ล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่9 เรื่องวุ่นวาย4 (P.2วันที่ 23/2/59)
หลิ่วเหวินอี้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่อย่างเชื่องช้า จังหวะการก้าวเดินหนักแน่นสม่ำเสมอเรียกให้ผู้อยู่ภายในห้องหันมามอง เบื้องหน้าคือประมุขนิกายมารฟ้าที่ยังสง่างามแม้จะวัยล่วงเข้าเกือบห้าสิบปีแล้วก็ตาม สองฝั่งซ้ายขวาล้วนมีโต๊ะเล็กจัดให้แขกนั่งจิบชาคุยกันไปมาด้วยน้ำเสียงรื่นเริงก่อนจะหยุดลงเมื่อเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่เดินเข้ามา
ซูโหลวหลันประมุขพรรคตะวันดับมองคนที่เข้ามาอย่างตะลึงค้าง ใบหน้างดงามราวอิสตรี ดวงตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก บรรยากาศเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างล้วนดึงดูดผู้คนให้สะดุดตาสะดุดใจ แม้จะได้ยินข่าวฉาวบุตรชายคนที่สี่ของนิกายมารฟ้าแต่ก็ไม่เคยเห็นตัวจริงเสียที แต่เมื่อมาเห็นคิ้วคมเฉียงขมวดมุ่นอย่างคิดมิตก ภายภาคหน้าจะฝากชีวิตบุตรสาวที่รักไว้ในความดูแลได้อย่างไร
และความงามนั่น! เมื่อเหลือบมองบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนซึ่งบัดนี้มองคนมาใหม่ตาค้าง ดวงตาสั่นระริก ความสวยน่ารักของบุตรสาวตอนนี้เทียบไม่ติดของบุตรชายผู้โง่งมของประมุขนิกายมารฟ้าเลยแม้แต่ฝุ่นผง
“เหวินอี้คารวะท่านพ่อ ขออภัยที่ล่าช้าขอรับ”หลิ่วเหวินอี้ยกมือคารวะก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมตามที่บุตรพึงกระทำ เหลือบตามองประมุขตะวันดับเล็กน้อยก่อนจะหันไปคารวะตามพิธี
“หลิ่วเหวินอี้คารวะท่านประมุขตะวันดับขอรับ” น้ำเสียงนิ่งเรียบของคนตรงหน้าทำให้ประมุขพรรคตะวันดับตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้มากพิธีเลย อย่างไรเราก็คนกันเอง” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยันเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เขาไม่คิดจะนับญาติกับผู้ใด
“นี่คงเป็นน้องเหมยฮวา” หลิ่วเหวินอี้แสร้งเอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ใบหน้าสวยน่ารักของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขาสั่นไหวเท่าสายตาของหญิงสาวตรงหน้าที่ทำเหมือนจะถอดเสื้อผ้าเขาอยู่รอมร่อ คิ้วคมเฉียงนิ่วน้อยๆ เพราะนางทำตนเหมือนสตรีในหอบุปผาซึ่งไม่มีความกุลสตรีแม้แต่น้อย
“พี่เหวินอี้งดงามสมคำร่ำลือ เป็นบุญตาจริงๆ เจ้าค่ะ” ใบหน้าน่ารักยิ้มสดใสดวงตาพราวระยับ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่มองตามเล็กน้อยพลางคิดว่าบุรุษใดเล่าจะให้คนอื่นชมว่าตัวเองงดงาม
“ไหนๆ พวกเจ้าก็รู้จักกันแล้วพาเหมยฮวาไปเดินเล่นและเอาข้าวของไปไว้ที่ตำหนักเหวินอี้ด้วยแล้วกัน” คำสั่งออกจากผู้เป็นเจ้าของนิกายมารฟ้าทำให้หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบ ก่อนจะคารวะบิดาและชูโหลวหลันพร้อมถอยห่างออกไป มือขวาผายมือเชิญแม่นางเหมยฮวาออกไปจากตำหนักใหญ่ ในเมื่อผู้ใหญ่ตกลงกันแล้วเขาคงออกปากเสียงตอนนี้ไม่ได้ หางตาเหลือบมองผู้เป็นบิดาที่ยกยิ้มที่มุมปากคล้ายเห็นเป็นเรื่องสนุก
“ที่นี่ใหญ่โตมากเจ้าค่ะ สมแล้วที่นิกายมารฟ้าอยู่เหนือกว่าพรรคอธรรมอื่นๆ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะสายตากวาดมองรอบบริเวณ ดวงตาสดใสมองคนงดงามที่นิ่งเรียบ บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาไม่ได้ทำให้สาวน้อยสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ปีนี้นางอายุย่างสิบเจ็ดนับว่าไม่ได้น้อยไปกว่าคนข้างกาย ทว่าความเย็นชาและแววตานิ่งเฉยกับทุกสิ่งนั้นทำให้รู้สึกว่ากำลังอยู่กับผู้เป็นลุงเสียมากกว่า
“....”
