ตั้งแต่นี้จะเปลี่ยนชื่อ 'เจ้า' เป็น 'จ้าว' เพื่อความอ่านง่าย ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feeling used…But I’m
Still missing you…And I can’t
See the end of this… “เป็นไรวะ หมู่นี้ฟังแต่เพลงอกหัก” ประโยคทักทายพร้อมน้ำหนักมือวางบนบ่า ดึงให้ผมออกมาจากภวังค์ความคิด ที่ปล่อยให้ล่องลอยตามเสียงเพลงอยู่นานสองนาน
“แค่อยากฟัง เพลงพวกนี้มันอินดี” เพราะผมกำลังตกอยู่ในสภาพนั้นไง
“โหย ใครทำมึงอกหักเนี่ยจ้าว เอางี้ มึงมาฟังเรื่องราวความรักของคนที่กูไปช่วยเป็นพ่อสื่อดีกว่า เผื่อว่ามึงจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง” ปุณพูดพลางหัวเราะตบบ่าจนไหล่ผมแทบทรุด เข้าใจว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะเล่าช่วงเวลาป๊อปปี้เลิฟของคนรู้จักมันให้ผมฟังจริงหรอก แค่หาเรื่องให้ผมโวยวายคลายความเศร้าลงบ้าง ผมยิ้มฝืนๆ จะให้บอกได้ยังไง คนที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพนี้คือมัน
“เฮ้ย มันโทรมาตามว่ะ กูไปก่อนนะไว้เจอกันพรุ่งนี้ มึงก็รีบหายเศร้าหาหญิงใหม่ได้แล้ว หน้าอย่างมึงแค่กระดิกนิ้วสาวก็มาตรึม เชื่อกู” มันขยิบตาให้อย่างขี้เล่น ก่อนกดรับโทรศัพท์แล้วจากไป ปล่อยให้ผมนั่งอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนเก้าอี้ในโรงอาหารมหา’ลัย
ผมกับปุณไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่เด็กจนแอบรักเหมือนอย่างในละคร เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกตอนเข้าปีหนึ่ง ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน แถมสร้างวีรกรรมมาสายตั้งแต่รุ่นพี่นัดรวมตัวครั้งแรก ผมก็กวน มันก็กวนจนรุ่นพี่ไล่ทำโทษทั้งคู่ สุดท้ายเลยได้เป็นเพื่อนสนิทในแบบแปลกๆ
ปุณเป็นแบบฉบับที่พวกผู้ชายชอบ ตัวเล็กผิวขาว ตาโต ปากแดงน่ารัก แถมยังตัวหอมทั้งที่ไม่ต้องพึ่งน้ำหอมอย่างคนอื่น แต่ก็เข้มแข็ง ร่าเริงสดใส สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมมือกับผมซัดพวกนักเลงนอนกองได้สบายๆ ส่วนผมเป็นชายหุ่นนายแบบควบตำแหน่งเดือนคณะ มีแต่สาวๆ หมายปอง ขนาดหนุ่มน้อยหลายคนยังทอดสะพาน การเรียนผมก็ดีเด่นไม่เป็นรองใคร เรียกได้ว่าเพอร์เฟคทุกอย่าง
ที่ผ่านมาคนผมหมายตาไม่เคยมีใครรอดมือผมสักราย ยิ่งผมเป็นพวกได้ทั้งชายหญิงความนิยมเลยพุ่งสูง มีจำนวนไม่น้อยที่ขอให้ผมกอดสักครั้งก็ยังดี ทำให้ผมดูเป็นพวกเจ้าชู้ไปโดยปริยาย ทั้งที่ผมแค่สนองในสิ่งที่พวกนั้นเสนอมาเองนะ
ใครจะไปคิดล่ะว่าเสือร้ายอย่างผมจะสิ้นท่าให้กับเพื่อนสนิทของตัวเอง ผมไม่ได้หลงรักปุณตั้งแต่แรกเห็น ความรู้สึกพิเศษมันเริ่มเพิ่มพูนขึ้นมาทีละน้อยตั้งแต่ปีสอง ผมหวั่นไหวให้กับความใจดีของเขา แม้ผมจะรู้ดีว่าปุณทำไปในฐานะเพื่อน
ยิ่งนานวันความชอบยิ่งมากจนผมเกือบเก็บมันไว้ไม่อยู่ เผลอลวนลามเพื่อนตัวเองตอนเนียนไปเที่ยวบ้านเป็นประจำ อยู่มหา’ลัยก็แอบสกินชิพตลอด กระทั่งมีหลายคนแซวด้วยซ้ำว่าผมกับมันเป็นคนรักกัน แทนที่มันจะปฏิเสธดันคล้องแขนเออออตามให้เพื่อนขำ ซึ่งผมไม่ขำเลยสักนิด ถึงจะรู้ยินดีที่อีกฝ่ายดูไม่รังเกียจผมเหมือนอย่างพวกที่เข้ามาจีบก็เถอะ
แน่นอนว่าจ้าวพวกนั้นถูกผมกำจัดลับหลังไปเรียบร้อย เรื่องอะไรจะยอมให้มาแตะต้องปุณน้อยของผมกัน
ช่วงที่ผมคิดว่าเวลาแบบนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็พังทลายลงเพราะผู้ชายที่ชื่อพอร์ช...
