ตอนที่ 26 รักนะครับ
เจ้าของร่างกายที่เป็นลมเพราะอาการไข้ขึ้นเริ่มขยับ ตอนที่ผมกำลังติดกระดุมเม็ดสุดท้ายของชุดนอนให้พอดี หลังจากเช็ดตัวเพื่อบรรเทาอาการตัวร้อนเสร็จเมื่อนาทีที่แล้ว
“คุณหมอ...” เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับเผยให้เห็นส่วนหนึ่งของหน่วยตากลม ปากสีซีดและแห้งพยายามพูด แต่เสียงที่หลุดออกมาก็เบาเหลือเกิน
“ทานยาก่อนนะครับ”
ผมประคองคนไข้ให้ลุกมานั่งพิงอยู่ที่อก ส่งยาเม็ดเล็กเข้าปากซีด ตามด้วยน้ำ แล้วประคองให้นอนลงตามเดิม ปัดกลุ่มผมที่ระบนหน้าผากให้ไปอีกทาง เพื่อวางผ้าขนหนูผืนเล็กบนหน้าผากนั้น ก่อนจะค่อยๆบรรจงจูบกลีบปากบางเบาๆ
“...คุณหมอ”
เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งเกือบจะไม่ได้ยิน คุณฟ้าพยายามจะปรือตามองผม แต่เพราะเปลือกตาที่หนักจากอาการไข้ทำให้ทำได้ลำบาก
“ครับ”
ผมดึงมือคุณฟ้าขึ้นมากุม นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้สัมผัสมือคู่นี้ เพียงไม่กี่วัน ทว่ามันกลับยาวนาน ผมไม่อยากนับเป็นวัน หรือชั่วโมง หรือแม้แต่นาที ผมนับทุกวินาทีตั้งแต่ที่คุณฟ้าหันหลังให้ผม ด้วยเหตุผลหรือความผิดที่ผมไม่รู้และยังไม่รู้จนถึงวินาทีนี้ วินาทีที่ริมฝีปากผมกำลังสัมผัสเข้ากับริมฝีปากซีดและแห้งของอีกฝ่าย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตา
หัวใจผมร่ำร้อง มันไม่อยากปล่อยผู้ชายคนนี้ให้จากไปไหน หรือกลายเป็นของคนอื่น
“คุณหมอ...”
“ครับ” ผมใช้มือข้างหนึ่งเกลี่ยน้ำตาหยดเล็กจากหางตา คุณฟ้าร้องไห้เพราะผม ผมทำให้คุณฟ้าร้องไห้
“ ฮึก...อยู่กับผมนะ” คำพูดที่เอ่ยออกมา มันแหบแห้งและแผ่วเบา ปนออกมาพร้อมรอยสะอื้นของน้ำตา
“ครับ”
“อย่าทิ้ง...ฮึก...อย่าทิ้งผมไปไหน...ฮึก...” คำพูดที่แผ่วเบาแต่กลับดังชัดเจนอยู่ในหัวใจของผม ผมเกลี่ยน้ำตาที่ไหลช้าๆ อีกครั้ง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่มันจะหมด
“ไม่ครับ ไม่ทิ้ง”
“ฮึก...ผมรักคุณหมอนะ....” คุณฟ้ายังคงฝืนแรงสะอื้นของตัวเองพูดออกมา ผมไม่รู้ว่าคุณฟ้าเจ็บปวดแค่ไหน ถึงร้องไห้ได้มากมายขนาดนี้ ผมไม่อยากเห็นคุณฟ้าร้องไห้เพราะมันทำให้ผมเจ็บและจุกจนพูดอะไรไม่ออก
“คุณหมอ...ฮึก...คุณหมอรัก...รักผมได้ไหม......ได้ไหม...” คุณฟ้าถาม ถามทั้งน้ำตา ฝืนตัวลุกขึ้นมากอดผมไว้แน่น ผมกอดตอบร่างกายที่สั่นเทานั้น แนบแน่นไม่ต่างกัน
“ได้ไหมครับ...ฮึก”
“อย่าถามผมแบบนี้สิครับ คุณฟ้าถามเหมือนผมไม่ได้รักคุณฟ้า”
“ฮึก...คุณหมอไม่ได้รักผม ...ผมอยากให้คุณหมอ...ฮึก...อยากให้คุณหมอรักผม...ฮึก...”