หลิ่วเหวินอี้มิได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวนำหน้าเดินกลับมายังตำหนักเหวินอี้ด้วยฝีเท้าหนักแน่น ร่างบอบบางเดินตามอย่างไม่ค่อยสนใจคนนำหน้าเท่าไหร่นัก เพราะบรรยากาศรอบตัวและดอกท้อที่ปลิวไสวจากต้นดูงดงามคล้ายอยู่แดนสวรรค์ ตำหนักนี้ห่างไกลออกมาพอสมควรแต่กลับดูสงบจนน่าแปลกใจ
“ที่นี่อาจไม่สะดวกเพราะข้าไม่ชอบความวุ่นวาย” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยขึ้น หางตาเหลือบมองสาวน้อยที่ยื่นมือออกไปรับดอกท้อที่ร่วงโรยลงมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างไม่ได้ทุกข์ร้อนใจกับการที่มานอนต่างถิ่น
“ท่านพี่เหวินอี้อย่าได้กังวล ข้าไม่ได้ชอบความฟุ่มเฟือย ขอแค่มีอ่างน้ำให้ข้าแช่ก็เพียงพอแล้ว”
เหมยฮวาเงยหน้ามองว่าที่คู่หมั้นที่งดงามจนนางต้องอาย ทว่าไม่รู้เหตุใดนางจึงผูกชะตากับคนตรงหน้า ความรู้สึกแรกพบมิใช่หัวใจเต้นแรงแต่กลับเป็นความรู้สึกชื่นชมความงามและกิริยาสูงส่งของคนหลิ่วเหวินอี้ แม้ข่าวลือที่ได้ยินนั้นนับว่าเสียหาย ในเมื่อเจ้าตัวไม่ใส่ใจแล้วตนจะใส่ใจทำไม เพราะอย่างไรบุตรสาวเช่นตนไม่ถูกจับแต่งงานกับคนนี้ก็ยังมีคนอื่นเรียงคิวรอ นางเลยคิดว่าจะแต่งกับผู้ใดก็คงเหมือนกัน
กิริยาเรียบง่ายใบหน้าสวยน่ารัก ทว่าดวงตาประกายความซุกซนเผยให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างพิจารณา แผนชายงามคงจะใช้ไม่ได้ผลเพราะเหมือนนางจะไม่สะทกสะท้านที่จะได้แต่งงานกับคนที่งามกว่าตน
“ข้ามิมีสิ่งใดดี วรยุทธก็ได้ต่ำเตี้ยเจ้าไม่กลัวอับอายผู้อื่นหรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างลองเชิงอีกฝ่าย นางเดินเร็วจนมาเคียงข้างแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าน่ารัก
“เหตุใดข้าต้องอับอายในเมื่อท่านพี่เหวินอี้เป็นถึงบุตรของนิกายมารฟ้าที่ใครๆ ต่างต้องยำเกรง”
คำกล่าวขานของเหมยฮวา ทำให้หลิ่วเหวินอี้หัวเราะในลำคอไม่รู้จะสมเพชตัวเองหรือว่าสาวน้อยข้างกายดี ‘ต่างต้องยำเกรง’ หรือ น่าขำสิ้นดี ไม่รู้ว่าหูตามืดบอดหรือกระไรถึงมองไม่ออกสายตาผู้อื่นว่าเป็นเช่นไร