ไอ้สารเลวนั้นไม่รู้ผุดมาจากนรกขุมไหน ตลอดสองปีไม่เคยเห็นหัว ดันโผล่มาช่วงที่ผมตัดสินใจว่าจะรุกปุณอย่างจริงจัง ช่วงแรกยังไม่เท่าไหร่ ปุณดูไม่สนใจ ออกจะรำคาญด้วยซ้ำ ผมก็คิดไปว่าคงจะเหมือนกับพวกที่ผ่านๆ มา เดี๋ยวคงไสหัวไปเอง
ที่ไหนได้ นอกจากมันไม่ไสหัวไปแล้ว ยังมีสารพัดสถานการณ์เป็นใจให้สองคนนี้ได้ใกล้ชิดกัน เหมือนสวรรค์สาป นรกส่ง ผมแทบจะชูนิ้วกลางด่าสวรรค์วันละสามเวลา บุพเพบัดซบ!! โชคชะตาชะเป็นยังไงผมไม่สน ผมรู้แต่ว่าปุณต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น
แต่ผมแคร์เขามาก ไม่อาจหักหาญน้ำใจได้ ผมเลยใช้ความสามารถของตัวเอง ถามเรื่องลับๆ ของนายพอร์ชมาตีแผ่ให้ปุณรู้ ลองดูสิ ระหว่างเพื่อนสนิทอย่างกับผมคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจออย่างมัน ใครกันที่ปุณจะเชื่อมากกว่า
ผลที่ตามมาถือว่าสำเร็จอย่างสวยงาม ปุณหวั่นไหวกับคำพูดของผม ว่ามันเจ้าชู้ ฟันแล้วทิ้ง ทำใครต่อใครร้องไห้มานักต่อนัก แล้วยังมีคู่หมั้นอีกต่างหาก ถึงผมจะสนองเขาไปทั่ว แต่ทุกคนที่คบกับผมจบลงด้วยดีทั้งหมด ที่สำคัญผมไม่มีคู่หมั้นห่าเหวอะไรทั้งนั้น อีกทั้งยังพร้อมที่จะดูแลปุณเสมอ
แม้จะน่าเจ็บใจที่ปุณดูอ่อนไหวกับเรื่องพอร์ช แต่ไม่เป็นไร พอปุณรู้สันดานมันแล้วก็จะเลิกยุ่ง เพราะปุณเป็นคนที่เกลียดผู้ชายทำร้ายผู้หญิงมากที่สุด ขนาดผมยังต้องลดละเลิกนิสัยชั่วๆ ตอนมัธยมเพื่อปุณเลย
ช่วงเวลาที่ผมกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ วางแผนในหัวว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไอ้สารเลวตัวที่สองก็โผล่มา มันชื่อเซย์เป็นเพื่อนสนิทของสารเลวหมายเลขหนึ่ง หากไม่มีมันที่ฉลาดเป็นกรด ผมคงกำจัดพอร์ชไปได้นานแล้ว
“มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น สนุกมากรึไง”
เซย์เดินล้วงกระเป๋ากางเกงวางท่าเข้ามาจ้องผมในระยะประชิด เราทั้งคู่ตัวสูงไล่กัน ขนาดตัวก็ไม่ต่าง ผมไม่หวั่นเกรงมันสักนิด เลิกคิ้วกวนตีนกลับไป เดาะลิ้นอย่างท้าทาย
“ใช่ กูสนุกมากกก แล้วยังไง มึงจะมาซัดกูเพื่อช่วยเพื่อนมึงเหรอไง”
เอาเลยสิ ผมแทบอดใจรอไม่ไหว หากมันลงมือจริงนั่นเท่ากับว่าพอร์ชมันเพิ่มคดีอีกกระทง ปุณเป็นคนรักเพื่อนมาก หากรู้ว่าผมโดนทำร้ายโดยมีพอร์ชมาเกี่ยวข้อง เรื่องของผมก็จะง่ายขึ้น