“ทำไมครับ ทำไมถึงคิดว่าผมไม่รัก” ผมถาม ดึงใบหน้าที่ซุกตรงอกขึ้นมาพูดกันให้รู้เรื่อง มือก็เช็ดน้ำตาบนแก้มซีดๆ นั้นไปด้วย
“ผมรู้...คุณหมอไม่ได้รักผม...” เจ้าตัวว่า ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน ผมทำอะไรให้คุณฟ้าคิดว่าผมไม่รัก ทั้งที่ผมรักคุณฟ้ามากขนาดนี้ รักมากกว่าที่เคยรักน้องลมด้วยซ้ำ
“ผมไม่รักคุณฟ้าตรงไหนครับ” ผมถาม พลางก้มจูบปากสีซีด ไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปแต่กดย้ำไปมาอยู่นานถึงได้ยอมละออกมา อยากกลืนกินความหวานที่ห่างหายไปแสนนาน แต่ต้องสกัดกั้นความต้องการของตัวเองเอาไว้ เพราะอยากคุยกับคุณฟ้าให้รู้เรื่องเสียก่อน ที่ขอเลิกกับผมเพราะคิดว่าผมไม่รักตัวเองงั้นสินะ
พอผมถอนจูบ คุณฟ้าก็ก้มหน้ามองมองมือตัวเองที่บีบกันไปมา ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผม น้ำตาล่วงจากหน่วยตาสู่หลังมือตัวเอง
“.....”
ผมเงียบ เพื่อรอฟังคำตอบของคุณฟ้า ผมไม่อยากคาดคั้นหรือบังคับให้คุณฟ้าต้องตอบ ผมอยากให้คุณฟ้าตอบคำถามของผม เมื่อคุณฟ้าพร้อมที่จะพูดมันออกมาจริงๆ
“.....”
น้ำตาจากหน่วยตายังมีให้เห็น เสียงสะอื้นดังแผ่วเบาเพราะเจ้าตัวพยายามกลั้นมันเอาไว้
“.....”
ผมอังมือตรงหน้าผากคุณฟ้า มันไม่ได้ร้อนเหมือนตอนแรกที่เจอ ตอนนั้นผมเดินเข้าไปกอดคุณฟ้า บอกคำที่กู่ร้องอยู่ในใจ คำที่ว่า ‘คิดถึง’ แต่พอได้สัมผัสตัวถึงรู้ว่าเจ้าตัวไม่สบายและเป็นหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของผม
“.....”
คุณฟ้าเงยหน้าขึ้นมามองผมนิดนึง ก่อนจะก้มมองมือตัวเองต่อ
“.....”
ผมอยากรู้ คนตรงหน้าผมกำลังคิดอะไรอยู่ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าคุณฟ้าไม่ได้หมดรักผม คนที่ผมรักเขายังรักผมเหมือนเดิม
“....คุณหมอ” คุณฟ้ารั้งแขนผมไว้ เมื่อผมลุกขึ้นยืน ผมไม่ได้ลุกหนี ผมแค่จะลุกเอาแก้วไปเก็บข้างนอก ตากลมๆ เต็มไปด้วยน้ำตาแหงนมองผม คงคิดว่าผมจะลุกหนีตัวเอง
“ผมจะเอาแก้วไปเก็บครับ” ผมยิ้มแล้วบอกคุณฟ้า มือนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยแขนผมช้าๆ
“อยากทานอะไรไหมครับ” ผมถาม
“.....” คุณฟ้าส่ายหน้า ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
ผมเดินถือแก้วออกไปนอนห้อง เห็นมือถือตัวเองวางอยู่ที่โต๊ะหน้าทีวี เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ผมควรจะโทรไปบอกหลายชายเสียหน่อย ว่าคืนนี้ผมไม่กลับ แต่ดูเวลาแล้วนี่มันปาเข้าไปเกือบตีสองแล้ว พีน่าจะนอนหลับไปแล้ว แต่ผมก็อดห่วงพีไม่ได้ สาเหตุเพราะพี่ชายตัวดีของผมนั่นแหละ พี่ยะเป็นคนพูดอะไรเข้าใจยากและไม่คิดจะทำตามคำพูดตัวเอง ผมห้ามไม่ให้ยุ่งกับพีเพราะยังเด็ก ทำได้ไม่กี่วันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ไม่อยากโทษว่าพีก็มีส่วนด้วยที่ใจอ่อนกับคุณยะของตัวเองเกินไป ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนคงไม่เกิดเรื่องอีหรอบเดิมที่เคยเกิดขึ้นในคอนโดของคุณฟ้า กว่าผมจะรู้สึกตัวว่ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้นในห้องพีก็ช้าเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้ ปล่อยให้เลยตามเลย ตอนเช้าลากตัวพี่ยะมาคุย ทวงข้อตกลงเดิมที่เคยตกลงกันไว้ พี่ยะก็ทำหูทวนลม แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ จนผมจนใจ พูดอะไรไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คืนนี้และคืนต่อๆ ไปผมเลยคิดว่าจะเอาตัวพีมานอนในห้องด้วยซะเลย มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่คืนนี้เป็นอันว่าผมไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านอย่างที่คิดเอาไว้ เพราะคำพูดของพี่ป้อง พี่ชายของแดน (ผมเคยเจอพี่ป้องครั้งหนึ่งตอนที่มารับแดนกลับบ้าน) ที่เดินเข้ามาบอกผม ก่อนจะออกจากร้านไป
พี่ป้องบอกผมให้เลิกยุ่งกับคุณฟ้า เพราะตัวเองกำลังจะคบกับคุณฟ้า
คิดว่าผมจะเชื่อไหม?
หึ..ผมไม่เชื่อ
แต่ผมก็แอบหวั่นไหวไม่ได้ เพราะนึกไปถึงตอนกลางวันที่เห็นพี่ป้องจับมือคุณฟ้า คุณฟ้าอาจไม่ได้คิดอะไรกับพี่ป้อง แต่พี่ป้องอาจไม่แน่ มันทำให้ผมอดรนทนไม่ไหวต้องคุยกับคุณฟ้าให้ได้ แต่คุณฟ้าก็ยังหลบหน้าผม ผมจึงตัดสินใจปิดทางหนีของคุณฟ้า ด้วยการกลับมารอที่คอนโด โชคดีครับที่คุณฟ้าไม่ได้ทวงเอากุญแจคอนโดคืน
ผมทิ้งตัวลงนั่ง เอนหลังพิงขอบโซฟา กดโทรศัพท์หาพี่ยะ เช็คดูหน่อยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ถึงจะตีสองแล้วก็เถอะ นั่งฟังเสียงสัญญาณไม่ถึงห้าวินาทีก็ได้ยินเสียงพี่ยะ
(มีไร?) ถึงน้ำเสียงจะห้วนแต่ฟังอารมณ์ดีไม่น้อย สามารถรับโทรศัพท์ผมตอนตีสองด้วยสุ่มเสียงแบบนี้ ผมว่า เรื่องที่ผมคิดไว้ต้องไม่ผิดแน่ๆ
“ทำไมผมพูดถึงไม่ฟังกันบ้างพี่ยะ พียังเด็ก” ผมเปิดประเด็นทันที ไม่ถามแล้วว่าพี่ยะอยู่กับใคร
(เด็กแล้วไง? ยังไงพีก็เมียฉัน) ปลายเสียงเริ่มฉุน อ้างสิทธิ์ในตัวเด็กที่ช่วยกันเลี้ยงมาตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาทันที
“พี่ยะ...” ผมละอ่อนใจ พูดอะไรไม่ออก พี่ยะดื้อ ไม่ค่อยฟังอะไรใคร เอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ บอกให้หยุดก็เหมือนยิ่งยุให้ทำ
“...งั้นผมขอคุยกับพีหน่อย”
(ไม่ให้คุย เดี๋ยวก็สั่งให้พีดื้อกับฉันอีก)
“คนดื้อน่ะพี่มากกว่านะพี่ยะ” ผมว่าอย่างอ่อนใจ สุดท้ายผมก็ช่วยอะไรพีไม่ได้ พี่ยะก็ยังทำในสิ่งที่เขาต้องการจนได้
(เออๆ แค่นี้นะ คุยกับนายแล้วอารมณ์เสียว่ะ อีกอย่างพรุ่งนี้ฉันจะเอาพีไปอยู่ที่เพนต์เฮ้าส์ จนกว่าจะเปิดเทอมค่อยให้กลับบ้าน แล้วไม่ต้องตามมายุ่งล่ะ)
“ไม่ได้นะพี่ยะ!” ผมรีบห้ามก่อนที่พี่ยะจะวางสาย เอาพีไปอยู่ที่นั่นด้วยก็เท่ากับว่าต้องอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง ผมไม่อยากจะยอมครับ พีช้ำหมดแน่ ผมรู้จักพี่ชายตัวเองดี
(หรือนายอยากให้คุณแม่จับได้ นายไม่เห็นเหรอว่าพีมันร้องไห้ตาบวมทุกวัน ขืนปล่อยให้อยู่ที่บ้าน คุณแม่จับได้กันพอดี) เหตุผลฟังเข้าท่า แต่ก็เป็นเหตุผลที่พี่ยะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำไม่รู้กันแน่ ที่พีร้องไห้เพราะตัวพี่ยะเองทั้งนั้น
“แต่ถ้าพี่ไม่ยุ่งกับพี พีก็คงไม่ร้องไห้” ผมพูดความจริง อีกฝ่ายกลับอารมณ์เสียหนักกว่าเดิม
(แล้วทำไมฉันจะยุ่งกับเมียตัวเองไม่ได้วะ ไม่อยากคุยแล้ววุ้ย แค่นี้แหละ....)
