ตอนที่36
สถานะที่แท้จริงของอิงเฟยคือตวนมู่หรงองค์ชายลำดับที่สามแห่งรัฐหลี ด้วยอุดมการณ์ที่ถูกปลูกฝังมามันจึงเดินทางออกจากวังหลวงปลอมตัวอย่างแนบเนียนเข้าสู่หมู่ตึกบัวสวรรค์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของพรรคมังกรพิโรธ
หน้าที่ที่ได้รับมาจากบิดาคือสร้างความวุ่นวายในยุทธภพเพื่อไม่ให้ชาวยุทธรวมกันเป็นปึกแผ่นคอยต่อต้านราชสำนักหลี ทั้งยังต้องเป็นประมุขพรรคมังกรพิโรธอำนวยความสะดวกให้แกทหารของหลีเคลื่อนทัพผ่านเข้าสู่รัฐฉิน
แผนการระยะยาวครั้งนี้ของจ้าวรัฐหลีไม่ใช่เรื่องง่ายดาย อิงเฟยหรือตวนมู่หรงต้องใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา ทางหนึ่งฝึกวิชากับจูเยว่เสวียนอีกทางหนึ่งลอบติดต่อกับราชสำนักหลีสร้างเครือค่ายของมันอย่างเป็นระบบ
ไม่คาดว่าทุกสิ่งทุกอย่างหาได้ทำตามใจโดยง่าย เพราะนอกจากลูกพรรคจะจงรักภักดีต่อจูเยว่เสวียนอย่างยิ่ง หมู่ตึกต่างๆยังแตกย่อยออกเป็นสามคอยถือหางมัน หลงเยี่ยอิ่งและหลี่มู่ไป๋
หลายครั้งที่มันวางแผนลอบสังหารศิษย์พี่ทั้งสอง ทว่าเพราะมีจูเยว่เสวียนคุ้มกะลาหัวพวกมันอยู่ทุกอย่างจึงไม่ราบรื่น สุดท้ายมันค่อยมีโอกาส หากจัดการกับศิษย์พี่ทั้งสองยังไม่ได้จัดการตาเฒ่านี่ก่อนเป็นไร
มันวางแผนเป็นอย่างดี หลังจัดการกับจูเยว่เสวียนก็ปล่อยข่าวลวงล่อหลี่มู่ไป๋ออกไปปลิดชีพโดยละม่อม ทุกอย่างง่ายดายยิ่งแม้กระทั่งรักษาการณ์พรรคหลงเยี่ยอิ่งยังตกตายด้วยพิษหิมะโปรยที่มันแอบลอบโขมยเคล็ดลับมาจากอาจารย์
ตอนนี้หลงเยี่ยอิ่งที่บริหารพรรคมังกรพิโรธอยู่เป็นตัวปลอมซึ่งมันสร้างขึ้นมา ภายใต้การบงการของมันถึงแม้จะยังไม่ได้ขึ้นเป็นประมุขพรรค ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่มีทางบิดเบือนไปจากคำสั่งของมัน
“ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ นายน้อยอิงเฟย”
ผู้ที่ถามขณะนวดเฟ้นไหล่สองข้างของมันคือหญิงชราข้ารับใช้ประจำตัว ตามจริงสตรีนางนี้หาใช้หญิงแก่ตามที่เห็นไม่ นางคือเหลยไห่เหยียนประมุขพรรคกุสุมาลย์ซึ่งแฝงกายมาอยู่เคียงข้าง การปลอมตัวครั้งนี้เป็นคำสั่งของมันเพื่อมิให้มีใครคาดเดาความเกี่ยวข้องของมันกับรัฐหลีได้โดยง่าย
“ไห่เหยียน วิชาปลอมแปลงกายของเจ้าช่างล้ำเลิศ หากแต่ว่ากลิ่นกายหอมฟุ้งนี่ยังไม่เหมาะกับหญิงชราหรอกกระมัง” อิงเฟยกล่าวเตือนขณะหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความสบายยามถูกนวดเฟ้นอย่างต่อเนื่อง
“หญิงชราก็เป็นอิสตรีเช่นกันนะเจ้าคะ จะมีกลิ่นหอมติดกายบางย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก”
เหลยไห่เหยียนไม่มีความคิดที่จะเลิกใช้เครื่องหอมแต่อย่างใด นางแค่ต้องปลอมตัวเป็นหญิงชราก็น่าเบื่อพออยู่แล้ว กลิ่นหอมนี้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถใช้ยั่วยวนนายน้อยให้หลงใหลในตัวนางได้
“เจ้าใช่หลงเหลือกลิ่นไว้เพื่อยั่วยวนข้าหรือไม่”
เหลยไห่เหยียนมองสบตากับนายน้อยอิงเฟย นายน้อยเป็นคนฉลาดคงรู้ความนัยจากแววตาของนางได้ดี ยามนี้ผู้เป็นนายยิ้มละไมพลางขยับมือลูบไล้บนหลังมือของนาง ประมุขหญิงแห่งพรรคกุสุมาลย์สยิวกายวูบวาบ นางรอคอยให้ผู้เป็นนายมอบความหฤหรรษ์ให้นางมาพักใหญ่
