รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]  (อ่าน 13448 ครั้ง)

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


❤รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ❤

กาวตราช้างหลอดนึงตั้งกี่บาท
แค่รักษาหน้าบางๆของอีกฝ่ายไว้ไม่เสียอะไรไม่ใช่เหรอ
เสียสิ...เสียหัวใจของผมไปทั้งดวง


+++++++++++++++++++++

ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
กะให้เป็นเรื่องชิลๆ สบายๆ รักโรแมนติกธรรมดา
ติชมได้ตามสะดวกนะคะ ขอบคุณค่ะ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2020 21:13:24 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

บทนำ

“ผมชอบพี่ครับ เป็นแฟนผมเถอะ ผมรู้ว่าพี่ยังไม่มีใคร ยังไงก็อย่าพึ่งปฏิเสธผม ลองคบกับผมดูสักครั้ง ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง เชื่อใจผมได้เลย”

“เออแต่...”

“ผมจะไม่ยอมเงยหน้า แล้วจะยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าพี่จะรับรักผม”

หมับ!

“แล้วพี่ก็ห้ามไปไหนด้วย รับรักผมก่อนแล้วผมจะปล่อยให้ไป อย่าหาว่าผมขี้ตื้อเลยนะ แต่ถ้าไม่ลองคบกันก่อนแล้วจะพี่รู้ว่าชอบไม่ชอบได้ไง นะครับพี่ยะ....หย้า...”


ทันทีที่ดวงตาเราทั้งคู่สบประสาน ท้ายเสียงของอีกฝ่ายก็กลายเป็นท่วงทำนองขับขานราวกับคนร้องเพลงผิดจังหวะคร่อมคีย์ ขัดกับใบหน้าซึ่งไร้ที่ติกับหางตาตกๆคู่นี้ที่ล้อมรอบแววตาสุกใสราวกับคนซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง แต่แล้วมันกลับหม่นแสงลงเปลี่ยนเป็นท่าทีเหมือนคนสติหลุด กระอักกระอ่วน ริมฝีปากหยักรั้งอ้าค้างก่อนสั่นไหวเหมือนมีก้อนน้ำลายกระจุกอยู่ที่ต้นทางของลำคอซึ่งเหยียดตรงลายเส้นโค้งสวยนั้น

ใบหน้าซีดลงถูกบดบังด้วยผิวของคนคล้ำแดดเบาๆ หากปิดซ่อนผมไว้ไม่มิด มันบ่งถึงอาการตกใจแบบไม่ต้องเดาให้มากความ ยิ่งสายตาพลันไปสบกับคนที่วิ่งตามมาร่างสูงมาแล้วหยุดเท้าในที่ห่างไกลออกไปยิ่งเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง ทางท่ากึ่งโบกไม้โบกมือพลางกระซิบกระซาบให้อีกฝ่ายรู้ตัวเหมือนเป็นสิ่งเชื่อมต่อเรื่องราวบอกให้รับรู้ว่า

...คนตรงหน้าสารภาพผิดคน...

ในเมื่อสี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้งแล้วนับประสาอะไรกับคนที่กำลังยืนอยู่หน้าผม เพราะฉะนั้นผมควรจะเคลียร์ทุกอย่างให้จบลง เพื่อยุติกระแสผู้คนที่เริ่มเดินมาออเป็นไทยมุงตรงนี้เสียที

“เออคือว่าคุณคงเข้าใจผิด...”

“ไม่ครับ!”

หา?

มือที่จับถูกกระชับแน่นขึ้นพลางยกสูงดึงจนแนบอกอีกฝ่าย รับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งถี่รัว แต่มันคงไม่ใช่อาการตื่นเต้นจากคนที่ลุ้นคำตอบ หากเป็นเพราะคนตรงหน้ากำลังตกใจและลนลานต่างหาก

“ผม...ผมสารภาพกับพี่...เออพี่...”

“อิมเมจ มายืนทำอะไรตรงนี้วะ” แว่วเสียงด้านหลังดังมาแต่ไกล ผมรับรู้ได้เลยว่าเป็นไอ้เบสที่เดินตามหลังมาเรียก ด้วยความสูงระดับมันกับผู้คนที่ล้อมกั้นพวกเราขนาดนี้คงหนีไม่พ้นสายตาของเพื่อนตัวสูงผมไปได้

“พี่อิมเมจ” เสียงทุ้มดึงสติผมกลับมา คนแปลกหน้ากำลังเรียกชื่อผม ร่างที่สูงเกินกว่าผมไปหลายเซนฯกำลังทำหน้าเหมือนท่องจำชื่อผมราวกับว่ามันเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่จะออกในควิสท้ายคาบ สายตาคมเลื่อนมาสบอีกรอบแล้วเอ่ยคำยืนกรานสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ผมสารภาพกับพี่อิมเมจอยู่ครับ”

เสียงฮือฮาอื้ออึงขึ้นมาทันใด เป็นไปได้ไงกับคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อผม จะมาสารภาพกันกลางที่สาธารณะได้

ผมเงียบไปนาน มือใหญ่ออกแรงกระชับจนกลายเป็นบีบหนัก เหงื่อชื้นๆเริ่มถ่ายทอดมาตามผิวหนังของเราทั้งคู่ที่สัมผัสกัน แววตากึ่งอ้อนวอน หัวคิ้วที่บูดเบี้ยวราวกับคนเป็นกังวล ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมรู้จักจากการมองอยู่ห่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากภาพร่างในสมอง

...เขาเป็นอะไร...

ร่างสูงเหมือนตกที่นั่งลำบากมากกว่าผมซึ่งโดนคาดคั้นคำตอบ

...ผมต้องตอบรับหรือเปล่า...

คนที่มีความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจขนาดนี้คงไม่คิดอยากจะทำตัวเอ๋อๆอยู่กลางลานกว้างซึ่งเป็นแหล่งรวมพลของคนมหา’ลัยได้หรอก ยิ่งกับคนที่เดินเหยียดตัวตรงพุ่งมาหาอีกฝ่ายตรงจุดที่ได้ชื่อว่า ‘ลานเปิดใจ’ ด้วยแล้ว ปัดประเด็นการโดนปฏิเสธคำรักต่อหน้าสาธารณะชนไปได้เลย

“ก็ได้ครับ ถ้าคุณรักผม”

ไม่ดังแบบจงใจและไม่เบาจนคนแวดล้อมไม่รู้สึก จากความอื้ออึงที่มีอยู่แล้วยิ่งทวีหนักขึ้น แต่ผมสนใจแค่ปฏิกิริยาของคนตัวสูง ดวงตาคมคายเบิกกว้างขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหู มือที่จับเหมือนจะปล่อยคลายลงจนผมหลุดจากการเกาะกุม

หรือนี่จะไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ ตอบแบบไว้หน้าความโป๊ะแตกกลางหมู่คน ผมยืนนิ่งตีอาการความมึนงงของอีกฝ่าย ระยะห่างระหว่างกันเพียงหนึ่งไม้บรรทัดถูกเพิ่มขนาดเรื่อยๆจนใจผมเริ่มลังเลกับสิ่งที่พูดไป

“เออคือ...หรือว่าจะไม่...”

“ขอบคุณครับ”

“...”

“ไว้ผมจะติดต่อไป”

อีกฝ่ายยืนตอบจ้องพื้น คงอยากจะคบหินขัดเป็นแฟนมากกว่ามองหน้าผม มือใหญ่จับสายกระเป๋าหมุนตัวกลับ เดาว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างคงกำลังแสดงสีหน้าบางอย่างให้เพื่อน มันน่าจะหลอนจนฝ่ายที่ยืนเยื้องไปด้านหลังแสดงอาการตาโตเลิกคิ้วยกกำลังสิบ แต่ผมไม่เห็นแล้วว่าร่างสูงแสดงอาการอะไร เจ้าตัวเดินท่อมท่อมไปเกี่ยวคอเพื่อนเข้าหาอย่างแรงพลางบ่นงึมงำเหมือนสวดมนต์กับพื้นก่อนเดินจากไป

“อิมเมจ”

ไอ้เบสแหวกฝูงชนจนมาถึงตัวผม แตะไหล่พลางถามไถ่ถึงเหตุการณ์

“เกิดเรื่องอะไรวะ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มีอะไรได้ไง เมื่อกี้กูเห็นน้องมันทำอะไรมึง”

“เบส”

“อะไร”

“กูมีแฟนแล้วว่ะ”



...TBC...


ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หนึ่ง...วันอันแสนงุงงน

มีแฟนแบบงงๆและเริ่มต้นเหมือนความฝัน ใช่...เหมือนความฝัน เพราะหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หายไปสองอาทิตย์เต็ม จนกระทั่งผมเกือบลืมไปว่าพวกเราทั้งคู่...

“อ๊ะ...โทษครับ”

“...”

ก้มดูมือถือแบบไม่มองทางขนาดนี้บางทีผมก็เบื่อเหมือนกัน ทั้งที่เดินอยู่บนทางสาธารณะก็ควรหัดเกรงใจชาวบ้านบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นตั้งใจจะต่อว่าเบาๆ แต่พอเห็นคู่กรณีเสียงกลับสะดุดเหมือนหายไปในมิติลี้ลับ กลืนคำต่อว่าทิ้งไปได้เลย

“นาย...”

“ขอโทษครับ”

อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบก่อนเดินผ่านไปช้าๆ ทิ้งปรากฏการณ์มึนงงของอีกคนไว้ด้านหลัง ผมหมุนตัวหันไปมอง ในใจไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เจอ

อีกฝ่ายจำผมไม่ได้เหรอ หรือมันแน่อยู่แล้วกับบทจะไม่ใส่ใจแฟนที่มาจากความผิดพลาด แถมรูปร่างภายนอกของแฟนคนนั้นทุกกระเบียดนิ้วรวมถึงเครื่องเพศยังบ่งบอกความเป็นชาย

ขยับหมุนตัวไปยืนตรงมองงงอย่างเคารพธงชาติ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหันมาเลยจ้องนาน พลันสะดุ้งเมื่อภาพแผ่นหลังกว้างแปรเปลี่ยนเป็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม

...แย่แล้ว...

เขาจะหาว่าผมตั้งใจเอาเรื่องหรือเปล่า หรือจะนึกจำได้ว่าเคยทำอะไรไว้

เปล่าเลยผมเดาผิดหมด เพราะปลายสายตาเจ้าตัวมองไปทางคนกลุ่มหนึ่งซึ่งส่งเสียงดังเอะอะมะเทิ่งจนเป็นจุดเด่นทางฟากซ้ายมือ ดวงตาหม่นแสงแลดูเป็นประกาย พาลให้นึกถึงเจ้าตัวตอนเดินมาบอกคำรัก ผิดแต่คราวนี้มันสวนทางกัน คราวก่อนจากดีใจเป็นผิดหวัง คราวนี้จากตกในภวังค์มาเป็นชื่นมื่น

...อย่างนี้นี่เอง...

ผมจำหนึ่งในนั้นที่เคยยืนอยู่กลาง ‘ลานเปิดใจ’ ในวันเกิดเหตุของเราได้

...คนนี้นี่เอง...

เพื่อนร่วมภาค ไม่สนิท แต่พอรู้เรื่องราวจากการเม้ามอยทุกเช้าของยัยดาวเพื่อนผม เธอคนนั้นมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...

...ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมต้องไปใส่ใจ...

ไอ้เบสมันรอเอกสารซีรอกซ์จากผมอยู่ ผมควรรีบไป








“พี่อิมเมจ”

ผ่านไปเกือบเดือน ถ้าบอกลืมก็น่าจะถูก

...ผมเกือบลืมไปว่าเคยมีแฟน...

การเอ่ยออกไปว่า ‘ใครครับ’ มันดูงี่เง่าชอบกล เหมือนการประชดกันของเด็กๆ เลยเปลี่ยนใจหันมาพูดจาดีดี

“เออ...น้อง...”

ตลกตรงที่ไม่เคยถามชื่ออีกฝ่ายไว้ เคยแต่มองอยู่ห่างๆ พอจะเรียกคำพูดเลยติดค้างอยู่ที่ลำคอ ร่างสูงทำหน้าฉงนที่ผมเงียบไป

“ครับ”

“มีธุระอะไรรึเปล่า” แปลกมั้ยที่ถามแบบนี้ ไม่สิคนเดินเข้าหาควรเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน อันนี้มันตามความคิดพื้นฐานไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ลมอะไรแบกเอาคนที่เมินผมตั้งเกือบเดือนมาหาถึงนี่ได้ล่ะ หรือว่า...

...คงได้เวลามาเคลียร์แล้วสินะ...

“คือผมอยากจะมาขอโทษ”

“ไม่เป็นไร” ยกมือขึ้นปัดปฏิเสธ ผมเดาไปล่วงหน้าเรื่องเหตุของทุกอย่าง ถ้าอีกฝ่ายขอจบมันจะแปลกมั้ย สามสัปดาห์ก่อนขอคบไม่พบหน้าสักวันครั้นมาเจอกันอีกทั้งก็บอกเลิกเลย อันนี้เรียกลำดับของความรักหรือการอนุมัติเงินติดล้อกันแน่

“ที่ว่าไม่เป็นไรนี่คือ...” เด็กเอ๋ยเด็กน้อย วันนี้ได้เห็นอีกฝ่ายเต็มๆตาเสียที ผมไม่ค่อยตามหรอกโซเซียลมหา’ลัย แต่ได้ข่าวว่าน้องเขาดังอยู่วงใน ปกติคนหล่อจะต้องโดนจับไปทำเดือนทำดาวมหา’ลัยแต่รายนี้ไม่ใช่ ไอ้ดาวเพื่อนผมเคยเม้ามอยกรอกหูตอนข่าวฮือฮาเรื่องที่น้องมันมาสารภาพรักกับผมเป็นเรื่องใหญ่ ว่าอีกฝ่ายไม่กระจอกเพราะเคยเป็นดาราเด็กแบบออกหน้ากล้องแค่สามวิแต่กลับสะกดจิตคนดูได้อยู่หมัดด้วยบทสั้นๆอย่างคำว่า ‘แม่’ หน้าตาแบบนี้จะมีแฟนอีกเป็นโหลก็ได้ทำไมต้องมาเลือกคนมีเจ้าของอยู่แล้วด้วยนะ อาภัพชีวิตรักเสียจริง

“พี่”

“หะ...ฮะ?” พลาดเหม่อได้ไงกัน

“เมื่อกี้ได้ยินที่ผมพูดมั้ย” ผมส่ายหัว ก่อนจะพยักหน้าเหมือนเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร

“งั้นตกลงตามนี้นะครับ” ได้สิ ผมมันคนง่ายๆอยู่แล้ว ไม่ได้รักจะยื้อเขาเป็นแฟนไปเพื่ออะไร แต่แทนที่อีกฝ่ายพอเสร็จธุระแล้วจะเดินจากไป มือใหญ่ที่กอปรด้วยนิ้วเรียวยาวกลับยื่นมาตรงหน้า ผมมองตามไล่ขึ้นไปถึงแขนที่ปกคลุมด้วยเสื้อนักศึกษาสีขาวก่อนไปจบตรงหน้านิ่งๆของเจ้าตัว

“อะไร”

“ขอมือถือหน่อยครับ” เกือบฟังผิดว่า ‘ขอมือ’ แล้วยื่นอุ้งเท้าหน้าไปวางซะแล้ว ผมเหมือนโดนสะกดจิตเพราะเพลินกับสิ่งที่ตัวเองคิดหยิบมือถือซึ่งเสียบอยู่กระเป๋าหลังของกางเกงส่งให้ “รหัสพี่อะไร”

“600001”

“คนแรกของคณะ?” เจ้าตัวผินหน้ามาส่งสายตาแปลกใจ เลยได้แต่พยักหน้าอย่างงกๆเงิ่นๆพลางตอบ

“อือ”

“ผมไม่ได้ขอรหัสนิสิต”

“ฮะ?”

“เกิดวันไหน”

“หนึ่งมกรา”

“ได้ละ”

ได้? ได้อะไร แล้วนั่นเขากำลังทำอะไรกับมือถือผม เจ้าตัวเหมือนยกกล้องหลังมาถ่ายมือถือของผมก่อนส่งกลับมาไว้ในอุ้งมือ ที่หน้าจอปรากฏคิวอาร์โค้ดอันใหญ่กับสัญลักษณ์สีเขียวตรงกลาง ผมรู้แล้วว่าโดนทำอะไร แต่ทำไม...

“ไว้ตอนใกล้ๆจะไลน์ไปหา”

“...”

“ผมไปก่อนนะครับ”

ภาพกระชับกระเป๋าเหมือนกับวันวานไม่มีผิด ผมจะเดจาวูแบบเดิมซ้ำๆอย่างนี้ไม่ได้ ต่อให้ความหมายของวันนั้นเป็นการบอกรักให้คบกัน ส่วนวันนี้จะเป็นการบอกเลิกเพื่อตีตัวออกห่างก็ตาม

“เดี๋ยว” ผมตะโกนเรียกตามร่างสูงที่ดูโดดเด่นนั้น คนถูกรั้งเบรกเท้าหมุนตัวกลับด้วยท่าทีไม่มีด่างพร้อย ถ้าคนจะหลงก็คงตั้งแต่บุคลิกภาพล่ะมั้ง

“ครับ” เสียงทุ้มลื่นหูตอบรับอย่างสุภาพ หากไม่มีท่าทีว่าจะเดินกลับมาประชิดตัว

“น้องชื่ออะไรพี่ยังไม่รู้จักเลย”






“เกรท” ผมหมุนมือถือเล่นไปมาบนโต๊ะหนังสือ จ้องมองชื่อซึ่งเด่นหราอยู่ตรงด้านบนสุดกลางแอพพลิเคชั่นสีเขียว
แสงสลัวจากโคมไฟปกติจะทำให้ง่วงนอน แต่มาวันนี้สมองผมกลับตีรวนทำให้สติไม่อยู่กับร่องกับรอยพาลเอานอนไม่หลับ

...ผมจะถามชื่อคนที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักไปเพื่ออะไร...

สร้างคอนเนกชั่นเอาไว้เผื่ออนาคตเหรอ? น้องเขาเรียนอยู่คณะอะไรผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะไปทำเส้นก๋วยจั๊บกระชับมิตรได้ล่ะ คิดสิ

จิ้มเข้าไปดูในห้องแชทของพวกเราเป็นครั้งที่ล้าน ก็ปรากฏเพียงสติ๊กเกอร์อัลปาก้าผูกผ้าพันคอสีแดงโค้งคำนับให้อยู่

...มันโค้งคำนับให้ผมเป็นรอบที่ล้านแล้ว...

งงกับจุดประสงค์ที่แอดไลน์มา ผมไม่ได้ตอบกลับไปด้วยสติ๊กเกอร์ไหนเลย หรือแม้แต่ส่งเป็นตัวอักษรคำถามว่าแอดผมมาเพื่ออะไรด้วยซ้ำ


<Greatเทศ

*สติ๊กเกอร์อัลปาก้าผูกผ้าพันคอสีแดงโค้งคำนับ* 18:37



หลับยังครับ 22:55


“...!!”

ผมสะดุ้งกดปุ่มตรงกลางออกมาจากหน้าแชทแทบไม่ทัน ความรู้สึกเหมือนตอนเห็นฉากตุ๊กตาผีขยับตัวกะทันหันในหนังสยองขวัญไม่มีผิด

แย่แล้ว เมื่อกี้มันต้องขึ้น ‘อ่านแล้ว’ แน่ๆ ผมควรตอบกลับหรือควรแกล้งหลับ ไม่สิมันแกล้งได้ที่ไหนในเมื่อมันขึ้นว่าอ่านแล้วน่ะ จำใจจิ้มกดเข้าไปใหม่ จะกลัวทำไมกับข้อความของคนแปลกหน้า ผมรัวแป้นบนหน้าจอเบาๆอ่านทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วตัดสินใจเคาะนิ้วตรงเครื่องบินกระดาษสีฟ้า

ปรากฏข้อความขึ้นที่หน้าจอของผมทันที


ยังครับ


...อ่านทวนอะไรนักหนาแค่สองคำ...


จะรบกวนมั้ยครับถ้าจะคุย


คุย? คุยเรื่องอะไร? นึกไม่ออกว่าผมกับอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรต้องคุยกัน


ได้ครับ ผมยังไม่นอน


ไอ้เบสมันเคยต่อว่าผมว่าชอบพูดจาอ้อมค้อม ถ้าสงสัยอะไรจะไม่ถามออกไปตรงๆ อาจคงเพราะนิสัยขี้เกรงใจที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือไม่...ผมก็แค่อยากคลายความสงสัยด้วยการสังเกตจากพฤติกรรมเสียมากกว่า


พี่อิมเมจชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ


หืม? อยากรู้ไปทำไม?


ถ้าไม่ใช่ของที่มนุษย์กินไม่ได้ผมทานได้หมด
แต่ถ้าให้เลือกผมชอบกะเพราหมูสับใส่ไข่ดาว


นิ่งไปเลย ผ่านไปเกือบนาทีแล้วที่ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีการพิมพ์ตอบกลับ


โจทย์ยาก ทำผมอึ้งเลย
https://www.wongnai.com/listings/holy-basil-restaurants
15 ร้านผัดกะเพรารสเด็ด แซ่บขั้นเทพสะท้านวงการ!



ผมจิ้มเข้าไปในลิงค์ หน้าเว็บปรากฏหลากหลายร้านกะเพราชวนกินกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆในกรุงเทพฯ ดึกแล้วลงของกินได้ ท่าจะเป็นคติพจน์ของเด็กเกรทนั่น แต่ตอนนี้ห้าทุ่มมีใครบอกบ้างมั้ยว่าอย่าแชร์ภาพของกินมันทำให้คนหิวจนถึงขั้นลุกไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้น่ะ


หยุดเลย
*สติ๊กเกอร์ มูนกระทืบเท้ากับพื้นอย่างดุเดือด*


เดี๋ยวนะ
ไม่ชอบเหรอครับ


ชอบ

แล้วกระทืบเท้าทำไม

*รูปถ่ายซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป*

เดี๋ยว ผมไม่ได้ตั้งใจจะดราม่านะ

แต่ผมกำลังจะไปต้มมาม่า!!
อย่าให้ผมต้องไลฟ์สดโชว์วิดีโอกินมาม่ากลางดึกเลยนะผมขอ

5555555555


เฮ้อ...เหนื่อย...ทำไมคนอยากผมต้องมาทนความหิวโหยกลางดึกด้วยเนี่ย


อดทนหน่อยครับเดี๋ยวผมพาไปเลี้ยงแล้ว


หา?

เริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นี่คือปฏิกิริยาของคนที่อยากจะตัดสัมพันธ์กันงั้นเหรอ


เลี้ยง?


งานนี้พี่ไม่ต้องออกนะผมขอ
สรุปเสาร์นี้เจอกัน 11:00 ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามตรงทางออกสแควร์วันละกัน
ถึงแล้วยังไงโทรมานะครับ
เลิกฉีกซองมาม่าได้แล้ว
*รูปถ่ายซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผมถ่ายแต่มีเส้นกากบาทสีแดงคาดเต็มภาพ*
ฝันดี ฝันถึงซองบะหมี่สำเร็จรูปนะครับ
*สติ๊กเกอร์น้องม้าห่มผ้าโบกมือบ๊ายบายเตรียมตัวนอน*



ผมวางซองมาม่าลงบนโต๊ะ เดินมาที่เตียงปัดผ้าห่มสอดตัวเข้าข้างใต้อย่างลวกๆ สายตายังคงจับจ้องตีความหนึ่งบรรทัดนั้นซ้ำไปมา

เสาร์นี้เท่ากับวันหยุด เจอกันหมายถึงผมเจอกับเกรท ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามแสดงว่านอกมหา’ลัย งั้นก็หมายความว่า...

‘ในเมื่อพวกเราเป็นแฟนกัน พวกเราก็ควรไปเดทกัน’

จำได้แล้วเด็กเกรทพูดคำนี้ออกมาในขณะที่สติผมเอาแต่คิดว่าอีกฝ่ายมาตัดความสัมพันธ์...เอาจริงดิวะ...


...TBC...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2019 05:41:34 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สอง...จานกับอาหารสิ้นคิด


“ยิ้มอะไรอ่ะอิม”

จู่ๆข้าวฟ่างก็ทักขึ้นมาตอนผมกำลังเลื่อนมือถือดูแบบเพลินๆ ปกติถ้าเป็นเฟสบุ๊กผมคงไม่แสดงพิรุธนี้ มันเป็นท่าทีที่เผลอยกยิ้มค้างจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจว่าภาพซองมาม่ากับกากบาทสีแดงนั้นมีดีอะไร

“ปะ...เปล่าหนิ”

“อย่าโกหก ฉันเห็นแกยกมุมปาก กำลังดูอะไรในมือถือฮะ” ข้าวฟ่างเพื่อนในกลุ่มชะโงกหน้ามา จนต้องดึงหลบกดล็อคหน้าจอแล้วยัดใส่กระเป๋า

“ปะ...เปล่าก็ไม่ได้ดูอะไร”

“เดี๋ยวนี้อิมเมจของเราหัดโกหกเป็นแล้วเหรอ” ทำไมทุกคนต้องหาว่าผมโกหกไม่เป็นกันด้วยนะ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมก็แค่อึดอัดกับการต้องพูดอะไรตรงข้ามกับใจออกไปต่างหาก

“ก็...ก็แค่เห็นแชทจากรุ่นน้องแล้วฮาเท่านั้นเอง” สุดท้ายก็ต้องบอกออกไป

“รุ่นน้องคนไหน”

“นะ...น้องเกรทที่อยู่นิเทศศาสตร์” ผมพูดไปตามตรง ไม่มีเหตุผลต้องปิดบัง

“เกรท? เกรทไหน? เชี่ย แกอย่าบอกนะว่าน้องคนนั้น ไหนบอกว่าเคลียร์กันแล้วไง”

“เออ...ก็ไม่เชิง”

“ไม่เชิงยังไง”

“นั่นดิยังไง เมื่อวันก่อนชั้นอุตส่าห์ปล่อยให้แกกับน้องอยู่กันสองคนนะ” อันนี้เจ้าแม่จอมวางแผนอย่างดาวหนึ่งเพื่อนสาวในกลุ่มพูดขึ้น วันก่อนที่ได้มีโอกาสคุยกับอีกฝ่ายก็เพราะดาวคนนี้แหละที่คอยกันคนให้

“กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้เรื่อง ไอ้อิมมันเคยพูดชัดเจนจริงจังกับเขาเป็นที่ไหน”

ไอ้เบสซึ่งนั่งหน้าเครียดอยู่แล้วพูดเสียงเข้มพลางขมวดคิ้วมุ่น เพื่อนคนนี้ผมเจอตอนปีหนึ่ง มันเป็นเพื่อนที่รู้ใจและสนิทกับผมที่สุด ทุกมุมของมันดูจริงจังกับชีวิตเสมอ โดยเฉพาะชีวิตผมที่ชอบทำตัวเอ๋อๆให้ตามเก็บตามเช็ดอยู่เรื่อย ความจริงด้วยระดับหน้าตาอย่างมันถ้าไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่กับผมทุกวันขนาดนี้ ป่านนี้คงมีแฟนไปนานแล้ว แต่ผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้นะ...

“เดี๋ยวกูไปบอกให้ละกัน เรื่องมันจะได้จบ” นั่นไงว่าไม่ทันขาดคำ มันทำท่าจะลุกพรวดพราดออกไปจนดาวกับข้าวฟ่างต้องรั้งแขนห้ามทัพเป็นระวิง

“เฮ้ย เดี๋ยว เบสแกจะไปเสือกเรื่องของอิมเมจมันทำไมวะ”

“ไม่ได้เสือก แต่มันไม่ได้เต็มใจจะคบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แกรู้ได้ไง!” ดาวกับข้าวฟ่างถึงกับตะโกนถาม คราวนี้ความสนใจทุกอย่างเลยตกมาอยู่ที่ผมซึ่งตอบรับอีกฝ่ายไป สายตาสามคู่หันมามองอย่างคาดคั้นคำตอบ จนผมอึกอัก

“กะ...ก็แค่บอกไปว่า...ถ้ารักก็คบได้”

“เชี่ยอิม!!/โธ่เอ๊ยไอ้อิม!!”

โดนเพื่อนสบถใส่พร้อมกันด้วยคำไม่เป็นภาษา อ้าว ไม่เคยได้ยินเหรอ ว่ารักคนที่เขารักเรา ดีกว่ารักคนที่เรารักเขาน่ะ

ชั่วครู่หนึ่งที่ผมแอบเหลือบไปมองไอ้เบส...

“แล้วความรู้สึกแกล่ะฮะไอ้อิม ความรู้สึกแกล่ะ” ผมถูกดาวจับไหล่เขย่าจนหน้าแทบทิ่ม

“เฮ้ยเดี๋ยวดาว” สมองผมกำลังจะไหล

“แกชอบเขาใช่มั้ย ชั้นถาม” คราวนี้ข้าวฟ่างเป็นคนถาม

“ไม่หรอก” แต่คนที่ตอบกลับเป็นไอ้เบสซะงั้น “ไอ้อิมมันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปรัก” ปัญญาน่ะผมมี แต่เรื่องเอาไปรัก...ผมคงทุ่มเทกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้...ก็ในเมื่อ...

“นั่นสินะ” ข้าวฟ่างพยักหน้าสนับสนุน

“ตั้งแต่คบกับมันมา ชั้นยังไม่เห็นมันตอบตกลงหรือไปจีบใครก่อนเลยสักครั้ง”

...ไม่ใช่ไม่จีบ...แต่จีบไม่ได้ต่างหาก...

“แล้วทำไมคราวนี้แกตอบล่ะ”

“เออ...เรื่องนั้น” ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน อาจเป็นเพราะเห็นอีกฝ่ายกำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่ใช่ลำบากในแง่เสียใจที่กำลังจะโดนปฏิเสธรัก หากลำบากที่ถูกคนรอบข้างจับจ้อง ลำบากที่กำลังจะถูกฉีกหน้าต่อทุกคนว่าสารภาพผิดคนไป ผมจงใจเก็บมันไว้โดยไม่บอกเพื่อน “ช่างมันเถอะ”

“ช่างได้ไง ชีวิตรักแกทั้งคนเลยนะ” ไอ้ดาวดิ้นโวยวาย ส่วนไอ้เบสมันเอาศอกมาสะกิดมองตาผม

“ตอบกูมาคำเดียว ว่ามึงไม่ได้ชอบมัน พรุ่งนี้กูจะได้ไปบอกให้เขาเลิกยุ่งกับมึงซะ”

ใช่...กูไม่ได้ชอบเขา...แต่กูชอบ...

ผมงับปากตัวเอง ความรู้สึกแปลกๆเอ่อล้นขึ้นมา ช่วงเวลาสามปีเหมือนมีบางอย่างสะสมตกตะกอนอยู่ข้างในตัวผม และผมก็ไม่เคยหวังให้ใครมาปั่นป่วนตะกองที่นองก้นจนทำให้น้ำใสที่อยู่ในใจนั้นขุ่นคลัก แม้คนๆนั้นจะเป็นผมเองก็ตาม

ที่ผมทำทุกอย่างไปอาจเป็นเพราะช่วงนี้ว่างเสียจนเอาเวลามาจับผิดสีหน้าคนผ่านอารมณ์และสายตา ไม่งั้นวันนั้นผมคงไม่ตอบรับคำว่า ‘ชอบ’ ด้วยการบอกว่าพร้อมจะคบหากอีกฝ่ายรักได้หรอก

ผมแค่มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบผม...และผมแค่สงสารเพราะเหมือนอีกฝ่ายกำลังหมดหนทางรอด

มือที่ถูกจับวันนั้นยังจำอารมณ์สั่นและลนลานผ่านทุกการกระทำได้ดี และการที่คนไม่มีพันธะอย่างผมจะได้ลงเอยกับรุ่นน้องมันคงไม่เดือนร้อนอะไร ดีเสียอีกที่ผมจะได้หลุดพ้นจากการโดนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนตามจีบ คงต้องอาศัยการตักตวงผลประโยชน์จากตรงนี้ให้เต็มที่ ก่อนจะโดนอีกฝ่ายบอกเลิกและต่างฝ่ายต่างกลับไปเป็นคนแปลกหน้าอย่างเดิมเหมือนเคย

ที่ผมเล่ามาทั้งหมดมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลยหนิ...จริงมั้ย

ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวสูงที่ยังรอคำตอบก่อนยิ้มออกมา

“ไอ้เบสมึงไม่ต้องทำอะไรหรอก”

“ได้ไงวะ แล้วมึงกับ...”

“ ‘เขา’ ไม่ได้ยุ่งกับกูมาตั้งแต่แรกแล้ว”

จะมีแค่เมื่อวานที่โลกมันบิดเบี้ยวไปนิด หากการ ‘เข้ามายุ่ง’ เมื่อวานเป็นผลจากการตอบรับรัก การหักอกอีกฝ่ายเพียงชั่วข้ามคืนมันคงจะดูแปลกเกินไป

ผมเมินข้อเสนอของเบส ตั้งใจจะปล่อยเรื่องราวผ่านไปสักระยะรอให้ซาแล้วค่อยล้างรากัน ผมสงสารรุ่นน้องเจ้าของหางตาตกๆคู่นั้น คนที่ชื่อมีความหมายคล้ายกันกับเพื่อนผมว่า ‘ดีเยี่ยม’








แน่นอนว่าเพื่อนรู้แค่ผมได้คุยกับรุ่นน้อง แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องนัดของเราในวันเสาร์ให้ใครฟัง ถ้ารู้ไอ้เบสคนนึงแหละที่น่าจะต่อต้านแล้วให้ผมจัดการตัดไฟแต่ต้นลม หรือไม่ก็มาตามคุมพฤติกรรมถึงที่แน่ๆ

พอถึงวันจริงผมมาถึงที่นัดก่อนเวลาเกือบชั่วโมง ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะไม่เคยนัดคนแปลกหน้า ช่วงเวลานี้ห้างร้านรวงต่างๆเริ่มทยอยกันเปิด แต่ถึงอย่างนั้นร้านกาแฟที่ขยันทำงานกันแต่เช้าก็มีคนจับจองที่นั่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว ผมมองนาฬิกาพลางเหลือบไปยังร้านกาแฟเงือกเขียว คำนวณกับตัวเองว่าคงใช้เวลาหนึ่งถ้วยกาแฟรอคอยเดทแรกของผม ก่อนตัดสินใจย่ำเท้าเข้าไปยังร้านที่ใกล้ที่สุดเผื่อจะได้มองเห็นอีกฝ่ายได้ถนัดหากเขามาเร็วกว่านัด

“ลาเต้ร้อนไซส์เล็กแก้วนึงครับ”

เครื่องปรับอากาศในนี้ค่อนข้างเย็น การสั่งเครื่องดื่มร้อนน่าจะทำให้นั่งได้นานกว่า ผมกวาดสายตามองไปรอบร้านหาที่นั่งว่าง นับว่าโชคดีที่ถัดจากมุมสุดของโต๊ะบาร์ยาวยังเหลือโซฟาเบาะเดี่ยวสีเทาเว้นเป็นฟันหลอไร้การจับจองอยู่

พอได้รับเครื่องดื่มจึงรีบรุดไปวางถ้วยปลดกระเป๋าจากไหล่พาดไว้ข้างเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งยังเบาะนุ่มนั้น ขยับตัวจนเข้าที่เข้าทาง สายตาเลื่อนไปจับจ้องยังทางเดินคอนกรีตซึ่งเป็นชั้นลดหลั่นลงไปด้านล่างพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นเป่า ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่คล้ายมารอใครเลยสักคน

...ใครจะมาก่อนเวลาบ้าบอได้เท่ากับผมบ้างล่ะ...

ผมเลิกเพ่งสมาธิไปกับทางเดินเปลี่ยนมาเป็นมองเหม่อไปรอบๆอย่างฆ่าเวลา พลันสายตาไปสะดุดกับเงาสะท้อนกระจกตรงหน้าจากคนข้างเคียง...

อึก...เดี๋ยวนะ...

ถ้าเป็นหนังผีคุณคงคิดว่ามีพลังงานบางอย่างอยู่เบื้องหลังใช่มั้ย แต่เปล่าเลย ผมกำลังมองเงาสะท้อนของคนข้างๆที่เสียบหูฟังกดมือถืออย่างมุ่งมั่นตั้งใจอยู่ต่างหาก

แต่เงาสะท้อนกลับกลืนไปกับพื้นหลังสีเข้ม แสงสลัวไร้ไฟเจิดจ้า ทำให้ผมไม่กล้าฟันธงกับการตัดสินใจ เลยได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยถือถ้วยกาแฟติดมือปิดบังหน้า แอบเหลือบสายตาไปมองเป็นระยะอย่างคนมีพิรุธ

สายตาผมสั้น แต่สั้นไม่มาก เลยพยศกับการใส่แว่นที่ทำให้รำคาญจมูก แต่พอมาเจอกับสถานการณ์อย่างนี้รู้สึกอยากให้ตัวเองตาดีสักสิบเท่า

“แซนวิชทูน่าค่ะ” เสียงข้างหูดังขึ้น พลันสะดุ้งหันไปสบตากับพนักงานสาวที่ยืนยิ้มยื่นถาดดำมาให้ บนนั้นมีกระทงจีบใบเล็กสีขาวใส่ของทดลองชิมเป็นขนมปังสีน้ำตาลประกบคู่ตัดชิ้นพอดีคำอยู่หนึ่ง มันคงส่งผ่านหลายคนจนเหลือรอดมาถึงตรงนี้

“เออ คือ...” ผมมักมีภาวะลังเลเสมอยามโดนให้ตัดสินใจอะไรกะทันหัน มือที่ยกขึ้นมาเผลอโบกไหวปฏิเสธ แต่คิดไปคิดมากลับเปลี่ยนใจอยากรับไว้เนื่องจากข้าวเช้ายังไม่ตกถึงท้อง พอขยับมือจะคว้า พนักงานคนนั้นกลับหันไปมองคนข้างเคียงพลางยิ้มให้เสียแล้ว

“แซนวิชทูน่า...อ๊ะ!”

พลาดตรงที่ชักมือออกไปแต่ดันดึงกลับไม่ทัน มือของผมสัมผัสกับคนข้างๆ อีกฝ่ายขยับมาคว้าโดยไม่ทันมองเต็มตาเพราะเพ่งสมาธิอยู่แต่กับหน้าจอ มือผมเลยกลายเป็นแซนวิชทูน่าสำหรับเขาไปเสียแล้ว

“ขอโทษครับ...” ดวงตาตกๆคู่นั้นหันมองมาทางผม

“ไม่เป็นไรครับ เอาเลยครับ” รู้สึกหน้าชา ผมหันตัวมายกกาแฟดื่ม ลืมว่าพึ่งสั่งมาเลยทำลาเต้ลวกปาก สะดุ้งจนกระชากถ้วยออกแทบไม่ทัน ฉับพลันกับที่รู้สึกถึงสายตาใครบางคนผมเลยหันไปมอง

“ยิ้มอะไรครับ” ใบหน้าขบขันของอีกฝ่ายทำเสียงผมห้วนกว่าปกติ รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่โดนรุ่นน้องเล่นหัว คนไม่สนิทมีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะ พอจบคำอีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าอึ้งมองตาผม

“เปล่าครับ ไม่คิดว่าพี่อิมเมจจะมีอารมณ์แบบนี้กับเขาด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนหลุดยิ้มออกมาอีกรอบ

“ใครกันอิมเมจ คนรู้จักของคุณเหรอ”

เจ้าตัวเบิกตาโตหนักกว่าเดิม งงว่าผมมาไม้ไหน ในเมื่อเคยเดินชนแล้วจำผมไม่ได้งั้นก็อย่ามาสนิทสนมเรียกชื่อเล่นคนอื่นเขาง่ายๆแบบนี้เลย ความเย็นชาทำให้เจ้าตัวนิ่งไป ผมไม่สนใจหันมายกถ้วยกาแฟจรดริมฝีปากเป่าอย่างประณีต สงวนท่าทีความเป็นรุ่นพี่ให้น้องเคารพและยำเกรง แต่ปลายสายตายังคงชำเลืองมองอีกฝ่ายตลอดเวลา

“อิมเมจแฟนผมครับ”

แค่กๆ ผมสำลักลาเต้ อุตส่าห์เป่าอย่างดีจนแน่ใจแล้วว่าไม่ลวกปาก ตอนนี้ลิ้นพองไปหมด รู้สึกได้ถึงมือคนข้างเคียงยื่นเข้ามาลูบไหล่ ก่อนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ผมเผลอรับมาแนบปากอย่างลืมตัว

“ขอบคุณ ไว้ผม...” เชร้ด ผ้าเช็ดหน้าสีขาว แล้วสภาพตอนนี้มันก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบกาแฟ

“อย่างนี้จะซักออกได้ไง”

“ไม่ต้องคืนก็ได้ครับ” อุทานกับตัวเองแต่อีกฝ่ายกลับตอบมาอย่างเอื้ออารี ไม่รู้บ้านอื่นเป็นกันอย่างบ้านผมมั้ย ว่าการให้ผ้าเช็ดหน้าเป็นลางไม่ดี ผ้าผืนเล็กๆชิ้นนี้เป็นตัวแทนรองรับความโศกเศร้า ผมจับผ้าเปื้อนคราบกาแฟแต่ยังฟุ้งกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของอีกฝ่ายเข้าอกเสื้อ ขยับมือล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงด้านหลัง ก่อนเอื้อมไปจับมือคู่กรณีไว้แล้ววางสิ่งที่หยิบออกมาลงไปแทน

“แลกกัน”

“ฮะ?”

“ผมยังไม่ได้ใช้ พึ่งซักมาใหม่ๆ ถือว่าหายกัน” เจ้าตัวกำผ้าผืนนุ่มลายตารางสีดำเทาในมือมองดูพลางยกยิ้มเบาๆ

“พี่อิมเมจเป็นคนคิดมากกว่าที่ผมคิดไว้นะครับ”

“ก็ยังดีกว่าคนคิดน้อยละกัน” ไม่ได้เหน็บ แค่พูดให้เจ็บเล่น มีคนบ้าที่ไหนบนโลกนี้บ้างที่เห็นหน้าผาแล้วเหยียบคันเร่งทั้งที่มีเลนทางแยกอยู่ด้านข้าง และถึงแม้จะเป็นทางเดินที่โคตรขรุขระแต่มันก็อาจจะทำให้กลับมามีชีวิตรอดได้ไม่ใช่หรือไง

...ไอ้เด็กโง่...ไม่มีอารมณ์เดทละ...