“โลกนี้ยังมีหลายสิ่งให้ค้นหา เจ้าอายุยังน้อยไม่ควรด่วนตัดสินใจ ชีวิตเป็นของเจ้า อนาคตหากเลือกผิดคนที่ทุกข์หนักก็คือเจ้า บิดามารดาหาได้อยู่กับเจ้าตลอดชีวิตไม่” เหมยฮวาชะงักเท้าหยุดมองแผ่นหลังกว้างที่ก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ วาจานั้นนับว่าร้ายกาจแต่มองอีกมุมคือการสั่งสอน หากทำตามเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นบุตรอกตัญญูหรอกหรือ?
...แล้วคนที่บอกก็อายุห่างจากตนแค่ปีเดียวเอง!
“ท่านพี่เหวินอี้กล่าวเช่นนี้ ข่าวลือที่ท่านชมชอบบุรุษนั้นคงเป็นจริง มิเช่นนั้นคงไม่ตัดรอนน้ำใจข้าเช่นนี้” หลิ่วเหวินอี้ชะงักเท้านิ่งไม่ได้หันไปมองคนพูดแม้แต่น้อย ใบหน้านิ่วน้อยๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด บางครั้งการอธิบายก็เหมือนกับแก้ตัว ปิดปากเงียบไปไม่นานข่าวลือก็คงเงียบหายไป
เหมยฮวานิ่งเงียบริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น มิคิดว่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้ สองเท้าเล็กก้าวตามอย่างครุ่นคิด ความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาเหมือนกำแพงขวางกั้นไม่ให้ล้ำเส้นเข้าไป แต่นางเป็นอิสตรีจะมีปากเสียงไปเถียงบิดามารดาได้อย่างไร เรื่องที่คิดว่าง่ายทำไมมันดูยากเย็นถึงเพียงนี้ ใครกันบอกว่าคนตรงหน้าเป็นบุรุษเจ้าสำราญ นี่ไม่ชายตาแลนางแม้แต่น้อย
...อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นจริงนะ ชูเหมยฮวาผู้นี้จะไปตัดลิ้นคนผู้นั้นให้ดู!
ลั่วเหยียนเจิ้งมองทางเข้าตำหนักเหวินอี้ด้วยสายตานิ่งเรียบ ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาเชื่องช้าแต่หนักแน่น ตามหลังด้วยสาวน้อยน่ารักผู้หนึ่ง กิริยาของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันมาก ทั้งๆ ที่อายุไม่ต่างกันนัก ความรู้สึกที่มองเห็น ทำไมเหมือนลุงกับหลานกัน หรือว่าตนคิดมากไป?