ว่ากันตามจริงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์ชายตวนมู่หรงผู้นี้จะว่าล้ำลึกก็ไม่ถือเป็นการเรียกผิด นางเป็นคู่ขาบนเตียงของนายน้อยมานานและเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่นายน้อยได้อย่างไร้ที่ติ
หากให้ระบายความในใจนายน้อยเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวที่นางคิดจริงจัง ถึงแม้ว่านายน้อยจะไม่แสดงท่าทีว่านางสำคัญ แต่นางเป็นผู้เดียวที่ใกล้ชิดนายน้อยที่สุด ด้วยรูปการเช่นนี้ทำให้นางลำพองใจอยู่ไม่น้อย
ขณะที่ประสานสายตาร้อนแรงเข้ากับนายน้อยเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เหลยไห่เหยียนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา อิงเฟยเลิกสนใจในตัวนางบอกกล่าวให้ผู้เคาะเรียกก้าวเข้ามาในห้อง
ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือพ่อบ้านของพรรคมังกรพิโรธ ตาลุงผู้นี้เป็นคนพิการคือเป็นใบ้ทั้งยังไม่รู้หนังสือ การที่อิงเฟยรับคนผู้นี้เข้ามาทำงานเมื่อสี่เดือนก่อนเป็นเพราะคุณสมบัติที่กล่าวมาล้วนตรงตามความต้องการของมันอย่างที่สุด
จะอย่างไรก็แล้วแต่การที่เป็นใบ้ทำให้พ่อบ้านผู้นี้ไม่อาจแพร่งพรายความลับของพวกมันไปได้ นอกจากนั้นการไม่รู้หนังสือย่อมไม่อาจเขียนเล่าสิ่งใดให้ใครอ่าน กระนั้นถึงแม้จะเป็นใบ้แต่พ่อบ้านผู้นี้ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้สมบูรณ์ครบถ้วน ทั้งยังฉลาดไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้เป็นนาย อิงเฟยยอมรับว่าพอใจลุงใบ้ผู้นี้มากพอดู
“อา....อา.....” พ่อบ้านใบ้ส่งภาษามือแจ้งข่าวให้เขาทราบ จากภาษามือเข้าใจว่ามีผู้บุกรุกที่ตีนเขากำลังสู้รบปรบมือกับคนของพรรคและกำลังรุดหน้าขึ้นเขามา
“ให้ข้าจัดการดีหรือไม่เจ้าคะนายท่าน” เหลยไห่เหยียนในร่างหญิงชราเสนอ อิงเฟยครุ่นคิดแวบหนึ่ง
“ไม่ดีกว่า ข้าจะลงไปดูเอง อยากรู้นักว่าผู้ใดกล้ามาหาเรื่องพวกเราถึงที่”
กล่าวจบอิงเฟยก็พลิ้วกายลงไปยังสถานที่เกิดเหตุที่นั้นลูกพรรคถูกเล่นงานไปเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่รุมล้อมเข้าหาคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่กลางวงล้อม ขณะนั้นได้ยินเสียงเอาใจช่วยจากเด็กน้อยผู้หนึ่งบนต้นไม้ใหญ่
“พี่ใหญ่ จัดการมันเลยขอรับ พี่ใหญ่ยอดเยี่ยมที่สุด”
อิงเฟยคาดเดาว่าเด็กน้อยที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคงเป็นพวกเดียวกันกับคนในวงล้อม จังหวะหนึ่งที่คนผู้นั้นพริ้วกายเหินขึ้นสะบัดกระบี่จู่โจมด้วยท่วงท่าเฉียบคมรุนแรง วินาทีที่ได้เห็นกระบวนท่าองอาจและรูปโฉมงดงามหัวใจของอิงเฟยพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ คนผู้นี้ช่างเลิศเลอนัก มันไม่เคยรู้สึกชอบพอคนผู้ใดเพียงแค่แรกเห็นอย่างนี้เลย
เมื่อเกิดความชอบพอขึ้นมาอย่างเฉียบพลันความคิดที่ว่าจะจัดการให้สำนึกก็พลันลดน้อยลงไป อิงเฟยคิดแผนประนีประนอมได้เฉียบพลัน มันพริ้วเหินไปยังต้นไม้ใหญ่จับตัวเองเด็กน้อยบนต้นไม้ไว้ในอุ้งมือพลางร้องเตือนให้คนงามรู้ตัว