ผมขยับตัวยุกยิก ก้ำกึ่งระหว่างการตัดสินใจทิ้งกาแฟที่พร่องไม่ถึงครึ่ง หรือรอดื่มให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปเพราะเงินที่จมอยู่ในนั้นก็หลายบาท ความคิดผมสะดุดตอนที่กระทงกระดาษสีขาวโดนแขนยาวๆดันมาตรงหน้า แทบจะต้องหันไปหาคนกระทำอีกรอบ

“ผมให้” เสียงทุ้มกล่าวเรียบไม่มีท่าทีขี้เล่นเหมือนอย่างเดิม

“ไม่เป็นไรครับ คุณทานเถอะ” ผมดันกลับ

“เห็นพี่ลังเลอยู่ ดูเหมือนอยากกิน”  หมดอารมณ์กินแล้ว อยากพูดแบบนั้นแต่ขึ้นชื่อว่าคนแปลกหน้า ผมไม่มีทางแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นตั้งแต่แรกหรอก

“เปล่า ผมแค่คิดว่าถ้าเมื่อกี้คุณไม่หยิบพนักงานคนนั้นก็ต้องเดินวนซ้ำอีก”

“เขาไม่ลงทุนขนาดนั้นหรอกครับ แค่เดินกลับไปวางที่เคาน์เตอร์เดี๋ยวก็มีคนหยิบแล้ว พี่ทานเถอะครับผมยังไม่หิว”

“ของเหลือเหรอ” มีใครเคยบอกมั้ยว่าผมร้าย ท่าทางผมจะทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจกับพฤติกรรมแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นจากคนชื่ออิมเมจ ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ใกล้กันจริงไม่มีทางรับรู้ข้อนี้ได้

“ไม่ใช่ของเหลือครับ ผมให้”

“ไม่ลงทุนเลย”

“หา?”

“ให้ของฟรี”

คนตัวสูงที่ผมเคยเห็นแต่ในคราบนักศึกษามาวันนี้เขาใส่เสื้อฮาวายพื้นดำลายสับปะรดเส้นขยุกขยิกทำหน้าเหวอไป ความเงียบเข้ามาแทนที่ระหว่างเราสองคน ผมกำลังทำให้บรรยากาศเดทแรกขมุกขมัวในความคิด

สักพักเด็กเกรทก็กระทำสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน มือใหญ่ขยับมาหยิบแซนวิชทูน่ายัดเข้าปากตนเองเคี้ยวหมุบหมับ จนทางนี้ได้แต่มองตามแบบประหลาดใจปนเสียดาย พอจะทำเป็นเลิกสนใจ มือข้างเดียวกันนั้นกลับคว้ามาที่แขน เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหนือหัวผม

“อะไร จับแขนผมทำไมเนี่ย”

“ไปกันเถอะครับ”

“หา?”

“ไปหาของไม่ฟรีกินกัน ลุกเร็ว”

“เฮ้ยเดี๋ยวดิ”

สรุปสุดท้ายผมแม่งต้องทิ้งกาแฟแก้วละร้อย เพราะโดนผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่า ‘แฟนคนปัจจุบัน’ ลากออกจากร้านมาแบบกะทันหัน






“ทานเผ็ดได้มั้ยครับ”

“พอได้”

“พี่ครับเอาข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวครับ เอาเผ็ดปานกลาง แล้วอีกจานเอาเป็นหมูกระเทียม”

“ไข่ดาวจานนึงเอาไม่สุกนะครับ”

รู้เลยเด็กเกรทมันอมยิ้มทันทีที่ผมรีบตะลีตะลานบอกพนักงานที่กำลังจะรวบเมนูกลับไป ในที่สุดก็พาผมมาร้านตามที่เจ้าตัวเคยส่งลิงค์มาให้ ใจนึงก็อยากกลับแต่ผมบังคับท้องไม่ได้ตอนนี้หิวเสียจนไส้แทบบิด ช่างมันจบกันด้วยหนึ่งมื้อแล้วค่อยลาขาดไม่น่าจะยากอะไร

พวกเรานั่งรออาหารมาเสิร์ฟในภวังค์ความเงียบ ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน หรืออาจเพราะไม่รู้จะเริ่มคุยเรื่องอะไรมากกว่า การจูนกันของพวกเรามันเริ่มจากคำว่า ‘ผิดพลาด’ แล้วผมจะมีปัญญาไปทำอะไรได้ล่ะ

“ทำไมถึงชอบกินกะเพรา” สุดท้ายเด็กเกรทก็ตีแตกความเงียบให้พ่ายแพ้ ผมมองหน้าคนที่ถือแก้วน้ำเปล่าคาบหลอดไว้คาปาก

“ก็มันอร่อย”

“ผมคิดว่าพี่ตอบไปส่งๆ”

“เพื่ออะไร”

“ตัดรำคาญคนอย่างผม”

“กะเพราไม่ผิดอะไร มันอร่อยของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ให้ใครเอามันไปเป็นข้ออ้างเรื่องอื่น”

“ดูท่าจะชอบจริง มีปกป้องกะเพราด้วย”

“ถ้าใครบอกว่ามันเป็นอาหารสิ้นคิดผมจะตีปากแตกเลย คนเรามักเลือกของอร่อยมาก่อนเสมอ ร้านอาหารตามสั่งทั่วไปยังไงก็ต้องมีไข่ไก่อยู่แล้ว แล้วทำไมไม่สั่งข้าวไข่เจียวแล้วบอกว่ามันเป็นอาหารสิ้นคิดให้รู้เรื่องรู้ราวเลยล่ะทำไมต้องมาสั่งกะเพราแล้วกล่าวหาว่ามันเป็นอาหารสิ้นคิดด้วย”

“กะเพราเผ็ดปานกลางจ้า” พนักงานเสิร์ฟวางจานกะเพราราดข้าวโปะไข่ดาวลงบนโต๊ะ แทรกบทสนทนาดุเด็ดเผ็ดมันของผมอย่างกะทันหัน ผมนั่งจ้องผิวเนียนที่เคลือบด้วยน้ำมันของไข่ดาวไม่สุกตาค้าง

“พูดอย่างนี้ไข่ดาวน้อยใจแย่เลยนะครับ” เสียงทุ้มกล่าวตัดพ้อแทนน้องไข่ดาวก่อนเลื่อนจานข้าวเข้ามาใกล้ทางฝั่งผม “ไข่ดาวก็เหมือนเป็นญาติของไข่เจียว” เหมือนหยดน้ำมันที่ไหลมาออตรงร่องไข่ขาวจะเป็นน้ำตาของไข่ดาวฟองน้อย ผมนิ่งไปอึดใจก่อนรู้สึกเหมือนต้องพูดอะไรสักอย่าง

“ขอโทษนะที่กล่าวหาว่าญาติของแกเป็นอาหารสิ้นคิด” ผมมองไข่ดาวแล้วกล่าวอย่างคนเพ้อ “อย่างนี้แหละเขาถึงชอบพูดว่าของที่อยู่ใกล้ตัวหาง่ายคนมักไม่ได้รับความสำคัญ”

“ทำไมถึงไปออกประเด็นนั้นล่ะ” ผมมองตาอีกฝ่ายพยายามหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นให้ได้ แต่สุดท้ายก็มาจบที่...

“ผมก็แค่คนบ้าคนนึง”

“เป็นคนบ้าที่น่ารักดีนะครับ” ผมรู้สึกว่าเกรทเป็นเด็กหน้าตาดีที่ชอบยิ้มเรี่ยราด มิน่าล่ะ สาวๆที่ภาคผมถึงได้เคลิ้มนักเคลิ้มหนา

“ผมควรโฟกัสที่คำว่าบ้า หรือคำว่าน่ารักดีล่ะ”

“ทั้งสองอย่างสิครับ ดูบาลานซ์ดี”

“ขอบคุณครับที่ชมผมว่าบ้า” เบื่อรอยยิ้มนี้แล้วล่ะ ผมหันมาจ้องน้องไข่ดาวน้อยมันดูจะอารมณ์ดีขึ้นตามความมันวาวและสวยน่าทาน ก่อนขยับมือไปหยิบแก้วน้ำยกหลอดขึ้นดื่ม

“กินก่อนได้เลยนะครับ”

“แต่ข้าวของคุณยังไม่มา”

“สงสัยเขาไปปลูกต้นกระเทียมอยู่”

“อีกสักพักคงไปเลี้ยงหมูด้วยล่ะมั้ง จานผมมีส่วนประกอบเดียวกับคุณแท้ๆ แต่ทำไมของคุณยังไม่มาล่ะ”

“สงสัยทำยากกว่ามั้งครับ”

...หมูกระเทียมจะไม่ทำยากกว่ากะเพราได้ยังไง...

ผมส่ายหัวเอ็นดูให้กับเหตุผลแบบเด็กๆ สักพักจึงเห็นปลายนิ้วของคนสั่งหมูกระเทียมชี้มาที่จานผม

“ไหนๆก็วัตถุดิบเดียวกันแล้ว ขอผมชิมของพี่ได้มั้ย” เผลอกระพริบตาปริบๆใส่อีกฝ่าย คราวนี้มาไม้ไหนเนี่ย ไม่อยากคิดให้มากความผมดันจานให้ไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามโดยพยายามไม่ให้ช้อนส้อมตกลงมา

“เอาสิ”

“พี่กินก่อนดิ”

...อ้าว เอาไงกันแน่วะ...

“ถ้าพี่ไม่เปิดก่อนแล้วผมจะกล้ากินได้ยังไง”

เรื่องมากชะมัด ผมต้องดึงจานกลับหยิบช้อนส้อมขึ้นตักข้าวกะเพราเข้าปากพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  รสชาติกะเพราเจ้านี้อร่อยกลมกล่อมกว่าที่คิด เหมือนทางร้านจะคัดกะเพราป่าที่มีกลิ่นฉุนพิเศษมาเป็นวัตถุดิบ ผมชักเริ่มติดใจแล้วแฮะ

แต่ก่อนที่จะตักมันเข้าปาก ผมควรจะให้อาหารนกตรงนี้ที่ทำตาเป็นประกายตัวนี้เสียก่อน

“อ่ะ...ผมกินแล้ว คุณก็กินซะสิ”

“อา....”

ไอ้เหี้ย...ท่าทางหลับตาอ้าปากตรงหน้ามันคืออะไร จู่ๆเด็กเกรทก็จับขอบโต๊ะแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าซึ่งมองไม่เห็นแววตาดูกึ่งทีเล่นทีจริง จนเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังล้อเลียนผมอยู่

คิดว่าผมไม่กล้าป้อนกะเพราป่าให้กับเดทแรกของผมสินะ

ไม่ใช่ชอบเอาชนะแต่กับเด็กเกรทผมไม่อยากแพ้ เพราะเหมือนยิ่งแสดงจุดอ่อนให้เห็นเจ้าตัวก็ยิ่งได้ใจ ผมเลยตักกะเพราหมูสับใส่ช้อนหวังแค่ยื่นไปป้อนคนตรงหน้า แต่ไอ้หลังที่ตรงแด่วแบบไร้ความร่วมมือทำให้ระยะทางของเราไกลเกินเอื้อม การป้อนครั้งนี้จึงเป็นอะไรที่ทุลักทุเลสำหรับผม เพราะทั้งต้องยกตัวจากเก้าอี้โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วยังต้องเอามือเท้าโต๊ะ ก่อนเล็งศูนย์ช้อนให้ตรงกับปาก เหมือนเจ้าตัวจะรอนานจนต้องลืมตาขึ้นมา ผมเลยชะงักค้างอยู่ท่านั้น...

อึก...ใกล้กว่าทุกที...แล้วแทนที่จะจ้องไปมองกะเพราที่ช้อนกลับมองแต่หน้าผม...

ผมเสียศูนย์จนช้อนข้าวเกือบตวัด โชคดีที่มือใหญ่คว้าเข้ามาได้ทันการ ก่อนบรรจงเลื่อนมันเข้าปากที่อ้าค้างไว้

ใบหน้าหยอกเย้าส่งตรงมาเต็มสตรีม แต่สักพักคิ้วรูปสวยกลับต้องหมวดเป็นปม รีบปล่อยมือผม ก่อนเม้มปากหนัก ลำคอเหยียดกระเพื่อมแรงเหมือนเจ้าตัวพยายามกลืนข้าวก้อนใหญ่ลงท้อง

“เชี่ยพี่อิมเมจ พี่ตักพริกให้ผมทั้งเม็ดเลยเหรอ” เหมือนจะโดนฤทธิ์เจ้าพืชสีแดงแค่เพียงน้อย เลยมีแรงด่าผมก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม

“ผมไม่ได้หลอก พริกเม็ดเบ้อเริ่มวางอยู่บนช้อน แต่กลับไม่ดูเอง” เด็กเกรทเกาท้ายทอยแกรกๆ ก้มหัวบ่นงึมงำ

“ก็ตรงหน้ามีของที่น่าดูมากกว่านี่หว่า”

“อะไรนะ”

“ปะ...เปล่าครับ”

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราสองคนมาพูดกันให้ชัดเจนเลยดีกว่า” ผมว่าจะไม่เป็นคนเริ่มก่อนแล้วนะ

“เรื่องอะไรครับ”

“ก็เรื่องที่ว่า...” เหมือนทำเสียงหล่นหายไปกลางอากาศ ผมนิ่งค้างไปกับจุดตกสายตาของผม

“หืม...ด้านหลังมีอะไรหรือครับ” เด็กน้อยกำลังจะหันหน้าไปตาม แต่เขาต้องชะงักค้างแล้วหันกลับมาทางเก่าทันทีที่ผมตะโกนเรียกออกไป

“เกรทมองตาผม!”

“หา?” เจ้าตัวสะดุ้ง เริ่มจับอาการคนบ้าคนนี้ไม่ถูกทำอะไรต่อไปไม่เป็น

“พวกเรามาคบกันให้เป็นกิจจะลักษณะซะทีเถอะ”


...TBC...

++++++++++++++++++++


เรื่องนี้อาจจะเรียบๆเรื่อยๆ ไม่ค่อยฮาๆอารมณ์ขึ้นๆลงๆเหมือนเรื่องก่อนๆ

แต่คิดว่าอยากแต่งแนวนี้พอดีเลยลองแต่งดูค่ะ

ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สาม...อย่างคุณจะทำวันเดียวในเดทแรกไม่ได้นะ


ถึงแม้ผมจะไม่ถนัดกับการตัดสินใจอะไรกะทันหัน แต่ผมก็เป็นนักคำนวณและวางแผน ผมจะมองทุกอย่างตรงหน้าเหมือนวัตถุดิบในการตัดสินใจ เอาอันนี้มาใส่ จับบวกกับอันนี้แล้วผลลัพธ์คืออะไรที่ดีที่สุดก็จะเลือกอันนั้น

แล้ววันนี้ความสามารถพิเศษนั้นก็ถูกนำมาใช้...

“คบกันให้เป็นกิจจะลักษณะ? พี่หมายถึง”

“ก็หมายความตามที่พูด”

“แล้วมันต่างจากตอนนี้ยังไง”

“ต่างสิ คนเป็นแฟนกันมันไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอถึงสามสัปดาห์หรอกนะ”

“...”

เหมือนผมจะจี้ใจดำอีกฝ่าย เจ้าตัวหน้าหมองคอหักลงอย่างเห็นได้ชัด คงรู้สึกผิดกับการกระทำที่เหมือนทิ้งขว้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เรียกได้ว่ายังมีความดีอยู่

พอมานั่งคิดทบทวนแล้ว แรกเริ่มเดิมทีผมไม่ได้ต้องการจะคบอีกฝ่ายด้วยความชอบพอ ส่วนเด็กเกรทน่ะเหรอตัดคำว่า ‘ชอบ’ ออกไปจากสารบบได้เลย ต่างฝ่ายต่างไม่รัก ต่างฝ่ายต่างชอบ...คนที่มีแฟนแล้ว...การที่พวกเราสองคนจะมาคบกันมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร

หลังจากนั้นถ้าไม่ชอบก็แค่เลิกคบแล้วจบกัน

“พี่อิมเมจผมถามอะไรอย่างได้มั้ย”

อีกฝ่ายทำหน้าจริงจังผิดปกติ ผมเลยพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงอนุญาต

“พี่เป็นเกย์เหรอครับ”

“...” ผมอึ้ง อะไรทำให้เจ้าตัวคิดอย่างนั้น อ๋อ...จริงด้วยสิ การตอบรับคบอีกฝ่ายทั้งที่เป็นผู้ชายมันทำให้คิดไปได้แบบนั้นสินะ เด็กเกรทลอบมองปฏิกิริยาทำท่ากล้าๆกลัวๆใส่ ผมเลยอ้าปากตอบออกไป

“ถ้าอย่างนั้นคุณที่มาสารภาพรักกับผู้ชายอย่างผมก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“จะ....บ้าเหรอผมแค่” ผมยกคิ้วข้างหนึ่งใส่เจ้าตัว จนอีกฝ่ายชะงักยกมือเกาศีรษะแกรกแกรก “เออ...นั่นสินะ”

“หรือจะเลิกกันดีล่ะ” ผมยิงออกไป บางทีจบตอนนี้อาจจะยังไม่สาย

“...” อีกฝ่ายมีท่าทีอึ้ง แต่สักพักสีหน้าดีใจยินดีที่ผมเปิดโอกาสให้กลับผุดขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด มันดูน่าหมั่นไส้ชวนให้กลั่นแกล้ง

“ไม่เอาดีกว่า ไม่เลิกแล้ว”

“ฮะ?” อารมณ์เปลี่ยนไวยิ่งกว่าสีของกิ้งก่า

“หรืออยากให้เลิก?”

“เดี๋ยวพี่...” เกรทยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามให้ผมหยุด แต่อย่าหวังเลย

“ไม่ต้องเลิกละกันเนอะ”

“เฮ้ยพี่อิมเมจ พี่จะเอาไงกันแน่ เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวไม่เลิก สรุปแล้วพี่...”

“คุณชอบผมรึเปล่าล่ะ”


“...!”

“ที่มาขอคบด้วย...ความจริงแล้วคุณชอบผมหรือเปล่าล่ะ”

“...”

“...”

พวกเราต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน คงจุกสินะ ขอโทษที ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเอานิ้วชี้จี้ไปที่ใจสีดำของเขา

“กะ...ก็ต้องชอบสิครับ” ปากแข็ง ไม่มีความรู้สึกรักปะปนอยู่ในคำพูดนั้นเลยสักนิด

“งั้นพวกเราก็คบกัน ตกลงตามนั้นนะ” ผมกลับมาสนใจข้าวราดกะเพราในจาน ลมของเครื่องปรับอากาศที่ตกลงตรงกลางเริ่มทำให้อาหารดูเย็นชืดคล้ายกับเดทของพวกเราในวันนี้

ผมรู้สึกเหมือนกำลังมาเจรจาธุรกิจบางอย่างซึ่งตนเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร จะมีก็แต่คู่ค้าที่ดูจะขาดทุนไปเสียทุกอย่าง ทั้งหมดโอกาสเดินตามตัวจริงซึ่งมีคนรักแล้วต้อยๆไปสารภาพ แล้วยังต้องทึกทักแสดงบทบาทเป็นคนรักของผมอีก

“ข้าวหมูกระเทียมจ้า” เสียงสวรรค์เหมือนหยุดความตึงเครียดป่วนปั่นที่ปะทุขึ้นมา ข้าวสวยจานร้อนพร้อมราดด้วยหมูชิ้นสีเหลืองทองปะปนกระเทียมกองใหญ่ถูกวางลงตรงหน้า กลิ่นหอมของมันยังคั่งค้างอยู่ในระบบประสาทของผม ดูมันน่ากินกว่ากะเพราจานจืดชืดตรงหน้าเป็นไหนๆ

นี่คืออภิสิทธิ์ของคนที่รอสินะ มีโอกาสข่มขู่ด้วยกับข้าวที่สดใหม่กว่า

“น่ากินจัง”

“ฮะ?” หลังจากหลุดอุทานเสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็ดังดึงความสนใจไปจากข้าวราดหมูกระเทียมตรงหน้า อาจคงเพราะเพิ่งจบประเด็นคำถามเพศสภาพของผมไป เจ้าตัวเลยยังคงทิ้งสีหน้าตื่นๆไว้มองผม

“ขอชิมได้มั้ย”

“เอ๊ะ!?”

“ผมหมายถึง ‘หมูกระเทียม’ ไม่ใช่ ‘เกรท’ ”

จบคำเฉลยเจ้าตัวนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะดันจานตรงหน้ามาให้

“อะ...เอาเลยครับ” มองท่าทีอีกฝ่าย แล้วนึกสนุกอยากลองเล่นพิเรนทร์ขึ้นมา เลยแกล้งปิดเปลือกตาลง แย้มเยื้อนริมฝีปากเล็กน้อย เปล่งเสียงเบาๆออกมาจากลำคอ

“อา.....”

“ฮะ?”

“ป้อนผมบ้างสิ”

“พะ...พี่อิมเมจ” เสียงสั่นจนน่าสงสาร วันนี้พอแค่นี้ละกัน ผมลืมตาขึ้นสบกับเจ้าตัวที่ยังมีท่าทีลนๆอยู่เล็กๆ

“ไม่เอาน่า ผมล้อเล่น” เอื้อมไปตั้งท่าจะหยิบช้อนขึ้นมาตักหมูกระเทียมเข้าปาก แต่ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับมือผมไว้เสียอยู่หมัดก่อนปลดช้อนออกบังคับไม่ให้แตะต้องอาหารของเขา

ช้อนที่โดยแย่งไปจ้วงลงชิ้นหมูคำใหญ่ก่อนส่งมาจ่อที่ปากผม

“อ้าปากสิครับ”

“...”

“ไหนบอกให้ป้อนไง อยากให้ป้อนก็อ้าปากสิครับ อ้ามมมม”

บทสนทนาของพวกเราอาจทำให้คนที่ได้ฟังครึ่งๆกลางๆแอบคิดอกุศลไปไกลโข ผมค่อยๆอ้าปากอย่างเก้อๆ พลังใจที่กล้าทำอะไรต่อมิอะไรมันหดหายไปหมด ทันทีที่ริมฝีปากแตะช้อนกลิ่นหอมๆของกระเทียมก็ซึมเข้ามา

“อืม” ผมเคี้ยวราวกับสวมวิญญาณคณะกรรมการในมาสเตอร์เชฟ รสชาติดีใช้ได้ ถึงแม้จะเป็นอาหารตามสั่งที่คิดว่าหาที่ไหนได้ก็ตามที “อร่อย”

“แน่อยู่แล้ว”

“ร้านนี้เขาดัง?”

“เพราะผมป้อนให้ต่างหาก”

อยากจะสำรอกให้กับความมั่นหน้า ผมหันมาสนใจทานอาหารต่อโดยพยายามหลบชิ้นพริกเม็ดที่มองเห็นอยู่เนืองๆ ร่างสูงเริ่มลงมือทานบ้าง ปากเขาเคี้ยวตุ้ยๆราวกับเด็กเล็กซึ่งโดนพ่อแม่สั่งงดขนมจนพ้นโทษ ทำไมถึงเป็นธรรมชาติกับคนแปลกหน้าได้ขนาดนี้นะ ทั้งที่ผมออกจะไม่สนิทใจเท่าไรยามอยู่กับใครที่ไม่รู้จัก

“จ้องผมทำไมน่ะ เดี๋ยวผมก็ทานไม่ลงพอดี” นี่นะทานไม่ลงปาไปเกินครึ่งจานแล้วพ่อคุณ

“ปกติสนิทกับคนแปลกหน้าได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ”

“พี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้วหนิ”

“...”

“พี่เป็นแฟนผมแล้ว”

“...!” เกือบสำลักเป็นรอบที่สองของวัน เล่นเองทำไมไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ผมยกน้ำขึ้นซดยกหลังมือเช็ดมุมปากก่อนมองหน้าตัวป่วน สำรวมอาการก่อนพูด “โอเค แฟนสามอาทิตย์ให้หลังเนอะ”

“มีคนเคยบอกมั้ยว่าพี่ปากร้ายขัดกับหน้าตา” ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับคำพูดเอ่ยตรงๆของอีกฝ่าย

“ไม่เคยมีใครนินทาให้เห็นต่อหน้า”

“เขาคงไม่กล้าพูดมากกว่า”

“หน้าตาผมใจดีงั้นเหรอ” จากที่ก้มตัวกินข้าวอยู่เด็กเกรทก็ยืดตัวตรงมองหน้าผม

“ใจดีไม่ดีไม่รู้ รู้แต่ว่า...หน้าตา...ดีใช้ได้”

หืม...ชมมกันอย่างนี้เลย

“ชมในฐานะแฟน?”

“ในฐานะผู้ชายคนนึงที่มองผู้ชายคนนึงว่าดูดีครับ” ผมเผลอยิ้ม แปลกพิลึกที่มีคนหน้าดี รูปร่างดี สูงกว่า บุคลิกดีกว่ามาชม

“ต้องดูดีให้เข้ากับชื่อเล่นของผมไง”

“ชื่อเล่นที่แปลว่าสร้างภาพหรือครับ” หุบยิ้มทันควัน นอกจากคุณสมบัติที่เขียนด้านบนแล้ว หมอนี่ยังกวนตีนกว่าและปากหมากว่าผมด้วย

“ใช่แปลว่าสร้างภาพ...แล้วต่อให้เป็นแฟนผมก็ไม่มีทางแสดงเบื้องหลังภาพอันนั้นออกมาให้คุณเห็นแน่” กะเพราเริ่มอร่อยขึ้นมายังไงไม่รู้ จานผมพร่องไปมากกว่าอีกฝ่านด้วยความที่ถูกเสิร์ฟมาก่อนนานมาก แต่แล้วมันกลับถูกเติมเต็มด้วยข้าวหมูกระเทียมของใครบางคนที่ตักย้ายมาที่จานผม

“อิ่มแล้วเหรอ” ผมเงยหน้าไปถามเจ้าของการกระทำ

“เห็นพี่กินแล้วน่าอร่อยเลยอยากเห็นอีก” ต่อเวลาการกิน หรือขุนให้อ้วนกันแน่

“พอแล้ว ตักมาให้เยอะกว่านี้จุกแน่” สุดท้ายก็ยอมกินต่อไปเงียบๆกันสองคน

พวกเราใช้เวลาไม่นานในช่วงครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังต่างชวนกันคุยสัพเพเหระ กว่าจะออกจากร้านได้ก็เป็นตอนเลยเวลาบ่ายมานิดๆ โชคดีที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกตเห็นความเป็นไปบางอย่างซึ่งบางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงให้วันทั้งวันมัวหมองลงชั่วพริบตา

...ส่วนผมก็แทบจะลืมไปว่ากำลังมาเดทกับคนแปลกหน้า...





ป้ายสีแดงใหญ่ตัวอักษรสีขาวตามรายทางที่เดินผ่านแบบมั่วซั่ว ดึงดูดคนตัวสูงไม่ใช่น้อย ผมไม่ใช่เจ้าพอแฟชั่น แต่ให้เดินเป็นเพื่อนก็ได้ ส่วนอีกฝ่ายนะเหรอดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้วว่า...สายโหด

“หมวกนี้ดีมั้ยครับ” หมวกซาฟารีสีดำเรียบมีสายถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ เจ้าตัวหันไปมองกระจกวืบหนึ่งก่อนมองมาทางผมอย่างถามความคิดเห็น

“ก็ดีนะ” พอรวมทุกอย่างในตัวแล้ว เรียกได้ว่าครบเครื่อง เสื้อฮาวายสีดำลายสับปะรดซึ่งมีขายดาษดื่นทั่วไปจนเหมือนโหลพอมาลงทับเสื้อยืดสีขาวที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีแดงพาดบนอกเหน็บด้วยแว่นกันแดดโอ๊คเล่ย์สีน้ำเงินด้านใน กับกางเกงขายาวสีดำคุมโทนนี้ จะเอาหมวกแก๊ป หมวกปีกกว้าง หรือหมวกทหารคุกกี้อาร์เซนอลอะไรมาใส่ก็ดูเข้ากันกับคนตรงหน้าไม่หมด

“ไม่ดีเหรอครับ” เจ้าตัวเห็นผมตอบสั้นๆ เลยคิดว่ายังไม่พอหันไปจับหมวกไหมพรมสีดำมาสวมอีก ดูลุคเท่แบบสตรีทสัดๆ “แล้วนี้ล่ะ”

“อืม โอเค”

“ไม่มีอารมณ์ร่วมเลย”

จะมีอารมณ์ร่วมได้ไง เล่นใส่อะไรก็เข้าไปหมด เจ้าตัวหันไปทางเสื้อแจ็คเก็ตเป้าหมายใหม่ที่ปักป้ายลด50% หยิบตัวสีขาวแถบดำแนวสปอร์ตมาสวมทับเสื้อสับปะรด ดึงปลายแขนซึ่งเป็นผ้ารัดขึ้นเกือบถึงศอกจัดท่าทางในกระจก แล้วหมุนตัวมาสบตาอีกครั้ง เหมือนได้ยินเสียงหวีดเล็กๆดังมาจากโซนเสื้อผ้าผู้หญิงที่อยู่ห่างจุดนี้ไปด้านหลังสองช่วงตัว คงโดนดาเมจพิษดาราเด็กที่มีคำพูดฮิตติดปากอย่างคำว่า ‘แม่’ ตกเข้าให้แล้วสินะ แต่โชคดีที่ผมมีภูมิต้านทาน

“แล้วอันนี้ล่ะครับ”

ผมพยักหน้าเบาๆมองตาเขา ซึ่งมันยังส่งผลเหมือนเดิมคือเจ้าตัวไม่พอใจที่ผมตอบสั้นเกินไป เลยถอดเสื้อแขวนกลับเข้าที่ก่อนเดินตึงตังตรงมาทางผม

“อย่างไหนที่จะทำให้พี่หลุดปากว่าหล่อออกมาได้เหรอครับ ผมว่าให้พี่เลือก....”

“ปก...”

“หา?” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ คงเพราะเมื่อกี้รีบร้อนถอดเสื้อล่ะนะ ผมเอื้อมมือไปจัดปกที่ยุ่งเหยิงของคนตัวสูงกว่า มันพับตลบลามไปถึงข้างหลังจนผมต้องยืดตัวชะโงกหน้าไปดูว่าเข้าที่เข้าทางรึยัง

“พี่อิมเมจ”

“แต่เดิมเป็นยังไงนะ ตั้งหรือนอน”

“หะ...ฮะ!” ผมหมุนหัวไปสบตาเขาซึ่งมีท่าทีแปลกไป

“ผมถามว่าแต่เดิมปกคุณตั้งหรือนอน”

“...ตะ...ตั้ง...เอ๊ย เออ คือ นะ...นอนครับ” ใช้ปลายนิ้วไล้ปกจนมันเรียบไปกับแนวสันคอก่อนตบเบาๆ

“หล่อแล้ว”

“...!” เด็กเกรททำท่าเหมือนคนได้กลิ่นอะไรไม่พึ่งประสงค์ เจ้าตัวเบิกตาโตก่อนหมุนศีรษะออกด้านข้าง ก้มหน้ายกมือข้างขวาที่เกือบจะเป็นกำปั้นขึ้นแตะจมูกเบาๆ “ทีอย่างนี้ล่ะพูดง่ายเชียว”

“ว่าไงนะ”

“เปล่าครับ...พี่ว่าผมควรจะซื้อแจ็คเก็ตสีขาวตัวนั้นมั้ย”

“ที่บ้านคุณมีแบบนั้นรึยังล่ะ”

“อืม ก็มีที่คล้ายๆกันอยู่นะครับ”

“งั้นไม่ต้องซื้อ”

“...”

“ยังหาเงินเองไม่ได้ ประหยัดๆไว้บ้างก็ดี”

“ครับแม่”

“...!” เรียกแม่เหรอ? สรุปนี่ผมไปร่วมแสดงละครตอนเด็กของหมอนี่แล้วใช่มั้ย “อย่าล้อเลียน”

“ก็ผมเรียกพี่ว่า ‘อิมเมจ’ แล้ว แต่พี่แทบไม่เรียกผมว่า ‘เกรท’ เลย”

“ทำไมจะต้องเรียกด้วย ผมถนัดแบบนี้”

“งั้นถ้าผมบอกว่าผมถนัดเรียกพี่ว่า ‘แม่’ ผมก็เรียกพี่ว่าแม่ได้สิ”

“...” เด็กนี่ย้อนผม แต่ก็ถูกของเขา

“พี่ไม่คิดว่าคนเป็นแฟนกันมาเรียกว่า ‘คุณ’ ว่า ‘ผม’ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

“แต่ผมไม่ถนัดเรียกชื่อคนสักเท่าไร” ผมละคำว่า ‘แปลกหน้า’ เอาไว้ไม่ให้เขารู้ จบประโยคเหตุผล อีกฝ่ายถอนหายใจยิ้มปลงอย่างจนปัญญา จากสองคนที่เคยชิดใกล้กลายเป็นห่างออกไปเมื่อคนตัวสูงสืบเท้าถอยหลัง

“ผมดูเสร็จแล้ว พี่จะไปแวะไหน...”

“เฮ้ยเกรท!!” เชี่ยละ...ผมสบถในใจทันทีที่เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเดินตัดขาเขา เด็กน้อยตัวจ้อยวิ่งห้อไปหาแม่ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกหา เธอทะยานผ่านราวแขวนเสื้อผ้ากองใหญ่ที่สูงท่วมหัวแต่ไม่ทันพ้นขาเพรียวยาวของเด็กเกรท

ฉิบหาย แบนแน่!!

ผมพุ่งตัวออกตามสัญชาตญาณคว้าแขนแกร่งกระชากเข้าหาตัวอย่างไม่สนสิ่งใด ร่างสูงกว่าผมไปหลายเซนต์กระแทกเข้ากับอกผมจังๆ ร่างกายได้แค่ยืนค้างอยู่ตรงนั้นใจสั่นให้กับความฉับพลันหวุดหวิดจนนึกกลัว ผมหายใจถี่เหลือบไปมองเด็กหญิงที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวซึ่งถูกยกตัวขึ้นอุ้มในอ้อมกอดแม่แต่ไกล

...เกือบไปแล้ว...

ผมสนใจสิ่งแวดล้อมไกลตัวเกินกว่าคนข้างกาย กว่าจะรู้ตัวอีกที เสียงทุ้มก็พุ่งเข้าประสาทเรียกสติผมกลับมา

“ก็เรียกได้หนิครับ”

“...”

“ชื่อผมน่ะ”

สายตาที่สบกัน ฉับพลันรอยยิ้มร้ายผสมยินดีก็ผุดขึ้นกลางใบหน้าสีโทนอบอุ่นของคนตรงหน้า

...โอเคครับ ยอมแล้วครับ เกรทก็เกรท...




ผมเดาว่าบ้านของคนขายาวซึ่งเดินนำลิ่วไปไกลกว่าผมคงมีฐานะพอสมควร การเข้าๆออกๆร้านแบรนด์ชื่อดังที่อยู่ตามห้างโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจมันบ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

ถ้าไม่โดนผมห้ามไว้ป่านนี้ในมือคงถือของใหญ่ไปแล้ว...

ผมเดินตามเขามาเรื่อยๆ ทันบ้างไม่ทันบ้าง บางครั้งก็ห่างไปหลายช่วงตัว แต่สุดท้ายก็ไล่จนทัน มีใครเคยบอกมั้ยว่า ‘เด็กเกรท’ มักจะไม่สนใจคนตามหลังว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เพราะหันมาอีกทีผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาประชิดตัวเขาได้แล้ว แต่ต้องเป็นสถานการณ์ที่แวดล้อมมีผู้คนเจือจางนะ

ไอ้แบบตอนข้างหน้านี้ ณ ตอนนี้เนี่ยสิ ที่ถือว่าเป็นข้อยกเว้น...

พวกเราเดินเพลินมาจนถึงส่วนทางเชื่อมรถไฟฟ้า ผู้คนมากมายจากไหนไม่รู้กรูกันหลั่งไหลเข้าห้าง เบียดเสียดจอแจกันจนเกือบชนกระทบกระทั่งกัน ไม่คิดว่ากับแค่ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเพียงครู่เดียวจะพลัดหลงกับคนตัวสูงได้ แล้วความโดดเด่นที่คิดว่าจะช่วยให้มองหาเจอได้ง่ายดายกลับกลืนหายไปกับพื้นหลัง คนร่วมหลักร้อยใส่เสื้อผ้าหลากสไตล์ไร้จุดเด่นขนาดนี้มองหาให้ตายก็ไม่เจอหรอก

ผ่านมาเกือบนาทีแล้วมันแปลกเกินไป หรืออีกฝ่ายจะทิ้งผมไว้กลับบ้านไปเสียแล้ว ความจริงไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนที่ไหนก็ไม่รู้ที่จู่ๆดันรับคำสารภาพทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่ว่าอยากได้มันนักหรอก

...หรือผมควรจะพุ่งตรงกลับบ้านดี...

มือถือในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมากดเข้าหาหน้าแอพพลิเคชั่นสีเขียว เกรทไม่ได้ให้เบอร์มือถือไว้ เจ้าตัวมีแต่ใช้เจ้าแอพฟองคำพูดเขียวอื๋อนี้ติดต่อมา ผมเลยมีปัญญาแค่จิ้มเข้าไปที่หน้าแชทแล้วกดปุ่มด้านบนเพื่อเริ่มการโทร

รออยู่นานจนเหมือนจะไร้การตอบรับ ผู้คนก็เดินสวนกันกลับไปมาจนต้องเบี่ยงตัวหลบไม่หยุดจนชนคนนั้นคนนี้เข้า ต้องขอโทษกันเป็นระวิง หนักสุดเห็นจะเป็นตอนที่ผมหมุนตัวไปกระแทกไหล่ของใครบางคนจนเซ คำขอขมาไม่ทันหลุดปากมือผมก็ถูกบางอย่างคว้าจับไว้แน่น

หา?

“อยู่นี่เอง มองหาแทบแย่” คราวนี้ผมเห็นแล้ว เต็มตาเลย คนที่มองหาอยู่เกือบหลายนาที

“เกรท”

“มาทางนี้เถอะครับ” จบคำผมโดนลากจูงออกห่างจากฝูงคน เดินมาไกลมาก เดินๆๆๆๆ เฮ้ยนี่จะลากไปจนสุดห้างเลยใช่มั้ยวะ

“ชานมไข่มุกแก้วครับ”

หืม?

พวกผมมาหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์ร้านน้ำตั้งแต่เมื่อไร...

เจ้าตัวจ่ายตังค์เสร็จสรรพ ยืนรอแค่พักเดียวก็ได้แก้วที่อุดมไปด้วยสีน้ำตาลนวลมา ร่างสูงยกดูดอึกอึกจนเห็นเม็ดดำๆนั่นไหลผ่านหลอดไปหลายชุด ใบหน้าคมๆมีแก้มอวบอูมขึ้นเหมือนคนเจ้าเนื้อ สักพักก็เอะใจรู้ตัวว่ามีคนมอง

“ดื่มมั้ยครับ” หลอดมาจ่อที่ปาก ผมส่ายหน้ากำลังจะขยับริมฝีปากต่อว่าคนที่อ่านความคิดไม่ออก แต่หลอดดันถูกเสียบเข้าปากแบบไม่พูดพล่ำทำเพลง

“ดื่มเถอะ แชร์เบาหวานกัน”

มันจะไม่ใช่แค่เบาหวานเนี่ยสิ น้ำลายเจ้าตัวด้วย แต่ผมจะแคร์ทำไมในเมื่อกับจานกะเพราและหมูกระเทียมก่อนหน้าก็ฟาดน้ำลายนัวเนียกันไปหลายยกแล้ว

ผมดูดน้ำหวานๆอย่างว่าง่าย ร่างกายซึ่งเหนื่อยจากผู้คนเหมือนได้รับการเติมเต็ม จริงสิตั้งแต่เดินด้วยกันมาก็ยังไม่ได้ดื่มน้ำหาอะไรทานเล่นเลย สมควรแล้วที่จะกระหาย

แต่ผมติดใจอยู่อย่างนึง ตั้งแต่เดินมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทั้งที่มันควรจะหยุดตั้งแต่ช่วงที่กระแสคนเบาบางลง หากแต่มันยังคงค้างอยู่อย่างนั้น ใช่...

...เกรทยังจับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย...

แปลกรึเปล่า ถ้าบอกให้เลิกจับ

แปลกรึเปล่า หากคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าคบกันดันทำตัวพิลึกกับแค่เรื่องจับมือ

คนเป็นแฟนกันเดินจับมือกันมันเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ

เหงื่อผมเริ่มแตก เกร็งอย่างบอกไม่ถูก เครื่องปรับอากาศในห้างช่วยได้กับอากาศชื้นที่ลามมาตามซอกนิ้ว แต่ไม่ช่วยให้ความตื่นเต้นกับมือเย็นๆนั้นหายไป

แล้วนี่กะจะดื่มให้หมดตรงนี้เลยใช่มั้ย...

มาถึงไคลเม็กซ์ ผมชัวร์ว่าคนตัวสูงต้องปล่อยมือผมแน่ๆ ก็มันเป็นตอนที่เจ้าไข่มุกอวบอ้วนที่นองก้นมันหลบพ้นกระแสน้ำหวานจนไม่ไหลตามไปเข้าคอคนตรงหน้าเนี่ยสิ

สิ่งที่คำนวณมาผิดเพี้ยนไปทุกอย่าง เจ้าไข่มุกโชคร้ายโดนโยนลงถังขยะพร้อมกันกับแก้วเปล่า แทนที่ร่างสูงจะปล่อยมือไปจับหลอดควงแก้วหมุนวนสักสองสามรอบเพื่อสำเร็จโทษมันจนเม็ดดำๆหมดไป

“ไม่กินต่อแล้วเหรอ”

“ผมแค่หิวน้ำ กินเยอะๆเดี๋ยวอ้วนพอดี เอ๊ะ หรือว่าพี่อยากกิน”

“เปล่า ไม่ใช่” ผมอยากให้ปล่อยมือต่างหาก

เจ้าตัวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ก็ว่าทำไมรู้สึกหิว พี่หิวยัง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเลยมั้ย”

“ก็ได้อยู่หรอก...” แต่ช่วยปล่อยมือผมก่อนได้มั้ย

“มีอะไรที่อยากกิน...” เสียงทุ้มสะดุดไปจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“เกรท?” จู่ๆสีหน้าสดใสเหมือนถูกฉาบทับด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมอ่านอาการไม่ออก เจ้าตัวมองค้างนิ่งเลยผ่านผมไปอยู่อย่างนั้น

“มีอะไร...เฮ้ย!!” หมุนหัวจะไปยืนยันตามสายตาคนที่จ้องมองบางอย่างอยู่นาน ไหล่กลับโดนแรงดันบางอย่างให้หันกลับ ศีรษะของเด็กเกรทฟุบลงมาระดับไหล่ผม

มือผมเป็นอิสระแล้ว...