“ท่านพี่เบื่อหรือไม่” ร่างสูงโปร่งมาหยุดเบื้องหน้า น้ำเสียงนิ่งเรียบดวงตาว่างเปล่า ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ที่นี่เงียบสงบ บรรยากาศก็กำลังดีไม่ได้ทำให้ข้าเบื่อหน่ายอะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ่มมองคนเย็นชาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองผ่านไปด้านหลังที่มีสาวน้อยมองเขาตาแป๋ว
“แม่นางคือ...” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถาม เว้นช่วงให้เจ้าบ้านเป็นคนตอบ ดวงตาเย็นชาเหลือบมองสาวน้อยด้านหลังเพียงครู่
“เหมยฮวาบุตรีประมุขตะวันดับ จูเก๋อพานางไปห้องรับแขกเรือนเล็ก” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยตอบลั่วเหยียนเจิ้งก่อนจะหันไปบอกพ่อบ้านในตำหนักเหวินอี้ ซึ่งมองตามอย่างลังเลเล็กน้อย
“เชิญขอรับคุณหนู” จูเก๋าผายมือเชื่อเชิญ เหมยฮวามองเจ้าบ้านและบุรุษแปลกหน้าเพียงครู่ก่อนจะเดินตามหลังพ่อบ้านไป
“เจ้าไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะที่สาวน้อยเดินตามพ่อบ้านไปอย่างว่าง่าย และแอบมองมาที่ตนเล็กน้อย นางก็น่ารักดี จากที่รู้เรือนเล็กนับว่าห้องพับน้อยกว่าห้องที่ตนอยู่มาก
“...”
หลิ่วเหวินอี้ไม่ตอบเดินเข้าไปภายห้องรับแขกโดยมีแขกกิตติมศักดิ์เดินตามเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ที่ตนให้พักเรือนนั้นเพราะที่นี่มีแต่บุรุษไม่เหมาะกับอิสตรีเช่นนาง และที่เขาไม่ได้แนะนำรู้จักลั่วเหยียนเจิ้งเพราะคิดว่าไม่จำเป็น
“เหตุใดนางถึงมาอยู่กับเจ้า นางยังไม่ได้ออกเรือนมิใช่หรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะนั่งรับจอกชามาจากอีกฝ่าย ดวงตาเรียวคมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
“ว่าที่คู่หมั่นข้า มิแปลกอันใดที่นางจะมาพักผ่อนที่นี่” คำตอบเย็นนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกของผู้พูด ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้ายังยิ้มบางเบา หัวใจรู้สึกคันยุบยิบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“แล้วเจ้าก็ยินดีรับนางมาเป็นภรรยา”
“ข้าบอกเช่นนั้นหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปกับใบหน้างดงามที่ยกยิ้มมุมปาก มันงดงามจนตาพร่าไปชั่วครู่ ความรู้สึกชั่วร้ายที่ส่งมาทำให้คิ้วขมวดมุ่น
“เจ้ามีแผนอันใด” ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งเอ่ยถามพร้อมจิบชาในมืออย่างเชื่องช้า มือซ้ายหยิบขนมกินเล่นอย่างไม่รีบร้องเอาคำตอบ
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” ดวงตาเย็นชาที่มองมาไม่ได้ทำให้ความอยากรู้ลดหายไป แต่เมื่อคาดคั้นเอาคำตอบไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องสอบถาม ในเมื่อเขาก็ยังต้องอยู่ที่นี่อีกเดือนคงได้เห็นเองและคนเช่นนี้เขารู้วิธีรับมือ