“อย่ายั่วยุซะให้ยาก ฉันไม่โง่ทำอะไรที่นายได้ผลประโยชน์หรอก แค่จะมาเตือน หยุดการกระทำชั่วๆ ของนายได้แล้ว หากไม่อยากโดนเพื่อนรักเกลียดขี้หน้า”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น ปากหนายกยิ้มเป็นต่อ ผมเกลียดมัน มันก็เกลียดผม เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เรานิสัยเหมือนกันเกินไป รู้ทันกันไปหมดจนน่าหงุดหงิด อย่างที่ผมเดาได้ว่ามันต้องวิ่งแจ้นมาหาผมคนแรก แทนเพื่อนโง่เง่าที่มัวแต่อาละวาดทำร้ายตัวเองเพราะปุณหลบหน้า
ผมยิ้มร้าย ไม่ยี่หระกับสิ่งที่มันพูด
“อยากทำอะไรก็เชิญ” เพราะปุณรู้วีกรรมของผมสมัยมัธยมหมดแล้ว จะเลวจะชั่วแค่ไหนก็สารภาพไปจนหมดเปลือก ผมวางแผนทุกอย่าง ไม่เปิดช่องให้พวกมันโจมตีหรอก
เห็นท่าทางไม่เดือดร้อนของผมแบบนี้ เซย์ก็รู้ได้ในทันทีว่าไม่อาจย้อนแผนทำร้ายผมได้ เจ้าตัวยอมผละไปในที่สุด แต่ไม่วายทิ้งท้ายด้วยคำพูดเจ็บแสบ
“ตอนนี้ฉันอาจจะยังทำอะไรนายไม่ได้ แต่อยากจะเตือนนายไว้อย่าง เคยได้ยินรึเปล่า ยิ่งผ่านอุปสรรค์ความรักก็ยิ่งแนบแน่น กว่านายจะรู้ตัวอีกที พวกเขาคงปรับความเข้าใจรักกันหวานชื่นด้วยฝีมือของนาย”
ผมกำหมัดแน่น ก่อนจะคุมอารมณ์ตัวเองให้สงบลงอย่างรวดเร็ว ความโกรธมีแต่จะทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
“คอยดูไปเถอะ ว่าจะแนบแน่นหรือขาดสะบั้นตลอดกาล”
เค้นเสียงหัวเราะหึ ตบหน้าอีกฝ่ายเยาะเย้ยแล้วหันหลังเดินจากไป ผมได้ยินเสียงขบกรามของอีฝ่ายจังหวะที่เข้าใกล้ ไม่ต้องหันไปมองก็พอเดาได้ว่าสายตาคงแทบแผดเผาผมให้เป็นจุล
ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ปุณกับพอร์ชทะเลาะกันอย่างรุนแรงในหอของปุณเอง ดูเหมือนพอร์ชจะเป็นฝ่ายบุกมาหา ด้วยความอารมณ์ร้อนของมันทำให้เผลอทำร้ายปุณเข้า ผมที่คอยเฝ้าดูเขาอยู่เสมอจึงโผล่เข้าไปช่วยอย่างทันท่วงที ผมรู้ ผู้ชายเลวๆ อย่างมันหากถูกต้อนให้จนมุมย่อมคิดสั้นทำอะไรบ้าๆ เพื่อแสดงอำนาจและจุดยืนของตัวเองแน่
มันเป็นอย่างที่ผมคิดไม่มีผิด ไอ้สารเลวมันคิดข่มขืนปุณ! ผมคว้าไหล่ซัดมันจนเลือดกบปาก ถอดเสื้อตัวเองคลุมตัวเพื่อนปกป้องอีกฝ่ายไว้ด้านหลัง แม้เสียงสะอื้นของปุณจะทำให้ผมปวดใจ แต่ถ้ามันทำให้ปุณตัดใจจากคนเลวๆ ได้ผมก็ยินดี
แน่นอนว่ามันไม่ยอมง่ายๆ ยิ่งเห็นปุณพึ่งผมเต็มตัว แถมโดนสายตาเย้ยหยันจากผม มันก็เลือดขึ้นหน้าพุ่งเข้ามาแลกหมัด ผมรออยู่ก่อนแล้วยกเท้ายันท้องมันกลับ คนไร้สติกับผมที่คิดทุกอย่างรอบคอบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝ่ายไหนจะได้เปรียบ ผมอาศัยโอกาสนี้ซัดมันแบบไม่เกรงใจ ถือว่าเป็นการระบายความโกรธไปในตัว