แต่ผม...กำลังโดนอีกฝ่ายกอดอยู่!!!

นะนะนะนะนะนะนะนะนะนะ นี่มันอะไรฟะ!!!!




วันนี้ทั้งวันผมโดนเด็กเกรททำซะครบเครื่อง...

ไหนจะ...จับมือ...

...จูบทางอ้อม(ด้วยกะเพรากระเทียมและชานมที่รัก)...

รวมถึง...กอด...


แต่ใครจะรู้ว่ากอดที่ผมสัมผัสอยู่...ทำไมมันถึงดูเศร้าสร้อยได้ขนาดนี้นะ...


...TBC...

++++++++++++++

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
………


เกรทคงเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนที่ พี่อิมเห็น…มั้ง


 :ling2:  :ling2:   :ling2:   :ling2:   :ling2:   :ling2:   :ling2:


……

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

(แต้ม)สี่...ชั้นโคตรบันเทิง


“วันแรกขอคบ วันสองขอไลน์ วันสามขอกอด ส่วนวันที่สี่ก็ขอขึ้นเตียงเลยมั้ยล่ะ”

“เฮ้ย!!” เด็กเกรทสะดุ้ง ผละกอดออกมามองหน้าผม “พะ...พี่อิมเมจ” ผมแบมือยกขึ้นระดับหัว เจ้าตัวหลับตาทันควันเหมือนกำลังตั้งรับให้กับการประทุษร้าย

หากแต่ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อการกระทำของคนเป็นรุ่นพี่มันเกินคาด มือไล้ไปตามผมเส้นเล็กซึ่งเสียจากการทำสีแต่ส่วนที่งอกมาใหม่กลับให้สัมผัสลื่นมือดีเหลือเกิน

“อยากอ้อน ‘แม่’ ก็ไม่บอก”

“หา?”

“อ้อนสิ อ้อนให้เต็มที่เลย” รอยยิ้มกวนผุดขึ้นบนใบหน้าผม จากหม่นหมองคนตรงหน้ากลายเป็นหลุดขำพรืดออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ อีกฝ่ายงอตัวกุมท้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมาหึหึ เหมือนพยายามกักเอาไว้อย่างเต็มที่

แค่เห็นหยาดน้ำซึ่งอยู่ปลายตา ก็รู้แล้วว่าขำหนักมาก สักพักเรื่องประหลาดใจก็มาอีกกระทง มือหนายื่นมาจับเอวผมดึงเข้าหาก่อนสอดแขนทำวงอ้อมกอดขึ้นมา ใบหน้าตอนนี้ของพวกเราโคตรใกล้กัน

“ขออ้อนหน่อยนะครับ ‘แม่’ ”

ผมว่าผมร้ายแล้วนะ เด็กเกรทมันร้ายกว่า หัดแคร์สายตาชาวบ้านด้วย คิดว่าไอ้คำเหน็บสำทับความอ่อนแอราวกับเด็กจะช่วยดึงสติให้คนตัวสูงออกห่างจากผมเพราะความหน้าบางได้ แต่โคตรคิดผิด นี่มันใกล้กว่าเก่าเสียอีก ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นดาราที่มีชื่อเสียงตอนวัยรุ่นไม่งั้นผมว่าอนาคตคงดับจากการตกเป็นเป้าของข่าวซุบซิบนินทาตามสื่อต่างๆไม่มากก็น้อย

จนถึงสุดท้าย ผมก็ไม่รู้ว่าเกรทเห็นอะไร หรือผมคิดไปเอง อารมณ์เจ้าตัวเปลี่ยนไวจนยากจะตามทัน ในเมื่อกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ช่วยไม่ได้

วันนั้นพวกเราไปจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำมะนาวแท้ข้างทาง ก่อนเกรทจะกระตือรือร้นขอมาส่งผมถึงบ้าน....

ฟังไม่ผิดหรอก เจ้าตัวขอมาส่งผมถึงบ้าน

“กลับบ้านดีดีล่ะ” เดินไม่ทันถึงรั้ว ผมคล้ายทิ้งท้ายเหมือนบอกไล่ให้ไปได้แล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังเดินตามมา จนผมต้องหันไปมอง “กลับบ้านคุณไปสิ”

ท่ามกลางแสงสลัวจากไฟซอย ท่าทีคนตัวสูงดูแปลกๆเหมือนกำลังเก้อเขิน เขิน?เขินเพื่อ ผมต้องคิดไปเองแน่ๆ

“วันนี้ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่อง? ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ อุตส่าห์เลี้ยงข้าวเช้ากลางวันเย็น ถ้ายังไงไว้คราวหน้า...”

“พี่อิม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองทันควันกับจังหวะที่เสียงนั้นว่าความต่อ “มายืนทำอะไรหน้าบ้านอ่ะ ทำไมไม่เข้า...”

ตุบ!

น้องสาวผมทำถุงพลาสติกกองใหญ่ในมือหล่น แค่เห็นหน้าเกรทเธอก็ตาถลนยกนิ้วสั่นระริกขึ้นชี้หน้า

“พะพะพะพะพะ...”

สาบานเลย ว่าไม่ใช่คำว่า ‘ผี’

“พี่เกรท!!”

นั่นไงล่ะ

“พี่เกรท พี่เกรทจริงเหรอเนี่ย พี่เกรทตัวเป็นๆ พี่เกรท พี่เกรท พี่เกรท โอ๊ยจะบ้าตาย”

“สงบสติอารมณ์หน่อยมายด์ อย่าพึ่งบ้า พี่ยังเรียนไม่จบ หาเงินส่งเราเข้าศรีธัญญาไม่ได้”

“พี่อิม!” ข้าวของเนี่ยขว้างทิ้งไม่สนใจ วิ่งมากระตุกแขนเสื้อผมแบบไร้ความปรานี จนเสื้อเชิ้ตที่ใส่แทบร่วงจากไหล่ “พี่เกรทมาได้ไง”

“นั่งรถเมล์มา”

“ไหนบอกว่าไม่ใช่ไง”

“ไม่ใช่อะไร”

“ก็พี่อิมบอกว่าพี่เกรทไม่ใช่แฟนพี่น่ะ!”

เงียบขึ้นมาในบัดดล

ผมยืนนิ่ง เกรทก็ยืนนิ่ง ส่วนยัยมายด์รู้เลยเงียบเพราะรอคำตอบ

ผมเหล่มองสีหน้าของร่างสูง ดูว่าจะเหยเกขนาดไหน แต่ผิดคาดที่นิ่งกว่าปกติแถมยังทำตัวกึกกึกกักกักมองหน้าผมอีก

“เอาไงล่ะ” ผมจ้องถามไม่ปิดบัง

“ถะ...ถามผม”

“อือ”

“ยังไงก็ได้ ตามที่พี่สะดวกเลย” เหนี่ยวไกปล่อยกระสุนให้เริ่มสตาร์ท ผมก็จัดการจ้องหน้าน้องสาว

“สรุปเป็นคดีพลิกละกัน”

“ฮะ? คดีพลิก? จริงอ่ะ กรี๊ดน้องทนไม่ไหวแล้ว นังต้า นังต้า นังต้า”

“หยุดเลย” ผมฉวยมือถือน้องมาไว้ในมือ พอเดาได้ว่าเธอจะทำอะไร “เรื่องนี้รู้แค่เราสามคนพอ”

“แต่เรื่องที่พี่เกรทขอคบกับพี่คนเขารู้กันทั่วมหา’ลัยแล้วนะ กับต้ามายด์แค่บอกว่าไม่จริงเพราะพี่อิมยืนยันเอง มายด์ปล่อยให้ต้าทิ้งเรือที่อุตส่าห์สร้างมาไม่ได้ค่ะ มันน่าสงสารเกิน”

...แล้วเธอไม่สงสารพี่ชายเธอบ้างเหรอ...

“เอาเถอะ รู้เพิ่มอีกคนคงไม่ต่างกัน” ผมยื่นมือถือส่งคืนให้ เธอฉวยไปกดยิกยิกไวเป็นลิง ระหว่างนั้นเกรทโยกตัวเอาแขนมากระทบแล้วกระซิบข้างหู

“เรืออะไรเหรอพี่” ผมหันไปมองหน้าเกรท หมอนี่ไม่รู้จักคำว่าเรือ อยู่กับน้องสาวผมคนนี้ แทบจะมีคำศัพท์แปลกๆออกมาให้ได้ยินทุกวัน ไหนจะเรือหลัก หลวง ผี มีหมด

“โนอาร์”

“...”

“เพื่อนยัยมายด์มีนิมิตฝันว่าน้ำจะท่วมโลก” เกรทหลุดขำข้างหูผมอย่างจงใจ เจ้าตัวก้มหน้าก่อนเผยมุมปากยกขึ้นแบบติดตลก

“ผมหมายถึงชิพอะไรต่างหาก” ผมเลิกคิ้วหันไปมองหน้ายิ้มๆของหมอนั่น

“รู้?”

“รู้ดิ สมัยไหนแล้ว”

“เรือหลวงชิพกับเดล มีสองพี่น้องล่ะมั้ง”

“เอาดีดีดิพี่”

“เรือเกรทอิม”

“...”

“ผมเป็นรับซะด้วย” บอกไปทำไม ภูมิใจแย่เลย

“ก็เหมาะอยู่นะ” มองหน้าผมแล้วพูดมันหมายความว่าอะไรวะครับ ก่อนลงไม้ลงมือ เสียงน้องสาวผมที่เหมือนกำลังจะกดส่งสาส์นลับให้เพื่อนเสร็จก็แทรกเข้ามา เธอไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าพี่ชายตัวเองกำลังกระซิบกระซาบกับคู่กรณี

“แล้ววันนี้ไปเดทกันมาเหรอคะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ไปถึงขั้นไหนกันแล้วเนี่ย”

“ศูนย์”

“...” ตอบอย่างนี้แม้แต่เด็กเกรทยังแปลกใจ ยัยมายด์ตวัดสายตาชักสีหน้าไปทางเกรททันที

“พี่อิมพูดจริงเหรอคะ” เกรทเลิกคิ้วเหลือบมองผมเหมือนขอความเห็น แต่แล้วก็ยอมตอบด้วยตัวเอง

“จริงครับ”

“ศูนย์ที่ว่าเนี่ยต้องไม่มี๊ ไม่มีอะไรเลยนะคะ แม้แต่จ้องตา จับมือ กอด หรือกระทั่งจูจุ๊บน่ะ”

“ทีหลังตอนพวกพี่ไปเดทเธอมาดูด้วยเลยมั้ยล่ะ จะได้ไม่ต้องรายงาน” ผมกระแทกเสียงใส่น้องไปหนึ่งยกเพราะเธอเหมือนจะไม่หยุด พอหันกลับไปมองคนอยู่ด้านข้างอีกที คราวนี้ล่ะตัวโก่งเชียว เด็กเกรทขำจนสั่นไปทั้งร่าง ก่อนพยายามห้ามอารมณ์พูดออกมาได้เป็นคำๆ

“เดทกัน ไม่มองตากันเนี่ย ต่างคนต่างไปรึเปล่าครับน้อง”

“โอเค งั้นมีมองตา จับมือล่ะคะ จับมือ”

“ตอนหลงหากันไม่เจอตอนนั้นมั้ง พี่จับมือพี่อิมไว้กลัวหายไปไหนอีก”

“ไวขนาดนี้พี่เกรทกอดพี่อิมไปแล้วใช่มั้ย”

“น้อยๆหน่อยยัยมายด์เพิ่งเดทกันวันแรก...” ผมค้าน แต่คนข้างๆไม่ให้ความร่วมมือ

“เผลอกอดไปแล้วครับตอนที่...”

รอยยิ้มหุบลงฉับพลัน รู้เลยว่าพอไล่ไปถึงฉากนั้นภาพบางอย่างที่ไม่น่าจะทำให้ร่างสูงอารมณ์ดีเท่าไรนักคงผุดขึ้นมา

“พอเถอะ เลิกคุยเรื่องนี้แล้วเข้าบ้านไปได้แล้ว มีที่ไหนไปเที่ยวกลับซะดึกดื่น ป่านนี้แม่ไม่บ่นแย่”

“ทีพี่อิมยังกลับดึกเลย”

“พี่ผู้ชายเปล่าวะ เข้าบ้านไปเลย” ผมดันหลังน้องให้เดินเข้ารั้วบ้านที่ผมแอบไขกุญแจแล้วเลื่อนเปิดเตรียมไว้

อันตรายเถอะ...ให้สาววายอย่างน้องผมมายุ่งเรื่องนี้...

“คุณก็กลับไปได้แล้ว” หันไปมองคนยืนนิ่งที่เหมือนตกในภวังค์อยู่ชั่วครู่ เกรทมองผมเหมือนคนเพิ่งฟื้นจากการหมดสติ “กลับไปพักผ่อนเถอะ สภาพคุณดูไม่ได้แล้ว”

“ครับ ไว้ผมจะโทรหานะ”

“ไม่ต้องโทรมา นอนไปเถอะ”

“เป็นแฟนกันภาษาอะไรเรียกคุณอ่ะพี่อิม ดูห่างเหิ้น ห่างเหิน” ยัยตัวแสบยังรั้นไม่ยอมเดินเข้าบ้าน

“ ‘คุณ’ เป็นการแสดงความรักของพี่อย่างหนึ่ง เข้าบ้านได้แล้ว แล้วคุณก็ด้วย...”

จุ๊บ!

หา?

หันมาแค่แวบเดียวแทบต้องยกมือตัวเองขึ้นจับหน้าผาก สัมผัสนุ่มหยุ่นกลางกระหม่อมยังคงค้างอยู่ โดยมีแบล็คกราวน์เป็นไหปลาร้ากับลูกกระเดือกแสดงความเป็นผู้ชายของคนตรงหน้า หลักฐานการทำผิดยังคาอยู่บนคู่รองเท้าผ้าใบสีดำซึ่งเขย่งขึ้นสูง กับมือใหญ่ที่จับอยู่บนท้ายทอยผม

“กู๊ดไนท์ครับ”

หา?

หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? ห่า!!!

“น้องมายด์” สะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มเรียกชื่ออีกคนด้านหลัง ตอนนี้น้องผมเป็นตายอาการหนักไม่แพ้กัน ให้หันหลังก็ไม่ได้ไปต่อก็ไม่ถูกเลยได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่

“พี่ทำครบแล้วนะ”

“คะ คะ???”

“จู จุ๊บไง ผมไปนะครับพี่อิม” ท้ายประโยคหันมาบอกกับผม ก่อนหมุนเดินตัวปลิวออกไป

ทำครบ? เดี๋ยว? สะสมแต้มเหรอ? ถาม?

ผมเอานิ้วถูหน้าผากสองสามที ก่อนเดินกลับเข้าบ้านอย่างมึนๆ ยัยมายด์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่เก่าทางเดินเข้าบ้าน

“ใจหนูสั่นอ่ะ พี่อิม”

เหรอ ส่วนใจพี่เธอบอกเลยว่า...ชา...












“ตื่นแล้วเหรอน้องอิม มีโจ๊กให้กินนะ กินมั้ย” กำลังเปิดตู้เย็นแอบดูของเหลือข้างใน แต่เสียงใสๆของแม่พระประจำบ้านกลับดังขึ้นมาพร้อมเสนอขายอาหารเช้าเมนูหนึ่งมาให้

“ไว้ตอนเย็นละกันแม่ รู้สึกไม่ค่อยหิว ผมขอแค่นมก็พอ”

“เดี๋ยวนี่พี่อิมยังดื่มนมได้อยู่เหรอ” เสียงร้ายของยัยมายด์ดังขึ้น แปลกที่วันนี้น้องสาวผมตื่นไว พอหยิบขวดพลาสติกสีขุ่นบรรจุนมพร่องมันเนยกับคว้าแก้วได้เสร็จ ผมก็เดินไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะทานข้าวแบบไม่สนใจ จนแม่ถึงกับเอ่ยด้วยความสงสัย

“น้องอิมแพ้แลคโตสเหรอ”

แค่ก!

นมแทบพุ่ง แม่ผมเข้าใจเป็นอย่างนั้นไปได้ไง

“ตายจริงนี่แค่กลิ่นยังอ้วกเลยเหรอ” ผมดึงทิชชู่จากกล่องขึ้นเช็ดปากก่อนที่มันจะไหลหยดมาเปื้อนเสื้อผ้า

“แม่ ถ้าผมแพ้แล้วผมจะหยิบมากินมั้ย อย่าไปฟังมายด์มัน พูดอะไรไร้สาระ” ยังมีหน้ามาหัวเราะคิกคักอีกยัยน้องคนนี้

“เก็บโจ๊กไว้กินเย็น วันนี้ออกนอกบ้านเหรอ แม่เห็นเมื่อวานก็พึ่งออกไป” เหมือนแม่จะมีลางสังหรณ์บางอย่าง ปกติผมไม่ค่อยออกจากบ้านติดกันเสาร์อาทิตย์ ส่วนใหญ่จะยกหนึ่งวันให้เพื่อนส่วนอีกวันให้ตัวเอง แต่อาทิตย์นี้มันพิเศษตรงที่นัดของเกรทดันเข้ามาแบบกะทันหันสองวันเลยต้องยกให้คนอื่นทั้งหมด

“วันนี้ไปกับไอ้เบสมันน่ะครับ”

“อ้าว คิดว่าเมื่อวานไปกับเบสซะอีก”

“ใช่ที่ไหนล่ะคะ เมื่อวานพี่อิมเขาไปกับแฟนมาต่างหาก” เชี่ย...ยัยมายด์ พูดอะไรออกมาวะ

“แฟน? น้องอิมมีแฟนแล้วเหรอ”

“เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วแม่ วันนี้ผมจะออกไปกับเบสมัน ไปหาแฟนมันเนี่ยแหละ”

“หา!!” ยัยมายด์ถึงกับตีโต๊ะดังเปรี้ยงทำตาถลน “พี่เบสมีแฟน?”

“เออ ตกใจอะไรวะ”

“ไม่จริงน่ะ ก็เห็นตัวติดกันกับพี่อิมอย่างกับอะไรดี แถมไม่เคยมีแฟนด้วย ไม่คิดว่า...”

“คงถึงยุคทองของมันแล้วมั้ง”

...แต่มัน...เป็นยุคมืดของผม...

...ใครจะไปคิดว่าคนที่แอบชอบมากว่าสามปี จะมีแฟนกับเขาได้...








เพราะไม่อยากดราม่า ผมเลยเหยียบเบรกห้ามล้อตลอดเวลาทุกครั้งที่รู้สึกดีกับมัน คอยคิดเสมอว่าความห่วงใยใส่ใจที่ไอ้เบสมีให้ทุกคนมันเท่าเทียมกัน ไม่ว่ากับดาวหรือข้าวฟ่าง

แต่บางครั้งการสะสมความรู้สึกนั้นที่มันหลั่งรินมาเรื่อยๆก็ทำให้ผมเขวได้เหมือนกัน

อย่างที่เด็กเกรทถามว่าผมเป็นเกย์มั้ย ผมตอบไม่ได้หรอก เพราะเวลาผมรักใคร ถ้าใจคิดจะรักแล้ว

...ผมไม่เคยคิดคำนึงถึงเพศสภาพ...

“เฮ้ยไอ้อิม”

“ไง”

“โทษทีมาช้า” มันนั่งลงโต๊ะตัวข้างๆผม “เดี๋ยวกูสั่งเครื่องดื่มแป๊บ ร้อนฉิบเป๋ง” ว่าจบมันก็พรวดพราดไปที่เคาน์เตอร์ ผมมองตามแผ่นหลังมันก่อนย้อนกลับมาดูนาฬิกา รู้สึกแปลกใจทั้งที่เลขชี้เวลาเกินไปกว่าสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววของ ‘แฟนมัน’ เลยสักนิด

ความจริงในใจแอบลังเลอยู่ตอนที่เบสชวน แอบสงสัยว่ามันจะให้ผมมานั่งเป็นกางขวางคอมันเพื่ออะไร ใช่ว่าฝ่ายหญิงจะยินดีด้วยสักหน่อยหากเดทวันนี้จะเป็นสามมากกว่าการเป็นสอง แต่โอกาสตอกย้ำตัวเองที่เพื่อนรักมันหยิบยื่นมาให้ ถ้าผมไม่คว้าไว้ตอนนี้อาจทำให้มีบาดเจ็บล้มตายในภายภาคหน้า

...อย่างนี้คงเข้าตำรา ‘โชคดีที่ตายก่อน’ สินะ ความเจ็บคงน้อยกว่าการทรมานแล้วค่อยตายลงอย่างช้าๆ...

“...อิม...ไอ้อิม!!”

“หะ...เหี้ย อะไรวะ” ตกใจจนเผลอยิงคำผรุสวาทใส่

“มึงนั่นแหละเป็นเหี้ยอะไร เหม่ออยู่ได้”

“อ้าวกูเหม่อเหรอ”

“เออ ไม่เหม่อก็หลับมั้งนั่น ทำไม มาเที่ยวกับกูมันไม่สนุกเหรอ” ผมขยับสายตาไปมองหน้ามัน ก่อนเม้มปากแล้วหยิบลาเต้เย็นขึ้นดูดหนึ่งอึก

“เที่ยวกับมึงที่ไหน มึงน่ะมาเที่ยวกับแฟน แต่โคตรป๊อด เรียกกูมาทำไมไม่รู้ ให้กูมาเป็นก้างขวางคอชัดๆ”

“แต่มึงก็ยอมมา”

“อยากมาดูหน้าแฟนมึง”

“ทำไมอิจฉาเหรอ”

“อยากรู้ว่าผู้หญิงคนไหนแม่งโคตรโชคร้าย ถึงมาได้กับมึง”

“สัด”

ใครไม่เคยเจอผมด้านนี้จำไว้เลย กับเพื่อนผมสุภาพพอประมาณ แต่กับคนไม่รู้จักผมมักจะพูดจาห่างเหิน แล้วอย่างไอ้เบสที่เป็นเพื่อนมากว่าสามปีจะเหลือเหรอ

“ทำไมแฟนมึงยังไม่มาอีกวะ นี่มันเลยมาจะครึ่งชั่วโมงอยู่แล้วนะเว้ย”

“เออ นั่นดิ”

“หรือเขาเห็นกูแล้วเขาไม่กล้าเข้ามาวะ เวรละ” ผมรีบหยิบกระเป๋าลุกขึ้นยืน ไอ้เบสมันถึงกับคว้าแขนไว้

“จะไปไหน”

“กูจะกลับ มึงก็รีบพิมพ์ไลน์หรือโทรอะไรไปบอกแฟนมึงก็ได้ ว่าไม่ต้องห่วง กูกลับไปแล้ว”

“เฮ้ยได้ไงวะ”

“มึงอย่ามาป๊อด กล้าๆดิวะ เรื่องต่อจากนี้ไปไม่ใช่ว่าให้กูไปแส่ทุกเรื่องได้นะเว้ย”

“แฟนกูเขาไม่มาแล้ว”

“หา?” ผมชะงักกึก มองหน้าเพื่อนรัก กระพริบตาใส่มันปริบปริบ “มึงหมายว่าไง”

“วันนี้กูโดนเท เธอบอกมาแล้ว”

“เหี้ย ได้ไงวะ”

ก้นแทบย้ายกลับมาแนบเก้าอี้ ท่าทางไอ้เบสจะประสาทเสียพอสมควร มันโดนบอกยกเลิกนัดกลางคัน ทั้งที่มาถึงที่แล้วเนี่ยนะ สาบานว่านี่เป็นแฟนคนที่มันเล่าว่ามาสารภาพรักกับมัน ทำไมไร้มนุษยธรรมอย่างนี้วะ

“แล้วเอาไงต่อ แฟนมึงติดธุระเหรอ ทางบ้านหรือทางมหา’ลัย มึงไปช่วยเขาดิ”

“ช่างเหอะ เรื่องของเขาก็ปล่อยให้เขาจัดการ ส่วนมึงน่ะ วันนี้ต้องอยู่กับกู เที่ยวกับกู ปลอบใจกู เข้าใจรึเปล่า”
ลงอีหรอบเดิมอีกแล้ว...




ท่าว่าดวงการเงินผมจะดี ช่วงนี้มีแต่คนเลี้ยงข้าว วันเสาร์แฟนปลอมๆอยากเด็กเกรท ส่วนวันอาทิตย์ก็คนที่อยากให้เป็นแฟนแท้ๆแต่ไม่มีทางได้เป็นอย่างไอ้เบส

แต่ใครมันกลั่นแกล้งให้ผมต้องเข้าร้านข้าวเดิมๆร้านเดียวกันถึงสองวันซ้อนเนี่ย

“เห็นมึงบ่นอยากกินข้าวกะเพราหมูสับไม่ใช่เหรอ ร้านนี้เด็ดนะ สั่งดิ”

“เออ...ไอ้เบส”

“พี่ พี่ครับ เอาข้าวกะเพราหมูสับสอง ไข่ดาวไม่...อื้อออ” ไอ้เบสโดนผมอุดปาก ก่อนหันไปยิ้มหวานกับพนักงานรับออเดอร์ที่ทำหน้างงแล้วถามย้อนมาทางผม

“เอาไข่ดาว...ไหม้เหรอคะ?”

เชี่ย...ใครจะกินไข่ดาวไหม้วะ

ผมรู้ว่าไอ้เบสมันกำลังจะพูดว่าไม่สุก มันรู้ว่าผมชอบกินแบบไหนถึงสั่งเอาใจผมเต็มที่

“พี่ครับ ที่สั่งไปเมื่อกี้อย่าพึ่งจดนะ เดี๋ยวขอผมดูเมนูก่อน แล้วผมเรียก”

พนักงานพยักหน้าก่อนเดินจากไป พอปล่อยปากไอ้เบสเป็นอิสระ มันก็รัวด่าผมทันที

“ทำบ้าอะไรวะ เหม็นขี้มือฉิบเป๋งเลย เมื่อกี้เข้าปากกูเต็มๆ” มันแลบลิ้นแหวะอยากกับจะสำรอกข้าวเช้าออกมาก่อนจะยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก โอเคมือข้างนี้ผมจะไม่ล้างเก็บไว้ดูเล่นตลอดชีวิตเลย

“สั่งอะไรไม่ปรึกษากูเลยนะมึง”

“แต่ปกติมึงก็กินแต่ผัดกะเพราไข่ดาวไม่สุกนี่หว่า”

“บางวันกูก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเปล่าวะ”

“แล้วมึงจะกินอะไร”

เวรละ ไม่ทันคิด...ปกติในหัวก็มีแต่กะเพราหมูสับหมูสับมาตลอด พอต้องเปลี่ยนเมนูถึงกับหน้ามืดเลย

“เอาข้าวหมูกระเทียมละกัน ขอไข่ดาวไม่สุกด้วย”

“พี่ครับ” ไอ้เบสโบกมือเรียกพนักงานทันที ปฏิกิริยาโคตรไว พี่พนักงานคนเดิมที่เดินจากไปต้องวิ่งหลุนๆเข้ามาใหม่ “เอากะเพราหมูสับ ไข่ดาวไม่สุก กับข้าวราดหมูกระเทียมไข่ดาวไม่สุก อย่างละจาน น้ำแข็งเปล่าสองแก้ว”

“กะเพราหมูสับเอาเผ็ดปานกลางเหมือนเมื่อวานมั้ยคะ”

“...!!”

“เมื่อวาน? เมื่อวานนี้ผมไม่ได้มา”

“พี่หมายถึงน้องคนนี้ต่างหาก”

ไอ้ห่า....มองหน้ากูเพื่อออออออออออออออออออออออ

“เมื่อวานก็มากินกับเพื่อนอีกคน ถูกใจล่ะสิเนี่ย มากินบ่อยๆนะ เดี๋ยวทีหลังพี่ทำบัตรสะสมแต้มให้ กินสิบแถมหนึ่ง ดีมั้ย”

ไม่ดีคร้าบบบบบบบบบบบ ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละคร้าบเนี่ยยยยยยย





ข้าวกะเพราหมูก็มาแล้วราดกระเทียมก็มาแล้วขาดแต่คนกินนี่แหละ มัวแต่จ้องผมอยู่ได้

“อย่าเอาแต่มองหน้ากูดิ กูกินไม่ลงนะ”

“ทีเมื่อวานยังกินลง พี่เขาบอกว่าเกลี้ยงจาน” ฮ่วย...รายงานมันโม้ดดดดด บอกด้วยเลยมั้ยว่าผมดื่มน้ำไปกี่แก้ว กินไข่แดงหรือไข่ขาวก่อนน่ะ

“เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวานดิวะ วันนี้กูดื่มนมมาแล้วกูเลยอิ่ม” แถไป แถต่อไป

“เมื่อวานมึงมากับใคร”

“...”

“ไอ้ดาวกับไอ้ฟ่าง มันนัดกันไปกินแพนเค้กกันสองคน มึงไม่ไปแน่ ของหวานไม่ใช่สายมึงกูรู้”

เออ มึงรู้ มึงเห็นทุกอย่าง แต่มึงไม่เคยรู้ใจกูเลย ว่าคิดยังไงกับมึงเนี่ยนะ ให้ตายเหอะ

“กูมากินกับมายด์”

“เมื่อวานมายด์ไปซื้อเสื้อผ้าที่ไอคอนสยาม กูเพิ่งกดไลค์รูปในห้องลองชุดน้องมึงไป”

ยัยมายด์ ยัยเด็กติดโซเชียล! จะอัพรูปอะไรมากมาย เตรียมตัวเป็นเนตไอดอลหรือไงกันฮะ ยัยนี่!

“มึงปิดบังอะไรกูอยู่”

“กูเปล่า”

“เปล่าของมึงตอนพูดไปหลบตาไปคือใช่เสมอแหละ”

“ไอ้เบส มึงอย่าคาดคั้นกูดิวะ”

“กูคาดคั้นอะไรมึง กูแค่ถามความจริงว่ามึงมากับใคร มึงแค่บอก กูก็จบ”

ต่างคนต่างเงียบเหมือนดูเชิง ผมจ้องตามัน มันจ้องตากลับ สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายที่ทนกับความเงียบไม่ไหว

“เออ ก็ได้ก็ได้ กูมากับน้องเกรท”

เพื่อนผมมันเงียบเสียงไปทันที สีหน้าแปลกๆเหมือนกำลังสะกดอารมณ์บางอย่างไว้ แต่ผมเดาไม่ถูกว่าอะไร

“ทำไมมากับน้องมันได้”

“ไหนมึงบอกว่าจะจบไง”

“ไหนมึงบอกว่าเขาไม่ได้มายุ่งกับมึงแล้วไง”

“ก็ไม่ได้มายุ่ง ก็มีแค่วันนั้น”

“วันที่ไอ้ดาวปล่อยให้มึงอยู่กับน้องเขาสองคนเนี่ยนะ”

ผมพยักหน้า

“แล้วหลังจากนั้นก็มาอีก”

“อือ...ก็เขาชวนเดทนี่หว่า”

“ไอ้เชี่ยอิม!!” มันทุบโต๊ะเสียงดัง จนน้ำในแก้วกระเพื่อม ผมสะดุ้งงอตัวหรี่ตาไม่กล้ามองหน้ามันสักนิด

...มึงจะเอาอะไรกับกูวะไอ้เบส...

“ตกลงจะคบต่อเหรอวะ”

คราวนี้ไม่กล้าเงยขึ้นไปเลยจริงๆ ผมครุ่นคิด วันนั้นหลังจากแยกกันก็ไม่ได้บอกว่าคบต่อ ก็แค่บอกว่ามาคบกันให้เป็นกิจจะลักษณะ...

เชี่ย...ผมพูดอย่างนั้นออกไปได้ไงวะ น่าจะเป็นเพราะความลนลานตอนนั้นแน่ๆ

“เดี๋ยวน้องมันก็เลิกไปเองน่า มึงก็รู้ว่ามันสารภาพผิดคน มันไม่ได้ชอบกู” เรื่องนี้ไอ้เบสก็รู้ เพราะผมเคยพูดกับมันตั้งแต่วันแรกๆที่โดนของ เรื่องจับทางได้ว่าน้องมันไม่ได้ชอบผม แต่มีใครอีกคนอยู่ในใจ

“เชี่ยอิมมึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าต่อให้คนนั้นไม่รู้สึกอะไรกับมึง แต่ถ้าใครได้อยู่ใกล้มึงมันจะ...”

หืม?

ไอ้เบสเหมือนโดนสตัฟฟ์ มันนิ่งไปแบบคนเสียงขาด กัดริมฝีปากทำหน้าเครียด

“เครียดไรวะมึง”

“...”

“ไม่เอาน่า กินๆกินกัน” ตีไหล่มันป้าบๆ จนตัวเอียง หยิบช้อนส้อมได้ก็จ้วงเกลี้ยงไม่สนใจ

โอ๊ย ทำไงดีวะ ผมทำพ่อเครียดดดดด

นั่งจกได้สักพักเสียงแจ้งเตือนในไลน์ผมก็ดังขึ้นมา ตั้งใจคว้าเอามาไถเล่นเบี่ยงเบนความสนใจ คลายความตึงเครียดที่มีอยู่ตรงหน้าได้สักนิดก็ยังดี



<Greatเทศ

ผมเจอคนนอกใจหนึ่งหน่วย


หา?



....TBC....

+++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์กำลังใจนะคะ
คุณๆเหมือนเราเคยเจอกัน

ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

ห้า...ขั้น เราพัฒนาไปมากกว่านั้นเยอะ


<Greatเทศ
ผมเจอคนนอกใจหนึ่งหน่วย


ผมกลั้นใจจ้องอีกสักพัก ไม่นานรูปถ่ายก็เด้งขึ้นมา ได้แต่เบิกตาดูอย่างงงๆ


...นี่มัน...ภาพถ่ายผมตอนไหน...


ภาพแบบโคลสอัพรอยยิ้มกว้างเห็นฟันแทบครบสามสิบสองซี่ หน้าบานไปสิบตลบ สายตากำลังมองเงาคนตรงหน้า ซึ่งตากล้องจับแค่เพียงเสี้ยวแผ่นหลังในชุดเชิ้ตสีขาวเฉกเช่นเดียวกับผม


เจอที่เพจคิวต์บอยครับ
บังเอิญๆ



ตกใจหมด นึกว่าเจ้าตัวแอบตามผมมา...บ้าเหรอไอ้อิม จะเป็นไปได้ไง


คิดว่าส่งผิดคน


ไม่ผิดครับ รอยยิ้มนี้ของพี่แน่


ผมหมายถึงที่บอกนอกใจ


อ๋อ ก็รูปนี้ไง นอกใจผมชัดๆ ยิ้มให้คนอื่นหวานซะขนาดนี้
*สติ๊กเกอร์กระต่ายชมพูลงไปนอนคว่ำหน้าตีแขนตีขา*



นอกใจ...ใช้คำนี้ได้ไง ไม่ได้คบกันจริงๆเสียหน่อย ผมจ้องมองภาพอีกรอบ รู้แล้วเจ้าของแผ่นหลังนั้นคือใคร


“ทำอะไรวะ” เสียงทุ้มของไอ้เบสดึงสายตาให้ผมเงยขึ้นไปมอง...นี่ไงเจ้าของแผ่นหลังนั่น

“ดูรูป”

“รูปอะไร” มันเคี้ยวข้าวไปพูดไปมองหน้าผมไป จะทำอะไรมึงก็เลือกสักอย่างเถอะ ผมจิ้มให้ภาพนั้นเต็มจอก่อนหมุนไปให้อีกฝ่ายดู

“ยิ้มแก้มปริเชียวนะมึง ตอนไหนวะเนี่ย”

“น่าจะปีสองตอนช่วงรับน้องมั้ง”

“พี่คนถ่ายแม่งโคตรเก่ง ตอนนั้นตกผู้หยิงไปได้กี่คนวะ”

ตกผู้หญิงได้กี่คนไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนั้นความรู้สึกดีดีที่มีต่อมึงมันเพิ่มพูนขึ้นมาก จนเก็บทางสีหน้าไม่อยู่

“ไหนยิ้มแบบนี้ให้กูดูอีกทีดิ๊” รอยยิ้มมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มึงจะให้กูฝืนธรรมชาติเหรอวะ เอาวะ เออก็ได้ ผมแยกเขี้ยวยิงฟันให้ตามที่มันขอ

“กระเทียมติดฟันกระต่ายมึง” หุบปากฉับพลันพลางเอาลิ้นดุนดันจนกระเทียมหลุด ไอ้เบส ไอ้เวร อุตส่าห์ยิ้ม หมดมู้ดเลย

“ใครส่งมาวะ...” แค่เสียงทักแบบฉุกใจของไอ้เบสผมก็พึงสังวรณ์ได้เลยว่าซวยแล้ว ต้องรีบเอามือถือกลับมา แต่ทว่า...

“Greatเทศ...” ฉิบหาย

หน้าไอ้เบสเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน เหมือนหงุดหงิดใครมาแต่ชาติปางก่อน พอมาชาตินี้ก็ยังถอนไม่หาย ผมรีบฉวยโทรศัพท์ตนเองจากมือมันมากอดไว้

“มันก็แค่ส่งมาคุยเล่นๆ”

“เล่นๆด้วยคำว่านอกใจเนี่ยนะ” โอ๊ยดันเห็นอีก ให้ตายเหอะ ตาไวไปมั้ย

“มันล้อเล่นไงถึงได้หยอกกูว่านอกใจน่ะ” ผมยิ้มแหย จากไอ้ที่ตั้งใจจะทำตามรูปถ่ายใหม่เลยกลายเป็นปิ๋วไปเลย บรรยากาศขมุกขมัวชอบกล “ไอ้เบสมึงอย่าหวุดหงิดดิวะ เพื่อนมึงไม่ได้ใจง่ายคบกับใครง่ายๆขนาดนั้นหรอก มึงเชื่อใจเพื่อนมึงบ้างดิ”

ผม...พยายามเน้นย้ำคำว่าเพื่อน พยายามไม่คิดว่าท่าทีของอีกฝ่ายมันมีความหมายมากมายอะไรไปกว่านั้น

“เออ เรื่องของมึงเถอะ”

“...”

ผมเงียบไป ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เพราะทุกอย่างที่มันพูดคือเรื่องจริง มันเป็นเรื่องของกูเสมอแหละ มันเป็นเรื่องของกูตลอด ซึ่งมึงไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องของมึงเลย








ผมกลับมาจากการเที่ยวปลอบใจคนโดนแฟนเทอย่างหมองๆ หลังออกจากร้านข้าวภายนอกผมพยายามฝืนทำตัวร่าเริงให้มันสบายใจไม่คิดอะไรเพื่อซ้ำเติมมันซึ่งโดนแฟนเบี้ยวนัดไปมากกว่านี้

พอกลับมาถึงบ้านก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โต๊ะอาหารทอดถอนหายใจคิดทบทวนเรื่องตัวเองอยู่นาน มันจะไปยากอะไร อดทนมาตั้งสองปีกว่าแล้ว อดทนอีกสักนิด จนกว่าจะจบแล้วต่างคนต่างแยกกันไป ความรู้สึกอะไรอะไรในใจอาจจะเบาบางลงก็ได้...

“แฟนพี่เบสสวยมั้ย”

ก่อนมันจะเบาบางผมคงต้องหาทางย้ายออกไปอยู่หอ หรือขอตังค์แม่ไปซื้อคอนโดใกล้มหา’ลัยอยู่สักที ตราบใดที่ยังอยู่ใต้ชายหลังคาเดียวกับยัยตัวแสบ ชีวิตนี้ไม่มีทางสงบสุขได้หรอก

“ไม่รู้ พี่ไม่เจอ”

“เอ๊า ไหนว่าไปหาแฟนพี่เบส แล้วทำไม...”

“ไปหาแต่เขาไม่มา”

“ทำไมอ่ะ”

“ถามลึกไปแล้วเรา” ผมเอามือยันหัวน้องสาวเบาๆ เธอเอนตัวหงายหลังไปนิด ก่อนยกมือขึ้นลูบส่วนที่โดนดัน จัดผมที่เสียทรงเป็นการใหญ่

“พี่อิมเป็นเพื่อนพี่เบสภาษาอะไรเนี่ย ไม่รู้ว่าเขาไปมีแฟนเอาตอนไหน ตัวติดกันซะเปล่า”

“พี่ไม่ใช่จอมยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างเรานี่หน่า”

“ไม่ใช่เรื่องชาวบ้านค่ะ เรื่องของพี่ชายเราก็เหมือนเรื่องของเรา ต้องใส่ใจ”

“แต่นั่นเรื่องของเพื่อนพี่ชายเธอ”

“นั่นแหละค่ะ พี่เบสแหละตัวดีเลย”

หืม?