“เดี๋ยวสิพี่ยะ!” ไม่ทันแล้วครับ พี่ชายผมวางสายไปเรียบร้อย โทรกลับกลับก็ปิดเครื่อง โทรเข้าเบอร์พีก็ถูกตัดสายทิ้ง โทรไปอีกครั้งก็ปิดเครื่องไปด้วย
ผมปวดหัวไปหมด แต่ละเรื่องที่เข้ามาสุมอยู่ในหัว มันใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เรื่องของคุณฟ้าก็ยังต้องรอให้ออกปากบอกว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เข้าใจผิดว่าผมไม่ได้รัก ผมถึงจะรู้ว่าต้องแก้ความเข้าใจผิดให้กลายเป็นเข้าใจถูกต้องอย่างไร
เรื่องคลุมถุงชนที่นับวันจะยิ่งจริงจังขึ้น ถึงขั้นเอาดวงไปให้พระท่านดู แล้วอาทิตย์หน้าผมต้องไปเที่ยวเชียงรายกับน้องเนยสองคนโดยคุณหญิงแม่และคุณหญิงวลัยให้เหตุผลของการไปด้วยไม่ได้ว่า มีงานการกุศลเข้ามาด่วนแต่ไม่บอกว่างานอะไร อ้างว่าไม่อยากยกเลิกที่พักเพราะจองและจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว จะปฏิเสธก็ไม่ได้ โชคดีอยู่หน่อยที่เมื่อตอนกลางวันน้องเนยมาหาผม มาคุยเรื่องที่ว่าอยากจะขอพาเพื่อนสนิทที่บินมาญี่ปุ่นไปเที่ยวด้วย (เพื่อนน้องเนยที่เรียนเมืองนอกด้วยกัน)
แล้วเรื่องพี่ยะกับพีอีก ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สักวันเรื่องก็คงได้แตกก่อนเวลาที่คิด ตกลงกันเอาไว้ว่าจะบอกตอนพีเรียนจบมหา’ลัย ยิ่งสองสามวันมานี้ยัยภาก็เหมือนจะจับอาการผิดปรกติของผม พี่ยะ และพีอยู่บ่อยๆ บวกกับการที่พีร้องไห้บ่อยมาก ผมไม่เห็นต้องพีร้องไห้ มาเจออีกทีก็ตอนที่ตาบวมแล้วตลอด
ส่วนเรื่องของอิง หนึ่ง และน้องหวาน ผมก็ยังเป็นห่วงและเก็บเอามาเป็นเรื่องของตัวเองเหมือนกัน อยากช่วยให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ดี ผมรู้สึกผิดที่สนับสนุนให้อิงเลือกทำในสิ่งที่อยากทำ มากว่าสนับสนุนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งมันเท่ากับว่า ผมทำร้ายน้องหวานทางอ้อม
ทำไมชีวิตผมช่วงนี้ถึงมีแต่เรื่องให้กลุ้มก็ไม่รู้
เฮ้อ...
แต่ไม่ว่าจะมีอีกกี่ร้อยปัญหา ปัญหาที่ผมต้องรีบแก้และแก้มันเป็นอันดับแรกคือเรื่องคุณฟ้า...