กล้าดียังไง กล้าดียังไงมาแตะต้องปุณของผม!!
ขณะที่ผมกระชากคอเสื้อคนหมดสภาพ กำลังจะลงอีกหมัด แขนดันถูกคว้าไว้ด้วยใครอีกคน
“จ้าว! พอได้แล้ว!!”
ยกมือเสยผมอย่างหงุดหงิด ปรับสีหน้ากับน้ำเสียงหันไปคุยกับเพื่อนรัก ถึงงั้นก็ยังเจือไปด้วยความโกรธอยู่ดี
“มึงจะมาห้ามกูทำไมปุณ มันจะ...โว้ย!! วันนี้แหละขอกูกระทืบมึงให้ตายไอ้เหี้ยพอร์ช”
“จ้าว!! บอกให้พอไง”
แรงอย่างปุณมีหรือจะห้ามผมได้ หมัดจวนจะถึงหน้าดันมีมารเข้ามาขวาง ฝ่ามือร้อนรับหมัดผมไว้ จงใจกำแน่นจ้องมองผมด้วยความโกรธ หึ! ตัวเสือกโผล่มาแล้ว
“เซย์ พาพอร์ชไปโรงพยาบาล บะ...บอกด้วยว่าอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!!”
ผมยืนอยู่หน้าปุณ ทำให้เพื่อนสนิทไม่เห็นสีหน้าผมที่ลิงโลดแบบสุดๆ รอยยิ้มระบายเต็มหน้า ต่างกับเซย์ที่กำลังประคองเพื่อน ดวงตามันวาววับกัดฟันข่มอารมณ์โกรธหันไปคุยกับปุณอย่างใจเย็น เซ็งชะมัด ผมเกลียดคนมีสมอง
“พาไปแน่อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่จะบอก ไว้รอมันฟื้นค่อยบอกเองแล้วกัน ฉันไม่ใจคนใช้มัน”
อ้อเหรอ ไม่ใช่คนใช้แต่ทำตัวเป็นอัศวิน ออกหน้าปกป้องเพื่อนไร้สมองตลอด ผมละสงสัยนัก บางทีมันอาจจะชอบพอร์ชก็ได้ ถึงได้ดูเป็นห่วง เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของมันซะจริง
มันจ้องผมก่อนจะออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก ผมหันมากอดปลอบขวัญปุณเลิกสนใจเจ้าพวกนั้น
“ไม่เป็นไรนะปุณ จ้าวจะปกป้องปุณเอง” แทนที่มันจะซึ้งดันผลักผมออก
“กูดูแลตัวเองได้”
ได้ยินแบบนี้ผมถึงกับขึ้น
“ดูแลบ้าอะไร เรื่องเมื่อกี้ยังไม่ชัดเจนพอใช่มั้ย ปุณ...กูขอล่ะ เลิกยุ่งกับมันไปเถอะ แค่มึงกับกูก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องนี้กูตัดสินใจเอง อีกอย่างมึงทำเกินไป” พอเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ปุณหันมาโทษผม
“ทำเกินไปตรงไหน มันจะข่มขืนมึงนะ! กูว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ อยากตามไปกระทืบถึงโรงบาลให้ตายไปเลย” ผมตวาดกร้าว อารมณ์พลุ่งพล่านจนยากจะระงับ ยังเป็นห่วงมันอีกเหรอ ทั้งที่มันทำถึงขนาดนี้
ปุณสะดุ้งเพราะไม่เคยโดนผมเสียงดังใส่มาก่อน เขาหน้าเสียแต่ด้วยนิสัยไม่ยอมคนเลยยังเถียงสู้
“พูดเรื่องตายๆ แบบนี้ได้ยังไง มันเป็นเรื่องใหญ่นะ ทำไมมึงถึงโหดร้ายแบบนี้วะ”
“แล้วที่มันทำ!”