“พี่อิมจำตอนที่ไปคณะมายด์ได้มั้ยล่ะ ตอนที่พี่เบสก็ตามไป”

“อื้อ”

“ตกเป็นประเด็นของคนทั้งเอกค่า”

“ฮะ? ประเด็นอะไรแค่เดินตามไปเนี่ยนะ”

“ก็พี่ชายหนูหล่อนี่ พอไปถึงนะ เขาเปรียบพี่เบสอย่างกับองครักษ์ติดตามคุณชาย” เหอะ ช่างเปรียบ ฟังแล้วขนลุกพิลึก ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ หน้าตาแบบผมพอทำให้คนในเอกมายด์โวยวายได้ เข้าใจว่าคณะนั้นผู้ชายน้อย แต่มันไม่น่าขาดแคลนขนาดมาปลื้มผมที่หน้าตาบ้านๆขนาดนี้เปล่าวะ

“เพราะงั้นแหละ ถ้าองครักษ์คนนั้นจะห่างไปเนื่องจากไปมีแม่หญิงที่ไหน ใครๆก็ไม่ชอบแน่ๆ”

“งั้นก็อย่าเล่าต่อสิ”

“อ้าว แต่ถ้าพี่เบสไปไหนมาไหนกับแฟน ยังไงคนก็ต้องเห็นอยู่แล้วรึเปล่าล่ะ ต่อให้หนูไม่เล่าก็ตามเหอะ”

อืม น่าคิด แต่ประเด็นคือ...ขนาดผมที่เป็นเพื่อนสนิทมันยังไม่รู้ ไม่เคยเห็นเนี่ยดิ แล้วคนอื่นจะไปมีปัญญาเจอเหรอ แฟนไอ้เบสลึกลับฉิบหาย

แต่ต่อให้เห็นไม่เห็นยังไง ถ้าบอกว่ามีแฟนสุดท้ายผมก็เจ็บอยู่ดี ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน

“แต่น้องไม่เชียร์แล้วนะพี่เบสน่ะ”

“อย่ามา ไหน ใครคนไหนที่ทำตัวปลื้มมันนักหนาตั้งแต่เจอหน้าตอนม.ห้า”

“ยิ่งพอรู้ว่ามีเมียยิ่งไม่เชียร์เลยค่ะ มายด์เก็บเสื่อกับหมอนย้ายมาปูนอนที่เรือเกรทอิมแล้ว” เธอมักจะตื่นเต้นและมุ่งมั่นเสมอเวลาเจอสิ่งที่ชื่นชอบ แม้ต่อให้เป็นเรื่องของพี่ชายตัวเอง ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ในวันนี้ แต่คราวนี้อารมณ์อาจจะต่างไปสักหน่อย อาจจะดีก็ได้ที่ยัยมายด์อยู่บ้าน ดึงประเด็นความสนใจของผมจากไอ้เบสไปได้เยอะ

“เอาเถอะเดี๋ยวสักพัก...” จะพูดดับความฝันของสาวน้อยผู้คลั่งไคล้ความรักกุ๊กกิ๊กระดับแมนแมน แต่ผมกลับฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าบอกเรื่องที่ผมกับเกรทคบกันเป็นเรื่องเล่นๆให้น้องฟังตอนนี้ มันจะต่างอะไรกับการที่ผมไปประจานว่าเขาสารภาพผิดคนกลางลานเปิดใจล่ะ

ยิ่งคนอย่างยัยมายด์ใช่ว่าอดทนอดกลั้นไม่บอกใครกับเขาเป็นสักที่ไหน ถ้าบอกอย่างน้อยเรื่องต้องเข้ายัยต้าเพื่อนสนิทคอเดียวกันของนาง แล้วอีกไม่นานคงแผ่เป็นวงกว้างไปในไลน์กรุ๊ปประจำทีม แชร์เรื่องราวให้ด้อมกรี๊ดกันอีกแน่ๆ

ผมคงไม่คิดสั้นส่งเกรทไปตายหรอกนะ

เฮ้อ เอาเถอะ คบอย่างเนียนๆค่อยเป็นค่อยไปละกัน พอถึงวันนั้นวันที่มันอิ่มตัวค่อยบอกเลิก

“อือ ตามนั้น” ผมต่อประโยคแบบส่งๆ ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาเบนความสนใจยัยน้องตัวแสบ หน้าจอค้างอยู่ที่แอพพลิเคชั่นแชทมาตั้งแต่ตอนที่ให้เบสดูรูปนั้น

ภาพที่เกรทหามาได้ มันทำให้หวนถึงวันเก่า ผมยังยิ้มให้กับเบสแบบนี้เสมอโดยที่เจ้าตัวไม่รู้

แชะ!

เสียงชัตเตอร์ดังลั่นจนต้องหันไปมอง ยัยมายด์ยกมือถือกำลังเล็งมาทางผม

“ทำอะไร”

“ถ่ายรูปคนยิ้มสวย”

“ลบทิ้งเลย”

“ไม่”

“ยัยมายด์”

“มายด์จะแชร์ให้กรุ๊ป”

“เฮ้ยยัยบ้า อย่าแชร์นะ”

ผมพรวดพราดจากเก้าอี้ จะคว้ามือถือเธอมา แต่ไม่ทันซะแล้ว ผมเห็นเธอกดส่งไปต่อหน้าต่อตาเลย

“เชี่ยแล้ว มายด์ ทำไรวะ” คำว่าอ่านแล้วขึ้นมารวดเร็วทันใจไม่ถึงวินาที เพื่อนยัยมายด์โคตรน่ากลัว นี่เปิดค้างหน้านี้ไว้ตลอดเลยเหรอ แต่น่าแปลกที่ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมา มันยังคงค้างที่คำว่าอ่านแล้ว...ว่าแต่ทำไม...ไลน์กรุ๊ปแท้ๆ แต่ไม่มีตัวเลขว่าอ่านกี่คนห้อยติ่งอยู่ได้วะ ระบบรวนหรือว่า...

ผมเหลือบสายตาไปมองที่หัวห้องแชท

 !!!

“ยัยมายด์นี่แก”

“แหะแหะ”

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย”

“มายด์ชอบอวยให้คนรักกันค่ะ”

“พี่กับมันไม่ได้...”

“แหนะๆอย่าบอกนะ ว่าไม่ได้รักกัน ไม่ได้รักกันแล้วรับคำขอคบทำไมคะคุณพี่ชาย เป็นแฟนกันจะเขินทำไมล่ะ น้องไม่เห็นจะซีเรียสเลย”

“แต่พี่ซีโว้ย!!”

ซีที่จู่ๆแกก็มีไลน์ไอ้เกรทเนี่ยแหละ ไปแอดกันตอนไหนวะ ทำไมไม่รู้ ผมยืนหมุนตัวไปมาเหมือนคนบ้าไม่รู้จะด่าน้องยังไง แต่สักพักเสียงแจ้งเตือนกับแรงสั่นในมือก็ดังขึ้นขัด ผมสะดุ้งยกมือถึอขึ้นมาดู


ได้ภาพคนยิ้มสวยมาใหม่ ไม่หึงแระ


หึง!!?? หึงเพื่อ!! ไปหึงใยไหมนู้นไปไม่ต้องมาหึงผม

ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคนหัวอกเดียวกัน ผมคงพิมพ์ไปแล้ว

กะปิดหน้าจอนั้นทิ้งทำตัวไม่สนใจ แต่มีมือดีของคนตรงหน้ามาคว้ามือถือผมไปอย่างกับงูฉก

“เฮ้ย!!” ยัยตัวร้ายยิ้ม ก่อนพวกเราจะเริ่มเล่นวิ่งไล่จับเหมือนเด็กๆไปรอบโต๊ะอาหาร “มายด์! เอามือถือพี่มา”

“ไม่คืนหรอก แบร่!”

“เชี่ย นั่นเธอจะพิมพ์อะไรวะ หยุดเลยหยุด”

“อิอิ”

อิอิบ้านพ่...โอ๊ยเกือบปล่อยคำหยาบ ผมสติหลุด พอจับแขนข้างที่ว่างเปล่าของน้องได้ก็ยึดไว้ แล้วโยกตัวไปตามคว้ามือถือที่ยัยมายด์พยายามซ่อนไว้ด้านหลัง

“ทำอะไรกันน่ะสองคน” เสียงผู้เป็นแม่แทรกเข้ามาในฉาก พอยัยน้องตัวแสบเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปหลบหลังมารดาทันที

“แม่ พี่อิมจะตีน้อง”

“ใช่ที่ไหนล่ะ พี่ยังไม่ได้...”

“จริงเหรอ อิมแกล้งน้องทำไม แม่บอกแล้วใช่มั้ย มีกันสองพี่น้องให้รักกัน” ท้ายประโยคหันมาเน้นย้ำกับผม

“ผมเปล่าซะหน่อย”

“แหนะๆ เปล่าที่ไหนล่ะคะ แม่ดูสิ ดูมือ” ยัยมายด์เอาแม่เป็นกำบัง มือผมที่จะคว้าตัวน้องเลยวืดแล้ววืดอีก

“อิมหยุดแกล้งน้องได้แล้ว” ใครแกล้งใครกันแน่ แม่หันไปดูก่อนดิคร้าบ ที่แลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ด้านหลังอ่ะ หนอยยัยมายด์ มีคนให้ท้ายได้ทีก็ขี่แพะไล่เลยนะ

“ยัยมายด์เอามือถือผมไป”

“หนูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แม่คะ การช่วยส่งเสริมให้คนสองคนเขารักกันมันผิดด้วยเหรอ” เธอดึงแขนเสื้อผู้เป็นแม่ ฝ่ายคนอยู่บนโลกมานานกว่าหันไปมองหน้าเธอพลางยิ้มอ่อน

“ไม่ผิดหรอกจ๊ะ”

ผมอาศัยจังหวะที่สองคนจ้องหน้ากัน ฉวยมือถือกลับมาได้สำเร็จ ไม่ต้องเตือนก็รู้ ผมรีบจิ้มดูหน้าจอแชทนั้นทันที แต่เพียงเสี้ยววิยัยมายด์ก็กลับมารังควานผม เธอเอามือมาปิดๆบังๆหน้าจอเหมือนยั่วประสาท ส่วนทางนี้ก็ปัดมือออกแล้วออกอีกจนเหนื่อย

“มายด์ เลิกเล่นซะทีเถอะ”

“ไม่ไม่ไม่”

“โอ๊ย ยัยนี่นี่” ใครสอนให้ซนขนาดนี้วะ หรือเป็นผมที่ทำตัวคลุกคลีกับน้องมากเกินไปมาตั้งแต่เด็กเลยทำให้น้องมันไม่เห็นหัวพี่ชายคนนี้เลยเนี่ย


ปิ๊งป่อง!


เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น วันอาทิตย์ไม่น่าจะมีใครมานอกจากเพื่อนแม่

“พี่อิมไปเปิดเลย”

“เฮ้ย!” ยัยน้องไม่ว่าเปล่าแถมดันหลังผมในสภาพที่พวกเรายังจับมือถือตัวปัญหาไว้กับมือทั้งคู่ ตั้งใจเบนความสนใจชัวร์ “เพื่อนแม่แน่ๆอยู่แล้วให้แม่ไป...”

“ไปเปิดเลย ทำโทษ” ทำโทษ? ทำโทษอะไรวะ สุดท้ายก็โดนดันจนเท้าเหยียบผ่านประตูบ้าน ผมละล้าละลังเอ็ดน้องที่เถียงคำไม่ตกฟาก ก่อนเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนซึ่งยืนห่างไปไกล วืบแรกที่เห็นเงาร่างสูงใหญ่ผมหน้ามืดลืมใส่รองเท้าวิ่งตีนเปล่าไปเกาะขอบรั้วทันที จ้องหน้าผู้มาใหม่ด้วยสายตาอึ้งๆอยู่นาน

“มาได้ไง”

“ก็มีคนบอกว่า อยากเห็นของจริงก็ให้มา” เจ้าตัวยกมือถือโชว์ให้ดู

มันเป็นหน้าจอแชทของผมกับคนตรงหน้า ที่มีฝีมือการพิมพ์เป็นยัยตัวร้ายด้านหลัง

“ยัยมายด์!!” หายไปแล้ว น้องผมหายไปอย่างกับซ่อนตัวในกลีบเมฆ ไวเสียยิ่งกว่าลิง! ปล่อยให้ผมอยู่สองคนกับคู่กรณีได้ยังไง

“ตะโกนเรียกน้องทำไมครับ ทำไมเกรี้ยวกราดจัง”

“ข้อความนั้นผมไม่ได้เขียน คุณกลับไปได้แล้ว”

“อุตส่าห์มา ก็ไล่ให้กลับเลย นี่ไม่กะจะชวนเข้าบ้านสักหน่อยเหรอ”

“แม่ผมอยู่”

“ดีเลยจะได้ไปไหว้แม่พี่”

“ไหว้ทำไม”

“ผู้ปกครองคนรู้จักควรทักทาย...”

“ไม่จำเป็นหรอก กลับไปเถอะ” เห็นยืนนิ่งไม่ขยับเลยต้องจัดฝ่ามืออ้อมไปด้านหลังดันให้อีกฝ่ายหมุนตัวเพื่อเดินกลับไป

“น้องอิม เพื่อนมาเหรอ” ไม่คิดเลย ว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตขนาดนี้ กะให้มีแค่สองคนที่รู้เรื่องเรา ทำไมมันลามไปถึงแม่ผมได้แล้วเนี่ย

ผมหันไป ยัยมายด์กำลังยืนเยื้องไปด้านหลังเกาะแขนหม่ามี้สุดที่รักเดินตามออกมา รู้เลยว่าตัวบงการนั้นคือใคร

“ไม่ชวนเพื่อนเข้าบ้านล่ะ ไปยืนคุยตากแดดทำไม”

“เดี๋ยวเขาก็กลับแล้วแม่ แค่มาเอาของ”

“แต่ผมยังไม่ได้ของเลยครับ!”

สะดุ้งเลย...เสียงทุ้มของเกรทตัดผ่านศีรษะผมไปอย่างจงใจ ผมเหลือบไปมองเจ้าตัวด้วยหางตา ยิ้มร้ายผุดขึ้นใบหน้าคมสีน้ำผึ้งนั้น

“งั้นก็เข้ามาก่อนสิจ๊ะ น้องอิมเปิดประตูให้เพื่อนเข้ามาสิ”

“ยังไม่ได้อะไรเล่า!” ผมกระซิบใส่คนตัวสูง เกรทได้แต่ยิ้มแล้วยกมือถือขึ้นเสมอหน้า

อ๋อ...จะเอาเหรอ ไม่ให้ ไม่มี ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้หรอก รอยยิ้มนั้นผมให้ได้แค่คนเดียวเว้ย





“บอกให้กลับไปตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ จะอยู่เพื่ออะไรผมไม่เข้าใจ” ห้องก็ยังไม่เก็บแถมยังมีแขกแปลกหน้าอีก กับคนนี้ภาพพจน์ผมคงไม่ต้องสร้างแล้วมั้ง

“เมื่อวานขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรหา”

ร่างสูงที่นั่งอยู่บนพื้นปูพรมโพล่งออกมา ขณะที่ผมขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงหลังจากเคลียร์ของที่รกรุงรังกระจัดกระจายตามพื้นเสร็จ

“ก็บอกแล้วไงว่าให้พักผ่อน ไม่ต้องซีเรียส” เห็นอาการจิตตกจนสุดกู้ขนาดนั้นใครจะไปบังคับอะไรได้ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เรียกร้องตีโพยตีพายว่าอยากจะคุยด้วยสักหน่อย

“ความจริงคุณไม่ต้องโทรหาผมตลอดเวลา ไม่ต้องพาไปเดท ไม่ต้องสงเมสเสจมาบอกฝันดี หรือไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ ให้เหมือนกับตอนสามสัปดาห์ที่ผ่านมา...”

“พี่อิมอย่าประชด”

“เฮ้ย ผมไม่ได้ประชด” พูดด้วยความสัตย์จริงเลย

“ทำอย่างนั้นเขาเรียกว่าแฟนกันที่ไหนล่ะครับ”

“แล้วเขาเรียกว่าอะไรล่ะ”

“คนแปลกหน้า” ก็คนแปลกหน้าจริงๆไม่ใช่เหรอ “อย่างน้อยตอนนี้ผมก็เป็นแฟนพี่ เริ่มทำความรู้จักพี่ได้บ้างแล้ว ไม่มีทางเรียกว่าคนแปลกหน้าได้หรอก”

ยอมรับ...แต่คนเราต้องเจอหน้ากันกี่ครั้งถึงจะเรียกว่าคนรู้จัก เจอกันกี่ครั้งถึงจะเรียกว่าคนรักได้ล่ะ

“วันนี้ออกไปข้างนอกมาเหรอครับ”

“อื้อ” คงดูจากชุดผมล่ะมั้ง ผมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า กางเกงยีนส์พอดีตัวกับเชิ้ตขาวทำให้อึดอัดยามอยากนั่งสบายๆอยู่บ้านพอสมควร “นี่คุณกะรอเอา ‘ของ’ จริงๆเหรอ” ผมลุกขึ้นจากเตียงกำลังจะเดินผ่านเขาไปยังตู้เสื้อผ้า แต่ทว่าเขากลับตอบผมมาก่อนว่า ‘ครับ’ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นก้มหน้าโค้งตัวไปยังคนเบื้องล่างจนแทบประชิดพลางฉีกยิ้มให้แบบกวนประสาทสุดฤทธิ์ ก่อนหุบลงฉับพลันทำหน้านิ่ง

“ได้แล้วก็กลับไปดิ”

“...” ใบหน้าหล่อเหลาดูจะอึ้งๆไป แต่ผมไม่สน ผมปล่อยเกรทไว้อย่างนั้นก่อนหันตัวไปยังเป้าหมายดั้งเดิม เปิดลิ้นชักคุ้ยกางเกงขายาวลำลองสีเทาผ้านุ่มออกมากะเปลี่ยนใส่ พอปลดกระดุมร่นซิบลากกางเกงลงไปได้กว่าครึ่ง เสียงทุ้มก็ดังขึ้นขัด

“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อยครับ” ขาเกือบจะหลุดจากกางเกงได้ข้างแล้ว แต่เจ้าตัวกลับทักแบบนั้นผมเลยหมุนตัวแบบเซๆหันไปเลิกคิ้วมอง

“อย่าบอกนะว่าเอาจริง”

“ไม่เอาจริงไม่มาหรอก คนอย่างผมน่ะ”

อยากเข้าไปอยู่ในหัวของคนๆนี้จริงๆ อยากรู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องไร้สาระกับเขาได้ขนาดนี้

“ถ้ายิ้มให้แล้วจะกลับมั้ย” อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนกล่าวหมายเหตุเหมือนตัวอักษรจางๆบางๆและเล็กเท่าหอยมดบนโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังแบบห้ามดื่มวันละสองขวด

“แต่ไม่เอายิ้มแบบไม่จริงใจนะครับ เอาให้เหมือนกับภาพที่เคยถ่ายไว้” ในที่สุดกางเกงยีนส์ตัวแน่นก็หลุดออกจากสองขา ผมคว้ากางเกงลำลองสีเทาขึ้นมาพลางส่ายหัว

“ยาก”

“ยากตรงไหน” เสียงทุ้มเข้ามาใกล้จนผมสะดุ้ง หมุนตัวไปก็เจอกับลำคอและไหปลาร้าของอีกฝ่าย กับสายตาเย็นๆของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ขึ้นชื่อว่าเคยครองใจแม่ยกรักนักแสดงเด็กมาแล้ว

“รอยยิ้มนั้นมันธรรมชาติสร้าง ไม่ใช่ว่าเอะอะจะให้ยิ้มก็ยิ้มได้” แล้วยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่...

รู้สึกเหมือนหนังหน้าโดนดึงยืดจากสองข้างระหว่างนิ่งคิดกับตัวเอง มือใหญ่กำลังจับหยิกแก้มผมดึงทึ้งแบบไร้ความปรานี

“หึ” เด็กเกรทหัวเราะ ยกยิ้มใหญ่

“ทำอะไรวะ” ผมปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง ยกแขนขึ้นหยิกแก้มคนตัวสูงแก้แค้นคืน ท่าทางเมื่อกี้คงทำให้เห็นความพิลึกบนหนังหน้าผมเข้าให้แล้ว มีอย่างที่ไหนจะยอมเสียเปรียบฝ่ายเดียว อย่างนั้นก็ไม่ใช่อิมเมจคนนี้แล้ว

“เฮ้ยพี่อิม” เด็กเกรทพยายามถอยหนี ส่วนผมก็โจมตีกลับไม่หยุดจนขายาวๆสะดุดหงายหลัง ล้มลงไปบนเตียงมันทั้งคู่ มือใหญ่ประคองเอวผมไว้เหมือนกลัวตกจากเตียง ผมอาศัยจังหวะนี้คว้ามือถือที่เขวี้ยงส่งๆปะปนในหลุมผ้าห่มขึ้นมาทิ้งน้ำหนักลงไปบนตัวอีกฝ่ายเต็มที่ ในขณะที่อีกมือกำลังพยายามหยิกแก้มเด็กเกรทไม่ยั้ง

แชะ!แชะ!แชะ!

เสร็จผม...

ผมยกมือถือขึ้นดูผลงานความสำเร็จ แต่ละรูปหน้าพิลึกแต่ยังแฝงความดูดีไว้ได้ อิจฉาคนหนุ่มหน้าตาดีแต่กำเนิดฉิบหายก็วันนี้
ความรู้สึกแปลกๆผุดขึ้นตอนเลื่อนไปดูภาพที่สาม ต้นขารู้สึกเหมือนโดนจับลูบไปวืบหนึ่ง ส่วนสะโพกที่ยังคงมีกางเกงขาสั้นกึ่งบ็อกเซอร์ติดกายเหมือนโดนความร้อนจากอีกฝ่ายจับต้อง ผมเบิกตาโพลงมองหน้าคนใต้ร่าง เกรทมีลักษณะอาการนิ่งแบบคนไม่ทุกข์ร้อนอะไร...หรือผมจะรู้สึกไปเอง...

มือที่บนตัวก็เหมือนจะนิ่ง แต่อยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่เกินทนระหว่างสะโพกผมกับเอว เจ้าตัวจงใจหรือไม่รู้ ผมดูไม่ออก รู้แต่เพียงว่าตรงด้านหน้าของพวกเราก็แนบชิดกันไม่ใช่น้อย

...แย่แล้ว...

มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือนึงก็ยันอกแกร่งกันซวนเซ ตัวทาบทับเหมือนจะสิงร่างกันอยู่รอมร่อ บอกเลยว่าผมขยับตัวไม่ได้ยกเว้นแต่อีกฝ่ายจะดันให้ หรือไม่ผมก็ต้องสไลด์ออกไปด้านข้าง แต่ทว่า...ถ้าหากขยับตัวแรงไปผมกลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่แนบแล้ว กางเกงวอร์มผ้าร่มของอีกฝ่ายมันเนื้อบางจนอาจเสียดสีกับของใหญ่โตที่อยู่ใต้ร่างนี้ได้พอดีเชียว

อีกวิธีหนึ่งคือการพลิกตัว จบความคิดนั้นยังไม่ทันจะขยับ มือเกรทก็คว้าหมับเข้ากุมมือข้างเดียวกับที่ผมถือโทรศัพท์เจ้าตัวพลิกหน้าจอมันหันเข้าหามองด้วยแววตาแปลกๆ

...ทำไมต้องทำหน้า...เหมือนกับ...

“ผมยอมให้ถ่ายก็ได้ แต่ห้ามแชร์”

“ไม่ให้แชร์แล้ว ผมจะถ่ายทำไม”

“ถ่ายเก็บไว้ดูเอง”

“ไม่ได้อยากดูซะหน่อย!”

“อึ๊!”

“!!!”

“...!”

ซวย...วันนี้เป็นวันซวยอะไรเนี่ย ผมเผลอขยับตัวจนเสียดสีเข้าถูกความแข็งแกร่งที่เริ่มออกอาการน้อยๆ

ตอนนี้ทั้งห้องกลายเป็นเดดแอร์ แถมเจ้าของห้องกำลังจะเดดหมดลมหายใจไปท่ามกลางความอึดอัดชวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้

หน้าเด็กเกรทแดงขึ้นหน่อยๆ มือยังคงวนเวียนอยู่ตรงสะโพกผม ใช่!!คราวนี้มันลงมาที่สะโพกผมแล้วล่ะ อยากจะร้อง ผมต้องทำไง...ผลักคนตรงหน้าออกไปไกลๆแล้วตบเรียกสติอย่างงั้นเหรอ บ้าบอชะมัด แต่เด็กเกรทไม่ได้คิดอะไรกับผมแล้วทำไมถึงมาลงเอยแบบนี้วะ นายชอบใยไหมไม่ใช่เหรอ ตอบมา!!

“พี่อิม”

เสียงกระซิบกระเส่าจนน่ากลัว เจ้าตัวแนบหน้ากับข้างแก้มผม กดริมฝีปากกับใบหู พอทำเอาผมขนลุกซู่ได้ ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนจนรู้สึก ผมพยายามดันแขนกับแผ่นอก จนสายตาพวกเราอยู่ในระดับเดียวกันฉับพลันเลยได้แต่จ้องหน้าลงเข้าไปในดวงตาเคลิ้มๆของอีกฝ่าย

“กะ...เกรท...อื้อออ” ท้ายทอยโดนจับดึงลงต่ำ ตามมาด้วยการมอบจุมพิตที่เหมือนฉากชวนคิดในนิยาย ริมฝีปากเราแนบสนิทกัน ผมได้แต่หลับตาปี๋แบบไร้ทางต่อต้าน รู้สึกถึงความอยากและโลภบางอย่างที่มาจากการขบเม้มกลีบปากบนล่างของผมเบาๆ

“เกรท...อือ” จบกัน...ผมกำลังทำอะไรอยู่ ด้านล่างเหมือนกำลังมีบางอย่างปะทุ มันโดนต้นขาที่ไร้ผืนผ้าของผมเข้า ความร้อนซึมผ่านมาจนน่าตกใจ...มามีอารมณ์อะไรตอนนี้วะเนี่ย เด็กบ้า!! นี่อย่าบอกว่าผมกำลังเป็นที่สนองตัณหาของอีกฝ่ายนะ แม่ไม่ปลื้มเลย!!

เสียงเปิดของประตูดังเข้าโสต ผมหยุดการกระทำของเกรทไม่ทัน

“พี่อิม แม่บอกว่าให้ชวนพี่เกรทลงไป...”

ตุบ!!

มือถือยัยมายด์กลายเป็นศพอยู่บนพรม พวกเราหันหัวขวับไปทางต้นเสียง หน้าตาแตกตื่นหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์แบบไม่เว้นแม้ส่วนอวัยวะด้านล่างที่ตื่นตัวขึ้นมาแต่โดนบดบังให้พ้นจากสายตาน้องสาวผมได้ สภาพอนาถที่สุดตอนนี้คงหนีไม่พ้นท่อนล่างที่มีแต่บ็อกเซอร์ของผม

“มะ...มายด์ขอโทษ มายด์ไม่กวนแล้ว เดี๋ยวไปบอกแม่ให้ว่าพี่อิมกำลังทำการบ้านติดพันอยู่ ลงไปไม่ได้นะ”

หา!!??

“เฮ้ย เดี๋ยว ยัยมายด์!!”

เข่ากระแทกเข้าท้องคนด้านล่างดันตัวลุกพรวดพราดวิ่งพุ่งแต่ดันโดนน้องสาวปิดประตูใส่หน้าเสียแล้ว
การบ้านอะไรล่ะ การบ้านที่ไหนเล่า!

หูแว่วเหมือนได้ยินเสียงกรี๊ดจากอีกฟากของประตู ผมรีบหันตัวเดินกลับไปหาเด็กเกรทที่นอนยันศอกหน้านิ่งอยู่บนเตียง ก่อนกระชากแขนอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัว

“ลุกลุกลุก ลงไปด้านล่าง ไม่งั้นตกเป็นขี้ปากยัยมายด์แน่” เกรทยอมลุกแต่โดยดี เดินตามได้สามก้าวก็จับแขนผมไว้ ผมหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “อะไรอีก”

“ลงไปแบบนี้ไม่ได้”

“ทำไมจะ...”

เชี่ยเชี่ยเชี่ย...ลืมไปสนิทเลย ผมยังไม่ใส่กางเกง แล้วที่สำคัญท่อนล่างของเกรทมัน...ขยายใหญ่โตเกินกว่าจะรอดพ้นสายตาชาวบ้านไปได้

“ปะ...ไปห้องน้ำ” ห้องน้ำอยู่กลางตัวบ้าน ผมดันหลังเกรทแต่ต้องชะงักทั้งที่เท้ายังไม่ทันก้าวออกจากห้อง

ยัยมายด์น้องสาวผมยังยืนอยู่กลางทาง มันเป็นทางเดินระหว่างห้องน้ำกับห้องผมด้วยดิ เธอหันหลังให้พลางกดโทรศัพท์ยิกๆเลยไม่ทันสังเกตเห็นพวกเรา ผมรีบกระชากตัวเกรทกลับปิดประตูงับบานล็อคกุญแจเรียบร้อย ร่างสูงหลังพิงบานไม้มองหน้าผมอย่างลอยๆและมึนงง

“ยัยน้องบ้า แชทกับเพื่อนอีกแล้ว โว้ย” ด้อมเกรทอิมจะเฟื่องฟู ส่วนชีวิตตรูจะหาไม่ แล้วผมต้องทำยังไง เงยหน้าขึ้นไปดูสภาพคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้เพียงครู่ จู่ๆก็รู้สึกสงสาร เข้าใจความทรมานของคนที่อยาก ‘ออก’ แต่ ‘ออก’ ไม่ได้ขึ้นมาจับใจ จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะหน้าชื้นเหงื่อเบาๆ

“เกรท คุณไหวมั้ย” อาการไม่ดีเลย เด็กเกรทพยักหน้าเหมือนคนโดนยาพิษก่อนจับจ้องมาที่ดวงหน้าผม

“จะไหวกว่านี้ถ้าพี่...”

“ผมทำไม?”

“ไปใส่กางเกง” หน้ากระตุก ผมมองตามสายตาของเกรทลงไปกลางหว่างขาของตน เชี่ย...มาอายอะไรเอาป่านนี้วะ รีบผละจากคนตัวสูงหมุนตัวตั้งใจเดินออก แต่เหมือนความย้อนแย้งยังอยู่ในใจของอีกฝ่าย มือใหญ่ฉวยแขนผมไว้ จ้องหน้าผมด้วยตาหยาดเยิ้ม “หรือไม่ก็ช่วยผม”

หา?

...TBC...

+++++++++++++++++


พี่อิมมมมมมมมใครทำโชว์น้องงงง


ขอบคุณที่ติดตามค่า  :sad4:
เจอกันอีกแล้วนะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หก...ยังไง ก็ห้ามเลอะห้องผม


“ล้อเล่นน่ะ”

 
เสียงทุ้มต่ำเอ่ย ร่างสูงยิ้มอ่อนก่อนปล่อยแขนผม

“พี่พอจะช่วยเสียบหูฟัง แล้วไปนั่งหันหลังตรงมุมนู้นก่อนได้มั้ย”

“อึ...อืม” ผมหมุนตัว พุ่งไปหยิบไอพอดบนโต๊ะหนังสือตามคำสั่ง ฉุกใจคิดได้เรื่องนึงจึงคว้าบางอย่างหันหลังกลับไปทางเก่า แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้ผมแทบผงะ

!!!

ฉะฉะฉะ ฉิบหาย...ไม่น่าหันไปเลย!!

ถึงจะหลบตาแต่ก็ทันเห็นส่วนเร้าอารมณ์ที่โป่งพองจนโผล่พ้นกางเกงผ้าร่มมามากกว่าครึ่ง!คนบ้าอะไรหน้าตาดีอย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง สวรรค์ยังประทานให้ตรงนั้นใหญ่จนข่มขวัญกันได้อีก!!

ผมฝืนใจเบี่ยงสายตาแบมือยกขึ้นบังซีกหน้า เดินเตาะแตะต่างปูแปดขาตะแคงข้างเข้าหาอีกฝ่าย พอรู้สึกว่าใกล้ก็กระตุกมือดุ๊กดิ๊กขึ้นลง หวังเพียงแต่ให้เจ้าตัวคว้ากล่องกระดาษชำระในมือไป ไม่อยากให้ห้องต้องเปื้อนคราบของคนอื่นใดที่ไม่ใช่ผม

“เอาไปเช็ด ตอนเสร็จกิจ”

พูดออกไปราวกับสโลแกนโฆษณาทิชชู่ยี่ห้อไหนสักแห่ง สัมผัสร้อนจากผิวหนังสะกิดโดนมือจนเผลอปล่อยกล่องกระดาษร่วงลงพื้น ด้วยอารามตกใจเลยย่อตัวพรวดพราดลงไปหยิบจังหวะเดียวกับที่คนตัวสูงลดตัวก้มลงมาคว้าของจำเป็นใน ‘การช่วยตัวเอง’ พร้อมกัน

ตาของเราสองคนสบกัน นิ่งและนาน...จนผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึก

“เหมือนในละครเลยนะครับ” สติผมถูกฉุดกลับมาตามเสียงทุ้มนุ่มลึก กับริมฝีปากบางได้รูปที่ขยับขึ้นลงตรงหน้า

“น้ำเน่าอ่ะดิ”

เกรทยิ้ม...สาบานว่าถ้าเป็นผู้หญิงได้มีละลายเป็นไอติมแท่งโดนแดดเผาแน่ๆ แต่ผมไม่...

“เอาไปได้แล้ว แล้วก็รีบทำให้เสร็จๆจะได้ลงไปด้านล่าง” ผมกระแทกเท้าปึงปังคว้าไอพอดแล้วมานั่งขัดสมาธิบนพรมหลับตาลงซบหน้าด้านข้างกับผืนเตียง

กดเปิดเพลงเสียงดังให้มากที่สุดจนแทบทะลุออกมาด้านนอก เสียใจที่ไม่รักเพลงร็อค หรือแดนซิ่งอิสมายไลฟ์อย่างที่ใครเขาว่าแนว ผมรักแต่เพลงช้าเลยต้องกลั้นหายใจทุกครั้งเมื่อทำนองอันเนิบนาบเบาลงจนกว่าจะเริ่มต้นเพลงถัดไป เสียงกุกกักจากด้านหลังดังขึ้นมาแทรกบางครั้งแต่ไม่ทำให้ถึงกับมึนงงจนไขว้เขว

...หากทุกอย่างมันจะผิด...ก็คงผิดที่ตนลืมการจัดวางข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในห้อง...

ผมเผลอเปิดเปลือกตาขึ้นมากะทันหัน ตั้งใจเปลี่ยนท่าทางกลับพบกับภาพสะท้อนที่เก็บกินเกือบทั่วบริเวณฟากหลังไม่พ้นแม้กระทั่งมุมห้อง มันเป็นกระจกบานใสใบใหญ่ที่ผมมักส่องตรวจความเรียบร้อยหลังแต่งตัว

ทำไมเมื่อกี้ไม่ทันคิดว่ามีเจ้าสิ่งนี้อยู่ในห้อง ทำไมไม่หาชัยภูมิที่ดีกว่านี้วะ ไอ้อิม!!

ใครจะไปรู้ เดินท่อมๆมาตรงมุมได้ก็ติ๊ต่างว่าตัวเองตายแล้วไปเกิดใหม่ยังโลกหน้า ใครมันจะรู้ว่าลืมตาขึ้นมาแล้วจะเจอกับแบบนี้วะ!!

ภาพสะท้อนของเกรทปรากฏขึ้นเต็มสองตา เจ้าตัวยังคงไม่รู้ หลับตาแหงนเงยใบหน้า ใช้ฟันกัดริมฝีปากล่างอย่างหนักหน่วง หายใจหอบแรงจนตัวโยนเบาๆ ใบหน้าซับสีรื้นแดงชื้นเหงื่อไหลรินไปตามขมับลงสู่ลำคอลายเส้นโค้งสวย ท่อนขาด้านล่างยังครบด้วยกางเกงวอร์มผ้าร่ม ยกชันเข่าขึ้นสูงจนปิดมิดส่วนอ่อนไหวไม่น่ามองของผู้ชายได้ แต่ท่าทีของแขนยาวที่ชักเข้าชักออกปรนเปรอสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังอย่างบ้าคลั่ง รุนแรง และถี่รัวนั้น...มันทำให้ผมอึ้ง...

ผมรีบหลับตาลงทันที รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มเปิดประสาทการรับรู้ด้วยดวงเนตรคู่นั้น แถมยังจ้องมายังผม

เปลือกตาที่แกล้งหรี่ลงปิดไม่สนิท มองตอบกลับอีกฝ่ายซึ่งราวกับอยู่ในห้วงความฝัน ผมกำลังทำอะไร กำลังมองดูเด็กเกรทช่วยตัวเองทำไม รังแต่จะทำให้...อึก...ไม่ๆ ไม่คิด...

“พี่...” ผมสะดุ้งเปิดเปลือกตาจนสุด นึกโทษเพลงไอพอดในใจที่สะดุดลงกลางคัน เสียงเรียก ‘พี่’ ของเกรทเลยดังวนเวียนอยู่ในประสาท สายตากระตุกนำพาไปยังกระจกให้ได้พบเด็กเกรทที่จ้องตรงมาด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมอารมณ์ มันทั้งปรารถนาและยวนใจจนถึงที่สุด ร่างสูงที่เอนตัวพิงกับกำแพงขยับมืออย่างรุนแรงไม่ทิ้งช่วง เสี้ยวจังหวะหนึ่งเหมือนอีกฝ่ายจับสัญญาณอะไรได้เสียงครางเรียกพี่เลยสะดุด สีหน้าดูตื่นกลัวขาดเขลาสบมองผมก่อนสะบัดหัวไปทางอื่นราวกับจงใจ จนในที่สุดเสียงของบทเอื้อนสุดท้ายก็ถูกเปล่งออกมา

“พี่...ใยไหม”

“...!!”

 
...ใจผมกระตุก...

...ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่จางหายไปเหมือนฝนไล่ช้างที่สร่างซา...

...ผมเป็นอะไรไป...

...ทำไมถึงได้ตกใจกับคำเรียกชื่อนั้น...กันได้ล่ะเนี่ย...


 
 
 
 

“ถึงจะเร่งทำการบ้านขนาดไหนก็ต้องลงมากินข้าวก่อน เดี๋ยวป่วยเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”

ผมโดนแม่เอ็ด เพราะกว่าอีกฝ่ายจะเสร็จกิจก็ปาไปครึ่งชั่วโมงถึงจะเก็บข้าวของคลานตามกันมาด้านล่างได้ ยอมรับว่าอีกฝ่ายอึดมาก เล่นทำผมคอเคล็ดเพราะเอาหัวพาดเตียงไม่กล้าแม้แต่จะเบี่ยงสายตาไปไหน ได้แต่กลั้นหายใจนอนนิ่งอยู่กับที่ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอไม่มีประสบการณ์แบบนี้อีก!

พ่อผม ยัยมายด์ กับแม่ทานข้าวเสร็จไปชาติกว่าแล้ว ตอนนี้บิดากำลังนั่งสบายเอกเขนกเอนกายอยู่หน้าทีวีดูข่าวภาคค่ำอย่างตั้งใจ ส่วนยัยมายด์ก็ถูกไล่ให้เข้าครัวเพราะโดนแม่ใช้ไปล้างจาน ผมกับเกรทเลยต้องนั่งเก้าอี้ตัวข้างกันทานข้าว โดยมีแม่นั่งเฝ้าคอยส่งอาหารเลี้ยงดูลูกหลานอย่างดี

“ทานเยอะๆนะจ๊ะ” คนเป็นมารดามอบรอยยิ้มอย่างมีไมตรีจิตให้แขก ส่วนคนเป็นแขกก็ผงกหัวยิ้มรับอย่างนอบน้อม

“ครับ”

“น้องเกรทบ้านอยู่ไหน” ขณะเจ้าตัวกำลังตักน้ำแกงผักกาดดองกระดูกหมูเข้าจานตัวเอง แม่ผมก็ถามขึ้น

“ผมอยู่หอนอกแถวๆมหา’ลัยครับ”

“อ้าวแล้วกลับดึกอย่างนี้ ไม่เป็นไรเหรอ ไกลอยู่นะจากที่นี่ไปน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับดึกบ่อยๆอยู่แล้ว บางครั้งก็ต้องทำรายงานนอกสถานที่ บางครั้งพวกพี่ๆที่คณะก็มีเลี้ยงสังสรรค์กันบ่อยๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ”

ผมนั่งฟังคนสองคนคุยกันพลางตักกะเพราฝีมือแม่ใส่จาน โชคดีที่วันนี้ยั้งไอ้เบสไว้ไม่งั้นได้เอียนกะเพราไปจนตายแน่เลย

“ไม่เห็นอิมจะกลับบ้านดึกแบบเราเลยนี่หน่า”

“ใครจะกล้าล่ะครับ กลับดึกเกินสี่ทุ่มทีไรมีอันต้องโดนตีทุกที” ผมแย้งออกไป

“เราก็เว่อร์ไป แม่ไม่ได้ตีเราจริงๆซะหน่อย”

“แต่ว่าจนหูชา”

“คนเป็นแม่ก็ห่วงเวลาลูกกลับบ้านดึกๆดื่นๆเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้พอตกค่ำแล้วไว้ใจได้ที่ไหน แม่มีเรากับน้องแค่สองคนนะ” ดราม่าอีกแล้ว “ใช่มั้ยล่ะน้องเกรท”

ยัง ยังไม่พอ ยังหาแนวร่วมอีก เกรทยิ้มน้อยๆให้แม่ผมสีหน้าดูอ่อนโยนเป็นมิตร

“แต่จะว่าไป แม่ไม่เคยเห็นอิมพาเรามาบ้านเลยหนิ เห็นเอะอะก็พาเบสมา นี่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันเหรอ” คำถามพุ่งเป้าไปยังเกรท เจ้าตัวเลยรีบยัดผักดองเข้าปากเคี้ยวอย่างลำบากลำบนเพื่อลุกขึ้นมาตอบคำถามแม่ ส่วนคนทางนี้ก็ได้แต่เมียงมองไม่สนใจตักกับข้าวทานต่อไปเพราะหิว

“ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันครับ ผมเป็นรุ่นน้องพี่อิมปีนึง”

“หือ? จริงน่ะ รุ่นน้องเหรอ แม่เคยเจอรุ่นน้องอิมนะ เอ...ที่ชื่ออะไรนะ ใช่ๆ น้องเนย”

“นั่นน้องรหัสผม” ผมแย้งไป

“แต่แม่ไม่เห็นจะเคยเจอเกรทเลย” นี่ชวนคุยหรือสอบสวนครับ ผมรู้เลยว่านิสัยยัยมายด์ปัจจุบันนี้ได้มาจากใคร เหลือบไปเห็นกระดูกหมูยังคาจานเด็กเกรทอยู่ก็นึกสงสาร เลยขยับช้อนส้อมไปหนีบมาวางที่จานตน ก่อนเลาะเนื้อทิ้งกระดูกส่งกลับคืนให้ เพิ่มเติมด้วยตักจากชามกลางลอกเนื้อแล้วถมใส่จานของอีกฝ่าย

ไม่นานนักเกรทก็หันมาพร้อมสะดุดกับเนื้อหมูกองใหญ่ที่เจ้าตัวไม่ได้ตัก คนมึนงงมองผมด้วยปลายหางตาพลางยิ้มเบาๆ

...ไม่ต้องรู้สึกขอบคุณหรอกครับ แค่สงสาร เข้าใจตรงกันนะ...