“ท่านจอมยุทธข้าไม่รู้ว่าท่านชื่อแซ่อันใดและบุกมาที่พรรคมังกรพิโรธด้วยเหตุใด ทว่าเด็กน้อยนี่คงเป็นพวกเดียวกับท่านกระมัง”
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย” เด็กน้อยในมือดิ้นกระแด่วๆ แต่แรงหาสู้มันได้ไม่อิงเฟยลงมือบีบหลังคอของเด็กน้อยหนักหน่วงขึ้นจนเด็กน้อยหน้าเหยเก ครานี้คนงามแสดงสีหน้าร้อนรนแต่หาได้หยุดสู้รบกับคนของพรรคไม่
“ขี้ขลาดหยาบช้านักจับคนเป็นตัวประกันหาใช่วิสัยจอมยุทธไม่” คนรูปงามตวาดเสียงแข็ง
“หากท่านยอมรามือ คนของข้าก็จะรามือเช่นกันท่านว่าดีหรือไม่ ท่านจอมยุทธเรามาคุยกันดีดีเถิด”
อิงเฟยหาได้โกหกไม่ มันนึกอยากพูดจาภาษาดอกไม้กับคนงามผู้นี้ ด้วยทั้งรูปโฉมและฝีมือช่างถูกใจมันยิ่งนัก ดังนั้นมันมีความคิดจะสานต่อสัมพันธ์อันดีหากสามารถทำได้ เหมือนว่าการเจรจาของมันจะได้ผลคนงามหยุดเล่นงานคนในพรรค ดังนั้นมันจึงสั่งให้คนในพรรคล่าถอยมา
“ปล่อยเสี่ยวหลงก่อน” ที่แท้เด็กน้อยหน้าตาฉลาดนี่คือเสี่ยวหลง ตอนนี้มันอยากทราบนามของคนงามใจแทบขาด
“ในเมื่อข้าปล่อยน้องชายของท่านแล้ว คงได้เวลาแนะนำตัวกันแล้วกระมัง นามของข้าคืออิงเฟย” อิงเฟยประสานมือเข้าหากันแสดงความน้อมนอบ
“ข้ามีนามว่าเสวี่ยหมิง”
ชื่อช่างไพเราะยิ่ง อิงเฟยกล่าวชมในใจ
“แล้วคุณชายเสวี่ยมาที่พรรคมังกรพิโรธนี่เพื่อจุดประสงค์ใดกันเล่า”
“มาตามคำสั่งอาจารย์ ไม่คาดว่าคนพวกนี้จะไร้เหตุผลเข้ามารุมทำร้ายข้ากับน้องชายก่อน”
“นี่มันเรื่องอันใด” อิงเฟยหันไปถามลูกพรรคที่อยู่รายล้อม ในที่สุดก็มีผู้หนึ่งกล่าวรายงาน
“คนผู้นี้โกหกว่าเป็นศิษย์อันดับสี่ของท่านประมุขขอรับ เราแค่จัดการคนที่แอบอ้างเพียงเท่านั้น”
“ข้าไม่ได้โกหกข้ามีแหวนประมุขพรรคแทนตัวอาจารย์”
เสวี่ยหมิงชูมือให้ดูแหวนมังกรคาบมุกบนนิ้วมือ อิงเฟยดวงตาเบิกกว้าง มันนึกคิดอยากจะดูใกล้ๆขึ้นมา
“คุณชายเสวี่ยขอข้าดูได้หรือไม่”
“ท่านก็เข้ามาใกล้ๆสิ” มันขยับเข้าไปประคองมือขาวผ่องของเสวี่ยหมิง พินิจดูไม่นานมันก็กระจ่างใจเชื่อว่านี่เป็นแหวนของตาเฒ่าจูจริงๆ
“เจ้าบอกรูปประพรรณสัณฐานของอาจารย์ได้หรือไม่”
มันคิดทดสอบดูว่าคนผู้นี้โกหกหรือไม่ทว่ากลับบอกลักษณะออกมาได้ตรงกับความเป็นจริง กระนั้นมันยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากจะทำการพิสูจน์มากกว่านี้มีแต่ต้องเชิญไปยังที่ทำการของพรรคเท่านั้น
“คุณชายเสวี่ยท่านสามารถขึ้นไปยังหมู่ตึกเพื่อแสดงหลักฐานที่มากกว่านี้ได้หรือไม่” อิงเฟยถาม
“ย่อมได้แน่นอนข้ามีจดหมายแนะนำตัวจากท่านอาจารย์”
“ดี ข้าเองก็อยากรู้ว่าในจดหมายท่านว่าอย่างไร”
กล่าวจบอิงเฟยก็นำพาเสี่ยวหลงกับเสวี่ยหมิงขึ้นไปยังหมู่ตึกด้านบน
หายไปห้าวันเลย กองดองยังไม่หมดเลย55555 ระหว่างที่หายไปก็คิดอยู่นะว่าจะเขียนไงต่อดี
คือพลอตมันยังไม่แน่น เลยออกมาได้ช้าและน้อย ต่อจากนี้จะเป็นช่วงท้ายๆของเรื่องแล้ว
รู็สึกว่าเขียนยาก อาจจะลงได้ถี่น้อยกว่าเดิมเพราะต้องใช้เวลาครุ่นคิดซักนิด
กระนั้นสมองคนเขียนก็ขี้ปบาทองมากกกกกกก คงไม่ได้พลอตที่สุดยอดอะไรหรอก55555
แต่จะรีบมาต่อนะ เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า