“จ้าว!! กูไม่อยากพูดอีกแล้ว ปากด่าแต่คนอื่นอย่างกับตัวเองไม่เคยทำ” คงเพราะฟิวส์ขาด ปุณจึงหลุดปากพูดบางสิ่งออกมา ดวงตาผมเบิกกว้างอารมณ์ร้อนเมื่อครู่ถูกดับวูบในพริบตา
“เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ?”
หัวใจผมเต้นรัวกับสิ่งที่ได้ยิน ปุณดูตกใจที่หลุดปาก สิ่งที่พูดออกไปเอากลับคืนไม่ทันแล้ว คนตรงหน้าจ้องผมนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่นมือเริ่มสั่นระริก
“กูรู้ทุกอย่างที่มึงทำจ้าว เรื่องที่มึงทำกับกูตอนหลับและที่มึงทำลับหลัง กู-รู้-ทุก-อย่าง!”
“งั้นทำไม...” ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย ทำไมถึงไม่ต่อว่าผม
“เพราะมึงเป็นเพื่อนกูจ้าว เพื่อนคนสำคัญเพียงคนเดียวที่กูมี”
ผมควรจะบอก บอกกับเขา...เผื่ออะไรจะดีขึ้นมาบ้าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้
“กูชอ...”
“ขอโทษ...กูขอโทษ อย่าพูดคำนั้นออกมาเลย แค่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็แย่มากพออยู่แล้ว กูไม่เอาเรื่องมึงแต่ใช่จะไม่โกรธกับสิ่งที่มึงทำทุกอย่าง กูเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งมึงเข้าใจใช่ไหม”
ผมเข้าใจ เข้าใจทุกอย่าง กระทั่งคำนั้นมันยังไม่ให้ผมพูดออกมา ผมทำได้เพียงก้มหน้าซ่อนความร้าวลึกเอาไว้ แล้วเงยหน้ามองมันด้วยสีหน้าปกติ กับรอยยิ้มที่มันเคยชมผมว่าดูดี อ่า...ผมคงใจร้อนมากไป ปุณเจอเรื่องแย่ๆ ไม่ควรไปกดดันมาก ผมควรจะเอาใจเขาถึงจะถูก
“ใจเย็นๆ ทำใจให้สงบ มึงไปแต่งตัวก่อนเดี๋ยวกูช่วยเก็บห้องให้ เสร็จแล้วค่อยลงไปหาอะไรกินกัน ท้องอิ่มถึงจะคิดอะไรออกได้ มึงเป็นคนบอกกูเองไม่ใช่เหรอ”
พูดพลางก้มลงเก็บของระเนระนาดกลับเข้าที่ สีหน้าปุณดูดีขึ้นหันไปแต่งตัวตามที่ผมบอก ก่อนจะยื่นเสื้อส่งคืนให้ผมที่เปลือยท่อนบนอยู่ แล้วลงมือเก็บอีกแรง
กว่าจะเก็บของเข้าที่ ทิ้งของที่เสียหายก็กินเวลาไปไม่น้อย ผมกับปุณลงมาหาร้านข้าวง่ายๆ กินใต้หอ คืนนั้นผมนอนเป็นเพื่อนเขาเพราะดูอีกฝ่ายยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเฝ้าดูท่าทางเขาตลอด เอาแต่มองประตูสลับกับมองมือถือราวกับรอใครสักคนโทรมา