 



 
 
“กลับก่อนนะครับ วันนี้ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวเย็นครับ” คนตัวสูงยกมือไหว้ตรงตามระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว มันดูสง่างามและสุภาพตามแบบฉบับคนที่โดนอบรมสั่งสอนมาดี จนแม่ผมปลื้มไปสามตลบ เธอยิ้มแก้มปริยินดีปรีดายิ่งกว่าตอนรู้ว่าลูกเข้ามหา’ลัยได้เสียอีก

“กลับดีดีนะจ๊ะ ดึกแล้ว ความจริงนี่ถ้าไปส่ง...” ผมฉงนกับหางประโยคที่หายไป เหมือนแม่ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างเลยหันมองมาทางผม

“อิมไปส่งน้องสิ”

“หา?”

“ขับรถพ่อไปไง”

“เฮ้ย อะไรอ่ะแม่ จู่ๆก็ ไม่เอาอ่ะ” ผมส่ายหัวดิ๊ก เรื่องอะไร ทำไมต้องไปส่ง มาเองก็กลับเองดิ

“ดึกแล้วให้น้องกลับคนเดียวมันอันตราย”

“แล้วให้ผมขับรถดึกๆไม่อันตรายเหรอ”

“เราขับรถเก่งหนิ ใบขับขี่ก็มี พ่อเป็นคนสอนเรากับมือ ตอนนั้นยังดื้อเพ่งไปไหนมาไหนก็ขันอาสาจะขับไปส่งตลอด ทำไมวันนี้ไม่อยากขับซะล่ะ”

“ผมเปล่าไม่อยากขับนะ แต่ว่า...” ผมชอบขับรถ ชอบมาก บอกเลย แต่ติดตรงที่พ่อไม่ยอมซื้อให้ ไม่มีปัญญาหารถส่วนตัวมาใช้เอง ทุกวันนี้เลยต้องทู่ซี้ขันอาสาเวลาคนในบ้านจะไปไหนมาไหนยกมือไปรับไปส่งอยู่เสมอ

“พ่อๆเอากุญแจรถมาให้ที น้องอิมจะขับไปส่งเพื่อน” แม่บ้านยุคใหม่ จัดการปัญหาฉับไว ไฟแรง คงหนีไม่พ้นคำนิยามของคุณแม่ผม พูดปุ๊บมาปั๊บเหมือนสั่งได้ แต่ไม่ใช่พ่อผมนะ

“นี่ค่ะกุญแจ” ยัยน้องสาวตัวดีที่เสนอหน้ามาทันทีแบบไม่ต้องเรียกหา ในมือควงกุญแจไปมาก่อนวางลงบนมือแม่ เธอทำหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนล้อเลียนผมในใจ ยัยตัวดี!!

“อ่ะ ขับก็ระวังระวังนะ อย่ารีบให้มาก” ของในมือถูกส่งต่อให้ผม จนต้องรับมาอย่างจำใจ

“ครับๆได้ครับ”

อยากอยู่ห่างให้ไวแต่ไหงกลับเป็นแบบนี้ได้วะ ผมนี่ล่ะเซ็ง

 



“คาดเข็มขัด”

“ผมใส่กางเกงวอร์มมา ไม่ได้คาด...”

“เกรท” ส่งสายตาดุๆใส่คนขี้แกล้งชวนตี เจ้าตัวคงรู้สินะว่าผมเห็นเลยกะจะหยอกเล่นให้อาย ฝันไปเถอะ

รอยยิ้มเย็นตามประสาผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา คนเป็นรุ่นน้องจ้องหน้าผมไม่ขยับเขยื้อนเหมือนครุ่นคิดบางอย่างจนสติพาลลอยตามไป ผมตัดใจปลดเข็มขัดนิรภัยฝั่งตนก่อนอ้อมผ่านร่างสูงเอื้อมไปหยิบสายคาดลากออก ในใจคิดติดสนุกว่า ถ้าแกล้งหยอกเขากลับจะทำสีหน้าเช่นไร เลยจงใจค้างแขนไว้ หันไปมองอีกฝ่ายในระยะประชิด

เกรทมีท่าทีสะดุ้งเบาๆเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กจี้โดนตัว อีกฝ่ายย่นคอ แต่ไม่นานผมกลับรู้สึกว่ามันขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

กริ๊ก!!

เสียงเหล็กตัวยึดสายเบลท์ลงล็อค ผมตบอกคนข้างๆปุบๆบ่นพึมพำสองคำว่า ‘กลับบ้านกลับบ้าน’แล้วย้ายมาคาดเบลท์ของตนเองบ้าง


เมื่อกี้...

คิดไปเองมั้ง...



ผมเม้มปากบอกกับตัวเองในใจ

 

 
 
ระหว่างทางพวกเราคุยแต่เรื่องสัพเพเหระ เรื่องที่ว่าเกรทยังขับรถไม่เป็นบ้างล่ะ หรือรถยี่ห้อที่ผมเล็งไว้หากมีปัญญาซื้อบ้างล่ะ รวมไปถึงความยากลำบากในการได้มาซึ่งใบขับขี่ของผม

ขับไปเจ้าตัวก็ชมไปว่าผมขับรถนิ่มแล้วชอบจ้องท่าทางนั่งหลังตรง ชมจนคนขับแม่งเกร็ง...แต่ก็ต้องวางมาด ‘คุณชาย’อย่างที่ยัยมายด์เคยเรียกเอาไว้ จนในที่สุดก็ขับมาถึงจุดหมายปลายทาง

“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ...พี่อิม?” ท้ายประโยคขึ้นเสียงสูงเหมือนตั้งคำถาม อาจเพราะผมนั่งนิ่งจนผิดสังเกต หนำซ้ำยังไม่ยอมหันไปทางเจ้าตัวเอาแต่สะบัดหลังมือไล่

“คุณไปเถอะ”

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“ผมปวดหลัง” เกรททำตาโตก่อนหลุดขำพรืดออกมา

“อย่าบอกนะ เพราะที่ผมชมเมื่อกี้”

“เออ นั่นแหละ ไปเถอะ”

“ขับกลับไหวแน่นะครับ”

“อือ” ผมพยักหน้า

“ให้ผมนวดให้เอามั้ย” มือใหญ่ขยับมากดปุ่มปลดเข็มขัดประคองเอวก่อนสอดอีกข้างเข้าไปนวดคลึงแผ่นหลังตรงเหนือกระดูกเชิงกรานของผม

“ไม่คิดว่าจู่ๆจะปวดเหมือนคนแก่ขนาดนี้” ตัวผมโยกไปตามแรงกดไม่เบาไม่ค่อยของอีกฝ่ายรู้สึกสบายตัวขึ้น

“นั่งท่าเดิมนานๆใครก็เป็น ไม่ต้องเล่นถึงคนแก่หรอกครับ ตรงนี้แข็งเป็นก้อนเลย”

“อือ” สบายตัวจนเผลอหลับตาจะเคลิ้มเข้าห้วงนิทราอยู่รอมร่อ

“ตอนขับกลับห้ามหลับนะครับ”

“รู้แล้วน่า”

“หรือจะค้างห้องผม” คำชวนไม่คาดคิดโพล่งออกมา ผมเปิดเปลือกตาหันไปมองหน้าคนข้างเคียง “เสื้อนักศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ยืมผมก่อนก็ได้”

“ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้พ่อผมต้องใช้รถแต่เช้า อีกอย่างผมไม่ได้เอาหนังสือเรียนมา ต้องกลับไปเอา” พูดจบขยับไปจับข้อมืออีกฝ่ายเป็นเชิงส่งสัญญาณ “ผมสบายขึ้นแล้ว คุณขึ้นห้องเถอะ”

เจ้าตัวจ้องหน้า หยุดมือแล้วถอนออกอย่างเชื่องช้า กลางทางระหว่างฝ่ามือของพวกเราผ่านกันมันให้ความรู้สึกแปลกๆเหมือนอีกฝ่ายพยายามจะเกาะกุมไว้แต่ก็ไม่ใช่อยู่ในที

“ขอบคุณนะครับ” เด็กเกรทยกมือไหว้ก่อนเปิดประตูรถ พฤติกรรมนั้นทำผมอึ้งก่อนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนได้ฟังเอียงคอฉงน

“เป็นอะไรไปครับ”

“อ๋อ เปล่า ผมก็แค่รู้สึกแปลกๆ”

“รู้สึกแปลก?”

“ตั้งแต่คบกับคุณมา พึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ก็วันนี้” ผมยังหยุดขำไม่ได้ เลยก้มหน้าฟุบแขนที่กอดพวงมาลัยไว้ ปล่อยตัวให้สั่นไหวน้อยๆ เหมือนเจ้าตัวยังยืนรอเลยยกมือปัดไปอีกรอบ

“โทษทีๆ คุณไปเถอะ”

“...” ร่างสูงยังยืนนิ่ง

“ยังไม่ไปอีก” ผมยิ้มส่ายหัวตลกกับท่าทางของคนตรงหน้า

“ไม่ใช่พี่”

“หา?”

“ตอนนี้เป็นแฟนต่างหากครับ”

“...”

ปัง!

เสียงประตูดังปิดประสาทการรับรู้ของผม ความแปลกใจ ความสงสัย ความรู้สึกจั้กจี้อย่างประหลาดประดังประเดเข้ามา สายตาได้แต่มองตามแผ่นหลังซึ่งเดิมอ้อมด้านหน้ารถมายังฝั่งคนขับ นิ้วเรียวยาวบรรจงเคาะกับกระจกหน้าต่าง

บานแผ่นใสเลื่อนเปิดอัตโนมัติ ผมหันหน้าไปทางเกรทพลางยิ้ม

“มีอะไรรึเปล่าครับ จะแจกใบสั่งเหรอ” อีกฝ่ายเอามือเท้ากรอบหน้าต่างโค้งตัวลงมาพูด

“ถ้าสั่งให้ไปซื้อผัดกะเพรา จะพอไหวมั้ยครับ”

“ไม่ไหวแล้ววันนี้ ผมเอียนกะเพราจะตายแล้ว ทำไมช่วงนี้มีแต่คนหวังดีเลี้ยงของที่ผมชอบนะ”

“ช่วงนี้?” คิ้วเข้มขมวดบิดพลางทำท่าคิด “ช่วงนี้ไปกินกับใครมาเหรอครับ นอกจากผม”

“เพื่อนน่ะ มันรู้ว่าผมชอบกินกะเพราเลยหวังดีจัดให้”

“เพื่อน? คนที่ชื่อเบสเหรอครับ”

“อื้อ” ผมหยักหน้า “คุณเข้าหอเถอะ ดึกแล้ว”

“วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” ผมหันไปสบตาอีกฝ่ายทันควัน

“ขอบคุณอีกแล้ว ผมไปทำอะไรให้เนี่ย” ผมเฉไฉเกาะพวงมาลัยมองไปทางอื่น

“ผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย ขอบคุณจริงๆครับ” ผมโบกมือปัดๆพลางออกรถ พอขับเลยมาจนสุดทางซอยจึงแอบจอดริมทาง ยกมือขึ้นสัมผัสแผ่นหลังที่เมื่อยขบซึ่งยังคงหลงเหลือไอร้อนจากมือของอีกฝ่ายค้างไว้

...ลืมไปได้ไงนะ...

หรืออาจเป็นเพราะหลายวันมานี้มีเรื่องต่างๆสุมเข้ามาจนเกินกว่าสมองผมจะรับได้

เลยทำให้ลืมไปว่า เด็กเกรทกำลัง ‘อกหัก’ มาจากใคร

...TBC...

+++++++++++++++++


สั้นๆ เรื่อยๆนะคะ
เรื่องนี้เราแต่งในเชิงความรู้สึกที่ค่อยๆพัฒนาน่ะค่ะ
ขอบคุณที่ยังตามกันน้า T^T

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

เจ็ด...ฝนแปดหนาว

“เอาทิชชู่ไปเก็บในห้องเพิ่มมั้ยน้องอิม”

“ฮะ? ครับ?”

“แม่เห็นใช้ซะเยอะเชียว ปกติเก็บไว้ในห้องแค่กล่องเดียวน่าจะไม่พอ”

“...”

 
...บทสนทนาแนวนี้สำหรับบ้านผมมันเป็นเรื่องปกติ...

 
คนเป็นแม่รู้หนึ่งในความจำเป็นของกระดาษทิชชู่สำหรับผู้ชายทุกคน ตลอดมาตั้งแต่เล็กจนโตแม่ไม่เคยปิดกั้น มีแต่พยายามจะสอนลูกทั้งสองคนให้มีพัฒนาการ เรียนรู้ และเท่าทัน เพื่อให้มีทักษะตามวัยชีวิตที่ควรจะเป็น แต่ทว่า...

“เดี๋ยวผมมา”

ผมวิ่งพรวดพราดกระโจนขึ้นบันได เปิดประตูห้องตนเองได้ไม่รอช้าคว้าถังขยะในห้องขึ้นมาดู...

โธ่เว้ย...ลืมเก็บไปทิ้ง...

ซากอารยธรรมของเกรทยังคงเหลือเป็นทิชชู่กองโตในห้อง นับเป็นเรื่องธรรมดาหากคนขยันทำความสะอาดอย่างแม่จะขึ้นมาเจอ ทางเดียวคงต้องยอมรับว่าเป็นของตัวเองไปสินะ...แต่ออกเยอะไปมั้ยวะ

ผมถอนหายใจ มัดปากถุง ก่อนเดินเตาะแตะหิ้วมันลงมา

“วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวแม่เก็บเอง เราน่ะรีบมากินข้าวก่อน เดี๋ยวไปสายกันพอดี” ผมทำตามที่แม่บอก เดินไปล้างมือแล้วกลับมาประจำที่ ยกมีดปาดนูเทลล่าซึ่งยังคาอยู่บนขนมปังสองแผ่นขึ้นมา ความหนืดของมันหลังนำออกจากตู้เย็นทำให้ละเลียดละเลงได้ช้ากว่าปกติ สร้างความยุ่งยากในมื้ออาหารเช้าได้สุดๆ จนผมตัดใจวางมีดแล้วทานมันเสียแบบนั้นทั้งที่ครีมสีน้ำตาลยังคลุมไม่ถึงพื้นที่สี่มุมด้วยซ้ำ

“เอานมข้นมั้ย” ผมเหลือบไปมองมารดาที่ยื่นกระป๋องนมข้นมา ราวกับว่าเธอจ้องผมทุกขณะและทุกการกระทำ

...นมข้นน่ะเหรอ...

สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ดูเหมือนในใจเมินเฉยแต่ตลอดคืนนอนแทบไม่หลับ พอกลับมาถึงห้องก็เฝ้าแต่สงสัยการกระทำทุกอย่างของรุ่นน้อง ว่าเจ้าตัวทำทั้งหมดไปได้ยังไง ไหนจะแนบริมฝีปากใกล้ชิดกับผู้ชายด้วยกัน ไหนจะทำ...นมข้น...

“กะ...เก็บไปเลยครับแม่ วันนี้ไม่ขอกินนมข้น” และวันนี้ไม่ขอเจอหน้าด้วยเถอะได้โปรด...ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง...ถ้าเป็นไปได้เลิกๆกันไปดีกว่ามั้ยวะ ปกติก็ไม่ได้คบเพราะชอบกันอยู่แล้ว

“เมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า”

“เฮ้ย? เปล่าครับ ไม่มี๊!ไม่มีเลย!” อึ้งกันทั้งบาง รวมไปถึงน้องสาวในชุดนักศึกษาที่เพิ่งวิ่งตึงตังลงจากบันได มานั่งข้างผม

“พี่อิมตะโกนเสียงดังทำไม”

“พี่เปล่าซะหน่อย!”

“นั่นไงล่ะ ตะโกนเสียงดังชัดๆเลย” ยัยน้องตัวดียกนิ้วขึ้นชี้หน้า ผมเลยคว้ามือเธอลง ปากก็ขมุบขมิบเป็นเสียงกระซิบให้เลิกจับผิดผมซะที

“อิมมีอะไรจะบอกแม่รึเปล่า”

“จะมีได้ยังไงล่ะครับ”

“ไม่มีอะไรกับแม่ แต่มีอะไรกับแฟนแล้วใช่มั้ย!?”

“แค่ก!!”

ไอ้ก้อนขนมปังที่อยู่ในคอไหลไปชะงักค้างตรงหลอดลมจนสำลัก ทุบอกตุบๆ หวังให้หลุดออกก่อนติดคอตาย มือคว้าถ้วยกาแฟดำได้ก็ยกขึ้นซดลืมความร้อนและไอกรุ่นของมันไปชั่วสนิทใจ กว่าจะดันเจ้าก้อนขาวให้ไหลลงคอได้ก็เกือบลิ้นพองตายคาตรงนั้น

“ร้อนๆๆ”

“ใจเย็นสิเรา” แม่ยกแก้วน้ำเย็นส่งมาให้ได้หายใจหายคอ “ท่าจะเป็นเอาหนักนะ”

“ก็ใครกันล่ะ จู่ๆก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้” ผมแสร้งหลบตา แต่กลับโดนคำถามจี้กลับ

“สรุป คนเดียวกับเมื่อวานใช่มั้ย”

“ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า”

“ชื่ออะไรนะ น้องเกรทเหรอ”

“เขาชื่อเกรท แต่ไม่ใช่แฟนผม”

“คบกันตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้คบ”

“ตั้งแต่เมื่อวานเหรอ?”

“ไม่ใช่เมื่อวานครับ!”

“งั้นหนึ่งสัปดาห์ก่อน?”

“หนึ่งสัปดาห์ก่อนก็ไม่ใช่”

“งั้นสองสัปดาห์?”

“ไม่ใช่สองสัปดาห์”

“งั้นสาม...”

“โอเคครับ!!ก็ได้ครับ สามก็สามสัปดาห์!!”

บอกเลย...ผม-ยอม-แพ้...

ผมเห็นมายด์ชูสองนิ้วให้แม่กล่าวชื่นชมว่ากู๊ดจ๊อบจากปลายหางตา แม่ควรอึ้งกับประโยคนี้ ไม่อึ้งผมให้ต่อยทีนึงเลย ผมเตรียมรับคำด่าตั้งการ์ด หากมารดามีแต่ทำตาโตยกมือขึ้นปิดปาก ทำตัวประหลาดมองหน้าผมสลับกับถุงขยะที่วางทิ้งไว้ตรงข้างกำแพงนั้น

ไอ้เหี้ยอย่าบอกนะ!!

“หรือว่าเมื่อวานลูกกับน้องเขา...”

“เปล่าครับ!!พวกเรายังไม่ได้มีอะไรกัน”

“แล้ว...แล้วทิชชู่กองนั้น”

“เกรทเป็นคนทำคนเดียว ผมไม่เกี่ยว!”

ฉิบหาย!! ผมอยากเอาหน้ามุดจาน!!

คราวนี้เงียบกันทุกสรรพางค์สรรพสิ่ง ต่างฝ่ายต่างนิ่งไม่ไหวติงใดใด

“อิม...” เสียงแม่เรียกเบาแผ่วหวิวจนใจหาย “จะมีแฟนได้แม่ไม่ว่า แต่ถ้ารู้สึก ‘อยาก’ขึ้นมาอย่าลืมถุงยางอนามัยนะ”

“คะ...ครับ”

ผมตกปากรับคำ แต่มันไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ แม่ต้องไม่สนับสนุนผมดิ มันไม่ใช่แบบนี้ เสียงยัยมายด์หัวเราะคิกพลางกดมือถือ รู้เลยว่ากำลังรายงานสถานการณ์กับยัยต้า แต่ผมหมดแรงเกินจะคว้ามือถือแล้วเอ็ดเธอได้

“พกถุงยางเสร็จแล้วก็อย่าลืมพกร่มกันไปด้วยล่ะ พยากรณ์อากาศบอกวันนี้ฝนจะตกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทั่วกรุงเทพฯ”

...ย้ำกันเข้าไป ตอนนี้ในใจผมฝนมันตกห่าราวกับฤดูน้ำหลากไปได้สักประมาณนึงแล้วล่ะ...


 



 

 
“เมื่อวานมายด์คิดว่าพี่อิมจะไม่กลับซะอีก”

“มีเหตุอะไรที่พี่ต้องไม่กลับ มายด์อย่าเอาขอบร่มมากระแทกร่มพี่ น้ำมันกระเด็น” น้องสาวผมยิ้ม

...รู้เลยว่าที่เผลอกระแทกร่มเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพราะตื่นเต้นเรื่องผมกับเกรทจนลืมตัว...

หน้าฝนตอนต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่น่าปลื้มเท่าไร มีทั้งความเฉอะแฉะเจิ่งนองของน้ำไปทั่วฟุตบาท และบางคราวอาจจะเจอแจ็คพอตอย่างการโดนรถสวนผ่านสาดน้ำโคลนริมทางใส่ แต่เพราะฝนตกรถรับส่งภายในมหา’ลัยเลยดูจะเต็มไปเสียทุกคัน พวกเราเลยต้องจำใจเดินเท้า เพราะหากรอคงมีอันไปเรียนสาย

“คนตรงนั้นแปลกเนอะ นั่งรถส่วนตัวมาทั้งทีแทนที่จะให้คนขับไปส่งถึงหน้าตึกกลับลงกลางทางซะได้” น้องสาวคงบ่นประสาคนอิจฉาพวกที่ได้นั่งรถส่วนตัวมามหาวิทยาลัย หญิงสาวรูปร่างเล็กคนหนึ่งผมประกายสีน้ำตาลคาราเมลแต่งกายนักศึกษากระโปรงสอบรัดรูปดูโฉบเฉียวกำลังเดินจากรถมองซ้ายมองขวาตามถนนเพื่อวิ่งข้ามฟากมา ผมมองตามสายตาน้องแบบไม่หยุดเท้าก่อนจะละความสนใจเมื่อเดินผ่านจุดนั้นไป เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง

“ขอโทษค่ะ ขอทาง...”

“มายด์หลบมานี่มา” ผมดันตัวน้องสาวให้เบี่ยงออกด้านข้างมายืนแถวตอนเรียงหนึ่ง หลบการขวางทางของผู้ร่วมสัญจร ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองคนด้านหลัง “ขอโทษ...ครับ”

“...”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมหยุดเท้าทันทีที่เห็นหน้าเธอ ส่วนคนที่มาใหม่ก็เบิกตาโตเมื่อเห็นผม

“อิมเมจ”

“ใยไหม”

อย่างที่เคยบอก ผมกับใยไหมเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ไม่สนิทกัน และไม่คิดว่าเธอจะจำชื่อเล่นผมได้

“เฮ้ย...ยืนตากฝนทำไม” ผมรีบเอนร่มไปทางตัวเธอ ส่งผลให้พื้นที่แผ่นหลังกับไหล่เริ่มโดนละอองฝนจนชื้นเปียก ใยไหมดูอึ้งๆในหลายอย่าง ท่าทางดูสับสน ผมเผ้าเปียกปอน ตาเธอดูแดงกว่าปกติ ผิวหน้าขาวซีดอาจเพราะโดนไอเย็นจากฝน แต่ร่องรอยเมคอัพซึ่งดูเหมือนแต่งใหม่ยังไม่หลุดลอก เลยคงความสวยในแบบฉบับของสาวน้อยขวัญใจของใครหลายคนในมหาวิทยาลัยได้อยู่

“เข้ามาในร่มเถอะ” ตอนแรกเธอยืนห่างจากผมเหมือนเว้นระยะ แต่สักพักกลับค่อยขยับตัวเข้าใกล้แบบเกร็งๆ

“ขอโทษทีนะ เราลืมเอาร่มมา”

“เดี๋ยวเดินไปกับเราก็ได้” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็เกร็งไม่ต่างกับเธอ ใช่ว่าร่มที่พกมาจะคันใหญ่โตเท่าร่มสนามเสียเมื่อไร เหตุที่ใกล้ชิดกันไม่ได้มากอีกคนจึงต้องเสียสละไหล่บางส่วนให้กับสายฝนที่ร่วงหล่นจากม่านฟ้าแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เกรท...คุณจงภูมิใจนะ ที่แฟนตอนนี้ของคุณช่วยปกป้องตัวจริงของคุณเอาไว้ไม่ให้เปียกฝน แต่สภาพไหล่ของผมเนี่ยสิ...
 



 
 
 
“ขอบคุณที่มาส่งนะ เราไปก่อนนะ” ใยไหมยกมือโบกให้ผมน้อยๆเหมือนกล่าวลา ก่อนวิ่งเข้าไปในตัวตึกโดยไม่หันหลังกลับมาอีก ผมมองตามแผ่นหลังเธอด้วยความรู้สึกแปลกๆ เคยได้ยินจากปากหลายคนรวมถึงเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ‘ใยไหม’เป็นคนสดใสร่าเริง เธอเปรียบดั่งนางฟ้าของคณะที่ถ้าใครได้รู้จักมีอันต้องหลงเสน่ห์ แต่วันนี้เหมือนบางอย่างดูบิดเบือนไปจากความจริง

ความเงียบหม่นหมองคล้ายเศร้าปกคลุมแผ่นหลังเล็กๆที่บอบบาง รอยยิ้มจางๆเมื่อครู่ดูขาดความมีชีวิตชีวาจนถึงที่สุด

“พี่อิมเปียกหมดเลย” ยัยมายด์ซึ่งเดินตามหลังพวกเราสองคนมาอย่างเงียบๆตลอดทางบ่นขึ้น เธอสะบัดน้ำออกจากร่มได้เสร็จก็รีบหยิบผ้าผืนน้อยมาเช็ดที่ไหล่ผม “ทำไมต้องอุตส่าห์ลงจากรถกลางทางด้วยน้า ทะเลาะกันหรือไง”

ยัยมายด์คงเดาไปตามภาษาเด็กที่คิดว่าคนมาส่งนางฟ้าจะต้องเป็นแฟนเสมอ บางทีคนในรถอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ของใยไหม หรือจะเป็นใครก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ผมยืนยันได้ก็คือ...

...ดูเหมือนใยไหมจะร้องไห้มา...

“เอาเถอะ ก่อนจะยุ่งเรื่องคนอื่น ห่วงเรื่องตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย จะวิ่งไปเรียนทันมั้ยล่ะเรา” หันไปเอ็ด แต่น้องกลับไม่สนใจดึงแขนเสื้อผมที่เธอพึ่งเช็ดเป็นการใหญ่ “เป็นอะไรของเธอ...”

“กรี๊ด พี่อิม พี่อิม พี่อิม!!” ยัยมายด์ระริกระรี้ชี้ไปที่อะไรบางอย่าง พอมองตามไปก็ให้เจอร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินถือร่มสีดำใบใหญ่เข้ามา

“เกรท?”

โคตรบังเอิญ คนมีเป็นหมื่นเป็นแสนแต่กลับเจาะจงให้คนนี้มาเจอผมที่ใต้ตึกเรียนรวม

“พี่อิมเมจ” อีกฝ่ายลดร่มสะเด็ดน้ำออกเพื่อพับเก็บ ปากก็เจื้อยแจ้วเจรจาถามผมไปด้วย “รอใครอยู่เหรอครับ”

“เปล่าผม...”

“รอพี่เกรทไงคะ”

หา?

เสียงยัยมายด์ดังแทรกขึ้นมา จนผมต้องหันไปทำสีหน้ามองถามว่า...ใครคนไหนกันที่รอ

“พี่อิมรอเดินไปเรียนกับพี่เกรทไงเล่า พี่เกรทก็ทำตัวให้สมกับเป็นแฟนหน่อยสิ”

“ระ...รอพี่” เกรททำหน้าเอ๋อชี้นิ้วที่ตัวเอง พอมองนาฬิกาผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะสาย ไม่ควรต่อความยาวเถียงกับเรื่องราวไร้สาระตรงหน้า

“เออ รอก็รอ คุณเรียนชั้นไหนเนี่ย”

“ชะ...ชั้นหกครับ”

“งั้นก็รีบไปเร็ว มา!” คว้าแขนเกรทได้ เป้าหมายคือลิฟต์ที่กำลังเปิดอ้า ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครกดเรียกไปชั้นอื่น ณ ตอนนี้ พอเบี่ยงตัวเข้าเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมได้เสร็จก็กดปุ่มเลือกชั้นแล้วมายืนถอนหายใจหอบแรงพิงกำแพงให้หายเหนื่อย

“เรียนกี่โมงครับเนี่ย”

“แปด...โคตรเช้า เหนื่อยจะบ้าอยู่แล้ว” ผมยืนเท้าสะเอวอยู่นาน เหมือนปอดจะเริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่อากาศที่อบอ้าวทำให้เหงื่อไหลออกมาปะปนกับเสื้อซึ่งชื้นน้ำฝนจนชุ่มไปหมด

“ทำไมเปียกขนาดนี้ล่ะครับ ไม่ได้เอาร่มมาเหรอ”

“เอามา แต่แบ่งให้คนอื่นใช้”

“แบ่งให้คนอื่นใช้? น้องมายด์เหรอครับ แต่เมื่อกี้ผมเห็น...”

“เปล่าไม่ใช่มายด์หรอก ใยไหมน่ะ”

“ฮะ?” เกรทดูมีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้จงใจ แค่บอกไปตามความจริง แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อจากนี้มีความรู้สึกอยากแกล้งคนตัวสูงเจือปนอยู่เล็กๆ

“เออจริงสิ คุณรู้จักใยไหมรึเปล่า คนที่สวยๆเรียนคณะผม คนน่าจะรู้จักเยอะ”

“ก็พอ...รู้จักครับ”

ไม่ใช่ก็พอหรอกมั้ง

“เธอสวยเนอะ”

“ครับ สวยมาก” ร่างสูงจุดรอยยิ้มที่มุมปากเบาๆซึ่งไม่อาจรอดพ้นสายตาที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลาของผมได้ อีกฝ่ายคงมีความภูมิใจอยู่เล็กๆเมื่อคนที่ตนเองชอบถูกชมว่าสวย “ว่าแต่พี่ไปให้ร่มเขายืมได้ยังไง”

“เขาลืมร่มมา ผมบังเอิญเจอเธอวิ่งฝ่าฝนมากลางทางพอดี เลยช่วยชีวิตลูกนกตกน้ำไว้หนึ่ง เก่งมั้ยล่ะ” เกรทยกกำปั้นขึ้นบังปากหัวเราะ ‘หึ’ เบาๆ ฉับพลันกับกระทำบางอย่างไม่คาดคิด มือใหญ่เอื้อมมาจับลูบเข้ากับศีรษะของผมพลางบอก “เด็กดี เด็กดี”

“อย่าเล่นหัวผู้ใหญ่” ผมปัดมือออกบิดปาก เด็กบ้าอะไรไม่มีสัมมาคารวะ หากอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มใส่หน้าผม เสียงลิฟต์ดังขึ้นขัดก่อนที่ผมจะแสดงอารมณ์กระฟัดกระเฟียด เกรทกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้ดันตัวให้ผมเดินออก

“อย่าพึ่งโกรธผม รีบไปเรียนเถอะครับเดี๋ยวสาย” คำทักประโยคนี้เรียกสติผมกลับมา

“ฉิบหาย!!” หมุนตัวกลับแต่ประตูลิฟต์กลับงับปิดลงไปเสียแล้ว แถมเลขชั้นซึ่งแสดงอยู่ตรงแผงแสตนเลสยังเอาแต่ขยับขึ้นไม่ยอมลง ส่วนลิฟต์อีกสองตัวด้านข้างก็ดูจะพึ่งพาไม่ได้เพราะกำลังนอนตายอยู่ชั้นหนึ่ง กว่าจะขยับขึ้นมาถึงชั้นนี้ผมคงได้ไปสายกันพอดี “โธ่เว้ย ทำไงดีวะ”

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“ผมลืมกดลิฟต์”

“ฮะ?”

“ผมเรียนชั้นสาม!!”

ปกติไม่กังวลหรอกโดดเรียนครั้งสองครั้ง แต่กับคาบนี้อาจารย์แม่งโคตรดุ สายห้านาทีล็อคประตู แล้วทุกครั้งดันจงใจให้มีควิสท้ายคาบเก็บคะแนนย่อย ขาดบ่อยๆคะแนนก็ร่อยหรอหมดสิทธิ์สอบกันพอดี ดูเหมือนผมจะปกปิดสีหน้าเป็นกังวลไว้ได้ไม่มิด เด็กเกรทจึงคว้าแขนผมแล้วออกคำสั่ง

“มานี่!”

“ฮะ?”

คนตัวสูงคว้าแขนผมได้ก็จับลากให้วิ่งตามทันที พอมาถึงบันไดขายาวๆก้าวลงฉับสับไม่ยั้งรวดเร็วว่องไวจนเกือบตามไม่ทัน และมีบางครั้งที่ผมเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบทิ้งตัวกลิ้งหลุนๆตกจากบันไดชั้นหก คนแวดล้อมที่เดินสวนมามองตามกับท่าทีประหลาดด้วยสายตาแปลกใจประหนึ่งว่าพวกเราเป็นตัวตลก

“เดี๋ยวเกรท!!อย่าดึง!!ผมเดินลงบันไดไม่ถนัด” จะล้มแล้ว แล้วบันไดเหี้ยนี่แม่งก็ถี่เหลือเกิน ผมจะได้ตายก่อนไปเรียนมั้ยวะ เจ้าตัวสูงหันมาปะทะหน้าผมฉับพลันจนตกใจหยุดเท้า “อะ...อะไร”

“ถ้างั้น...”

งั้นอะไร?

ยังไม่ทันขบคิดตัวก็ลอยหวือถูกยกเอวขึ้นพาดกับไหล่ ใบหน้าคว่ำลงไปมองเห็นแผ่นหลังกว้าง ขาลอยโตงเตงอยู่กลางอากาศ

เชี่ย!!เกรทมันอุ้มผม!!

“ไอ้เหี้ยเกรท ปล่อยผมลง!!” เชี่ย สูง สูง กลัว จะตกมั้ย ทำไมบันไดมันมองเห็นลงไปถึงชั้นล่างได้สุดลูกหูตาและกว้างขนาดนี้ ไม่เอาแล้วผมกลัว หลับตาเอามือกำเสื้อนักศึกษาบนแผ่นหลังกว้างนั้นแน่น

“พี่เรียนห้องไหน”

“สะ...สะ...สามสี่ศูนย์เก้า!”

“ไกลสัด”

“งั้นก็ปล่อยผมลงดิวะ”

“ไม่เป็นไรผมรับผิดชอบเอง” รับผิดชอบ รับผิดชอบอะไร ไม่เอาโว้ยยยยย






 
ปังๆๆ

“เปิดประตูหน่อยครับ”

ปังๆๆ

“เปิดประตูหน่อย”

อาจารย์ประจำวิชาเปิดประตูออกมาทำสีหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรนักศึกษา ทำเสียงดังเอะอะ นี่มันรบกวนการเรียนการสอนรู้มั้ย”

“ผมพานักเรียนมาส่งครับ”

เธอขยับแว่นมองนักเรียนสองคนอย่างประเมิน คนนึงก็ยืนหลังตรงแน่วค้ำหัวไปส่วนอีกคนก็ตัวไหลเป็นศพโดนจับขึ้นบ่า...อย่างหมดสภาพ ก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง

“มาสายเลยกำหนด ก็ต้องถูกลงโทษล็อคกุญแจห้ามเข้าห้อง”

“แต่พี่เขาช่วยคนบาดเจ็บกลางถนนเลยมาช้า ถ้าเห็นคนแก่ล้มลงหมดสภาพกลางสายฝนอาจารย์จะไม่ช่วยเหรอครับ ตอนที่ส่งโรงพยาบาลอาการยังไม่แน่ไม่นอนด้วยซ้ำ แต่พี่เขาเป็นห่วงกลัวว่าจะเข้าคาบอาจารย์ไม่ทันเลยวิ่งตาลีตาเหลือกฝ่าฝนมา มีคนบ้าที่ไหนพกร่มทั้งทีแต่ทำให้ตัวเองเปียกได้ขนาดนี้ล่ะครับ” เหมือนโลกหมุนอีกรอบ เกรทขยับตัวหันไหล่ผมไปแสดงหลักฐานโชว์ให้อาจารย์ดู

“อาจารย์จะไม่สนับสนุนคนทำความดี....”

“เออๆๆพอแล้ว เลิกบ่นได้แล้วนักศึกษา อยากเรียนก็เข้ามา”

เกรทปล่อยผมลงจากไหล่ในที่สุด ผมยังคงหันหน้าไปทางเขา เจ้าตัวกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะทันทีที่มองเห็น

“หน้านี่แดงเชียว สงสัยผมทำพี่เลือดขึ้นสมอง” เลือดขึ้นหน้าอ่ะดิไม่ว่า “รีบเข้าไปเรียนเถอะครับ เดี๋ยวอาจารย์แกล็อคอีกรอบ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ”

“คุณก็กลับไปเข้าเรียนวิชาตัวเองได้แล้ว”

“ครับๆ” บอกครับแต่ไม่ไป แถมยังเปิดกระเป๋าสะพายข้างล้วงมือกุกกักหาอะไรบางอย่างก่อนโยนมันใส่หัวผม “เอาไปใช้นะครับถ้าไม่รังเกียจ” เจ้าตัวก้าวถอยหลัง กระพริบตาให้หนึ่งครั้งก่อนหมุนตัวเดินจากไป ผมหยิบผืนผ้านุ่มขนาดกลางที่พาดบนศีรษะลงมาดู เดาว่าน่าจะเป็นผ้าที่เอาไว้ใช้หลังเล่นกีฬา

...รางวัลแด่คนช่วยใยไหมสินะ...แต่ผมก็พอใจอยู่ดี...จนอดที่จะยิ้มไม่ได้...





 
 

 
“เชี่ย ชั้นก็คิดว่าใครวะโคตรกล้ามาเคาะประตูห้อง ที่แท้เพื่อนซี้พวกเราเอง”

“ไอ้อิม ทำไมมาสาย ปกติก็มาทันตลอดนี่” รู้สึกได้ถึงสายตาของใครต่อใครที่จับจ้องมา ดีที่ว่าเพื่อนผมและคนอื่นๆในคลาสมักจะนั่งอยู่ประจำการเป็นที่เลยไม่ต้องเสียเวลามองหา ลดเวลาแคร์สายตาชาวบ้านลงไปมาก

“ตรงนั้นน่ะ มาสายก็เลิกคุยกันได้แล้ว นั่งลงตั้งใจเรียน” ดาวกับข้าวฟ่างทำเสียงดังโหวกเหวกจนอาจารย์เอ็ด ต้องกลับไปนั่งหงอสงบเสงี่ยมเจียมตัวตั้งใจเรียนอย่างเก่า แต่ทว่าไอ้เบสที่นั่งอยู่ริมสุดและติดกับผมยังคงมองมาอยู่

“เมื่อกี้มึงไม่ได้เป็นคนเคาะประตูใช่มั้ย” ผมหย่อนตัววางกระเป๋าลงบนโต๊ะสบตามัน

“มึงรู้ได้ไง” เมื่อครู่เด็กเกรทไม่ได้โผล่หน้าเข้ามาในห้องเสียหน่อย สายตาไอ้เบสมองลงมาตามผ้าที่พาดอยู่บนคอผม

“ผ้าขนหนูใคร”

“ของเกรท”

“ทำไมของไอ้เด็กนั่นถึง...”

“มึงเงียบก่อน กูจะตั้งใจเรียน”

ต้องโดนทำโทษซะบ้าง โทษฐานวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำกูเกือบดาวน์ไปตั้งครึ่งวันนะ ไอ้เบส

 




 
 
วันนี้ฝนจะตกทั้งวัน พยากรณ์อากาศบอกอย่างนั้น เสียงฝนสาดซัดกระทบกับกำแพงตึกดังไปทั่ว ท้องฟ้าอึมครึมบรรยากาศขมุกขมัวไม่แจ่มใส ผมเดินลงจากตัวตึกอาคารเรียนรวมมองไปยังภายนอก

“เอาไงดีจะเดินไปกินที่โรงอาหารกลางป่ะ”

“ชั้นไป ชั้นหิวจะแย่อยู่แล้ว”

“อิมกับเบสล่ะ”

“ก็ไปดิ” เบสตอบ

“พวกแกไปเหอะ กูขออยู่นี่ ขี้เกียจออกไปโดนฝนอีกแล้วว่ะ” สาบานจริงว่าขี้เกียจตัวเปียกซ้ำรอยอีกรอบ แค่เมื่อกี้อากาศในห้องเรียนก็หนาวจะแย่ ให้เดินแช่ตากฝนอีกผมไม่เอาหรอก

“เอ๊า ร่มก็มี”

“อย่าบอกนะว่าแกลืมเอาร่มมาน่ะไอ้อิม เมื่อเช้าเห็นตัวเปียกมะลอกมะแลก แต่หัวก็ไม่เปียกนี่หว่า ตกห่ามาขนาดนี้ถ้าไม่มีร่มก็ลูกหมาตกน้ำกลายๆแล้วนะ”

“เปล่า กูเอามา ตกตั้งแต่เช้าแล้วทำไมจะไม่เอามา” แค่เผลอไปช่วยผู้อื่นตามประสาคนใจดีเท่านั้นเอง

“แต่ถึงจะไม่เอามา แกดูทางนั้นสิ ยืนบิดรอฝนนิดหน่อย ขี้คร้านเดี๋ยวก็มีคนเอาร่มมาให้ยืมแล้ว” ดาวพยักพเยิดไปปลายสุดสายตาตรงริมบันไดทางเดินออกไปข้างนอก มีคนๆหนึ่งยืนกระมิดกระเมี้ยนกระสับกระส่ายไปมาเหมือนโดนตรึงขาเอาไว้อยู่

...อ้าว...นั่นมันเกรทนี่หน่า...

