (เชื่อได้มั้ยเนี่ย ฮา)
เย็นๆ มืดๆ ไว้มาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้จ้า XD
ป.ล.เรื่องทำเล่ม ใครสนใจ หนูแดงรบกวนทำแบบสอบถามประเมินความต้องการหน่อยนะคะ ยังไม่เปิดจองเน้อ น่าจะอีก 2-3 เดือน แต่ถ้าเปิดจองแล้วจะส่งเมลให้คนที่ทำแบบสอบถามค่ะ เข้าไปทำที่นี่นะ
https://goo.gl/forms/SrRySdDem1s5ST8a2