ผมเจ็บจนกระทั่งต้องหลบไปเข้าห้องน้ำ ใช้มือทุบอกหนักๆ ให้ความเจ็บทางกายภาพช่วยลดทอนความรู้สึกที่อยู่ภายใน ผมปลอบใจตัวเองอย่างที่เคยทำ ทุกอย่างมันยังไม่จบ ไอ้พอร์ชมันยังนอนอยู่โรงพยาบาล ผมยังมีโอกาส ใช่...ต้องวางแผนขั้นต่อไปแล้ว
แต่ผมเดินหมากช้าไปก้าวหนึ่ง...วันรุ่งขึ้นประตูห้องถูกเคาะตั้งแต่เช้า ปุณที่ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เซากลับเป็นคนที่ตื่นตัวรีบพุ่งไปเปิดประตูเผยให้เห็นผู้มาเยือน
เซย์กับชุดเมื่อวานที่เปื้อนเลือดเล็กน้อย แววตาแฝงความอิดโรย เขาเมินผมที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังปุณ คุยกับเจ้าของห้องแทน
“พอร์ชเป็นยังไงบ้างเซย์” ปุณดูเป็นห่วงอาการมันมาก ก็แปลกน่าแปลกใจอะไร มือเท้าผมหนักจะตาย ส่งคนเข้าโรงบาลเป็นเดือนยังเคยมาแล้ว ปุณที่เป็นคู่หูผมย่อมรู้ถึงฝีมือผมดี เมื่อวานเล่นซัดไปเต็มเหนี่ยว คิดว่าป่านี้ยังไม่พ้นจากโรงบาลหรอก
“ก็ดี แค่นอนยังไม่ได้สติ โทษทีนะ ฉันขอเข้าไปหน่อย ดูเหมือนว่าเมื่อวานพอร์ชมันจะทำมือถือตกไว้ที่นี่”
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้สตินอนอยู่โรงพยาบาล ปุณก็ยืนสติหลุดเปิดทางให้เซย์เข้ามาในห้องอย่างง่ายดาย ผมกอดอกยืนขวาง
“คิดจะทำอะไร” ผมมั่นใจว่าเมื่อวานตอนเก็บของไม่เห็นมือถือที่มันกล่าวอ้าง ร่างสูงเอี้ยวตัวผ่านผมทำเป็นก้มหาแถวโซฟา ปากพูดด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน
“ทำเรื่องทุกอย่างให้มันถูกต้อง นายควรพอได้แล้วจ้าว คำตอบทุกอย่างนายรู้อยู่แก่ใจ”
ดวงตาคมปรายมอง มือหยิบมือถือจากใต้โซฟาอย่างแนบเนียน ทั้งที่เห็นๆ ว่ามันซ่อนอยู่ตรงฝ่ามือ ผมนิ่งไม่ขัดขวาง อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไร
“เจอมั้ยเซย์” เจ้าของห้องที่เพิ่งได้สติออกปากถาม เซย์พยักหน้ารับลองปลดล็อกหน้าจอเช็คแบบจงใจให้ปุณเห็น ผมคิ้วกระตุก พอจะเข้าใจแล้วว่าเจตนาของเซย์คืออะไร ในเมื่อภาพนั่นเป็นภาพของปุณกับพอร์ชที่โอบคอกันถ่ายรูปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มันจงใจมาพูด แสดงให้เห็นเพื่อกระตุ้นให้ปุณไปหาพอร์ช
และดูเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วย...
“นายจะไปไหนปุณ” ผมถามเสียงเรียบ ปุณสะดุ้งมองผมอย่างหวาดๆ ขอบคุณที่ยังนึกถึงผมอยู่นะ แม้ว่าจะเป็นเพราะกลัวผมไปทำมันตายคาโรงพยาบาลก็เถอะ
“ฉัน...”