ไม่นานก็มีคนวิ่งถือร่มมาให้ ร่มคันใหญ่บิ๊กเบิ้มเพียงพอสำหรับผู้ชายสองคนเดินตามไปไม่เบียดกัน แต่ไม่ถึงกับเท่าร่มบางคันในตลาดนัด

“บ้าเหรอแก นั่นมันเพื่อนเขา พูดอย่างกับจะมีผู้หญิงมารุมป้อยื่นช่อดอกไม้ให้น่ะ เดี๋ยวนี้มันสมัยไหนแล้ว เขามีแต่หวีดกันในโซเซียล ไม่มายืนกรี๊ดๆกันต่อหน้าให้สื่อถ่ายโฆษณาเล่นหรอก” ยิ่งฟังยิ่งจับใจความสำคัญไม่ถูก ข้าวฟ่างมันเรียนจบสายอะไรมาวะ สรุปความได้น่างง

ผมยืนมองคนมีเพื่อนเดินออกจากตึกไป จำได้คลับคล้ายคลับคาว่าผู้ชายที่ยื่นร่มให้คือคนเดียวกับเพื่อนสนิทเกรท

“ชั้นไม่ไปกินแล้วดีกว่า”

“หา? อะไรของแกยัยดาว อยู่ๆก็มาเท”

“ตรงหน้ามีเผือกร้อนๆรอให้รับประทานขนาดนี้ ชั้นจะไปโรงอาหารกลางให้เสียเวลาทำไมล่ะ”

“นั่นสินะ” ทำไมรู้ถึงรังสีบางอย่างที่จ้องมองมา กว่าจะหันไปทำความเข้าใจ ยัยดาวก็กระโดดมาโอบไหล่เสียแล้ว

“ป่ะ อิม ไปซื้อข้าวไข่เจียวที่ใต้ตึกกินกัน”

“หา? เดี๋ยวดิ จู่ๆทำไม”

“เรื่องของแกน่ะอร่อยกว่าข้าวไข่ข้นที่โรงอาหารกลางเยอะ”

...กลับไปหาข้าวไข่ข้นของแกเลยไปยัยดาว...


 
 

 
“สรุปคบกันแล้วใช่มั้ย”

ผมพยักหน้า

“เฮ้ยจริงอ่ะ ไอ้อิมแกแม่ง ไหนบอกว่าจะเลิกๆไง”

“ก็ตั้งใจว่าจะอย่างนั้น แต่สงสาร” หมายความในเชิงที่ว่าอีกฝ่ายจะโดนหักหน้าหากปฏิเสธคำสารภาพรักว่า ‘นายทักผิดคน’ แต่เพื่อนผมดันเข้าใจผิดคิดว่าสงสารเพราะเห็นใจไม่อยากให้อีกฝ่ายอกหัก...

“อย่ามาเป็นพ่อพระแถวนี้ ถ้าไม่มีความรู้สึกชอบแกไม่ควรจะตอบเขา”

“แต่จะพูดไปก็ไม่ถูกนะดาว คนเราถ้าไม่คบกันก่อนแล้วจะรู้ว่าชอบได้ยังไง”

“เออ ถูกของแกว่ะข้าวฟ่าง”

“อย่างนี้ชั้นก็ไม่สงสัยละ ว่าทำไมตอนเช้าถึงมาด้วยกัน ปล่อยให้งงอยู่นาน แต่พูดก็พูดเถอะ...” ข้าวฟ่างฉึกปากยิ้มมาทางผมจนแก้มปริ ยิ้มลามไปถึงดวงตา โคตรไม่น่าไว้วางใจ “มาส่งถึงที่แถมเคาะประตูกลางคาบอาจารย์วันเพ็ญให้ เอาใจชั้นไปเลย”

“นั่นดิ แฟนแกโคตรเฟียสอ่ะอิม เป็นใครใครกล้าแหยมอาจารย์แกวะ แล้วยังมีหน่วงเวลาปล่อยให้แกเดินหน้านิ่งเข้ามาในคลาสได้แบบไม่บาดเจ็บล้มตายอีก”

“แถมตอนท้ายคาบยังตะโกนเรียกให้มาเช็คชื่อที่หน้าห้องชั้นนี่อึ้งไปเลย ทำได้ไงอ่ะ เล่นเส้นใครยะ โอ้ยยยยอยากได้ผู้ชายแบบนี้ หาที่ไหนได้คะคุณอิม”

“เลิกพูดถึงมันสักแป๊บได้มั้ย”

เสียงไอ้เบสดังขึ้นขัดจนวงแตก ดาวกับข้างฟ่างมองตากันไปมาเลิ่กลั่ก ไม่ชัดเจนว่าเพื่อนอาจจะโดนผีเข้า

“หงุดหงิดอะไรวะ ไอ้เบส”

“นั่นดิ หงุดหงิดที่ไอ้อิมมันมีแฟนเหรอ อย่าว่าแต่คนอื่นเถอะ ทีตัวเองยังหนีไปมีแฟนก่อนหน้า เพื่อนสนิทอย่างไอ้อิมยังไม่ว่าอะไรเลย ปล่อยให้มันนั่งเหงากินข้าวกับพวกชั้นสามคนตั้งนาน โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะอิม มีอะไรมาซบอกดาวได้ ดาวไม่ใจร้ายอย่างไอ้เบสหรอก” ดาวอ้อมแขนมาดึงหัวผมเข้าไปซบอกมันตามที่ว่าจริง จะเรียกว่านิ่มหรืออะไรดีล่ะ ออกจะไม่ค่อยรู้สึก...

“เหอะ ไอ้ดาวแกมันไม่มีอกไอ้อิมซบไปก็ไม่ฟินหรอก”

“เชี่ยข้าวฟ่างนี่!”

เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันงานนี้ ผมยิ้มขำก่อนหันไปเจอกับสายตาของเพื่อนรัก มันไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด ปากบิดเป็นรูประฆังคว่ำก่อนกระแทกกระทั้นผุดตัวลุกจากเก้าอี้

“อ้าวไอ้เบส จะไปไหนวะ” ผมรีบเรียกห้ามมัน

“กูท้องอืด แดกไม่ลงแล้วว่ะ” แล้วก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นตึกเรียนไป

“อะไรของมัน” ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองตาม ส่วนดาวกับข้าวฟ่างมันจ้องหน้าผมก่อนทอดสายตาไปยังทางที่ส่วนหนึ่งในกลุ่มได้เดินจากไป แล้วพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“มี-พิ-รุธ”

...จริง...ไอ้เบสมันทำตัวประหลาดนับตั้งแต่วันนัดเดทกับแฟนมันวันนั้นแล้ว...

...สงสัยจะเมนส์มา...




 
 
ตลอดคาบครึ่งบ่ายดาวกับข้าวฟ่างเอาแต่เม้ามอยแซะแหย่ผมตามประสา ส่วนไอ้เบสก็เอาแต่ซบหน้าฟุบหลับกับโต๊ะเหมือนคนตาย พอถึงคราวต้องแยกย้ายไม่อยากให้มันเสียอารมณ์มากเลยหยิบแซนด์วิชแบบใส่สารกันบูดสิบชนิดที่ซื้อเก็บไว้ตอนกลางวันมายื่นให้มัน

“มึงเอาไปกินรองท้องระหว่างทางกลับบ้านละกัน อย่าเป็นโรคกระเพาะตายล่ะ กูไม่อยากต้องมานั่งเตือนมึงดื่มอะลัมมิลค์สามเวลาเช้ากลางวันเย็น” ไอ้เบสมันเอาแต่จ้องเจ้าสามเหลี่ยมในมือผมก่อนยื่นมือมารับไป

“เพราะมึงชอบทำตัวแบบนี้แหละ”

“บ่นพึมพำอะไรของมึงอีกฮะ กูขอโทษละกันที่ทำให้มึงไม่สบายใจ”

พรึ่บ!!

เสียงกางร่มของคนเดินผ่านหลังเคลื่อนมายืนบังด้านหน้า เล่นเอาตกอกตกใจกันตามประสาคนสองคนที่ตกอยู่ในภวังค์บทสนทนาของกันและกัน พอหันไปมองกลับปรากฏร่างเพรียวบางที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากระโปรงสอบสั้น สยายผมเกลี่ยระคออยู่ไม่ห่างจากกันไปเท่าไร เมื่อสังเกตทางเท้าไร้คนสัญจรไปมาร่างตรงหน้าจึงยกร่มสีดำออกเดินนำตัวปลิวหายลับไปจากครรลองสายตา

“อิม มึงเป็นอะไรวะ มองใคร...”

“เบส” ผมตบมือที่กำแซนด์วิชของมัน ทั้งที่สายตาไม่อาจละจากภาพสุดท้ายได้ “อย่าลืมกินแซนด์วิชกูนะ กูไปก่อนล่ะ”

“เฮ้ยเหี้ยอิม!”

 
ผมรีบวิ่งไปชั้นสาม...ตามตารางเรียนที่เคยได้จากอีกฝ่ายมา

 
...ฝนก็ตกหนักซะขนาดนี้ คิดสั้นอะไรแบบนั้นวะ เกรท...



...TBC...

++++++++++++++++++++++++++++


เขาอุ้มกันด้วยแหละ...คิดภาพคนแบกศพ...=_=


ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

แปด...หอก


การมาหลังเสียงระฆังดังเป็นอะไรที่โคตรหมิ่นเหม่ หมิ่นเหม่แบบจะเจอหรือจะคลาดกับคนที่ผมอุตส่าห์วิ่งตามหา ตาลายกับขยะผู้คนที่เดินสวนกันไปมาน่าปวดหัว ผมไม่ได้มีความพยายามอะไรขนาดนั้นหรอกนะ

...ถ้าไม่เจอก็กลับ แค่นั้น...พอ...

“พี่อิม?” จังหวะที่หมุนตัวเหมือนตัดใจคนที่อยู่ในความคิดก็โผล่มาประชิดจากด้านหลังด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดด้วยซ้ำ

“อุ่ย เชี่ยแม่ง!” ผมแทบสะดุ้งเอี้ยวตัวหลบยกมือกุมอกข้างซ้าย หัวใจเกือบวายคาตรงนั้น พอมองลูกกระเดือกด้านหน้ารู้เลยว่าใคร เด็กเกรทกำลังกลั้นขำกับท่าทีของผม

“อุบ...ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ขำเพื่อ!” ผมเอ็ด ก่อนเอาร่มในมือฟาด

“เฮ้ยพี่ เดี๋ยวๆ” เกรทเบี่ยงตัวหลบเอามือมายึดวัตถุที่กลายร่างเป็นกระบองน้อยๆเอาไว้ ร่างสูงกระตุกมันเข้าหาตัวจนผมเหมือนโดนฉุดเข้าใกล้อีกฝ่ายไปหนึ่งเสต็ป “อย่าตีดิ”

ใกล้จนได้แต่ยืนโง่เบิกตาโตมองหน้าคนที่ใครต่างก็ว่าหล่อเหลา

“เดี๋ยวผมหวานใส่นะ”

“จะหวานใส่เพื่อ คุณไม่ใช่กระท้อน”

“แหนะ รู้ด้วย” พอโดนยิ้มกวนกระแทกหน้าเลยกลับมายืนตัวตรง มองหน้าคนตัวสูง

“จะกลับยัง”

“ฮะ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ก็...กำลังจะกลับครับ มีอะไรรึเปล่า”

“ไม่มีหรอก แค่คิดว่าจะกลับด้วย”

“...” ร่างสูงเงียบไปก่อนเหมือนตัดสินใจอะไรได้ “แป๊บนะครับ เดี๋ยวผมบอก...”

“แต่ถ้าคุณจะกลับกับเพื่อนก็ไม่เป็นไรนะ” ถ้าเจ้าตัวมี ‘ร่มที่พึ่งพาได้’ อยู่แล้วผมก็จะกลับเพราะไม่ว่าทางไหนก็บรรลุวัตถุประสงค์ในการมาหาเหมือนกัน ผมไม่รอตั้งใจจะผละออกไป แขนกลับเหมือนโดนกระตุกจากจุดเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา ร่มที่ผมถือไว้ เกรทจ้องหน้าผมเป็นเชิงปรามก่อนหันหลังไปทางเพื่อนฝูง

“ไอ้นัทกูกลับก่อนนะ!!” เพื่อนอีกฝ่ายทำท่าตกใจเลื่อนสายตามามองหน้าผมวืบหนึ่งก่อนโบกมือไล่

“จะทำอะไรก็ตามใจมึงเลย!” คนชื่อนัททำปากขมุบขมิบตอนท้ายเหมือนยังพูดไม่จบประโยคดีพอ หากคนตัวสูงเหมือนจับอะไรบางอย่างได้จึงทำสีหน้าเอือมๆใส่เพื่อนก่อนหมุนมาทางผมเต็มตัว

“ไปกันเถอะครับ” ไม่มีท่าทีใดที่เหมือนแสดงความเป็นคนของกันและกัน ไม่มีแม้กระทั่งการจับมือ แต่สิ่งที่ถืออยู่ก็เหมือนตัวเชื่อมโยงพวกเราสองคนไว้

เกรทจูงผมด้วยร่มเดินนำไปจนถึงบันได แปลกที่เจ้าตัวไม่ใช้ลิฟต์ ลมเย็นๆเข้ามาปะทะใบหน้าจากทางลงซึ่งเป็นซี่กรงเหล็กสีดำความสูงครึ่งตัว เปิดโล่งหันตัวไปทางถนนอันร่มรื่นของมหา’ลัยซึ่งเต็มไปด้วยแมกไม้ แม้ท้องฟ้าจะไม่สดใสจากสายฝนที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาด แต่ทว่าก้อนเมฆที่ควรครึ้มหม่นกลับทอแสงสีฟ้าเข้มขัดกับบรรยากาศ พลอยทำให้ดูชุ่มฉ่ำชื่นใจมากกว่าความเฉอะแฉะชื้นฝนที่ใครหลายคนคิดรำคาญเป็นไหนๆ

“เรื่องเมื่อเช้า...” ผมเปรยขึ้นมาระหว่างที่พวกเรายังเดินกระย่องกระแย่งกันลงบันได เจ้าตัวผินศีรษะมาพลางขานตอบ

“ครับ?”

“ขอบคุณนะ” จังหวะเดินของคนข้างหน้าสะดุดไปก่อนดึงมาดังเดิมเหมือนกำลังคิดอยู่ชั่วครู่

“เรื่องไหนครับ”

“คุณทำบุญคุณให้ผมกี่เรื่องกันเชียว”

“เยอะแยะ”

“นับผิดรึเปล่ามีแค่เรื่องเดียว”

“งั้นเรื่องไหนก็พูดมาให้ชัดสิครับ” เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง มีสั่งผมด้วย

“เรื่องที่พาไปส่งถึงห้องเรียน”

“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ ว่าแต่พี่โดนอาจารย์ตัดชื่อรึเปล่าเนี่ย” เกรทหันมาสลับกับมองทาง ส่งสัญญาณให้รู้ว่าตั้งใจฟังอยู่

“ไม่โดนหรอก ก็คุณเล่นใหญ่เว่อร์ซะขนาดนั้น ใครกันที่ไปช่วยคนแก่กลางถนน ไม่เห็นจะจำได้” ถ้าช่วยใยไหมก็ว่าไปอย่าง

“ถ้าไม่พูดอย่างนั้นพี่ก็เข้าห้องไม่ได้ ความจริงผมก็ผิดด้วยแหละที่ชวนคุยจนพี่ลืมกดลิฟต์”

“ผมเอ๋อเองแหละ ไม่ต้องโทษใคร”

“นานๆจะเห็นคนชื่ออิมเมจ เสียอาการกับเขาสักที”

“ไม่ได้เสียอาการแต่ผมเป็นของผมแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแค่คุณไม่รู้” คราวนี้อีกฝ่ายหยุดเท้าจริงจัง หมุนตัวหันมาทางผมเต็มอัตราโดยที่ว่ามือยังกำร่มผมไว้อยู่

“ฟังแล้วรู้สึกขัดใจมานานแล้ว”

“ฮะ? ขัดใจ? เรื่องอะไร?”

“เป็นอย่างที่น้องสาวพี่ว่าจริงๆ เป็นแฟนกันมาเรียกคุณๆใส่กัน มันฟังดูแปลกๆ”

“อีกแล้วเหรอประเด็นนี้ ก็ผมถนัด...”

“แต่ผมไม่ถนัด”

“ทำไมล่ะกับแค่ คุณคุณคุณคุณคุณ มันผิดเหรอ”

“เอาเถอะครับ เอาที่สบายใจ” ร่างสูงถอนหายใจเหมือนเบื่อจะเถียง หมุนตัวกลับมาเดินลงบันไดที่กำลังจะก้าวไปสู่ขั้นสุดท้าย

“เดี๋ยวคุณก็ชิน”

ประโยคสั้นๆแต่ทำให้คนที่ตั้งใจเดินต่อผินหน้ากลับมามองได้

“ครับ?”

“เดี๋ยวคุณก็ชิน คำว่า ‘คุณ’ ของผม”

...เพราะคุณอย่าได้ชิน กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ชั่วคราว’ เลย...






พรึ่บ!!

สายตาคมจ้องร่มที่กางออกปริบๆ

“สาบานนะครับว่านี่ไม่ใช่ร่มคนแคระ”

“จะบ้าเหรอ ร่มคนปกติ”

“พี่เผลอเปิดไฟฉายย่อส่วนทิ้งไว้ในกระเป๋ารึเปล่า” คนตัวสูงชะโงกหน้ามาจะคว้ากระเป๋าข้างผม จนคนทางนี้ได้แต่เบี่ยงตัวหลบแล้วดีดติ่งหูอีกฝ่ายไปหนึ่งที “โอ๊ย!”

“มันจะมีของแบบนั้นได้ที่ไหนเล่า ร่มนี้ผมซื้อมาจากญี่ปุ่นมันพอดีสำหรับคนเดียว แต่สองคนถ้าแค่หัวก็อาจจะรอดอยู่”

“โอเคครับ” จู่ๆกระเป๋าข้างที่พาดไหล่ขวาก็โดนคว้าแล้วโยนกลับมาใส่อก

“ทำอะไรน่ะ”

“ไว้ด้านนอกเดี๋ยวเปียกพี่เอาไปกอดไว้” สักพักก็หยิบของตัวเองมาโยนใส่ผม “ฝากของผมด้วย”

ผมขยับกระเป๋าของเราให้ทับกันดี รวบสายกระเป๋าพันรอบอย่างแน่นหนาแล้วกอดมันไว้แนบอก ขณะตั้งใจทำจึงไม่ทันสังเกตว่าคนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้ จังหวะที่เงยขึ้นไปเลยเห็นสันกรามของอีกฝ่ายในระยะประชิด อ้อมแขนของเกรทโอบรอบไหล่ ดึงผมเข้าใกล้ก่อนมองหน้าเป็นเชิงให้สัญญาณ

“คนเดียวหัวหาย สองคนหัวแห้งแต่ไหล่กับหลังอาจจะเปียกได้ถ้าไม่เบียดกันเดินออกไป พี่พร้อมมั้ยครับ”

“หึ...มีมุกอีก พร้อมไม่พร้อมก็ต้องไปแล้วล่ะ ฝนมันมีทีท่าว่าจะหยุดที่ไหน”

“งั้นไปนะ” ทันทีที่ได้สัญญาณผมกับเกรทออกตัวเดินกึ่งวิ่งออกไปยังนอกตึก เพื่อไปให้ถึงหอนอกของอีกฝ่ายให้ไวที่สุด

...ถ้ามีร่มคันใหญ่สีดำของนาย...บางทีอาจจะไม่ต้องเปียกก็ได้นะ...





“อ่ะ กระเป๋าคุณ เอาร่มผมมา” ยืนแลกร่มกับกระเป๋ากันอยู่โถงด้านล่างของหอ เหมือนร่างสูงมีบางอย่างจะพูดจึงดูชะงักค้างไป

“ทำไมผมรู้สึกว่า พี่กำลังมาส่งผม แทนที่จะเรียกว่ากลับด้วยกัน”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน”

“ทางไปบ้านพี่มันตั้งแต่ป้ายรถเมล์ที่พวกเราผ่านมา”

“แล้ว?”

“ความจริงถ้าเรียกว่า ‘กลับด้วยกัน’ เราควรจะแยกตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว”

“กับคนไม่มีร่มน่ะ เลิกบ่นเถอะ”

“...!” ผมปล่อยความประหลาดใจของเกรทให้ผ่านแล้วพูดต่อ

“กับความรักน่ะ มันไม่ต้องทุ่มเทขนาดต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก ก็เหมือนทำทานแหละให้เขาได้แต่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อนไม่งั้นจะไม่ใช่ทาน”

“พี่...”

“ก็เหมือนกับผมตอนนี้ การมาส่งคุณไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนเพราะหอคุณก็ไม่ได้ไกลจากป้ายรถเมล์ที่ผมนั่งกลับเท่าไร คุณจะได้ไม่เปียกเป็นหวัดไปส่วนผมก็ได้ออกกำลังกายเดินให้ครบหมื่นเก้าต่อวัน วินวินกัน เข้าใจนะ”

“...” ท่าจะโดนทฤษฎีบทง่อยๆของผมจนตะลึง ไม่ได้ตั้งใจจะกัด แต่ก็อยากให้คิดถึงตัวเองให้มาก ยิ่งคนที่อีกฝ่ายชอบเป็นคนมีพันธะอย่าง ‘ใยไหม’ อะไรๆก็ดูเหมือนไม่ง่ายสำหรับร่างสูง เพราะงั้นการทุ่มเทลงไปสุดตัวมันไม่ใช่เรื่องน่าทำสักเท่าไร ผมเลยอยากให้เจ้าตัวเผื่อใจไว้

“ผมกลับนะ”

“พี่อิม” ต้นแขนผมถูกใครบางคนดึงกลับไปพร้อมการเข้ามาประชิดของอีกฝ่าย ใบหน้าที่แหงนเงยถูกแนบสัมผัสหน้าผากต่อหน้าผาก ขนคิ้วติดคลึงกันอย่างจั๊กจี้ ปลายสันจมูกโค้งสวยของเกรทเข้ามาคลอเคลียที่จมูกผม ลมหายใจแทบถูกดึงกลับไปในปอด การกระทำของคนตรงหน้าทำให้ผมพาลพานึกไปถึงตอนที่พวกเราเล่นบ้าๆกันอยู่บนเตียงวันนั้น ผมกำลังอึ้ง...

“กลับ...ดีดีนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ก่อนถอนถอยทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าสีน้ำผึ้งที่ชื้นน้ำ

“อะ...อืม” ผมเดินออกมาด้วยท่าทางคนประสาทกลับ จิตใจล่องลอยสับสน

...เมื่อกี้...นึกว่าจะโดนซะแล้ว...






แล้วผลสุดท้ายเป็นไง เปียกฝนตอนช่วยใยไหม มาตากแอร์เย็นๆในห้องเรียน หวัดก็แดกไปตามระเบียบสิครับ...

“ฮัดเช้ยยยยยยย!!”

“หมดสภาพคุณชายของพวกเราเลยวันนี้”

“เห็นอิมที่ไหนเห็นกระดาษทิชชู่ที่นั่น โคตรคำขวัญประจำวันนี้เลยว่ะ”

ดาวกับข้าวฟ่างซึ่งเดินตามหลังระหว่างทางไปโรงอาหารพูดแซว ด้วยความที่น้ำมูกไหลอย่างกับฤดูน้ำหลาก ทำให้ต้องจำใจหยิบกระดาษทิชชู่ที่เตรียมไว้ใช้ในห้องส่วนตัวพกมันมาทั้งกล่องที่มหา’ลัย เดินถือไปไหนต่อไหนกันไว้ไม่ให้สังคมรังเกียจ

...แม่ต้องภูมิใจนะครับ ที่ผมได้ใช้ประโยชน์มันนอกเหนือจากทำอย่างว่าแล้ว...

ผมดึงทิชชู่ออกมาเพิ่มหนึ่งแผ่นสั่งเบาๆกันหูอื้อ ด้วยความทุลักทุเลไอ้เบสมันเลยคว้ากล่องไปถือให้

“ขอบใจ”

“ทำไมเป็นหวัดง่ายขนาดนี้วะ เมื่อวานมึงไม่ได้ไปตากฝนเพิ่มที่ไหนใช่มั้ย” จะพูดว่าไม่ใช่ก็ไม่ถูก เมื่อวานตอนกลับกับเกรทตัวผมแอบเปียกฝนอยู่นิดนึง พอถึงบ้านก็มัวแต่นั่งเหม่อหาสาระไม่ได้ กว่าจะได้อาบน้ำตัวก็ไร้อาการเปียกไปแล้ว

“ตอนกลับแหละ ฝนมันแรงเลยสาด...”

“ด่ากูเพื่อ นี่กูเป็นห่วงมึงนะ”

“ฟังกูให้จบก่อนดิวะ กูหมายถึงฝนแรงจนสาดใส่หน้าเว้ย”

“ฮาไอ้สองตัวนี้ว่ะ เล่นกันไปได้” ไอ้ดาวที่ดูอาการอยู่ด้านหลังแซะขึ้นมา

“แล้วทำไม เมื่อวานแกไม่กลับรถไอ้เบสวะอิม จะได้ไม่ต้องเปียกฝนกลับ” ในกลุ่มคนที่มีรถคือไอ้เบสคนเดียว ซึ่งใครต่างก็รู้ว่ามันต้องเอาไปรับส่งแฟนสาวอยู่แล้ว แล้วใครจะไปกล้า

“กูไม่อยากไปเป็นกอ ขอ คอ งอ จอ ไอ้เบสกับแฟนมันว่ะ”

“มึงก็เพื่อนเปล่าวะ ถ้าให้ไปส่ง กูก็ส่งได้” ไอ้เบสมันทำท่าเหมือนจะหงุดหงิดใส่ จนผมต้องกระโดดไปคล้องคอมันไว้

“แหมไม่เอาน่ะ อย่างอนเพื่อนคนนี้ดิวะ นี่กูหวังดีเลยนะที่อยากให้เพื่อนได้อยู่กับแฟนสักที” ใช่...เพื่อนคนนี้หวังดีกับมึงทุกประการ ไอ้เบสมันมองหน้าผมก่อนใช้ศอกดันอกต้าน

“ไม่ต้องมาเข้าใกล้กูเลย เดี๋ยวติดหวัด” สาบานว่าผมจะเอาทิชชู่เปื้อนขี้มูกแอบใส่กระเป๋ามัน ผมถอยตัวมาเดินตามปกติ ไอ้เบสมันสะกิดแล้วชี้ถังขยะให้เลยเดินแยกออกไปทิ้งกระดาษทิชชู่ พอกลับเข้ากลุ่มก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าวฟ่างถามเพื่อนสนิทผมขึ้นมา

“ว่าแต่แกเถอะไอ้เบส สรุปเจอหน้าแฟนแล้วใช่มั้ย ถึงได้ไปรับไปส่งกันได้ คนอะไรวะบอกรักตอบรับกันในเฟส ทั้งที่ยังไม่เจอหน้าสักครั้ง มีอย่างที่ไหน”

“ก็อย่างกูไง”

“เออจ้า พ่อคนหล่อ พ่อคนยอดฟอลไอจีเยอะ”

“เป็นชั้นต้องขอมาดูหน้า ศึกษานิสัยใจคอกันซะก่อน ถึงจะตัดสินใจว่าชอบไม่ชอบ คบไม่คบ”

“แกเลยโสดมาจนถึงทุกวันนี้ไงล่ะฟ่าง”

“เงียบไปเลยไอ้ดาว ทำอย่างกับแกไม่โสด”

“ดาว” เสียงใครที่ไหนมาตะโกนเรียกชื่อเพื่อนผมกลางทาง คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันหันหน้าไปทางต้นเสียง ปรากฏผู้ชายหน้าตาดีแบบพอเรียกไปวัดไปวาได้ยืนอยู่ เขาโบกมือน้อยๆมาทางเดียวกับเจ้าของชื่อที่อีกฝ่ายเรียก

“พี่สิง” เสียงตอบรับของเพื่อนสาวทำเอาทุกคนอึ้ง เธอวิ่งแทรกผ่านตัวผมกับเบสไปหาคนแปลกหน้าที่มาใหม่ “มาได้ไงเนี่ย”

“พี่มากินข้าวกับเพื่อนน่ะแล้วเราล่ะ”

“ดาวก็กำลังจะมากินข้าวกับเพื่อนพอดี” สายตาคนชื่อสิงมองมาทางกลุ่มพวกเรา ก่อนหันไปให้ความสนใจกับสาวน้อยตรงหน้า

“ไปกินด้วยกันมั้ย”

“อื้อ ได้สิ” ยัยดาวระริกระรี้ออกหน้าออกตา ก่อนหันมาตะโกนเรียก “พวกแกชั้นไปกินข้าวกับแฟนนะ” กล่าวแค่นั้นก็เดินคล้องแขนคนแปลกหน้าออกไป

ตอนนี้บอกได้แค่ว่าอึ้งกันทั้งบาง ใครมันจะไปคิดว่าคนที่ชอบตัดพ้อน้อยเนื้อต่ำใจในความ ‘อกไข่ดาว’ ตามชื่อฉายาว่าจะหาแฟนไม่ได้ จู่ๆวันนึงกลับมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาต่อหน้าต่อตา

“แย่ล่ะสิ” อยู่ดีๆข้าวฟ่างก็ทำเสียงร้อนใจใบหน้าบิดเบี้ยว “ทุกคนมีแฟนหมดแล้ว แล้วชั้นจะอยู่ยังไงอ่า!!”

อยากจะยกมือโบกไหวไปมาเหลือเกิน ว่าชั้นยังอยู่ตรงนี้ ยังมีเพื่อนแกที่ไม่มีแฟนอยู่หนึ่งคน...แต่ทำไมได้

พอมาถึงโรงอาหารหาที่ทางจับจองได้ต่างฝ่ายต่างไปซื้อข้าวคนละจานมานั่งกินพลางเม้ามอย ประเด็นสำคัญส่วนจะไปตกที่ยัยดาว...ยัยเสือสาวที่ตกผู้ชายได้ภายในข้ามวัน ข้าวฟ่างมันชะโงกมองไปทางเพื่อนสาวที่นั่งห่างออกไปเป็นวาพลางสันนิษฐานว่าพี่คนนั้นน่าจะเป็นเด็กนิเทศศาสตร์

“ชั้นว่าชั้นเคยเห็นเขาเดินตะลอนๆถือกล่องบริจาคละครเวที หรือมาถ่ายละครสั้นส่งอาจารย์อะไรแถวนี้”

“แต่กูไม่ยักจะคุ้นหน้า” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เบสพูด แต่ความจริงแล้วอาจจะเป็นเพราะปกติผมก็ไม่ค่อยสนใจใครอยู่แล้ว

“อย่าว่าแต่ยัยดาวเลย แล้วเด็กเกรทของพี่อิมเมจล่ะ วันนี้ไม่มาทานข้าวด้วยเหรอคะ หมั่นไส้คนมีแฟนค่ะบอกเลย” ไหงงานมาเข้าตรงนี้ได้วะ นั่งอยู่เฉยๆแท้ๆ

“ขึ้นชื่อว่าแฟนไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเสมอไปหรอกนะข้าวฟ่าง”

“ใช่ซี้ดูอย่างไอ้เบสดิ มีแฟน แฟนก็ล่องหน ไม่รู้ไม่มีตัวตนหรือหวงคนจนไม่กล้าเอาออกงานกันแน่” ไอ้เบสที่กินราดหน้าอยู่ถึงกับสะอึก มันเงยหน้าขมึงทึงมามองข้าวฟ่างก่อนหันมามองผมซึ่งซับน้ำมูกอยู่ด้านข้างแบบแปลกๆ

“เรื่องของกูเปล่าวะ”

“จ๊ะ ไม่ยุ่งจ๊ะ ชั้นว่าชั้นยุ่งเรื่องของอิมดีกว่า มานั่นแล้วไง แฟนแกน่ะ” ผมหันไปมองตามสายตาของข้าวฟ่าง เวลาพักเบรกเที่ยงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเจอคนรู้จักมากินข้าวโรงนี้ จึงไม่แปลกใจที่เห็นร่างสูงของเกรทกำลังเดินเข้ามากับผองเพื่อนอีกสองสามคน สายตาคมกำลังกวาดมองหาที่นั่งว่าง ตอนที่ตาของพวกเราเกือบจะประสานกันกลับโดนขัดโดยเพื่อนคนนึงในกลุ่มซึ่งกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่าย คนตัวสูงจึงได้แต่มองตามไปทางที่เพื่อนนัทบุ้ยใบ้ชี้หา

ขายาวๆก้าวไปตามทางข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ใจผมเต้นตึกตักแต่ก็หยุดชะงักลงตรงนั้น มาถึงตอนนี้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม...

...สิ่งที่ร่างสูงโฟกัสไปไม่ใช่ผม แต่กลับเป็นที่นั่งว่างซึ่งชิดกับโต๊ะทานข้าวของใยไหมคนที่อีกฝ่ายรักสุดใจยังไงล่ะ...

“ตรงนี้ก็ว่างแท้ๆ” ข้าวฟางบ่นอุบเหมือนเสียดายโอกาสที่จะได้แกล้งผม

“บอกแล้วไงเป็นแฟนไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเสมอไป”

“แล้วตอนไหนตัวถึงจะติดกันได้ยะ ตอนบ๊ะบ๊ะกันเท่านั้นเหรอ” ผมสะดุ้งหน้าออกสีเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะพูดเรื่องอย่างว่าขึ้นมากะทันหันกลางโต๊ะอาหาร

“เป็นสาวเป็นนางพูดอะไรเนี่ย” ไอ้เบสบ่นเอ็ด

“อายทำไมโตโตกันแล้ว ความจริงเรื่องเพศศึกษาควรบรรจุในวิชาเรียนตั้งแต่อนุบาลด้วยซ้ำ ว่าคนเราเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมถึงเติบโตมาเป็นผู้ชายผู้หญิง เด็กมันจะได้เรียนรู้ความเป็นจริง รู้จักใช้ชีวิตในสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องมานั่งปิดกั้นปิดหูปิดตาทำทุกวิถีทางให้เด็กเหมือนคนตาบอดแบบนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีอาชญากรรมก็เต็มบ้านเต็มเมืองแล้วจ้า”

“อยู่ๆก็มามีสาระ โดนเพื่อนเทจนสติกลับหรือไง” ไอ้เบสตักผักคะน้าเข้าปาก เคี้ยวไปพลางกัดไอ้ฟ่างไป

“เปล่า ชั้นแค่อยากเสือกว่าไอ้อิมมันเสร็จเด็กเกรทไปรึยัง”

พรวด!!

“แค่กๆๆ!!”

“ยี้ ทำอะไรอ่ะไอ้อิมสกปรก” ไม่พ่นใส่หน้าแกก็ดีขนาดไหนแล้วยัยข้าวฟ่าง เสียดายน้ำแร่ที่อุตส่าห์ซื้อมา สำลักไม่พอยังเผลอทำหกใส่โต๊ะอีก ฟ่างมันมองหน้าผมเหมือนสงสัยก่อนยกนิ้วขึ้นชี้หน้า “ไอ้อิมแกอย่าบอกนะว่าแกได้กับน้องมันแล้วน่ะ!”

โอ้ย! นี่ก็อีกคน ทำไมคนรอบข้างผมถึงเชียร์ให้ได้กับเกรทมันจัง

“ตะ...ตัวติดกันแล้วใช่มั้ย” อย่ามาทำท่าสอดประสานนิ้วทั้งสองมือเข้าหาแล้วขยับป๊าบป๊าบเหมือนสาธิตการรวมร่างให้กูคิดตามได้มั้ยวะ

“ตัวติดกันอะไร ใช่ที่ไหนเล่า ข้าวฟ่าง แกหยุดจินตนาการเลยนะ”

“ครั้งแรกเป็นไงวะ แกรู้วิธีเหรอ หรือให้น้องมันนำ เจ็บมั้ย ชั้นเคยได้ยินว่าผู้ชายด้วยกันจะเจ็บมาก เพราะมันเข้ายาก” ใครสอนให้เพื่อนผมทะลึ่งและถามตรงขนาดนี้วะ!! ผมตีโต๊ะลุกขึ้นเต็มความสูง หยิบทิชชู่ในมือที่ใช้แล้วขึ้นมา ปั้นเป็นก้อนกลมๆเหมือนจะปาลูกเบสบอลใส่หน้าข่มขู่แทน

“ไอ้ฟ่างแกเลิกพูด ถ้าไม่หยุดกูปาขี้มูกใส่หน้าแน่!”

“พี่อิม?”

หา? ใครเรียก?

เสียงทุ้มต่ำเข้าโสตประสาทฉับพลันกับที่ผมลุกขึ้นไม่ถึงหนึ่งนาที เกรทกำลังยืนอยู่ตรงปากทางซึ่งเป็นส่วนแบ่งระหว่างโซนนั่งกับโซนร้านค้า หยุดตัวหันหน้ามาทางผม เหมือนเจ้าตัวแค่บังเอิญจะเดินไปซื้อข้าวแต่กลับได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายจนหยุดเท้าหันมาดู

อะไรจะซวยขนาดนี้ ตอนนี้ผมรู้ตัวดีว่าหน้าแดง เพราะเผลอคิดจินตนาการตามความทะลึ่งตึงตังจากคำพูดของข้าวฟ่าง แล้วเด็กเกรทแทนที่จะเดินผ่านไม่สนใจกลับหมุนตัวย้อนมาหาผม

“มากินข้าวเหรอครับ”

“มากินน้องเกรทมั้งจ๊ะ”

“ยัยฟ่าง” กระทุ้งเข้ามาอีก อีกทีผมจะไม่ไหวแล้วนะ เกรทหันไปยิ้มให้เพื่อนผมแบบปล่อยผ่านก่อนเบนสายตามามองหน้าผมอย่างเก่า

“ทำไมหน้าแดงๆ อย่าบอกนะครับว่าไม่สบาย เมื่อวานกลับบ้านแล้วได้อาบน้ำสระผมเลยรึเปล่า”

“อาบ...ไม่อาบก็สกปรกเกินไปแล้ว คนอะไรไม่อาบน้ำตอนเย็น”

“ผมหมายถึงกลับไปแล้วอาบเลยมั้ยต่างหาก” สายตาคมที่เหลือบมองลงเหมือนสะดุดกับของบางอย่างในมือผม เจ้าตัวขยับมาจับข้อมือที่กำทิชชู่กองใหญ่ขึ้นสูงก่อนใช้มืออีกข้างหยิบมันออกมาดูแผ่นนึง

เชี่ยเชี่ยเชี่ย น้ำมูกโผ้มมมมมมม

“พี่เป็นหวัดเหรอ”

“นิดหน่อย”

“ว่าแล้วเชียว ร่มก็คันเล็กซะขนาดนั้น ตอนแยกกันฝนก็ตกหนักลงมาอีก ทานยาอะไรมารึยังครับเนี่ย”

“กินไม่ได้ เดี๋ยวง่ว...” ไม่ทันต่อจนจบประโยคมือใหญ่ก็มาทาบหน้าผากผม

“อุ่นๆ” เกรท...นายน่ะมือเย็นต่างหาก พึ่งออกจากคาบเรียนมาสินะ “วันนี้เลิกเรียนเสร็จแล้วก็กลับบ้านทันทีนะครับ”

“...”

“กลับไปพักผ่อน”

“...”

“รับปากผมสิ”

“อื้อ รู้แล้ว”

“เด็กดี” อึก...หมอนี่เอาอีกแล้วลูบหัวผมอีกแล้ว แต่ทำไมผมยอมวะ “ผมไปก่อนนะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวเกรท” ผมคว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนที่ร่างสูงจะไปไกลจนอีกฝ่ายต้องหมุนตัวหันมามองหน้าผมอย่างเก่า

“ครับ?”

“อย่าลืมล้างมือด้วย”

“...” สายตาคมเสไปยังฝ่ามือตนเองเงียบๆก่อนเงยขึ้นมองผม

“เดี๋ยวติดหวัด” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอดีตดาราเด็ก ไม่นานเจ้าตัวก็รวบกองทิชชู่ในมืออีกข้างของผมไปไว้กับตัวทั้งกอง

“ถ้างั้นผมเอาไปทิ้งให้ละกัน ไหนๆก็จะต้องล้างมือแล้ว”

“อะอือ”

ร่างสูงเดินจากไปแล้วปล่อยให้เสียงแซวของเพื่อนผมดังขึ้นมาตัดความเงียบ

“ใครใส่ขันฑสกรลงไปในข้าวแกงกะหรี่ชั้นหรือไงนะ ทำไมมันหว๊านหวาน”

“เอาขี้มูกกูใส่ลงไปมั้ยล่ะ จะได้ตัดหวาน” ผมหันไปดึงทิชชู่มาซับจมูกท้า

“ยี้สกปรก เลิกเลยไอ้อิม ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวแบบนี้เนี่ย”

“สรุปเมื่อวานมึงกลับกับมันเหรอ” เสียงไม่ติดสนุกดังขึ้นตัดบทสนทนาชวนเฮฮาของพวกเรา ไอ้เบสทำหน้าเคร่งขรึมผิดจากเมื่อครู่ มันกำลังจ้องผมอยู่อย่างคาดคั้นเอาความ

“อือ...น้องมันไม่มีร่ม”

“คนเป็นแฟนกันจะกลับด้วยกันมันแปลกเหรอวะไอ้เบส แกแม่งก็ทำตัวหวงเพื่อนอย่างกับเมียไปได้”

“...”

“...”

ทักกันแบบนี้มีให้สะอึกดิวะ ผมขยับสายตาไปมองไอ้เบสซึ่งมีท่าทีเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะหันไปแก้ข่าวให้มัน

“เมียมันก็มีอยู่แล้วยังจะไปแซวมันอีก เลิกพูดมากแล้วรีบๆกิน เดี๋ยวก็ไปเข้าเรียนสายกันพอดี” นับวันถ้าผมยิ่งสนิทกับมัน ความสัมพันธ์จะเลวร้ายขึ้นรึเปล่า ถึงไม่ได้เป็นคนที่รู้ใจแต่ผมก็ยังอยากคงสถานะความเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ไว้ให้อยู่กับพวกเราตลอดไปนะ
หรือผมควรจะหายไปจากเบสแล้วอยู่กับเกรทให้มากกว่านี้...มันจะได้ไม่หงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เจอได้ยินเรื่องของเกรทกับผม

...แต่ถ้าทำอย่างนั้น แล้วเกรทกับใยไหมล่ะ...

...บางทีคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอาจจะเป็นผมเองก็ได้...

...สุดท้ายจึงได้แต่ย่ำอยู่กับปัจจุบันแบบไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง...ปอดแหกชะมัด...


...TBC...