พอลืมตาขึ้นผมก็เห็นคุณฟ้ายืนอยู่ตรงหน้า
“ออกมาทำไมครับ” ผมลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา เอามืออังหน้าผาคุณฟ้าดู อาการไข้น่าจะลดลงแล้ว ผมดีใจที่คุณฟ้าอาการดีขึ้น แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือ เจ้าตัวหยุดร้องไห้แล้ว เสียงสะอื้นก็เหมือนจะหมดไปด้วย น่าจะหยุดร้องนานพอสมควร
“ผมออกมาตาม” คุณฟ้าบอก ฝืนยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสเหมือนเดิม
“เข้าไปนอนกันครับ” ผมว่าแล้วจูงมือคุณฟ้าเข้าไปในห้อง ประคองให้นอนลง ผมเดินไปเปิดแอร์แต่ไม่แรงมาก แล้วย้อนกลับไปปิดไฟนอกห้องและในห้อง ก่อนตามมาล้มตัวลงนอนข้างๆ สวมกอดเนื้อตัวอุ่นๆ ของคุณฟ้าจากด้านหลัง
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน คุณฟ้าไม่พูด ผมก็ไม่พูด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน และเสียงหัวใจที่เต้นแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน
“...คุณหมอ” จู่ๆ คุณฟ้าก็เรียกชื่อผม เนื้อตัวที่ผมกอดแนบอกเริ่มสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ร้องนะครับ” ผมบอก
“ผม...” เสียงคุณฟ้าสั่น ผมจับไหล่ให้คุณฟ้าพลิกตัวหันหน้ามาทางผม ดึงใบหน้าน่ารักให้ซุกเข้ามาที่อก ผมไม่อยากให้คุณฟ้าร้องไห้ โดยเฉพาะมีผมเป็นสาเหตุ
“นอนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยพูด ผมมีเวลาฟังเหตุผลของคุณทั้งชีวิตครับ” ผมบอก แล้วคุณฟ้าก็เงียบไป ผมคิดว่าเจ้าตัวจะหลับ แต่ไม่กี่นาทีต่อมาก็พูดในสิ่งที่ผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนว่าจะเป็นเรื่องนี้
“คุณหมอรักคุณลม”
หมายความว่าไง? หรือนี่คือสาเหตุที่ทำให้คุณฟ้าคิดว่าผมไม่ได้รักตัวเอง...
“คุณหมอยังรักคุณลม”
คุณฟ้าไม่ได้ร้องไห้ ผมรู้ คุณฟ้าพยายามห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ให้ร้อง ตัวถึงสั่นขนาดนี้
“คุณหมอ...คุณหมอไม่ได้รัก...ไม่ได้รักผม...เพราะคุณหมอยังรัก...คุณลม....”
ไม่มีน้ำตาที่ไหลซึมบนอกผม มีเพียงคำพูดที่ขาดเป็นห้วง สั่นเครือ แผ่วเบา แต่มันกลับทำให้ผมรู้ว่าคุณฟ้าเจ็บปวดกับทุกถ้อยคำ ผมไม่รู้ว่าคุณฟ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง อาจเป็นใครสักคนในคลินิกที่รู้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยรักน้องลม ใครคนนั้นบอกเรื่องนี้กับคุณฟ้า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่มันก็คือความจริงที่ว่าครั้งหนึ่งผมเคยรักน้องลม ความจริงที่ผมไม่สามารถกล่าวโทษใครได้ นอกเสียจากยอมรับความจริงว่าคุณฟ้ารู้เรื่องนี้แล้ว รู้จากปากคนอื่นที่ไม่ใช่ผม มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าผมบอกคุณฟ้าด้วยตัวเองตั้งแต่วันนั้นที่หน้าหาด
“...คุณหมอรักคุณลม”
“ผมเคยรักน้องลม แต่ตอนนี้ผมรักคุณฟ้า รักคุณฟ้าคนเดียว” ผมพยายามจะดึงใบหน้าที่ซุกแน่นอยู่ที่อกผม ให้เงยหน้าขึ้นมามองสบตากัน แต่คุณฟ้ากลับขืนมันเอาไว้
“ผมไม่เชื่อ”
“ทำไมไม่เชื่อครับ” ผมเปลี่ยนมากอดคุณฟ้าให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“.....”