“นั่นสินะ ข้าก็แค่คนนอก” น้ำเสียงแผ่วเบาของลั่วเหยียนเจิ้ง อีกทั้งเสหน้าหันไปทางอื่น ทำให้หลิ่วเหวินอี้มองเสี้ยวหน้าคมคายด้วยความมึนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าทำกิริยาเหมือนงอนตนทำไม ขณะคิดขนในกายกลับลุกชันอย่างไม่รู้สาเหตุ ใบหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำแง่งอนเหมือนคู่รัก
คู่รักหรือ! นี่เขาคิดไปได้อย่างไรกัน ให้ตายสิ สงสัยจะนอนไม่พอถึงทำให้ประสาทกลับถึงเพียงนี้
“นายน้อย” เสียงเรียกของหลวนซานดังมาจากหน้าประตู ก่อนจะเดินมาหยุดเบื้องหน้ามองลั่วเหยียนเจิ้งอย่างลังเล ก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างหูนายน้อยอย่างระวัง
“ข้ารู้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงเรียบเมื่อข่าวที่ได้รับเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อคืน เฝิ่งเฉินถูกปลดตำแหน่งและยังถูกยึดทรัพย์สินจนหมด มิหนำซ้ำยังถูกขังคุกหลวงรอลงอาญา ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เพราะฮ่องเต้ผู้นั้นคงไม่ให้คนร้ายที่จับได้คาหนังคาเขาขนาดนั้นหนีรอดไปได้ เมื่อเหลือบมองผู้มีพระคุณยังเมินเฉยต่อเขาคล้ายไม่สนใจก็ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ สองวันมานี่รู้สึกว่าเขาจะใช้สมองหนักไปกับการรับมือคน
“ข้ามีธุระออกไปข้างนอก น้องเหวินอี้ก็อยู่สร้างสัมพันธ์อันดีกับว่าที่คู่หมั่นไปแล้วกัน แขกเช่นข้าคงเป็นก้างขวางคอเสียเปล่า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังแล้วคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายยังยิ้มอ่อน ทว่าดวงตากลับประกายความเศร้าออกมา หลิ่วเหวินอี้แสร้งมองไม่เห็น ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบดุจเช่นเดิม
“ข้าไม่ได้หมายสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนาง วันนี้ข้ามีนัดกับสาวงามที่หอบุปผา หากท่านพี่เหวินอี้ไม่รังเกียจที่นั่นไปเที่ยวชมกับข้าหรือไม่” คำชวนอย่างใจกว้างของหลิ่วเหวินอี้ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มอ่อนก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ในเมื่อเป็นบุรุษจะไปที่นั่นไม่แปลกอันใด แต่ที่แปลกคือคนเฉยชาต่อทุกสิ่งเช่นคนตรงหน้านี่ต่างหาก ว่าไปที่นั่นด้วยเหตุผลใด
หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนเมาหัวราน้ำนอนฟุบกับโต๊ะภายในห้องพิเศษของหอบุปผางามอย่างเบื่อหน่าย บอกว่าตนเองคอแข็งแล้วนี่อะไรกินไปยังไม่ถึงไหคอพับคออ่อนไปแล้ว ช่างอ่อนหัดจริงๆ ข้างกายมีสาวงามปรนนิบัติอย่างไม่ตกบกพร่อง
“นายน้อยแขกของท่านไม่ได้สติเสียแล้ว ช่างคออ่อนจริงๆ เจ้าค่ะ คิกๆ” พวกนางกล่าวอย่างล้อเลียนเมื่อพยายามปลุกแต่ไม่ยอมตื่น
“ฟางเทียนฟงอยู่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามโดยไม่ได้คาดหวังเอาคำตอบ สาวงามเหลือบมองอย่างมีจริตเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานล้ำ สองมือบางกอดแขนเขาแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก
“นายท่านกลับไปเมื่อคืนเจ้าค่ะ มีอะไรฝากไว้หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ ข้าจะกลับแล้วรบกวนพวกเจ้าแค่นี้ หลวนซานจัดการที่เหลือด้วย” หลิ่วเหวินอี้บอกกล่าวเมื่อหมดธุระกับที่นี่ แม้พวกนางจะมองตามอย่างเสียดายก็ตามแต่เขาไม่นิยมใช้ผู้หญิงร่วมกับผู้อื่น จึงมาใช้แค่หาข่าวและสร้างข่าวลือเท่านั้น เถ้าแก่เนี่ยที่นี่ย่อมรู้จักเขาดี
ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นเดินไปฉุดคนคอแข็งลุกขึ้น น้ำหนักที่กดทับลงมาช่วงบ่าทำให้คิ้วคมเฉียงขมวดมุ่นไม่คิดว่าดูสูงโปร่งจะหนักขนาดนี้ เมื่อยกธรรมดาไม่ขึ้นจำต้องใช้พลังภายในช่วย
“นายน้อยให้ข้าจัดการเองดีกว่าขอรับ” หลวนซานเอ่ยบอกช่วยพยุงร่างของลั่เหยียนเจิ้งอย่างระวัง
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้ากลับก่อน ไปดูที่โรงเตี๊ยมให้เรียบร้อย” หลิ่วเหวินอี้ยกร่างนั้นฟาดบ่าก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็ว เวลานี้เริ่มพลบค่ำหากไม่สังเกตย่อมมองไม่เห็น เขาเดินทางมาตั้งแต่บ่ายแต่พาลั่วเหยียนเจิ้งเดินเที่ยวเล่นภายในเมืองหยางเซาจนทั่วเมืองและมาจบที่หอบุปผา
เงาร่างพุ่งผ่านสายลมเหยียบย่ำอยู่บนยอดไม้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว คนที่ถูกฟาดบ่าลืมตาขึ้นมองความเร็วระดับสูงแล้วยกยิ้มที่มุมปาก จิ้งจอกเช่นเขานะหรือจะเมาสุราแค่ไหเดียว อย่างน้อยก็ได้รู้ชื่อคนที่หลิ่วเหวินอี้ต้องการจะพบ เพียงแค่นี้ก็ง่ายกับการสืบแล้ว
เมื่อมาถึงตำหนัก หลิ่วเหวินอี้ก็ผลักร่างที่แบกมาลงเตียงนอนอย่างไม่ไยดีนัก ใบหน้าคมคายที่หลับตานิ่งนิ่วหน้าน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น
“นายน้อยท่านน่าจะให้คนอื่นช่วยแบกมานะขอรับ” จั่วเหรินที่เห็นเงาคุ้นตาเข้ามาภายในตำหนักจึงรีบเข้ามารับหน้าแต่ก็ยังช้ากว่าผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นว่าทำอันใดอยู่จึงได้เอ่ยบอกอย่างห่วงไย
“ข้ามิได้อ่อนแอ เรื่องแค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไร ปล่อยให้เขานอนไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบแล้วหมุนกายออกจากห้องรับแขกไปยังห้องของตน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสาวน้อยน่ารักว่าที่คู่หมั่นมาดักรออยู่หน้าห้อง เขาเหลือบมองจั่วเหรินอย่างตำหนิที่ไม่ได้บอกลวงหน้าและยังให้มารออยู่ที่นี่
“เจ้ามีธุระอันใด”
“ข้ามีเรื่องตกลงกับท่านพี่เหวินอี้” ใบหน้าน่ารักส่งยิ้มหวานมาให้ แววตาทอประกายสดใสหลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะพาไปหยุดที่ศาลารินสระน้ำ
“มีอันใดว่ามา” ร่างสูงสง่ายืนนิ่ง มือไขว่หลังมองใบหน้าเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าท่านมิได้ชอบข้า และข้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับท่านมากกว่าพี่ชาย แต่ในเมื่อข้าเก็บคำพูดของท่านมาพิจารณาแล้วล้วนเป็นจริง บิดามารดาหาได้อยู่กับข้าตลอดชีวิตไม่ และท่านพี่เหวินอี้เองก็ปฏิเสธการหมั่นหมายระหว่างเราไม่ได้ ข้าจึงอยากทำข้อเสนอกับท่าน” น้ำเสียงหวานสดใสและดวงตาแน่วแน่จ้องมองมา
“ให้ข้าแกล้งว่าชมชอบเจ้า แต่งงานกับเจ้าแต่เพียงในนามใช่หรือไม่” เมื่อจบคำพูดของบุรุษงดงามตรงหน้าทำให้เหมยฮวาตาโตอย่างคาดไม่ถึง นี่นางยังพูดไม่ทันจบแต่กลับจับใจความได้ ใครบอกว่าคนตรงหน้าโง่งม ข่าวลือบัดซบ! อย่าให้นางเจอตัวนะจะตัดลิ้นเสียให้หมดเลย
“เอ่อ เป็นจริงอย่างท่านพี่กล่าว” นางละอายใจเล็กน้อยเมื่อต้องเอ่ยมาเช่นนี้ นางเองก็เห็นบรรดาแม่เลี้ยงของนางที่ไม่ได้รับความรักจากบิดา จึงได้มีแต่ความริษยาชิงชังให้กันเท่านั้น
“แต่ท่านพี่มิต้องกังวลข้าจะไม่อยู่ให้ท่านระคายเคืองตา ข้าอยากออกท่องยุทธภพให้ทั่วหล้าข้าอยากเป็นจอมยุทธหญิงที่เที่ยวทั่วทุกแคว้น” หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายสิ่งที่นางเสนอมาก็เข้าที แต่เขาจะปล่อยให้เด็กน้อยไร้เดียงสาออกไปท่องโลกกว้างได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาเองยังมิอาจหลีกหนีอันตรายพ้น
“มีคนผู้หนึ่งรักเจ้า หากเจ้าทำให้เขาเชื่อฟังได้เขาต้องติดตามเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง”
“ท่านหมายถึงคุณชายหลิ่วเมิ่งซู” นางกล่าวพร้อมเบ้หน้าอย่างน่ารัก
“ข้ากับคุณชายเมิ่งซูเจอกันเมื่อหลายเดือนก่อน เขาเป็นคนมุทะลุ ใจร้อนวู่วามหากข้าแต่งกับเขาเพียงไม่เกินหนึ่งเดือนมีอนุมาเพิ่มอีกเป็นสิบคนแน่” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มมุมปาก การคาดเดาของนางนั้นถูกต้องนิสัยหลิ่วเมิ่งซูที่ถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็กคงยากจะเปลี่ยนเพื่อคนๆ เดียว
“ท่านไม่ทำตามข้อเสนอข้าอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าเศร้าหมองของนางไม่ได้ทำให้ความเย็นชาลดลงแม้แต่น้อย เขาไม่ต้องการเอาตัวผูกมัดไว้กับผู้ใดแต่ก็ไม่อาจดูดายกับเด็กน้อยเบื้องหน้าได้
“ไว้พรุ่งนี้เจ้าจะได้คำตอบทุกสิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นจงทำตามที่ใจต้องการ นี่ก็ดึกแล้วเจ้าไปนอนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงนิ่งพร้อมเดินกลับห้อง ปล่อยให้หญิงสาวมองตามอย่างมึนงงไม่เข้าใจ
ร่างสูงโปร่งเดินเข้าห้องอย่างอย่างเงียบงัน วันนี้รู้สึกเหนื่อยล้ากว่าทุกวันทั้งใช้สมองอย่างหนักและยังใช้กำลังภายในไปมากโขสองวันติด วันนี้จั่วเหรินเตรียมน้ำให้อาบเหมือนแทนหลวนซานก่อนจะถอยออกไปรออยู่หน้าห้อง
“ส่งข่าวบอกอีกาห้ามารับตัวเหมยฮวาไปดูแล อย่าให้ผู้ใดติดตามได้”
เสียงนิ่งเรียบบอกเงาร่างหนึ่งมุมห้องก่อนจะเลือนหายไปกับความมืด คำสั่งนี้เหมือนจะยุ่งยากแต่ก็ไม่ยากไปสำหรับกลุ่มอีกาที่เป็นดั่งเงายามราตรีอันมืดมิด หลิ่วเหวินอี้เหม่อมองท้องฟ้าที่มืดมิดอย่างครุ่นคิด แม้เรื่องหลายวันนี้จะดูวุ่นวายแต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาได้ กลุ่มอีกาบิดาไม่มีทางรู้ และจะไม่มีวันได้รู้เด็ดขาด!
ขอบคุณที่ติดตามมากค่าา ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