+++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตกลงเบสมันมีแฟนจริงไหม   ติดตามจ้าาาา :katai2-1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

กร้าว...ใจ


“อิมเมจ”

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้รับคำทักทายจากบุคคลที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเลยสักครั้ง แต่ทว่าวันนี้กลับเหมือนดั่งใครไปสะกิดกงล้อแห่งโชคชะตาให้เกิดเหตุการณ์ตรงหน้าขึ้น

วันนี้ดาวกับข้าวฟ่างชวนกันไปเดินตลาดนัด ส่วนไอ้เบสถูกอาจารย์เรียกไปช่วยงานแบกหาม ผมที่ว่างไม่มีอะไรทำและไม่คิดอยากจะไปเดินตลาดนัดขนาดนั้นเลยนั่งโง่รอทุกคนอยู่ใต้ถุนคณะ แต่กลับมีคนแปลกหน้าในเชิงคุ้นสายตาอย่าง ‘ใยไหม’ เดินเข้ามาเรียกขานชื่อเล่น จึงได้แต่ยืดตัวตรงมองหน้าสวยๆของคนมาใหม่นิ่ง ทำอะไรไม่ถูกไปหลายวิ

“อิมเมจ” เธอโบกมือผ่านหน้า ผมเลยหลุดจากภวังค์สะดุ้งมาทักตอบ

“คะ...ครับ?”

“ขอโทษนะที่จู่ๆก็ทัก อิมเมจจำเราได้หรือเปล่า ที่เจอกันตอนฝนตกวันนั้น” ยิ่งกว่าจำได้อีก ผมรู้สึกว่าเธอเข้ามาอยู่ในสายตาบ่อยครั้งขึ้นนับจากวันที่ได้รู้จักเกรท บางทีการที่เรารู้จักอะไรต่อมิอะไรของคนๆนึง อาจทำให้เราสนใจสิ่งนั้น อ่อนไหวกับสิ่งนั้นไปโดยปริยายก็เป็นได้

“จำได้สิ คนสวยๆอย่างใยไหมผู้ชายที่ไหนจะจำไม่ได้” จะเรียกปากหวานก็ไม่ แต่ผมเอ่ยกับเธอผ่านความเป็นจริง ตามมุมมองของใครหลายคนที่ต่างหลงใหลในตัวเธอ ใยไหมมีท่าทีเก้อเขิน อมยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากน้อยๆ เธอเสตาไปทางอื่นราวกับต้องการจะละลายความกระดากอายให้เจือจางลง

...พอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมใครๆถึงได้หลงรักเธอ...

“เออ คือ วันนั้น ขอบคุณนะที่ให้อาศัยร่มไปด้วย”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร แค่นั้นเอง ถ้าช่วยได้ผมก็ช่วย” ผมมองเธอสลับกับแกล้งดูโทรศัพท์ในมือ ไม่กล้าจ้องหน้าอีกฝ่ายตลอดเวลาเพราะรู้สึกขัดๆอย่างไรชอบกล แอพสีเขียวแจ้งเตือนได้จังหวะแม่นเหมาะ มันจั่วหัวถึงคนทักซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนของใยไหม

“ถ้าวันนั้นไม่มีอิมเมจ ไหมคงเปียกฝนมะลอกมะแลกแน่เลย” ผมสูดน้ำมูกจังหวะที่เธอพูด เหมือนอีกฝ่ายกระตุกสายตามามอง เกรงว่าเธอจะรังเกียจเลยหยิบทิชชู่ขึ้นซับก่อนสวมมาส์กที่พึ่งไปสอยมาจากร้านสะดวกซื้อใกล้โรงอาหารขึ้นปิดปากและจมูก

“อิมเมจเป็นหวัดเหรอ”

“อืม...ก็ นิดหน่อย” เสียงอู้อี้หลุดออกมาผ่านวัสดุสังเคราะห์แผ่นบางสีขาว

“อย่าบอกนะว่าเพราะเรา” สีหน้าตื่นๆของใยไหมทำให้ผมต้องแย้งไปทันที

“เฮ้ยเปล่า เปล่าเลย” แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจห้ามสีหน้าเศร้าเชิงสำนึกผิดของเธอได้ เลยต้องบอกต่อราวกับปลอบใจ “วันนั้นโดนฝนเบาๆ แต่เพราะไปนั่งตากแอร์ในห้องเรียนด้วยล่ะ เลยหวัดรับประทาน” บวกกับตอนนั่งโง่หลังกลับบ้านไม่ยอมไปอาบน้ำด้วย

“ขอโทษนะ ที่ทำให้ลำบาก” ใยไหมดูเป็นคนที่ใส่ใจในระดับนึง เธอยังไม่ยอมลดละกับการขอโทษขอโพยเป็นคำพูดให้กับผม

“ไม่เลย ไม่ลำบากเลยสักนิด อย่าคิดมากนะ”

“ไม่ใช่แค่อิมเมจหรอก”

“หา?”

“เมื่อวานไหมยังทำให้แฟนของอิมเมจลำบากไปด้วยน่ะสิ” ของบางอย่างถูกหยิบออกจากกระเป๋าทันทีที่เธอพูดจบ อย่างที่คิดไว้ เรื่องเมื่อวานต่อให้ร่างสูงไม่บอกตรงๆ สิ่งที่ผมคาดเดาก็เป็นความจริง บรรยากาศร่าเริงสดใสเต็มใจเข้าหาอย่างปิดไม่มิดของเกรทนั้น มันบ่งถึงอะไรบางอย่าง ราวกับว่าอีกฝ่ายได้เจอเรื่องอะไรดีดีมา ใยไหมเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้ความรู้สึกต่างๆของเกรทแปรผันตาม

“ไหมฝากอิมเมจไปคืนน้องเกรทให้หน่อยได้มั้ย” ผมเกือบจะเอื้อมมือไปรับ แต่กลับเปลี่ยนใจ เมื่อของที่ควรถูกส่งคืนให้กลับมีบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามา สายตาเลื่อนไปจับจ้องใบหน้าสวยหวานซึ่งส่งยิ้มจางๆมาให้ “แทนคำขอบคุณนะ”

“...”

“อันนี้คุกกี้เราทำเอง พึ่งฝึกเลย ถึงหน้าตาจะไม่ผ่านแต่รสชาติโอเคนะ ลองให้ที่บ้านชิมแล้ว”

มีอะไรบางอย่างสะกิดใจผม แม้แต่ใยไหมยังรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยานั้น เธอเอียงคอมองมาด้วยความสงสัย

“เป็นอะไรรึเปล่าอิมเมจ”

“อะ...อ๋อ เปล่าคือ...” ซีนนี้...พระเอกของเราควรได้รับมันจากมืออีกฝ่าย...แทนที่จะเป็นผม

ใยไหมนิ่งมองปฏิกิริยาสักพักก่อนสะดุ้งตัวพูดออกมาเหมือนคนลิ้นพันกัน

“เอ้ย ไม่ใช่นะ เออคือ มันไม่ใช่แบบที่อิมเมจคิดนะ คือเรา เราทำคุกกี้มาให้ทั้งสองคนเลย ถุงนี้เอาไปแบ่งกัน...”

“ใยไหมเอาไปคืนเกรทเองก็ได้นะ”

“ฮะ?”

“เดี๋ยวหมอนั่นก็มา หาตัวไม่ยากหรอก”

“แต่...” แปลกไปมั้ยนะที่ไม่รับ...ทั้งที่ขึ้นชื่อว่าแฟน ของของเขาความจริงก็เหมือนของของเรา แต่ผมกลับ...อยากให้...

“เย็นนี้น่าจะมาที่ใต้ตึกเรียนรวมน่ะ ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป ผมฝากใยไหมไปคืนเกรทเองได้มั้ย วันนี้บังเอิญผมมีธุระ”

“อะ...เออ อย่างนั้นเหรอ ก็ได้เดี๋ยวไหมจะพยายามมองหานะ แต่ถ้าไม่เจอจริงๆคงต้องฝากอิมเมจไปคืนแล้วล่ะ”

“ได้สิ”

...แต่เธอต้องได้เจอกับเกรทแน่นอน...


<Greatเทศ


เกรท
เย็นนี้คุณมาหาผมที่ใต้ตึกเรียนรวมได้มั้ย
ขอกลับบ้านด้วยอีกวัน






วิชาเรียนอีกสองคาบผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิชชู่ซับน้ำมูกวางกองเกือบเป็นภูเขาบนโต๊ะ ผมสูดลมหายใจฟืดฟาดจนนึกรำคาญตัวเองและเกรงว่าคนรอบข้างจะประสาทเสีย พอใกล้จบคาบเลยซัดยาแก้แพ้ พร้อมเตรียมตัวจะกลับบ้านเข้านอนให้เต็มอิ่มในหนึ่งคืนนี้ ระหว่างเก็บกระเป๋าเจ้าของสายตาที่เฝ้าสังเกตผมมานานจนรู้สึกได้ก็เอ่ยทักขึ้นมา

“ให้กูไปส่งมั้ย” มือยัดชีทเข้ากระเป๋าหยุดชะงัก ผมเลื่อนสายตาไปมองหน้าไอ้เบส

...อยากให้มันส่ง อยากอยู่กับมัน แต่...

“กูเป็นหวัด ไม่ได้ขาหักพิการ ไม่ต้องดูแลขนาดนั้นหรอก” พักนี้อยู่ใกล้กันทีไร มันชอบทำท่าหงุดหงิดรำคาญใจใส่ โคตรไม่ชอบท่าทีแบบนั้นเอาเสียเลย ไม่ใช่ว่าโมโหเบส แต่ไม่อยากให้มันต้องมาอารมณ์เสียกับอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของผม

“ถ้างั้น” ทิชชูหนึ่งแผ่นถูกดึงออกจากกล่องมาแตะหน้า ผมชักสายตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่าที่เดินเข้ามาประชิด ไอ้เบสมันกำลังจับกระดาษแผ่นนั้นใช้นิ้วเรียวยาวของมันหนีบไปตามสันจมูกผม แผ่นทิชชู่กดซับความเปียกอันน่ารังเกียจลูบเช็ดผิวเหนือริมฝีปากก่อนถูกเก็บรวบเข้ามืออีกฝ่าย “ก็ดูแลตัวเองดีดีล่ะ”

“ไอ้เบส มึง”

“ทำไม”

“ขี้มูกกู เช็ดลงมาได้”

“ที่ไอ้เด็กเกรทมันยังจับขี้มูกมึงได้เลย”

“แล้วมันใช่เรื่องน่าจับที่ไหนล่ะวะ” ผมฉวยเศษกระดาษในมือมันกลับ “กูกลับแล้ว แล้วมึงก็อย่าลืมไปล้างไม้ล้างมือด้วยล่ะ ไม่อยากโดนตราหน้าว่าทำให้เพื่อนป่วย”

ผมเดินก้าวยาวลงจากบันไดสโลปทีละสองขั้นกลบเกลื่อนอาการประหม่าใจสั่น ไอ้เบสมันต้องผีเข้าแน่ๆถึงมาวอแวผมได้ หรือไม่ก็เป็นแค่คนห่วงเพื่อนคนนึงเท่านั้น...อย่าได้คิดอะไรให้มากเลย

วันนี้ควรจะนอนลบล้างเรื่องราววุ่นวายสับสนทั้งหมด รีเซตตัวเองใหม่ให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงนอนคืนเดียวหาย แต่มาจนถึงตอนนี้บางทีก็แอบกลัวว่าน้ำที่เต็มแก้วสักวันมันจะล้นทะลักออกมา ร่างกายเหมือนมีสัญญาณเตือนภัยบางอย่างบอกให้ผมรีบก้าวออกจากลิฟต์ที่เคลื่อนตัวลงจนถึงชั้นล่าง แล้วเดินอาดๆออกนอกตัวตึก

พอถึงตีนบันไดมุ่งไปสู่ถนนใหญ่เหมือนเดินสวนกับเงาใครบางคน ณ จังหวะนั้นคอของผมโดนเกี่ยวร่างกายแทบจะเซหงายหลังลงไปในทีเดียว แต่ทว่า...

“โอ๊ะ! โต๊ะๆ” เสียงอุทานดังเบาขึ้นด้านหลังพร้อมกับใจที่ร่วงหล่นไปยังตาตุ่ม แรงกระทุ้งที่อกซ้ายส่อจังหวะถี่ขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่...เชี่ย เกือบไปแล้ว เกือบร่วงหงายหลัง ใครมันทำกับผมแบบนี้วะ หันไปตั้งใจตำหนิ แต่กลับไม่คิดว่าคนเล่นพิเรนทร์จะกลายมาเป็นคนที่ทำตัวไม่ชัดเจนอีกหนึ่งหน่วยเข้าให้ได้

“เกรท?”

“โทษที เห็นพี่รีบจนไม่มองทาง ถ้าไม่รั้งไว้แบบนี้ เห็นอีกทีคงไปโรงอาหารนู้นแล้ว จะรีบไปไหนเหรอครับ”

“กลับบ้าน” เสียงกล่าวตอบห้วน ผมจับแขนแกร่งออกจากคอทรงตัว ตั้งท่าจะเดินต่อหากแขนไม่โดนจับรั้งไว้

“กลับบ้าน? ไหนว่าจะกลับด้วยกันไง”

“...”

...โว้ย ลืมไปเลยว่าเคยส่งข้อความอะไรไว้ นั่นเป็นอุบายที่ทำให้นายได้เจอใยไหมต่างหากเล่า แต่มันผิดแผนตรงที่ผมมาเจอกับเกรทเสียก่อน...

รีบหมุนหันมองโถงด้านล่างที่วุ่นวายไปด้วยผู้คน “เฮ้ยพี่อิมจะไป...” เดินขึ้นบันไดย้อนกลับไปจนถึงลิฟต์กลางตึกโดยมีลูกลิงเกรทติดสอยห้อยตามจากการที่เจ้าตัวไม่ยอมปล่อยมือผมมาด้วย

ใยไหม...ใยไหม...ใยไหมอยู่มั้ย...

“พี่อิม มองหาใคร”

“เปล่าไม่ได้หา” มือใหญ่ยื่นมาบังระดับสายตาจนต้องย่นคอหลบ “ทำอะไรน่ะ” ตวัดสายตาจ้อง ดึงมืออีกฝ่ายให้ลดต่ำลง

“ไม่ได้มองหา ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนถ้าผมเอามือบังหน้าพี่”

“ก็ไม่ได้มองหาจริง...”

“อิมเมจ”

“...!!” ผมสะดุ้งตัว เสียงพึ่งได้ฟังผ่านโสตไปไม่นานมีหรือจะจำไม่ได้ สมองแล่นคิดฉับพลัน “เกรท คุณอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมขอตัวไป..”

“ไปไหน!” แรงมือของเกรทที่จับแขนผมหนักขึ้น เจ้าตัวเลิกบังหน้าแต่สายตากลับจดจ้องกับสิ่งที่เยื้องออกไป มือใหญ่บิดเกร็งจนผมต้องเลิกกระตุกให้หลุดจากการจับกุม ฝืนไปมีแต่เจ็บตัวแขนช้ำเปล่าๆ มาถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่เกรทยืนตัวเกร็งได้ขนาดนี้ จะมีสาเหตุจากอะไรได้ นอกเสียแต่ว่า ‘ใยไหม’ คนนั้นกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเรา

“พี่...ใยไหม” เสียงเบาราวกับจิตใจล่องลอยของร่างสูงดังและเลือนหายไปในอากาศ ผมเหลือบสายตาไปเจอความมึนงงและสับสนราวกับคนทำอะไรไม่เป็น ไปต่อไม่ถูก เลยรู้ถึงสาเหตุที่แรงมือของเกรทเพิ่มขึ้นทันที

อยู่ต่อหน้าคนที่ชอบถึงกับทำให้เสียอาการเลยเหรอ แล้วนี่ผมกำลังเป็นไม้กันลมกันหมาให้เกรทอยู่ใช่มั้ย

“ใยไหม”

“ไหนว่าวันนี้มีธุระไง” โป๊ะแตกไปหนึ่ง เกรทหันมามองหน้าผมแบบตั้งคำถามสักพักจึงโดนดึงความสนใจกลับเมื่อเจ้าของเสียงสวยพูดต่อ “แต่ไม่เป็นไร ดีแล้วล่ะ ไหมจะได้ให้สองคนพร้อมกันไปเลย”

“อะ...เออ...” ซีนนี้ไม่ควรมีตัวประกอบแบบผม ผมควรจะทำอย่างไรดี ก่อนจะคิดให้ออกควรจัดการอะไรกับตรงนี้เสียก่อน สายตามองไปยังจุดที่ร่างกายเราสัมผัสกัน ขยับมือไปดันการจับกุมให้เลื่อนออกทีละนิด

“น้องเกรท”

“คะ...ครับ!” มือเกรทหลุดออกจากตัวผมทันที ร่างสูงสะดุ้งโหยงหันไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายตัวตรงราวกับเคารพธงชาติ ส่วนผมมองตามได้แต่ยิ้มๆ

...ทำไมคนหล่อ บุคลิกดี มาดนิ่ง เวลาเจอคนที่ชอบถึงได้หลุดเอ๋อ จนน่าเอ็นดูขนาดนี้นะ...

ขนาดใยไหมยังยืนมองตาโตก่อนหลุดยิ้มน้อยๆออกมา ภาพตรงหน้าตกหัวใจคนมองได้อีกเป็นโหล

“จำพี่ได้มั้ยวันก่อนที่บังเอิญเจอกันตอนรอฝนหยุดตก แล้วเราให้พี่ยืมร่ม”

“คะ...ครับ” เกรทเป็นใบ้ในชั่วเสี้ยวนาที

“พี่เอาร่มมาคืน” ร่มสีดำถูกหยิบยื่นมาให้ พร้อมกับถุงกระดาษสาสีฟ้าอ่อนซึ่งมัดปากด้วยโบว์สีน้ำเงินผสมขาว “แล้วก็อันนี้แทนคำขอบคุณนะ คุกกี้น่ะ บังเอิญเมื่อวานนี้ลองทำ อาจจะไม่ถูกปากอะไรขนาดนั้น แต่ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากใจ แบ่งกันกินสองคนกับอิมเมจนะ อิมเมจ ไหมไปนะ” ท้ายประโยคเธอหันมาคุยกับผมด้วยรอยยิ้ม ก่อนวิ่งออกไป

สิ่งแรกที่ผมทำคือการหันไปสังเกตอาการคนข้างเคียง ร่างสูงยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังคนที่เดินห่างออกไป ก่อนก้มลงจับจ้องสิ่งของในมือพิศดูอยู่นานราวกับตกในเพ้อภวังค์

...ผม...หมั่นไส้ได้มั้ย...แอบเหม็นความรักอยู่นิดๆ...

คิดแล้วเลยคว้าถุงกระดาษสามาไว้กับมือ

“เฮ้ย พี่อิม!” ร่างสูงเหมือนจะต่อว่าต่อขานผม แต่ทันงับปากไว้เพราะเห็นว่าไม่สมควร ในเมื่อใยไหมเอ่ยปากมาแล้วว่ามันเป็นของแทนคำขอบคุณจากหญิงสาวให้แก่เราทั้งคู่

“ทำไม...ผมกินไม่ได้เหรอ” ผมโยนถุงนั้นกับมือพลางยิ้มเย้ย

“เปล่าคือ...” น่าสงสาร แต่ก็น่าแกล้ง ผมกระตุกริบบิ้นเส้นลื่นสีน้ำเงินขาวจนหลุดออก ใช้นิ้วแหวกปากที่หุบชิดกันมองเข้าไปในนั้น ไส้ในมีถุงพลาสติกใสอีกชั้นบรรจุคุกกี้ช็อคโกแลตสีน้ำตาลค่อนไปทางดำ อารมณ์เหมือนบิทเทอร์คุกกี้ หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นพินิจเพียงครู่แล้วลองลิ้มชิมรสมันด้วยการกัดลงไปหนึ่งคำถ้วน

กลิ่นหอมของโกโก้ผสมช็อคโกแลตซึมซาบสู่ลิ้น ถ้าไม่บอกว่าหัดทำจริงคงไม่เชื่อ...คุกกี้ฝีมือใยไหมอร่อยไม่หวานจนเกินไป...แต่ผมไม่ชอบของหวานเลยจัดการยัดชิ้นที่ทิ้งรอยฟันกัดลงไปที่เก่า รวบปากถุงยื่นส่งคืนคนที่สมควรได้ชื่นชมความหอมหวานของมัน

“อ่ะ”

“ฮะ?”

“ผมลืมไปว่าไม่ชอบกินของหวาน”

เดินปลีกตัวออกมาโดยไม่สนใจคำทัดทานของเด็กเกรท สับขาไวแบบไม่ใคร่รู้อะไรอีก ตอนนี้ผมง่วง อยากกลับบ้านไปพักผ่อนจะแย่ ระหว่างทางจนกระทั่งก้าวขาขึ้นรถเมล์ยาวมาถึงสถานีรถไฟฟ้าก็ตั้งหน้าตั้งตาทาบบัตรหลบไอ้บานพับสามเหลี่ยมสีแดงที่พร้อมจะกระแทกปั้นท้ายหากมีอะไรไปขวางเซนเซอร์ของมัน ผ่านประตูพาหนะทรงหนอนแก้วชาเขียวที่พร้อมจะไต่ไปตามกิ่งไม้เข้าสู่วิถีตากแอบชุ่มฉ่ำชวนหนาวสั่นไปทั้งขบวน ถ้าไม่เป็นหวัดป่านนี้คงดีใจที่หลบร้อนมาเจอเย็นพร้อมนอนยาวไปจนสุดสถานี แต่ด้วยความป่วยผมเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาสั่งน้ำมูกเบาๆเกรงใจผู้ร่วมโดยสารไปตลอดทาง

“พี่อิม”

“...”

“พี่อิม”

“อืออ” ใครเรียก

“ถึงสถานีที่พี่ต้องลงแล้วนะ”

พรึ่บ!!

ผมเบิกตาโพลง ใจเต้นระรัวราวกับกลองศึกพยายามกวาดตามมองหาป้ายชื่อสถานี ฉิบหาย ถึงแล้ว!!

สัญชาตญาณผลักดันให้ถีบตัวผลุงวิ่งออกจากขบวนได้ทันอย่างฉิวเฉียด หยุดหอบหายใจตรงข้างชานชาลา เกือบไปแล้ว เกือบได้ลงไปสถานีหน้าแล้วกลับลงมาสลับขบวนเสียแล้ว

ให้ตายเหอะไอ้อิม สติอยู่ไหนวะสติ

“พี่ลืมกระเป๋า” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาให้ตกใจหมุนตัวขวับ ปรากฏเพียงร่างสูงของคนหนุ่มผู้คุ้นเคยยืนกำสายกระเป๋าสะพายข้างมองตรงมา

“เกรท...คุณมาได้ไง”

“ผมตามมาตั้งแต่มหา’ลัยแล้ว นี่พี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”

“จริงป่ะเนี่ย”

“จริงดิ”

โว้ยยย ไอ้อิมมึงมึนเกินไปแล้ว

“กลับๆๆ กลับไปได้แล้ว” ดันหลังอีกฝ่ายไปทางบันไดมุ่งหมายให้เดินข้ามไปขึ้นรถอีกฟาก “แล้วนี่หยอดตังค์มาเท่าไร แพงจะตาย เสียดายค่ารถมั้ยเนี่ย” คนโดนดันหลังชักบัตรขึ้นมาแทงเข้าหน้าผม

“ซื้อมาแล้วครับบัตรเที่ยว”

“ซื้อเพื่อ!!”

“ก็คิดไว้แล้วว่าจากนี้ไปคงต้องมาหาพี่บ่อยๆ” โอ๊ย จนปัญญาจะพูดเลยว่ะ ผมทรุดตัวลงนั่งหมดเรี่ยวแรงเพราะยาแก้แพ้เริ่มออกฤทธิ์หนักกว่าเก่า ทำเอาเจ้าตัวตะลีตะลานรีบย่อลงมาประคองตัวผม “พี่อิม?”

“เอาเถอะ ก็ดีแล้ว” ผมเกาะชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ “พาผมไปส่งที่บ้านหน่อย”

มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เกรทเหมือนจะจำรถเมล์สายที่ผมพากลับมาบ้านในครั้งก่อนได้ดี เจ้าตัวสะพายกระเป๋าข้างของทั้งสองคนพลางโบกมือแสดงสัญลักษณ์ว่าจะขึ้นยามเมื่อรถแล่นมาด้วยความไวสูง รถที่ขับปาดจากเลนขวาสุดเข้าซ้ายอย่างโฉบเฉี่ยว พอได้เห็นแม่งโคตรเพลีย นี่ผมจะตายก่อนถึงบ้านมั้ยวะ

ความโชคร้ายไม่จบเท่านั้นเมื่อเหลือบมองเห็นความอัดแน่นของผู้โดยสารผมแทบครางในลำคอ ที่นั่ง...ผมต้องการที่นั่ง!!

เกรทรอให้ผมเดินขึ้นก่อนโดยยอมเดินก้าวมาติดๆ เท้าซ้ายเจ้าตัวพอก้าวขึ้นได้ พี่คนขับรถก็เหยียบคันเร่งออกไม่ลังเล แล่นปรืดจนสองคนเซแท่ดๆขึ้นรถมา เบียดคนเข้าจนถึงจุดที่พอมีที่ยืนสำหรับสองคน เห็นที่จับตรงพนักว่างผมจึงรีบคว้าราวกับเห็นขุมสมบัติของหมู่มวลมนุษยชาติบนรถเมล์

เฮ้อ ถอนหายใจออกมาหนึ่งวืบก่อนเหลือสายตามองคนที่เดินมาแสตนด์บายด้านหลังผมติดๆคนตัวสูงยืนโค้งตัวเล็กน้อยห้อยโหนราวจับด้านบนยืนซ้อนตัวผมอยู่ด้านหลัง ผมเหลือบไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มอิดโรยกับสถานการณ์นี้

“หึ...มาลำบากแล้วไงล่ะ” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นมองหน้าผม

“ลำบาก? ลำบากตรงไหนครับ” แค่มองก็รู้ว่าอวดเก่ง กลบเกลื่อนไม่ให้รู้ถึงความอ่อนแอ ผมนิ่งเงียบไม่บอกปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเอง พยายามยืนทรงตัวกางขาไม่ให้เซไปตามแรงเหยียบคันเร่งสลับเบรกของรถ “ไหวมั้ยครับ ไม่ไหวก็พิงผมมาได้นะ” ผมยังคงเงียบต่อ ไม่มีแรงตอบ เพราะสมาธิทุกอย่างไปลงที่ขาหมดแล้ว แต่จู่ๆช่วงเอวก็โดนรวบเข้าหาหลังไปชนอีกฝ่ายจนต้องหันไปมองหน้า “พิงมาเถอะครับ หน้าพี่ดูไม่ไหวแล้ว”

จะทำอะไรก็แล้วแต่คุณเถอะ ตอนนี้ผมไม่มีแรงห้าม สุดท้ายผมก็ปล่อยให้เกรทพยุงมาจนสุดปลายทาง

จากป้ายรถเมล์มาบ้านผมมันไม่ไกล ล้วงกุญแจเปิดรั้วบ้านได้ผมจึงหมุนตัวไปบอกลาคนที่หวังดีมาส่ง

“ขอบคุณที่มาส่งนะ ผมจะนอนแล้วล่ะ”

“บ้านพี่มีคนอยู่มั้ย”

“ไม่อ่ะ น้องสาวผมไปเรียน แม่กับพ่อไปทำงาน ทุกวันก็อย่างนี้อยู่แล้ว ปกติ”

“งั้นพี่เข้าไปเถอะ” มือใหญ่เลื่อนรั้วดันหลังให้ผมเข้าไปก่อนปิดมันใส่กุญแจล็อกเสร็จสรรพ

“หา?”

“ไปเถอะเข้าบ้าน”

“หา?เฮ้ยเดี๋ยว”

“อย่าบ่น ผมบอกให้เข้าบ้าน”

ขี้สั่งชะมัดเลย ไอ้เด็กบ้า แต่ผมก็ยอมทำตามเพราะขี้เกียจเถียง เหมือนเกรทบริการผมอย่างดีจนเกินจำเป็น ทั้งล็อกกุญแจบ้านหิ้วกระเป๋าเดินตามเข้ามาถึงในห้อง ก่อนจะจบที่การเดินไปหยิบผ้าชุบน้ำหมาดจากห้องน้ำ

“มีแรงอาบน้ำมั้ย”

“ไม่อ่ะ ขี้เกียจอาบ ผมจะนอนเลย” มือผมปลดกระดุมเสื้อแสงถอดเปลี่ยนชุดนอนสบายตัวได้ก็ทิ้งตัวคว่ำหน้าลงนอนทันที

“กี่ที กี่ทีไม่เคยจำ”

“คุณว่าอะไรนะ” ได้ยินแค่แว่วๆ ผมส่งเสียงัวเงียสุดกำลังของตัวเองออกไปถาม รู้สึกเหมือนเตียงอ่อนยวบลงตามน้ำหนักคน
“พี่เป็นอย่างนี้กับทุกคนเลยเหรอ” เสียงเข้ามาใกล้อยู่เหนือหัวผม

“เป็นยังไง”

“ก็ทำตัวง่ายๆสบายๆ”

“อันนั้นมันเป็นคำพูดที่ผมพูดกับคุณต่างหาก”

“...”

“ปกติทำตัวสนิทกับคนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ”

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องที่สนิทกับคนง่าย ผมหมายถึง...” ผมใช้แรงอันน้อยนิดตะแคงหน้าหันไปสังเกตท่าทีอีกฝ่าย เกรทมีสีหน้าลำบากใจซ่อนอยู่นิดๆ เจ้าตัวดึงผ้าห่มมาคลุมทับขาผมทอดถอนหายใจเบาก่อนหลับตาลง “ช่างเถอะ”

“ช่างอะไร”

“ก็หมายถึงช่างเถอะ เรื่องที่ผมพูดน่ะ” เกรทลืมตามาสบก่อนขยับมือใหญ่มาปิดแนบครึ่งซีกหน้าของผม “หลับเถอะครับ”

เบื้องหน้ามืดมิดดวงตาเริ่มปิดปรือ รู้สึกได้ถึงแพขนตาที่ขยับโดนฝ่ามือใหญ่เป็นบางครั้ง ก่อนความง่วงงุนจะเข้าโจมตีจนเอ่ยไม่เป็นภาษา

“อือ” ถึงไม่บอกผมก็จะนอนอยู่รอมร่อแล้ว ก่อนที่สติจะเลือนหายผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นบางอย่าง...โดยเฉพาะที่กลีบปากตนเอง...





“พี่อิมกินข้าวค่า อุ๊ย พี่เกรท...”

“ชู่!!” เสียงยัยมายด์แทรกเข้ามาให้ห้วงภวังค์กึ่งความฝันและความจริงของผม ดวงตาครึ่งปิดครึ่งเปิดมองดูภาพแผ่นหลังกว้างที่ยกมือขึ้นมาทำสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งผมพอจะเดาได้ เด็กเกรทคงปรามยัยมายด์ให้เงียบเสียงเพราะเกรงว่าจะปลุกให้ผมซึ่งนอนหลับสนิทนั้นตื่น

ผมขยับร่างที่เหนื่อยล้าแถมยังไม่ตื่นเต็มตาขึ้นนั่งจนร่างสูงรู้ตัวจึงหันมามอง

“หลับต่อก็ได้นะครับ ถ้ายังง่วงอยู่”

“ไม่เป็นไร ผมตื่นแล้ว ขืนนอนต่อคืนนี้คงนอนไม่หลับ” นาฬิกาข้างกำแพงบ่งบอกถึงเวลาหนึ่งทุ่ม ร่างสูงยังคงอยู่ตรงนี้ ส่งสายตามองมาด้วยความเป็นห่วง “คุณไม่กลับหอเหรอ เดี๋ยวก็ดึกหรอก”

“แหมตื่นมาก็ไล่เลยนะคะ พี่เกรทเขาอุตส่าห์มาเฝ้าคนป่วยทั้งที พี่อิมก็นะ วันก่อนไม่น่าไปทำตัวใจดีกับชาวบ้านเล้ย แล้วเป็นไงล่ะคนอื่นไม่ป่วยตัวเองกลับป่วยแทน”

“คนไม่มีร่มพี่ก็ต้องช่วยเปล่าวะ แล้วเขากับพี่ก็รู้จักกันด้วย”

“แต่พี่คนนั้นเขาให้แฟนขับรถไปส่งก็ได้หนิ ไม่รู้จะรีบลงมาทำไม”

“ยัยมายด์” ผมส่งสายตาปรามน้องสาวตัวดี เรื่องนี้ไม่ควรพูดที่นี่ เพราะเกรทรู้ดีว่าผมช่วยใครไว้ การไปพูดถึงแฟนเหมือนเป็นการกระทุ้งใส่แผลเก่าของอีกฝ่าย ผมตัดสินใจปิดบทสนทนาทุกอย่างลงโดยการลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายซวนเซเสียหลักเพียงนิดจนมือใหญ่ต้องเคลื่อนเข้ามาประคอง ผมจึงได้แต่จ้องเข้าไปในดวงตาของเกรท อ่านไม่ออกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไร แต่ไม่อยากทำให้ต้องเศร้า

“คุณจะกลับหรือจะอยู่กินข้าวที่นี่ก่อน”

“เออ ผม...”

“อยู่ต่อเถอะค่ะ อยู่กินข้าวด้วยกันนะคะพี่เกรท”

สกิลการตื๊อยัยมายด์ได้ผล คนตรงหน้ายอมตกลงอยู่ต่อ ทานข้าวกันพร้อมหน้า พ่อ น้องสาวและผม ส่วนวันนี้แม่ทำโอทีเลยไม่มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะกับลูกชายคนใหม่สุดหวนแหนแสนเอ็นดูของนาง

พ่อผมเป็นคนเงียบๆต่างจากแม่ จะมีบางครั้งที่ขยับปากกระตุ้นให้คนตรงหน้าไม่ต้องเกรงใจกินเข้าไปเยอะๆ แต่ก็ไม่ได้สอบถามไต่สวนอะไรให้มากความเท่ากับมารดา รู้แค่ว่าเป็นเพื่อนลูกชายแค่นั้นก็เพียงพอ

“แล้วนี่จะกลับยังไงให้เจ้าอิมไปส่งอีกมั้ย เนี่ยไม่รู้ว่าแม่เขาจะกลับยังไงด้วยสิ ออกมาตอนนี้คงมีแต่เปียก” ตอนนี้ฝนตกลงอย่างหนักหน่วง เป็นที่เข้าใจกันของทุกคนในบ้านว่าต่างคนต่างใช้รถสาธารณะไปไหนต่อไหนกันตามปกติ มีแต่บิดาที่ยืนหนึ่งในการใช้รถ

“พ่อจะไปรับแม่รึเปล่า”

“กะว่าจะไป แต่ถ้าเอารถไปเราก็คงไปส่งเพื่อนไม่ได้” พ่อรู้ว่าทางไปมหา’ลัยกับบริษัทแม่ผมมันคนละทาง กว่าจะขับไปรับแม่แล้วย้อนกลับมาส่งเกรทคงใช้เวลาอยู่โข ไหนจะรถติดกรุงเทพอีก ไม่อยากจะคิดสภาพ

“ผมกลับเองได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“ไม่ก็ให้พี่เกรทค้างคืนนึงสิคะ” ยัยมายด์เสนอไอเดียไม่สร้างสรรค์ขึ้นมา ผมหันไปมองค้อนขวับตาขวาง

“อ้าวไม่ดีเหรอ จะได้ไม่ต้องไปตากฝนให้ตัวเปียกเล่นเป็นหวัดแบบพี่อิมด้วยไง แล้วพ่อก็จะได้ไปรับแม่ได้”

“อือ นั่นสินะ เสื้อผ้าข้าวของก็ยืมเจ้าอิมใช้ไปก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รบกวน...”

“พรุ่งนี้พี่เกรทมีเรียนเช้ามั้ยคะ”

“พรุ่งนี้...อืม พี่ไม่มีนะ”

“งั้นก็ค้างสิคะ จะกลัวอะไร ยังไงพรุ่งนี้พี่อิมก็ต้องไปมหาลัยอยู่แล้ว จะได้ติดรถพ่อไปลงสถานีรถไฟฟ้าด้วย”

“แต่...”

สายตาคมมองมาทางผม เออ...ถามความสมัครใจผมรึยัง แต่ละคน ผมละเหนื่อยใจ แต่ช่างเถอะ อยากค้างก็ค้างไปไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว

“ถือว่าสลับกันกับที่คุณชวนผมค้างวันก่อนละกัน แต่ต้องระวังติดหวัดจากผมก็พอ”

ผมพูดทิ้งท้ายก่อนยกจานชามไปล้างในครัว




เกรทไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไร ต่อให้เขาดูสำอางจนเหมือนกับผู้ชายที่ต้องบำรุงผิวก่อนนอน แต่ถึงไม่มีอุปกรณ์ต่างๆเขาก็อยู่ได้ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างอาบน้ำเสร็จมาขลุกตัวในห้อง ชุดที่เกรทยืมใส่ดูออกจะพอดีตัวไปสักนิดเลยทำให้เห็นโครงร่างมัดกล้ามมากกว่าเสื้อตัวโคร่งที่เจ้าตัวชอบใส่ออกไปเที่ยวเสมอ กางเกงยางยืดตัวใหญ่ที่ผมเคยซื้อไว้ผิดไซส์กลับได้ถูกใช้งานในวันนี้

เจ้าตัวล้วงกระเป๋าหามือถือก่อนนั่งลงขลุกตามพื้นหลังพิงเตียงแล้วเริ่มจดจ้องไปยังหน้าจอโดยไม่สนใจอะไร ผมที่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ตรงโต๊ะเรียนหมุนตัวชายตามองสักพักจึงเห็นอีกฝ่ายขยับเปิดกระเป๋าอีกครั้งเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่างได้
ซองคุกกี้กระดาษสาสีฟ้าถูกล้วงออกมา สภาพเหมือนหกคว่ำคะเมนตีลังกาไปหลายตลบ

“เฮ้ยๆๆๆ” ผมแทบกระโดดไปเกาะขอบสนามแหวกกระเป๋าหยิบคุกกี้บางชิ้นที่ตกอยู่ในนั้นขึ้นมายัดกลับใส่ถุงในมืออีกฝ่าย “เละหมด...ทำไมหกเลอะเทอะอย่างนี้ล่ะ ตอนผมส่งกลับคุณไม่ได้มัดปากถุงเหรอ”

นี่ก็ชิ้นที่ผมกัดเข้าไปใช่มั้ย เศษสีดำชาร์โคลกระจายเต็มก้นกระเป๋าเลย เห็นทีทิ้งไว้อย่างนี้ไม่ได้ ผมเลยหยิบเครื่องเขียนชีทเรียนออกจากกระเป๋า ลากถังขยะเข้ามาใกล้เคาะเศษฝุ่นลงไปในนั้น พอวางชีทลงบนพื้นถึงกับเอียงตัวย่นคอหลบแทบไม่ทัน

“อะไร?”

“ชิ้นที่พี่กินไป”

“ไม่เอาแล้ว ผมแปรงฟันแล้ว” ผมจับข้อมือของเขาออก หยิบกระเป๋าที่เขรอะเศษขนมหวานขึ้นมาเคาะลงถังขยะ “หรือรังเกียจที่ผมเป็นหวัด งั้นเอามานี่” ผมเขวี้ยงกระเป๋าเกรทลง คุกเข่ายันมืออีกข้างไปคว้าข้อมือนั้นไว้

“เฮ้ยพี่อิม...ผมเปล่า ผมไม่ได้รัง...” สายไปแล้ว ผมไม่ให้ใครกินน้ำลายต่อจากผมหรอก ปากผมอ้ากว้างเหมือนปลาตัวยักษ์ที่งับเหยื่อเข้าไปภายในคำเดียว ริมฝีปากแตะโดนปลายนิ้วของเกรทเล็กน้อยก่อนถอนออกมาคุกเข่าเคี้ยวหมุบหมับ

หวาน ไม่ชอบเลยแฮะ ขี้เกียจไปแปรงฟันอีกรอบ แต่เอาเถอะ...

ตุบ!!

ทุกอย่างมาไวเกินไป เกินกว่าจะตีความและรับรู้เรื่องราวทันหมดภายในเสี้ยววิ กายสูงกดผมจนหงายหลังไปกับพรมตอนที่ผมเผลอ เงาใหญ่ของอีกคนเข้ามาทาบทับ มือกดให้ศีรษะผมลดต่ำจนไปเสมอกับใบหน้าของอีกฝ่าย ปากที่หุบนิ่งทำได้เพียงอมเจ้าก้อนเนยผสมช็อคโกแลตที่เริ่มละลายนั้นไว้ไม่อาจเคี้ยวและแย้งใดใดออกมา

เกรท?

“อึ...”

ความนุ่มนิ่มสีชาดติดแนบลงบนริมฝีปากบนล่างพร้อมกัน กลิ่นหอมของช็อคโกแลตซึมขึ้นจมูกผสมปนเปกับความฟรุตตี้ของลิปบาล์มที่อีกฝ่ายทาหลังอาบน้ำ ใจผมกำลังเต้นโครมครามอย่างเอาไม่อยู่ ในเมื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนโดยบังเอิญกลับกำลังแนบจุมพิตที่ติดจะเร่งร้อนมาให้

...นี่มันบ้าอะไรเนี่ย..

เกรทติดแนบถอนสลับวนเวียนเอียงใบหน้าเปลี่ยนองศา นานจนกระทั่งว่าเจ้าก้อนคุกกี้ในปากละลายจากไป เปลี่ยนมาเป็นรสหวานซึมลิ้นค้างไว้ฉับพลัน

“เกรท...ทำบ้าอะไรของคุณ เนี่ย” ผมพูดได้แล้วเลยดันอกอีกฝ่ายออกเบาๆ เจ้าตัวมีสีหน้าเพ้อเคลิ้มแบบแปลกๆ หากก่อนหน้านี้พวกเราได้ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกันผมคงหาว่าเขาเมา แต่นี่มันไม่ใช่ พวกเรามีสติครบถ้วนดีกันทุกประการ

“ก็พี่บอกว่าผมรังเกียจพี่”

“แล้วมันจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยแบบนี้เหรอวะ”

“เออ...คือ...” เด็กเกรทอ้ำอึ้งก่อนตอบบางอย่างที่ทำให้ผมหน้าชา “เป็นแฟนกันจูบกันไม่ได้เหรอครับ”

!!!