“ฉันกลับโรงพยาบาลก่อนนะ พ่อแม่เจ้านั้นอยู่ต่างประเทศกันหมด ไม่มีคนเฝ้า” เซย์ขอตัวได้จังหวะ ปุณลังเลอย่างหนัก หัวใจของเขาคงไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมมองภาพนั้นพลางถอนหายใจ
“จะไปโรงบาลใช่มั้ย เดี๋ยวฉันขับเอง แต่ละคนไม่ได้นอนทั้งคืน เดี๋ยวจะไม่ถึงโรงบาลเอา” ผมหยิบกุญแจรถของตัวเองขึ้นมาชู เมินสายตาแปลกใจของเซย์และสีหน้ายินดีอย่างปิดไม่มิดของปุณ
ผมที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วมารอปุณแต่งตัวบ้าง ที่นี่มีห้องน้ำห้องเดียวต้องผลัดกันเอา ความจริงปุณจะไม่ทำกิจวัตรยามเช้าด้วยซ้ำ แต่ถูกผมยื่นคำขาดว่าหากไม่ทำจะไม่ยอมพาไป จึงยอมเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย ในห้องนั่งเล่นเลยเหลือเพียงแค่ผมกับเซย์ พวกเราไม่เปิดปากพูดแม้แต่คำเดียว พอเขาจะพูดผมก็แสร้งทำอย่างอื่นจนอีกฝ่ายล้มเลิกความตั้งใจไป
พอปุณออกมาเราถึงเดินทางไปโรงพยาบาลตามคำบอกของเซย์ ที่นี่เป็นโรงบาลเอกชน ก้าวแรกที่เข้าไปพบกับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกับสภาพแวดล้อมที่สะอาดสะท้านสมกับเป็นโรงบาลราคาแพง ปุณแทบจะวิ่งนำ หากไม่ติดว่าต้องให้เซย์นำทางคงพุ่งออกไปแล้ว
ไอ้พอร์ชอยู่ห้องพักฟื้นวีไอพี กวาดตาดูผ่านๆ ก็ยังสุขสบายดีแค่ยังไม่ฟื้นอาจจะด้วยฤทธิ์ยาหรืออะไรก็แล้วแต่ ปุณเหมือนโนความรักบังตา ทำหน้าเหมือนเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสยามเห็นสภาพเน่าๆ ของมัน ผมรู้ความดีไม่เปิดปากเหน็บแนมให้สะใจ ไม่งั้นปุณคงมองผมในแง่ร้าย
เซย์จงใจยืนข้างผม ชวนสนทนา
“ยังพยายามรักษาหน้ากากอยู่อีกเหรอ”
ผมไม่ตอบโต้อะไร เพียงแค่ปรายตามองอย่างเย็นชา เดินไปชวนปุณคุย อาสาซื้อของกินมาให้ เพราะพวกเรายังไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เช้า เพื่อนรักผมดันบอกให้ซื้อมาเผื่อเชี่ยเซย์อีก แม้จะไม่อยากทำแต่ปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายผมเลยเป็นคนลงไปซื้อข้าวกล่อง
ของปุณผมตั้งใจสั่งแต่ของโปรด คะยั้นคะยอให้เขากินให้หมด แต่ปุณมัวแต่เป็นห่วงคนจนกินไปแค่ครึ่งเดียว ผมเองก็หมดความอยากอาหารทิ้งกล่องโฟมไม่ใยดี ต่างจากเซย์ที่ยังละเลียดกินหมดหน้าตาเฉย ทั้งที่ผมสั่งแต่ผักกับข้าวมาให้มันกิน
ความสงบนิ่งที่แสดงออกมาภายนอกของผมสั่นคลอนทันทีเมื่อพอร์ชฟื้นขึ้นมาตอนบ่าย ปุณกระวีกระวาดกดปุ่มเรียกหมอกับนางพยาบาลมาดูอาการ ผลออกมาว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่กระดูกร้าวนิดหน่อย กับรอยพกช้ำตามตัว ปุณแสดงสีหน้าวิตกอย่างกับมันเป็นเรื่องใหญ่
ผมกำลังจะก้าวออกไปชวนปุณกลับบ้าน กลับถูกคนที่เงียบมาตลอดดึงแขนไว้ พวกเราจ้องตาอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายตาหมอกับนางพยาบาลที่เดินออกไป มองพวกเราอย่างหวาดๆ คงกลัวจะมีเรื่องกันที่นี่ ผมกระชากแขนออกเดินเข้าไปหาปุณ ทำให้ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันเต็มสองหู
“พอร์ช เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงเป็นห่วงสุดใจ ทำให้ใครบางคนเจ็บแปลบ
“แค่เห็นหน้านายก็รู้สึกดีแล้ว...ขอโทษนะปุณ ฉันมันเลว ฉันมันชั่วที่ให้อารมณ์ชั่ววูบควบคุมตัวเองจนเกือบทำร้ายนาย”
“ใช่! นายมันเลวโคตรพ่อโคตรแม่ หายเมื่อไหร่ฉันจัดการนายซ้ำแน่ บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าอย่าดื่มเหล้าจนขาดสติ”
“ขอโทษ...ฉันเครียดเรื่องปุณเลยดื่มหนักไปหน่อย ช่วยฟังฉันหน่อยได้ไหม อย่างน้อยก็ขอโอกาสให้ฉันอธิบาย”
คนเจ็บยกมือสั่นเทาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเต็มไปด้วยความรู้สึก แทนที่ปุณจะปัดออก กลับจับมือข้างนั้นไว้
“เรื่องทุกอย่างเอาไว้ค่อยคุยตอนนายหาย” นั่นไม่เท่ากับว่าจะอยู่เฝ้ามันตลอดเหรอ...
“ไม่ปุณ ฉันจะไม่รออีกแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะพังลงเพราะใครบางคน ในอดีตฉันเคยเจ้าชู้ก็จริง แต่พอเจอปุณ ฉันตัดขาดกับเรื่องพวกนั้นหมด เรื่องหมั้นเองก็ถูกยกเลิกไปแล้ว สำหรับฉันชลเป็นเพียงแค่น้องสาว แถมเธอก็มีคนรักแล้วด้วย”
“ทำไมไม่บอกกันแต่แรก...”
“ฉันกำลังจะบอก แต่พวกเราทะเลาะกันก่อน ปุณ...พอร์ชรักปุณนะ รักมาก เชื่อใจพอร์ชเถอะ” น้ำเสียงเว้าวอนที่หากผู้หญิงมาได้ยินคงใจอ่อนทุกราย ไม่เว้นกระทั่งเพื่อนของผม น่าสมเพชชะมัด
“ไม่รู้! ไม่ยกโทษให้ ถ้าอยากคุยก็รีบหายไวๆ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที”
แค่นี้ก็พอแล้ว...คำพูดของปุณตอนนี้ไม่ต่างจากการให้อภัยพอร์ชทุกอย่าง ในขณะที่ผมยืนนิ่งค้างอยู่หลังฉาก มองภาพบาดตาเหล่านั้นจนจำลึกในสมอง รู้สึกมือเท้าชาไปหมด หัวว่างเปล่าไปชั่วขณะจนมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“นายควรจะรู้จุดยืนของตัวเองได้แล้ว ก่อนที่แม้แต่ฐานะเพื่อนก็จะไม่...” เขาหยุดไปเพราะผมไม่ทนยืนฟังต่อ
”นั่นนายจะไปไหน”
“เรื่องของฉัน” ผมตอบเสียงเย็น
จบ... ทุกอย่างมันจบแล้ว! ไม่มีความหวัง ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดผมแค่หลอกตัวเอง มันไม่มีโอกาสตั้งแต่ต้น ผมเข้าใจดี ผมไม่ได้โง่ ผมควรจะทำใจได้ในเมื่อรู้ตั้งแต่แรก แล้วทำไมหัวใจผมถึงเจ็บปวดขนาดนี้...
ต่อด้านล่าง
v
v