“ผมรักคุณฟ้าขนาดนี้ ไม่เห็นหรือครับ รักจนจะบ้าตายอยู่แล้วตอนที่คุณฟ้าไม่ยอมพูดกับผม ไม่ยอมให้ผมเจอ ไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้ผมมองหน้า ผมทรมานมากนะครับที่ไม่ได้นอนกอดคุณฟ้า”
“.....”
“ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ มันทรมานมากกว่าครั้งที่แล้วที่ไม่ได้กอดคุณฟ้าไม่รู้กี่ร้อยเท่านะครับ”
“......”
“ถ้าผมไม่ได้รักคุณฟ้า ผมจะทรมานอย่างนี้หรือครับ อยากกอดแทบตาย แต่ก็ทำได้แค่มอง” ผมยังคงพูดต่อไป ขณะที่คุณฟ้าไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีเพราะคุณฟ้าดูสงบกว่าเดิม ตัวไม่สั่น
“......”
“ผมไม่ได้บอกคุณฟ้าเรื่องของน้องลม เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ถ้าคุณฟ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ควรต้องรู้ ผมก็ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คุณฟ้ารู้”
“....”
“หลับหรือครับ” ผมถามเสียงเบาแล้วคลายอ้อมกอดออก ไม่แน่ใจว่าคุณฟ้าหลับไปเพราะอาการเหนื่อยจากการร้องไห้หนักและอาการไข้ที่ยังหลงเหลืออยู่
“....” คุณฟ้าส่ายหน้า ช้อนตาขึ้นมองผม บอกให้รู้ว่ายังไม่หลับ ผมถึงรั้งร่างกายนั้นเข้ามากอดอีกครั้ง
“จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือครับ” ผมถาม จูบซับลงบนกลุ่มผมนุ่มและหอมเหมือนขนม
“.....” คุณฟ้ายังเงียบ ไม่รู้เพราะอะไร หรืออยากให้เล่าอดีตของผมกับน้องลมให้ฟัง
“อยากให้ผมเล่าเรื่องของผมกับน้องลมไหมครับ” ผมถาม
“.....” ถึงคุณฟ้าไม่ตอบ ผมก็ตัดสินใจเล่าครับ
“...ผมเจอน้องลมครั้งแรกเมื่อตอนกลางปีที่แล้ว เห็นครั้งแรกผมรู้สึกชอบ จะเรียกว่าตกหลุมรักก็ได้นะครับ จากวันนั้นผมก็คอยตามจีบมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ครับว่าน้องลมมีตินอยู่แล้ว น้องลมเลิกกับตินก่อนที่จะมาเจอผม ทั้งที่ผมก็รู้จักติน แต่ไม่เคยรู้ว่าตินคือคนรักของน้องลม จนกระทั่งสามเดือนผ่านไป ผมถึงรู้ว่า...” ผมหยุดเล่า ทดสอบดูว่าคุณฟ้ายังฟังผมอยู่ไหม
“...หยุดทำไมครับ”
เพราะผมหยุดเล่า คุณฟ้าถึงเงยหน้าขึ้นมาถาม พร้อมกับขยับตัวออกจากวงแขนของผม ผมไม่ได้ดึงตัวคุณฟ้ากลับมากอด แต่เอี้ยวตัวไปเปิดโครมไฟที่โต๊ะข้างเตียง แสงสีนวลช่วยให้ผมเห็นคุณฟ้าชัดขึ้น เจ้าตัวนอนตะแคงมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว
“...เล่าต่อสิครับ” คุณฟ้าเร่ง ดูจากสีหน้าแล้วคงอยากฟังเรื่องของผมกับน้องลมมาก
“ครับ...ผมถึงรู้ว่า น้องลมกับตินเคยรักกัน ไม่ใช่สิครับ เขาสองคนยังรักกันอยู่ แต่มีเรื่อง ‘เข้าใจผิด’บางอย่างที่ทำให้เขาสองคนเลิกกัน”
ผมเน้นคำว่า ‘เข้าใจผิด’ เป็นพิเศษ อยากบอกให้คุณฟ้ารู้ว่า ‘ความเข้าใจผิด’ มักทำลายความรักของคนสองคนได้อย่างไม่น่าให้อภัย
“ แต่เพราะพวกเขารักกัน พวกเขาถึงทำลายเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด หันหน้ามาคุยกัน จนสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้ครับ” แต่ผมไม่เล่าหรอกว่า กว่าจะคืนดีกันได้ทุกคนรวมถึงผมด้วย ต้องรวมกันสุดฤทธิ์กว่าที่จะทำให้น้องลมกับตินหันหน้ามาคุยกันได้
“.....” คุณฟ้าก้มหน้าหลบสายตาผมที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของตัวเอง แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วินาที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง ราวกับจะคั้นเอาความจริงจากผม
“แต่คุณหมอยังคุณลม”
“ผมรักคุณฟ้า”
“คุณหมอรักคุณลม”
“ผมรักคุณฟ้า”
“คุณหมอรักคุณลม”
“ถ้าผมรักน้องลม ผมจะมาอยู่ตรงนี้กับคุณฟ้าหรือครับ ผมจะทรมานทุกครั้งที่เห็นคุณฟ้าร้องไห้หรือครับ ทำไมคุณฟ้าไม่เชื่อผม ใส่ใจอะไรกับอดีตที่ผมแก้ไขมันไม่ได้ ผมเคยรักน้องลม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ผมไม่เหลือความรู้สึกแบบนั้นกับน้องลมอีกแล้ว ผมต้องทำยังไง คุณฟ้าถึงจะเชื่อว่าผมรักคุณฟ้า ไม่ได้รักน้องลม”
ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองใส่อารมณ์ไปกับคำพูดนั้นด้วย เพราะผมอึดอัดที่คุณฟ้าเอาแต่พูดย้ำว่าผมรักน้องลม ผมรักคุณฟ้ามากขนาดนี้ เจ้าตัวยังคิดไปอย่างนั้นได้
“จะ...จะไปไหน...?” เพราะผมทำท่าจะลุกขึ้น คุณฟ้าจึงรีบคว้าแขนผมเอาไว้ ตะกุกตะกักถาม หน่วยตาก็เหมือนรื้นน้ำตาขึ้นมาอีก ผมระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนล้มตัวลงนอนตามเดิม ไม่ลืมที่จะคว้าเอาคนข้างกายมากอด
“ไม่ร้องนะครับ” ผมปลอบ พยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติ ไม่เคยสักครั้งที่ผมจะแสดงอาการแบบเมื่อครู่ใส่คุณฟ้า ไม่เคยเลยจริงๆ
“ฮึก...ฮึก...”
ราวกับว่าคำว่า ‘ไม่ร้องนะครับ’ ของผม ไปกระตุ้นต่อมน้ำตาของคุณฟ้าให้ไหลเร็วขึ้น
“ฮึก...ก็ผม...ผมเห็น...ฮึก...เห็นคุณหมอซื้อสร้อย...ฮึก...ให้คุณลม......แล้ว...แล้วจะให้ผมคิด...คิดยังไง...ฮึก...”
คุณฟ้าเห็นผมกับน้องลมงั้นเหรอ? วันนั้นคือวันแรกที่คุณฟ้าหลบหน้าผมไปอยู่กับคุณนนท์
“แล้ว...แล้วคุณหมอ...ฮึก...คุณหมอกำลังจะแต่งงาน...กับคุณเนย...”
แต่งงาน!!
คุณฟ้ารู้ได้ยังไง?
>>>>>>>> Happy Na Ka <<<<<<<<
คนเขียนขอคุย :: ช่วงนี้คนเขียนกำลังอยากอาร์ทแตกบ้างให้ชีวิตมีสีสัน เลยเกิดไอเดียที่ว่า
1. ลองตัดจบ แบบค้าง~~ ดูสักหน่อย (พยายามจะให้มันค้าง แต่มันก็ค้างไม่มาก ^__^’)
2. ลองแต่งให้สั้นลง แบบอยู่ในคห.เดียว~~ ดูบ้าง
ประการฉะนี้แล~~~~ ทำให้เกิดตอนนี้ขึ้นมา อิอิ
ปล.คนเขียนโม้ไปงั้นแหละค่ะ ที่จริงแค่คิดว่าเขียนสั้นๆ ดีกว่า อิอิ เพราะเขียนยาวแล้วชักจะเหนื่อยจริงจังแหะ ==’
บับบายนะคะ ขอตัวไปปั่นเรื่องสั้นต่อก่อนนะคะ ^___^
สีเหลืองอ่อน // aeaw