หะหา??? เป็นแฟนกันอะไรยังไง มันไม่ใช่แค่จูบด้วย เป็นแฟนกันสมัยนี้มันไปถึงขั้นสามสี่ห้าหกกันได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าผมกับเกรทมัน...ผมกับ...เกรท...

“มะ...มันก็ได้แหละ...แต่...” ดูเสียงผมตอนนี้ดิ ฉิบหายตอนนี้ผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่เนี่ย รู้แต่ความร้อนมันไหลมารวมที่ใบหน้า จู่ๆร่างกายก็คันยิบขนลุกซู่ขึ้นฉับพลัน

“งั้นก็...” หะ?

จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ ในโสตผมได้ยินเพียงเสียงนี้ เกรทแนบริมฝีปากอิ่มน้ำมาซ้ำๆ ก่อนแทรกลิ้นร้อนเข้ามายังช่องทางที่เผยอน้อยๆอย่างจาบจ้วง ไม่ทวงถามถึงความยินยอมพร้อมใจของผมเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเหลาดูเคลิ้มเพ้อก้มแนบดูดดึงกลีบปากบนพร้อมหยอกเย้าเรียวลิ้นอ่อนนุ่มที่พยายามหลบหลีกอย่างสุดกำลังเนื่องจากความไม่คุ้นชิน ตวัดทั่วกวาดโพรงปากไปมา ผมรับรู้ได้เพียงว่าช็อคโกแลตจากในตัวกำลังโดนอีกฝ่ายฉกกินลิ้มรสไป จนในที่สุดผมก็เผลอตอบรับสัมผัสของอีกฝ่ายด้วยเรียวลิ้นอ่อนนุ่มที่ตวัดคลอเคลียกันในโพรงปาก เสียงดูดลิ้น ริมฝีปาก และความเฉอะแฉะของน้ำลาย...ดังก้องอยู่ในหู ก่อนทุกอย่างจะจบลงที่เสียงเคาะประตูซึ่งดังแทรกเข้ามา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้องอิมลูก น้องเกรทมาเหรอจ๊ะ”

พรึ่บ!!

โอ้โห เหี้ย ไวยิ่งกว่ารถไฟเหาะกำลังหมื่นแรงม้า ทะยานขึ้นฟ้าแล้วดิ่งลงมาเหมือนไวกิ้ง...อารมณ์กู...

ผมกับเกรทลุกขึ้นพรวดพราดใช้หลังมือเช็ดปากกันจ้าละหวั่น ลุกขึ้นยืนเหมือนคนแทบเดินไม่เป็นไปหน้าประตู จัดเสื้อแสงหันมองเกรทที่กลับขึ้นมานั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวเก็บคุกกี้แล้ว ถึงได้เปิดประตู

“ครับแม่” ทุกอย่างเหมือนปกติยกเว้นลมหายใจ...คือผมหอบเข้าใจมั้ย ผมหอบแบบไม่รู้ว่าขาดอากาศหายใจเพราะเมื่อครู่หรือตื่นเต้น

“แม่ซื้อนมสดมา กำลังอุ่นๆเลยไปกินกันเร็ว”

“อะ...ได้ครับเดี๋ยวอีกสักพักพวกผมลงไป”

ปัง!

ผมยืนพิงประตูมองเพดาน มือยังไพล่หลังจับลูกบิดไว้แน่น หอบหายใจอยู่พักใหญ่ ก่อนลดสายตามายังคู่กรณี

“ปะ...ไปกินนมมั้ย” เจ้าตัวที่ดูเหมือนเอ๋อกว่าผมพยักหน้าก่อนตอบด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นว่า...

“คะ...ครับ”

...TBC...

++++++++++++++++++++++++++



นมเนิมอะไร...สองคนนี้ดื่มมันไม่เป็นแล้ว

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สนุกมากเลยครับ,,,

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิเบส  มัวแต่อมพะนำ  ระวังเถอะ น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น


“เอาจ้า หนุ่มๆ ดื่มนมเสร็จแล้วค่อยไปนอนนะ”

นอน...วันนี้ผมจะนอนยังไงวะ

พอก้นหย่อนลงตรงเก้าอี้ผมก็ก้มหน้าก้มตาเป่าถ้วยเซรามิกในมือพลางเหลือบมองลอบสังเกตเด็กเกรทเป็นระยะ ท่าทีของคนตัวสูงเปลี่ยนไปนิดหน่อย ต่างจากตอนที่เราเผลอทิ่มปากใส่กันในวันแรก ซึ่งผมบอกไม่ได้ชัดเจนว่าคืออะไร แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างในการก้มหน้าเป่าควันจางๆจากไอนมร้อนของฝ่ายนั้น

หรือผมจะคิดไปเองวะ...คงไม่แล้วล่ะ ก็เล่นเอาลิ้นเข้ามาซะขนาดนั้น...

“เชี่ย!!”

“น้องอิม! แม่บอกแล้วไงว่าร้อน ให้เป่าก่อนน่ะ” ทิชชู่ถูกยื่นส่งมาให้ ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน...ฝีมือเด็กเกรท อีกฝ่ายก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน

“ขะ..ขอบใจ”

ไปไม่ถูกกันเลยทีนี้ ผมสงสัย สงสัยว่ะ สงสัยที่สุดว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในหัวถึงทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการ...จู...เออช่างเถอะ มันควรจะแปลกใจตั้งแต่ตอนโดนทำตรงหน้าผากแล้วกับแค่ยัยมายด์เชียร์ไม่เห็นจะต้องไปบ้าจี้ตามเลยนี่หว่า แล้วถ้าเป็นการแสดงออกว่าเราคบกันคนที่ไม่ได้ทำอะไรถึงขั้นนั้นจนก่อนแต่งงานยังมีดาษดื่น แต่นี่ต้องฝืนถึงกับขั้นทำเฟรนช์คิส เพื่อพิชิตความเชื่อใจเลยเหรอวะ

“เกรท”

“ครับ?”

“คุณไม่ต้องทำเรื่องโง่ๆขนาดนั้นก็ได้นะ”

“หา?”

“ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมก็เป็นแฟนคุณ” แม่ไม่อยู่หนีไปเก็บครัวผมเลยพูดได้ เด็กเกรทถึงกับร้องจ๊ากนมลวกปากเมื่อผมพูดจบประโยค เห็นอาการไม่ดีเลยรีบโยกตัวไปคว้ากระดาษมาตอบแทนบุญคุณบ้าง แต่ด้วยความหุนหันไม่ระวังเลยทำให้เกรทดึงทิชชู่ที่ผมกำไว้ไปเช็ดปากแทน

“ผม...ทำเรื่องโง่อะไร”

“โง่ตั้งแต่เอากระดาษทิชชู่ผมไปเช็ดแล้วล่ะ!” กระชากกระดาษเหี่ยวๆซึ่งโดนกระทำชำเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกมา แล้วปาแผ่นใหม่ใส่หน้าเด็กมัน!






อย่างน้อยก็มีหลักประกันว่าเกรทจะไม่หน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรอย่างผมเป็นดอกบัวแล้วคิดจะทำอะไรบ้าบอฉลองการเป็นแฟนกันไม่กี่วันของเราในคืนนี้ได้หรอกนะ

ผมยืนมองถุงคุกกี้ที่ถูกผูกริบบิ้นกลับอย่างดีบรรจงวางไว้บนโต๊ะหนังสือ ภายในถุงยังดูหนักหน่วงเพียงพอให้รู้ว่าเจ้าตัวเก็บส่วนที่หล่นในกระเป๋ากลับมาอย่างดีโดยไม่แตะต้องมันสักชิ้น คงรักมากสินะ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ใยไหมมีคนรักแล้วก็ให้สงสารเด็กเกรทในพริบตา ช่วยไม่ได้คงต้องปล่อยเวลาให้ช่วยเยียวยาจิตใจ

...แล้วการที่ผมคบกับเกรทตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรวะ...

คิดยังไงก็คิดไม่ออก หรือต้องการเล่นบทละครให้เนียนกว่านี้ หาวิธีทำให้ผมไม่พอใจแล้วบอกเลิกกันไป...

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไม่เห็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเลย ให้ผมบอกเลิกตอนนี้ก็ยังได้

แกร๊ก!

เสียงสลักประตูเปิดออกพร้อมการเดินเข้ามาของอีกฝ่าย ข้างแก้มและรอบปากที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำน้อยๆหลังแปรงฟันเสร็จใหม่ๆกับผ้าขนหนูที่พาดไหล่ถูกยกขึ้นเช็ดปากให้บรรยากาศดูราวกับกำลังเซ็ตฉากถ่ายแบบในสตูด้วยคอนเซ็ปต์ที่ว่าราตรีสวัสดิ์แล้วหลับฝันดีไปกับผม หรือเด็กน้อยทานลูกอมแล้วอย่าลืมแปรงฟันก่อนเข้านอน สาวๆที่ไหนได้เห็นคงหลอนจนอยากอุ้มท้องทำลูกให้

“เกรทเลิกกันมั้ย”

ตุบ!!

หา?

หน้าหล่อๆกลายร่างเป็นเด็กอ๊องในชั่วพริบตา เด็กเกรททำผ้าเช็ดหน้าตกยืนเบิกตาโพลงมองผม

“พะ...พี่อิมว่าไงนะครับ”

เฮ้อ...ช่างเถอะ ไม่เอาแล้วดีกว่า

“เลิกเล่นแล้วนอนเถอะ ผมเพลียแล้ว” ยาแก้แพ้ออกฤทธิ์ดีจนน้ำมูกหยุดไหล แต่กลายเป็นเริ่มระคายเคืองคอแทน ผมควรรีบนอนเผื่อจะได้หายวันหายคืนเร็วขึ้นกว่าชาวบ้านสักนิดก็ยังดี ผมหงายตัวลงฟากที่ชิดกับกำแพง เตียงขนาดสามฟุตครึ่งไม่ใช่กว้างแต่ยังพอนอนเบียดไหล่กันได้ หรือผมคิดผิดที่ไม่เอาฟูกมาปูให้อีกฝ่ายนอนกันวะ ตอนนี้ร่างที่เข้ามาในผ้าห่มถึงได้กึ่งกอดกึ่งช้อนซ้อนตัวผมอยู่อย่างนี้

รู้สึกหันหลังไม่ค่อยปลอดภัยเลยบิดตัวหักไหล่หันมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย สัมผัสได้ว่าลมหายใจเกรทใกล้มากและมันกำลังรดหัวผม นี่คงประเมินร่างกายอีกฝ่ายผิด สูงใหญ่ขนาดนี้ให้นอนเตียงสามฟุตครึ่งด้วยกันมีแต่ต้องทำการรวมร่าง...

คิดพิเรนทร์อยู่ในใจแต่ไม่คิดว่าร่างสูงจะทำจริง แขนแกร่งสอดเข้าใต้ตัวผมได้ก็ดึงเข้าหาจนหน้าผมฝังไปยังอ้อมอก...เกินกว่าที่คิดไว้เยอะ บอกเลยว่าเกรทมันเกินกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ!

“เกรท...ผมอึดอัด”

“เปิดแอร์แรงขึ้นมั้ยครับ”

“เกี่ยวอะไร”

“จะได้กอดกันสบายขึ้น”

“หา?”

“ยิ่งอากาศหนาวก็ยิ่งไม่อึดอัดที่จะกอดกัน”

ใช้ทริคนี้เองเหรอ

“ช่างเถอะผมขี้เกียจลุก...แล้วก็...ง่วงแล้ว...”

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ผมตกเข้าไปอยู่ในห้วงความฝัน





อืด อืดดด อืดดดด

ตึงดือดึ๊งตึ่งดึงดึ๊งดึ๊ง~



มือถือ...

ความเงียบเข้าแทนที่ฉับพลันหลังเลื่อนกดหน้าจอโทรศัพท์ปิดนาฬิกาตั้งปลุก เสียงนกร้อง บรรยากาศเย็นชื้นหลังฝนตกมันดีเกินกว่าจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ความว่างเปล่าข้างกายกลับทำให้ผมต้องหยัดกายนั่งมองผืนผ้าข้างตัวด้วยความงงงันบวกกับประสาทยามเช้าที่เดินช้ากว่าปกติจึงคิดอะไรไม่ออก

...เมื่อวาน เหมือนมีอะไรอยู่ตรงนี้...มันคืออะไรวะ...

แกร๊ก!

เสียงประตูดึงดูดความสนใจ ใครถือวิสาสะเปิดเข้ามาแบบไม่ให้สัญญาณเคาะประตูกันแต่เช้า ถ้าผมกำลังเป้าตุงอยู่จะทำไง ด่าอยู่ในใจก็ต้องถอนคำพูด เพราะผู้มาใหม่อย่างเกรทคงไม่ผิดที่จะเดินเข้าห้องแบบไม่เคาะประตูหากรู้ว่าผู้ร่วมห้องยังนอนหลับอุดตุอยู่ภายใน

“ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าหงุดหงิดใจกับลักษณะทางกายภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยทำตาขวางใส่คนซึ่งเดินมาใกล้ ร่างสูงใหญ่ดูจะจับสัญญาณไม่ได้เลยแนบหลังมือกับหน้าผากแตะแก้มซ้ายขวาแล้วมองหน้าผม “ดีขึ้นรึยังครับ”

“ใครบอกให้คุณใส่แบบนี้”

“หา?”

“ใครบอกให้คุณนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว เดินโทงเทงไปมาในบ้านแบบนี้ บ้านผมมีผู้หญิงสองคนแม่กับน้อง กับแม่ผมไม่ค่อยเท่าไรเพราะยังไงก็เห็นของผมมาตั้งแต่เด็ก แต่กับน้องสาวผมคุณรู้มั้ยว่ามันไม่เหมาะ”

เอ็ดเป็นชุด ผมรู้ดีว่าการอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวซึ่งมีคนต่างเพศก็ต้องระวังเรื่องกาลเทศะในระดับหนึ่ง ตั้งแต่เกิดผมไม่เคยแม้แต่ทำอะไรสัปดนให้ยัยมายด์เห็นเลยสักครั้ง

“พี่ไม่เคยถอดเสื้อเดินร่อนไปทั่วบ้านเหรอ”

“เคย” อากาศร้อนๆตอนเดือนเมษาฯใครๆก็เคยทั้งนั้น

“ก็ไม่เห็นต่างอะไรกับที่...”

“ต่างดิ ผ้าขนหนูมัดปมหมิ่นเหม่แค่เนี๊ยกระตุกครั้งเดียวก็หลุดแล้ว อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้คุณเข้าใจป่ะ” เหมือนเกรทจะนิ่งคิดไปสักพักแล้วจึงเอ่ยตอบผมพลางกระตุกปมผ้าขนหนูที่เอวเล่นเบาๆ

“นั่นสินะครับ”

“เสื้อชุดนักศึกษาคุณก็เลือกดูเอาในตู้ละกัน” ผมพยักเพยิดไปทางตู้เสื้อผ้าด้านหลังกายสูง

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมใส่ชุดเก่า ยังพอมีเวลาเดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนที่หอ”

“มีเวลา...” ผมเอะใจ ในเมื่อเจ้าตัวมีเวลาแล้วทำไมถึงไม่กลับหอไปอาบน้ำแต่งตัวให้รู้แล้วรู้รอด แถมยังขยันออกไปอาบส่วนกลางกลับมาก็ประกาศว่าจะใส่ชุดเก่าทั้งที่เปียกคราบไคลเหงื่อจนเน่าแล้วแท้ๆ งงกับตรรกะชะมัด นั่งคิดอยู่กับตัวเองสักพักก็เหลือบไปเห็นอีกฝ่ายกำลังรวบเสื้อผ้าชุดนอนที่ผมให้เจ้าตัวยืมใส่เข้ากระเป๋าตนเอง “อันนั้นทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมซักเอง”

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอากลับไปซักแล้วเอามาคืน” เห็นความดื้อเพ่งของอีกฝ่ายก็ชักจะทนไม่ไหว ผมรีบลุกไปจับยื้อไว้กับมือ “เฮ้ยพี่อิม!”

“จะเอาไปให้ยุ่งยากทำไมวะ เดี๋ยวทางนี้ก็ซักอยู่แล้ว”

“ผมฝันเปียก”

พรืด...

ผมปล่อยกองผ้านั้นออกจากมือทันที...


แค่คืนเดียวทำไมรู้สึกประสบการณ์ระหว่างผมกับเกรทมันถึงได้เพิ่มพูนขนาดนี้วะ










ผ่านมาสองสามวันหลังจากเกรทมาค้างห้อง ทุกอย่างดูเหมือนปกติ...ปกติในแง่เหมือนย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ห้องแชทของเกรทถูกดันตกลงไปด้านล่างเรื่อยๆ ไร้การติดต่อ ขาดการพบหน้า หายไปแบบไม่ลามาไหว้อยู่สามวัน

“เลิกกันแล้วแน่ๆเลย” สะดุ้งโหยงเหมือนโดนจี้ใจดำจนต้องหันไปทางต้นเสียง ที่แท้ยัยข้าวฟ่างกำลังมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ห่างออกไป ช่วงนี้ยัยดาวดูไม่ค่อยสดใสเหมือนมีอะไรกลุ้มใจอยู่เนืองนิตย์

“หมายถึงกับพี่สิงเหรอ” เบสมันถาม

“ชั้นว่าใช่ ไม่งั้นจะอึนได้ขนาดนี้เหรอวะ” ผมรีบลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปหาเพื่อนดาวที่ไม่ยอมเข้ากลุ่มพลางยื่นลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้เลื่อนไปให้ตรงหน้าก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

“ทานอะไรหน่อยเหอะดาว”

“ไม่ล่ะแกชั้นไม่หิว” เธอดันถาดกระดาษที่ราดน้ำจิ้มท่วมลูกชิ้นเสียบไม้กลับ ผมได้แต่มองสลับหน้าไอ้ดาวกับเจ้าลูกกลมอยู่นาน

“ร้านนี้ลูกชิ้นปิ้งที่แกชอบไปต่อแถวซื้อเชียวน้า วันนี้กูไปยืนต่อแล้วได้แถมมาไม้นึงเพราะเขาเห็นว่ารอนาน กูกินไม่หมดเลยกะให้แกช่วย แต่ถ้าไม่มีใครกินกูคงต้องทิ้ง” ผมยกถาดลุกขึ้นทำท่าจะไปปาทิ้งลงถังขยะ แต่สะดุดกับคำทัดทานของไอ้ดาวที่โพล่งขึ้นมากะทันหัน

“เฮ้ยเดี๋ยวไอ้อิม!” สีหน้าตื่นวิตกตอนผมตั้งท่าจะปาลงทำเอาอดกลั้นขำไม่ได้ “เดี๋ยวชั้นกินเอง” ผมยิ้มออกมาน้อยๆก่อนเดินกลับไปหา ยัยดาวคว้าถาดในมือผมไปกอดไว้อย่างหวงแหน

“เหอกอดซะ นี่ถ้าไม่บอกว่าลูกชิ้นกูคงนึกว่าลูกมึง คลอดออกมาเป็นต่อนๆเป็นเม็ดๆ”

“อิมแกอย่าพูด ชั้นจินตนาการเป็นอย่างอื่นมากกว่าการคลอดลูก” เห็นเพื่อนเลิกเป็นใบ้ผมก็ดีใจ ไอ้ดาวละเลียดละไมลองลิ้มชิมรสลูกชิ้นเจ้าประจำ สีหน้าดูสดชื่นขึ้นเหมือนได้รับการเยียวยาจากน้ำจิ้มรสเด็ดกับเนื้อหมูแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์

“อร่อยมั้ย”

“แหงอยู่แล้ว” เห็นแกยังกินอาหารอร่อยกูก็ดีใจ “มาปลอบใจชั้นเหรอ” สายตาดาวเหลือบขึ้นมามอง ผมถึงกับส่ายหัว

“เปล่า มาขุนเพื่อน กลัวเพื่อนผอมแล้วสวยจนมีคนมาจีบ ขี้เกียจเป็นไม้กันหมา” ยัยดาวจิ๊ปากทำท่าจะเอาไม้เสียบลูกชิ้นตี ผมได้แต่หัวเราะมองท่าทีที่ดีขึ้นของเพื่อน แต่จู่ๆเธอก็ค้างไม้นั้นกลางอากาศพลางลดมือลงอย่างเชื่องช้าสีหน้าดูเปลี่ยนไป

“อิม...ถ้าเป็นแกก็ดีสินะ”

“อะไร จะมาดราม่าอะไรอีกล่ะ” ผมหัวเราะดึงไม้เปล่าออกจากมือเธอเสียบลูกชิ้นขึ้นมาป้อนเข้าปากตนเองบ้าง

“ทำไมคนเราต้องหลงรักคนที่ดูเหมือนจะไม่สมหวังด้วยวะ”

“...” สะกิดใจอยู่เล็กๆ แต่ผมทำเป็นนิ่งค่อยๆเคี้ยวลูกชิ้นกลบเกลื่อน “ก็อาจจะเป็นเพราะคนเราชอบความท้าทายที่ไม่ได้อะไรมาง่ายๆล่ะมั้ง”

“ดูอย่างแกสิ น้องเกรทมาสารภาพรักก็คบ ต่างคนต่างก็ลงเอยด้วยดี แต่ทำไมกับชั้นถึงจะต้องไปชอบคนที่ดูเหมือนไม่มีวันจะหันมาชอบชั้นได้วะ” ดาว...แกไม่รู้หรอก ว่ากูก็ชอบคนที่ดูเหมือนจะไม่มีทางหันมารักกูอยู่เหมือนกัน ผมหันสายตาไปปะทะกับไอ้เบสที่มองมาอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนหลบเลี่ยงกลบเกลื่อนสนใจเพื่อนข้างตัว

“พี่สิงเหรอ”

ยัยดาวพยักหน้าเบา

“ไหนแกบอกว่าเป็นแฟน”

“ตอนนั้นชั้นก็พูดไปเรื่อย แค่อยากอวดน่ะ พี่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่ารุ่นน้องหยอกเล่นขำขำ แต่ใครจะรู้ว่าชั้นจริงจัง”

“แล้วแกเคยบอกเขารึยัง”

“เคยแล้ว แต่พี่สิงเขาเป็นคนดัง การคบกันเป็นอะไรที่ยาก สถานะชั้นมันไม่ชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอจะทำอะไรหึงนิดหึงหน่อยก็ได้เป็นเรื่อง สุดท้ายฝ่ายที่ทนไม่ได้ก็คือทางนี้เลยตัดใจบอกเลิกไป แล้วไงล่ะบอกเลิกเขาไปแท้ๆ แต่ก็ต้องมาเศร้าซะเอง แต่ชั้นเบื่อแล้วล่ะกับการที่ต้องคอยมานั่งตามตื๊อตามหวง”

นับถือใจแกเลยดาว การกล้าที่จะพูดความในใจแล้วเจ็บเพื่อจบไป มันอาจจะดีกว่าการต้องมานั่งเห็นเขามีความสุขกับแฟนอยู่ทุกวัน เจ็บน้อยๆแต่ช้ำๆไปเรื่อยๆแบบนี้ก็ได้ ผมมันคนขี้ขลาดไม่กล้าพอกับการกระโดดเข้าไปเผชิญกับแผลใหญ่ กลัวเจ็บปางตายจนทนไม่ไหว เลยสร้างเกราะป้องกันภัยแล้วเอาแต่หลบตนเองอยู่ในนั้น

“กูหวังให้สักวันแกได้เจอรักแท้นะ” ผมจับไหล่เพื่อน ยัยดาวบิดปากทำท่าจะร้องไห้โฮออกมา

“ทำไมชั้นไม่ชอบแกวะไอ้อิม แกออกจะน่ารักน่าเอ็นดูแล้วก็เทคแคร์เก่งขนาดนี้ ทำมายยยยวะทำมายยย” ไอ้ดาวลุกพรวดพราดกระโดดมากอดคอผม ลากหัวไปซุกนมแบนๆของมัน เอาอีกแล้วท่านี้ไม่ชอบเลยว่ะ ทำบ่อยๆจนผมต้องรับผิดชอบแต่งงานกับยัยดาวเข้าสักวันรึเปล่าวะ แต่ห้ามเพื่อนไม่ได้ไงมันกำลังเศร้า

“พอพอปล่อยเลย ไอ้ดาว” เสียงทุ้มของเพื่อนดังขัด ก่อนที่มือใหญ่ของมันจะมาดันหัวเพื่อนสาวให้ตัวหลุดออกไป “เป็นสาวเป็นนางมากอดผู้ชายกลางที่สาธารณะใครรู้ใครเห็นได้เป็นข่าวเสียๆหายๆหมด”

“กลัวดาวเสียหาย หรือกลัวอิมเสียหายกันแน่จ๊ะ คุณเบส”

“...!”

เอาอีกแล้วประเด็นนี้ ทำไมเพื่อนตัวดีของผมชอบยกประเด็นมาให้กลุ้มหัวใจกันได้ตลอดวะ

“แหงล่ะ ก็ต้องกลัวแกเสียหายดิ ถามได้” ผมตีแขนไอ้ดาวมองหน้าไอ้เบสที่ไม่มีท่าทีล้อเล่นอย่างนึกกลัว

“นั่นสิน้า หนุ่มเนื้อหอมอย่างคุณเบสจะมีปัญญามาสนอะไรพวกเราได้ล่ะจริงมั้ย”

“พูดบ้าอะไรของพวกแกฮะไอ้ดาว”

“ฟ่าง แกเอาของที่อยู่ในกระเป๋าเบสมันออกมาดิ๊”

เหมือนรู้งานฟ่างที่นั่งแสตนด์บายตรงที่เดิมอยู่นานล้วงเข้ากระเป๋าข้างไอ้เบสได้ก็เขวี้ยงบางอย่างมาตรงโต๊ะพวกเรา จังหวะรับส่งเพื่อนสาวสองคนช่างแม่นเหมาะคนนึงปาอีกคนนึงก็รับไว้ก่อนวางมันลงบนโต๊ะ

...นี่มัน...

“เชี่ยพวกแกทำอะไรวะ” ไอ้เบสจะคว้ามันไว้ แต่โดนดาวฉวยกลับไปอย่างเก่า

“อย่าคิดว่าชั้นกำลังเศร้าแล้วไม่รู้ไม่เห็น สกิลหูตาสับปะรดของชั้นยังใช้ได้อยู่เว้ยคุณเพื่อน ขนมใครซุกในกระเป๋ามาตั้งแต่เช้าแล้ว ผูกโบว์กระจุ๋งกระจิ๋งน่ารักน่าเอ็นดูเชียว แฟนให้ไม่อยากแบ่งใครก็บอกมาดิไอ้เบส ไม่เห็นต้องทำงุบงิบซ่อนอยู่แต่ในกระเป๋าไม่เอาออกมาโชว์เลย เห็นอย่างนี้แล้วหมั่นไส้ แบบนี้มันต้อง” ไอ้ดาวแกะโบว์ดึงขนมออกมาหนึ่งชิ้นงับเข้าปาก

“เชี่ยดาว” เสียงไอ้เบสร้องห้าม แต่สายไปซะแล้ว ไอ้ดาวกินหมดคำไม่สนสี่สนแปดใดใด และไม่...มันไม่จบแค่นั้น ไอ้ฟ่างที่เดินมาเสริมทัพก็ดันไอ้เบสจนเซก่อนทำพฤติกรรมเดียวกับเพื่อนหยิบขนมสีคุ้นตาขึ้นมาลองลิ้มชิมรส ผมที่นั่งตกใจจะเอ่ยปากห้ามเพื่อนให้เลิกแกล้งมีอันต้องโดนมือยัยดาวยัดขนมอีกชิ้นเข้าปาก

...เหี้ย...รสชาตินี้มัน...

“เชี่ยเบส แฟนแกทำขนมโคตรอร่อย”

“เออจริง” ไอ้ดาวกับข้าวฟ่างเคี้ยวขนมหนุบหนับแก้มตุ่ยบ่นอุบเป็นเสียงเดียวกัน ส่วนผมนั้น...

“พวกมึงกูไปหาแฟนก่อนนะ”

ลุกพรวดพราดไปจับสายกระเป๋าแล้วเดินหนีออกมาทันที

...บ้าไปแล้ว...ไม่จริงน่า...เรื่องบ้าๆแบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้ไงวะ...






อ้างว่ามาหาแฟนแต่ผมก็เดินเคว้งอยู่นาน ตะลอนไปทั่วโรงอาหารแวะลามถึงศูนย์หนังสือวนรอบตั้งแต่หนังสือเด็กไล่ไปยังเตรียมการอย่างไรให้พร้อมก่อนตั้งท้องไม่พึ่งประสงค์

“อิมเมจ”

เหม่ออยู่ดีดีเสียงหนึ่งเหมือนคุ้นอยู่ในทีดังแทรก ผมตามหาที่มาจนตาไปสบกับร่างเล็กของหญิงสาวคนนึงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ใยไหม”

“มาซื้อหนังสือเหรอ” เธอเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มก่อนหยุดสายตาลงที่ชั้นหนังสือ “อิมเมจไปทำใครท้องเข้าให้ล่ะ”

“ฮึ่ย พูดอะไรน่ะ”

“ก็มายืนแถวชั้นหนังสือแนวนี้ไม่ให้คิดได้ไง” ผมมองลงไปที่ชั้นแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ

“ผมจะไปทำให้ใครท้องได้”

“เกรทเหรอ” เธอหัวเราะขำแบบกลั้นไม่อยู่ เอาจริงนะถึงทำได้ผมว่าคนที่ท้องน่าจะเป็นผมมากกว่าคนหื่นอย่างเจ้าเด็กเกรท “เออ เกรทเขาดีขึ้นรึยังล่ะ”

“หา?” เป็นคำถามที่อยู่เหนือความคาดหมายของผม สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจไม่ใช่การที่ใยไหมถามถึงเกรทแต่เป็นเนื้อความที่เธอถามกับผมต่างหาก

“เอ๊า เดี๋ยวนะนี่อิมเมจไม่รู้เรื่องเหรอ”

“เรื่องอะไร ผมไม่รู้ เกรทเป็นอะไร” ตั้งแต่วันนั้นไปก็หายสาบสูญแล้วคิดเหรอว่าผมจะรู้ความเป็นไป

“สองวันก่อนเดินสวนกันพอดีเลยมีโอกาสทักอาการดูก็ยังไม่แย่อะไรมากนะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย ปกติไหมจะเจอเกรทอยู่ตรงหน้าห้องที่เรียนประจำทุกวันจันทร์ถึงพุธไง แต่ก็แปลกใจที่เจอแต่กลุ่มเพื่อนเขา” ผมเคยสงสัยว่าเกรทปฏิสัมพันธ์กับใยไหมได้ไงทั้งที่อยู่ต่างคณะ แต่มาวันนี้ผมรู้แล้ว วิชาที่เจ้าตัวเรียนมักจะทำให้ได้เจอกับใยไหมจนกระทั่งฝ่ายชายตกหลุมรักในตัวหญิงสาว แล้วอย่างนี้ที่ใยไหมบอกว่าเกรทหายไป...

...คราวนี้ผมคงต้องไปหาแฟนจริงๆแล้วล่ะ...

“ใยไหมขอโทษด้วยนะ ผมพึ่งนึกได้ว่ามีธุระ”







หอเกรทผมมาเป็นครั้งที่สอง ระบบความปลอดภัยอยู่ในระดับดีเยี่ยมพอพอกับคอนโดมีเนียมราคาแพง ก่อนผมจะเดินทางมาได้ส่งข้อความหาเกรทแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะอ่าน เพราะเราสองคนต่างไม่มีใครเริ่มส่งข้อความหากันก่อนตั้งแต่วันนั้น

พื้นที่โซฟาที่รับรองแขกด้านล่างกลายเป็นที่นั่งปักหลักของผม จ้องมือถือปนกับมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาและได้แต่ภาวนาว่าเจ้าหน้าจอ ‘Greatเทศ’ จะขึ้นคำว่า ‘อ่านแล้ว’ สักที รออย่างไม่มีความหวัง หรือจะโทรยิงเข้าไปก่อน แต่ถ้าเจ้าตัวกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ล่ะ อย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการไปรบกวนคนป่วยอย่างงั้นเหรอ

คนเดินผ่านเข้าตัวตึกไปมา บ้างก็ใส่ชุดนักศึกษา บางคนผมก็คุ้นหน้าอยู่เล็กๆ เหมือนเป็นเด็กกิจกรรมในมหา’ลัย หรือตัวเต็งทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวผมเลยได้แต่มองผ่านไป

“อ้าว พี่อิมเมจป่ะเนี่ย”

“...” แต่จู่ๆกลับมีใครไม่รู้เดินเข้ามาทัก ใครวะ ไม่ยักจะคุ้นหน้า

“มาหาไอ้เกรทมันเหรอครับ มันยังไม่กลับห้องหรอก นู้น ป่านนี้เวลาเดินตลาดหาข้าวแดกของมัน”

“...”

“พี่อิมเมจ?”

“ใครอ่ะครับ” จบประโยคคำถามคนตรงหน้าหัวเราะร่วนก่อนหันไปทางด้านหลัง “เฮ้ยไอ้นัท พี่เขาจำกูไม่ได้ว่ะ ไอ้เกรทแม่งนิสัยเสียมีแฟนแล้วไม่รู้จักเอามาแนะนำเพื่อน”

นัท? คุ้นแฮะ ผมหันศีรษะไปมองตามเสียงเรียก ปรากฏเด็กชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวกางเกงสีดำสะพายกระเป๋าเป้พาดบ่าข้างเดียวเดินเข้ามาหา ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

“พี่อิมเมจ?”

เชี่ยนี่มันเพื่อนเกรทนี่หว่า

“มาได้ไงเนี่ย นัดไอ้เกรทไว้เหรอ”

“นัดกับไอ้เกรทหรือนัดกับไอ้นัท มึงพูดให้ชัดกูสับสน”

“เชี่ยไลค์กูจะเกลียดชื่อมึงก็วันนี้แหละ แฟนเพื่อนมึงอย่าเล่น”

“ว่าแต่พี่อิมเมจมาหามันจริงป่ะเนี่ย” ทั้งสองคนจ้องหน้าผม กับคนแปลกหน้าให้มาสนทนาด้วยอึดอัดพิลึก ผมไม่ได้สนิทกับใครง่ายเหมือนอย่างเด็กเกรทด้วยสิ เลยทำแค่พยักหน้าใส่

“ไอ้เกรทวันนี้มันก็ลา แต่ป่านนี้คงไปหาอะไรแดกแหละ พี่ไม่โทรเข้ามือถือมันล่ะ”

“เห็นว่าป่วยกลัวนอนอยู่แล้วโทรไปรบกวน” สองคนทำตาโตหันไปมองหน้ากัน

“กูชักอิจฉาไอ้เกรทแล้วดิ”

“มีแฟนโคตรใส่ใจ”

ส่วนผม...เป็นบ้าอะไรของพวกมึง...คอมม่อนเซ้นส์เปล่าวะ คนนอนหลับอย่ารบกวน...เอ๊ะหรือว่าคนอื่นจะไม่คิดแบบผม...

“แล้วถ้าพี่ไม่โทรไปพี่ก็จะรอมันอย่างนี้เหรอ”

“คนเราเดี๋ยวหิวต้องลงมาหาของกินอยู่แล้ว”

“พี่ไม่คิดว่าในห้องมันจะมีตู้เย็นบ้างเลยเหรอ”

เออ...ลืมนึกไปเลย...

“เอาเถอะ ผมก็รอแค่ถึงจุดจุดนึงแล้วถ้าเห็นไม่ลงมาสักทีก็คงกลับ”

“จุดๆนึงของพี่มันถึงเมื่อไรกันล่ะ”

“หนึ่งทุ่ม?”

ผมส่ายหัว

“สองทุ่ม?”

นานกว่านั้น วันก่อนเกรทยังยอมกลับบ้านดึกเพื่อเฝ้าไข้ผมได้เลย

“สามทุ่ม?”

“คงจะสักสี่ทุ่ม รถไฟฟ้าหมดเที่ยงคืนก็จริงแต่ผมต้องต่อรถเมล์ไปก่อนถึงรถไฟฟ้า ถ้าสักสี่ทุ่มก็ยังพอมีกลับบ้านได้”

“เกรท...มึงจะปล่อยให้พี่เขารอจนถึงสี่ทุ่มเลยเหรอวะ”

“...” จบคำเหมือนเพื่อนสองคนไม่ได้ถามคำถามกับผม แต่มันมองเลยไปด้านหลังเหมือนมีใครบางคนกำลังยืนอยู่

“กลับบ้านเกินสี่ทุ่มแม่พี่จะว่าเอาไม่ใช่เหรอ” ผมสะดุ้งหมุนตัวไปมองเจ้าของเสียงด้านหลังทันที เกรทในสภาพเสื้อยืดหลวมสบายตัวกับกางเกงขาสั้นแบบคนทำตัวอยู่กับบ้านกำลังยืนถือถุงก๊อปแก๊ปพะรุงพะรังสองข้างมองตรงมา

ก็ดูสบายดีนี่...ใยไหมพูดอาการของอีกฝ่ายเว่อร์วังอลังการไปมั้ยวะ

“เกรท...คุณ สบายดีมั้ย”

“...”

“ทำไมกูเหมือนกำลังยืนอยู่คลาสภาษาอังกฤษยืนเคารพอาจารย์ที่กำลังทักแอมฟายแต้งกริ้วแอนด์ยูเลยวะ”

“เกรทควายชิทดาวน์พลีส”

“เอาชื่อมึงไปใส่แทนเลยไอ้ควายไลค์” ร่างสูงชะโงกไปด่าด้านหลังก่อนก้มมองหน้าผม “สบายดีหนิครับ พี่อิมต่างหากหายดีรึยัง”
“ไม่ได้เป็นหวัดเรื้อรัง ภูมิต้านทานต่ำขนาดนั้นซะหน่อย ตอนนี้ผมหายแล้วล่ะ”

“แต่เชื้อพี่แรงมากเลยนะทำเอาผมล้มเลย”

“...” สี่คนเงียบลงโดยมิได้นัดหมาย ผมมองตาเกรท เหงื่อเริ่มตกกับประโยคใสใสที่ร่างสูงพูดมาแบบไม่คิดอะไร แต่ไอ้คนที่เหลือเนี่ยดิ!!

“เชี่ยเกรทแม่งไวไฟ”

“สัดกูก็นึกว่าไปตากฝนที่ไหน ที่แท้แม่งก็เอาไข้มาจากแฟน”

ไอ้เหี้ย อย่ามาฉลาดกับเรื่องพวกนี้ได้มั้ยวะ

“พวกมึงอย่าแซวได้มั้ยวะ ทานอะไรมารึยังครับ” ท้ายประโยคเปลี่ยนเรื่องหันมาถามผม

“ยัง...”

“ยังครับ ผมอยากทานเกรทอ่ะครับ ให้ผมทานคุณคืนนี้เลยได้มั้ยเอ่าะ”

“เชี่ยไลค์” ไอ้ตัวสูงมันทำท่าจะปาถุงแกงใส่เพื่อนผมถึงต้องรีบห้ามไว้

“ผมมาหาแค่นี้แหละ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมกลับล่ะ”

“เฮ้ยพี่อิม!” ข้อแขนโดนจับรั้งไว้ เด็กเกรททำท่ากึ่งง้องอนเกินความคาดหมาย “อย่าไปฟังไอ้พวกบ้านี้มันพูดเลย อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะครับ”





ต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน กับข้าวเปล่าสามถ้วย ตบท้ายด้วยขนมครกหน้าสารพัด สาบานว่านี่คืออาหารคนหลังป่วย

“ตอนนอนซมไม่ค่อยได้กินอะไร พอหายเลยอยากมาก สั่งเยอะไปหน่อย พอดีเลยที่พี่มา”

“ชวนอีกสองคนนั้นมากินด้วยกันก็ได้นี่”

“ไอ้พวกนั้นวันนี้มันมีดื่มกัน พวกมันไม่มากินกับผมหรอก”

เจ้าตัวจัดทุกอย่างใส่ชามและจานพร้อม พลางวางช้อนส้อมให้ฝั่งแล้วย้ายตัวลงนั้นข้างๆกัน

“กินนี่ อันนี้ร้านเด็ดเลย แซ่บจัด ซดทีเลือดลมไหลเวียนดีนักแล”

ผมมองหน้าคนกระตือรือร้นยิ่งกว่าบุคคลที่ตั้งใจมาเฝ้าคนป่วย จนเกรทเอะใจสังเกตเห็น

“พี่อิม...มีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่า”

“เกรท”

“ครับ” น้ำเสียงผมคงฟังดูจริงจังเกินเหตุ เด็กเกรทถึงกับวางช้อนแล้วนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว

“ทีหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ เป็นห่วงว่ะ”

ห่วงหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องที่จู่ๆก็หายไป จู่ๆก็ป่วย แล้วไหนยังจะมีเรื่องใยไหมกับ...ไอ้....

เนื้อที่ติดกระดูกหมูอ่อนชิ้นโตถูกตักใส่จานผม บางอันก็โดนเลาะกระดูกออกจนเกลี้ยงเกลา ผมเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏยิ้มอ่อนจางๆ

“งั้นก็ต้องทานข้าวเป็นเพื่อนผมเยอะๆนะครับ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงเพราะพี่ไม่กินข้าวจนไม่สบาย”

“...”


..ทำไมหลังจากที่ผมก้าวถอยหลังออกห่างจากเบสแทบเป็นแทบตาย แต่ผมกลับได้อีกหนึ่งก้าวที่ทำให้หัวใจร้อนผ่าวแบบแปลกๆ...ได้ล่ะวะ...


...TBC...

+++++++++++++++++++++++++++




จูบเขาไปเป็นไงล่ะสมน้ำหน้า นอนซมไปสี่ซ้าห้าวันซะ!!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รู้สึกมีกำลังใจในการแต่งขึ้นอีกร้อยล้านเท่า

ขอบคุณทุกคอมเมนต์คำชม คำขอบคุณ และคอมเมนต์เนื้อเรื่อง ขอบคุณจากใจค่า



ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เกรทต้องแอบจุ๊บๆตอนอิมเมทหลับด้ยแน่ :katai2-1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชักสงสัยพฤติกรรมของเจ้าเบสกับไยไหมซะแล้วสิ

สงสัยตกลงวางแผนกันเพื่อให้นู่อิมหึง

สุดท้ายอิเบสแห้วแน่

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด