#ตอนที่หนึ่ง
ผ่านมาสองวันแล้ว หลักจากเหตุการณ์คืนนั้น เดือนสิบยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ ทุกวันของเขายังคงเรียบเรื่อยอย่างที่เคยเป็นมา เพียงแต่คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันมันไม่มีอีกแล้ว เขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย หรือแสดงอาการเศร้าหมองกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดือนสิบยังคงเป็นเดือนสิบที่เงียบสงบและยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่ในมุมของตัวเอง
เรื่องที่เขาเลิกกับไอ้นุแถมยังเอาขวดเบียร์ฟาดหัวมันดังกระฉ่อนไปทั้งคณะ เพราะไอ้นุมันเป็นถึงเดือนคณะมีคนรู้จักเยอะ ไม่แปลกที่เรื่องนี้จะเป็นที่สนใจของใครหลายๆคน
ตอนคบกันเขากับไอ้นุไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ก็จริง แต่การที่เขากับมันตัวติดกันตลอดในช่วงนั้นก็ทำให้คนอื่นเดาได้ไม่ยาก เดือนสิบพยายามเมินสายตาหลายๆคู่ที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาอึดอัดกับคำถามเดิมๆซ้ำๆที่คนถามเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นความเงียบจึงเป็นคำตอบของทุกทำถามที่ถาโถมเข้ามา
“เที่ยงนี้กินไรดีวะ” เสียงพูดลอยๆของไอ้ปืนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแลคเชอร์ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มเรียนไปได้แค่ยี่สิบนาที ทำให้เดือนสิบต้องละสายตาจากจอโปรเจคเตอร์กลับมามองเพื่อนสนิท ไอ้ปืนหาวหวอด ปรือตามองเขาอย่างรอคำตอบ
“โรงอาหารคณะนี่แหละ ตอนบ่ายกูมีเรียนอีกวิชา” มันพยักหน้ารับเนือยๆ พึมพำบอกให้เขาตั้งใจเรียนจะได้กลับไปติวให้มันก่อนจะปิดเปลือกตาลงในที่สุด เดือนสิบได้แต่ส่ายหน้าระอา ก่อนจะหันกลับไปสนใจเสียงบรรยายของอาจารย์ประจำวิชาต่อ
.
.
.
บรรยากาศตอนเที่ยงของโรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ ยังคงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกโวยวายของเหล่านักศึกษา สมกับที่ถูกเรียกว่าเป็นคณะที่มีความเถื่อนสูงที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงใกล้สอบปลายภาค ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นเด็กคณะนี้นั่งสงบเสงี่ยมอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
เดือนสิบฝากเพื่อนสนิทซื้อข้าว ก่อนจะแยกออกมาซื้อน้ำทั้งของตัวเองแล้วก็ของมันอย่างที่เคยทำ
“ชาเย็นสองครับป้า” รออยู่ไม่นานชาเย็นสองแก้วก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้า เดือนสิบจ่ายตังพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ ซึ่งไอ้ปืนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“หวัดดีสิบ” คนที่นั่งอยู่ข้างไอ้ปืนเอ่ยทัก
มันชื่อจอม เป็นเพื่อนในกลุ่มของไอ้ปืนตั้งแต่สมัยมอปลาย เขาค่อนข้างคุ้นเคยเพราะได้เจอกับมันบ่อยๆเวลาไอ้ปืนมันพาติดสอยห้อยตามไปด้วย
ถัดจากไอ้จอม เป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ตัดผมสกินเฮดท่าทางกวนๆ มันชื่ออิฐ ไอ้อิฐกับไอ้จอมเรียนภาคคอมเหมือนกัน ส่วนเขากับไอ้ปืนเรียนภาคเครื่องกล
มันเงยหน้ายักคิ้วให้เขาเป็นการทักทาย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อด้วยท่าทางหิวโหย
“หวัดดี” เดือนสิบตอบรับ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเพื่อนสนิท
“คืนนี้ไปร้านพี่อ้นป่ะ ใกล้สอบแล้วคงไม่มีเวลาไปอีกนาน ถือว่าเป็นการส่งท้ายก่อนสอบ” ไอ้จอมเปิดประเด็นทันทีที่เขาหย่อนก้นลงนั่ง มันยกแก้วนมเย็นขึ้นดูดพลางกวาดสายตามองเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างขอความเห็น
“วันก่อนมึงก็เพิ่งจะไปมาไอ้สัด แดกบ่อยเกินจนเงินกูจะช็อตแล้วเนี่ย” ไอ้อิฐเงยหน้าขึ้นมาบ่น
“หรือมึงจะไม่ไป”
“ไม่ไปก็แย่ละครับ” มันว่าก่อนจะคว้าแก้วนมเย็นที่ไอ้จอมวางไว้ไปดูดต่อ เจ้าของแก้วโคลงหัวอย่างระอา ก่อนจะผลักหัวสกินเฮดของมันแรงๆไปทีอย่างหมั่นไส้
“แล้วมึงสองคนอ่ะ เอาไง” ไอ้จอมหันมาถามพวกเขาบ้าง
ไอ้ปืนยักไหล่เป็นเชิงบอกว่ามันยังไงก็ได้ ก่อนจะพยักพเยิดมาทางเขา จากนั้นสายตาทั้งสามคู่ก็จับจ้องมาที่เดือนสิบอย่างกดดัน
แน่นอนว่าถ้าคำตอบเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่คำว่าตกลง พวกมันก็คงชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมจนเขาต้องยอมอยู่ดีนั่นแหละ
“ไปก็ไป” ไอ้จอมร้องเยส! ทันทีที่ได้ยินคำตอบ มันยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาตบลงที่ไหล่เขาปุๆ
“ต้องงี้ดิถึงจะคบกันยืด”
บางทีเขาก็คิดอยากจะเลิกคบกับพวกมันไปซะเดี๋ยวนี้ ติดอยู่ที่ถ้าไม่มีพวกมันเขาก็คงไม่มีใครคบแล้วนี่สิ เฮ้อ!
“ไปกันแค่สี่คนหรอวะ” ไอ้ปืนถามขึ้น
“ไม่อ่ะ กูชวนพวกไอ้ตู่ไว้ด้วย รวมๆก็น่าจะราวๆแปดเก้าคน สิบโอเคป่าวที่ไอ้ตู่มันไปด้วย ถ้าไม่โอเคเดี๋ยวเราแยกโต๊ะนั่งได้นะ” ไอ้จอมตอบ ก่อนที่ประโยคหลังมันจะหันมาถามเขา สีหน้ามันดูลำบากใจไม่น้อย
“เฮ้ยไม่เป็นไร เราโอเค” เดือนสิบยิ้มบาง พยักหน้าสำทับให้มันสบายใจ
ไอ้ตู่ที่ว่า มันเป็นเพื่อนภาคเดียวกับไอ้จอม เดือนสิบเคยเจอมันอยู่สองสามครั้งตอนไปกินเหล้ากับพวกไอ้ปืน มันเคยมีเรื่องกับไอ้นุอยู่ครั้งหนึ่งเพราะมาเกาะแกะเขา แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว อีกอย่างเขาก็รู้ว่ามันแค่แซวเล่นไปตามประสาคนปากไว เลยไม่ได้อะไรกับมัน
แกร๊ก
“นั่งด้วยนะ โต๊ะเต็ม”
บทสนทนาของพวกเขาหยุดชะงักลง เมื่อเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช็อปกางเกงยีนส์จะทรุดตัวนั่งลงข้างๆเขา เดือนสิบได้แต่กระพริบตามองคนตรงหน้าปริบๆ เพราะโรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ในตอนนี้ ถึงจะไม่ได้ว่างโล่งแต่ก็ยังพอมีโต๊ะว่างอีกหลายตัว
“อ้าวพี่ยุทธ หวัดดีครับพี่ ไหงมากินข้าวคนเดียวอ่ะ เพื่อนไปไหนหมด” ไอ้ปืนเอ่ยทักทายคนตรงหน้าด้วยท่าทีสนิทสนม มันเป็นคนแรกที่ยกมือไหว้คนตรงหน้า จากนั้นพวกเขาถึงได้ไหว้ตาม
“ซื้อข้าวอยู่” พี่มันตอบสั้นๆ ก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าด้วยท่าทีหิวโหยไม่ต่างอะไรกับไอ้อิฐก่อนหน้านี้
“แดกไม่รอพวกกูเลยนะเชี่ยยุทธ” รุ่นพี่อีกสองคนเดินเข้ามาสมทบ หลังจากที่คนข้างๆเขากินข้าวไปได้ไม่กี่คำ
“นั่งด้วยนะน้อง โต๊ะเต็ม” คนที่ดูเหมือนจะตัวเล็กที่สุดบอกยิ้มๆ ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างๆไอ้ปืน ซึ่งมันก็ขยับที่ให้อย่างแข็งขัน ดูเหมือนมันจะรู้จักรุ่นพี่กลุ่มนี้อยู่พอสมควร
“พี่หินพี่ป้องหวัดดีพี่”
“เออหวัดดี เป็นไงพวกมึง สบายดีนะ” พี่ป้อง หรือปกรณ์รับไหว้ ก่อนจะเอ่ยถามรุ่นน้องในคณะ พลางตักข้าวใส่ปากไปด้วยท่าทางหิวโหยไม่ต่างจากเพื่อนสนิท
“ก็ดีกว่าตอนรับน้องอ่ะพี่” ไอ้อิฐว่ายิ้มๆ
“พูดแบบนี้มึงอยากโดนซ่อมหรอไอ้อิฐ แทงปลาไหลซักร้อยทีเป็นการบริหารกล้าเนื้อขาหน่อยเป็นไง” พี่ป้องเอ่ยไม่จริงจังนัก
“โห่พี่ ผมแทงมาทั้งเทอมจนจะได้เสียกับลานเกียร์แล้ว พี่ยังจะใจร้ายใจดำทำร้ายผมได้ลงคออีกหรอ” มันโอดครวญ ด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ
“มึงนี่กวนตีนยังไงก็ยังกวนตีนเหมือนเดิมนะเชี่ยอิฐ” ไอ้คนโดนด่ายิ้มรับไม่สะทกสะท้าน จนรุ่นพี่ถึงกับโคลงหัวอย่างระอา
“เออพี่ คืนนี้พวกผมว่าจะไปร้านพี่อุ้มอ่ะ สนใจมาแจมป่ะ” ไอ้จอมหาแนวร่วมทันทีที่มีโอกาส รุ่นพี่ทั้งสามคนสบตากัน ก่อนที่ศิลาจะเป็นคนตอบ
“มีใครไปบ้างวะ”
“มีพวกผม แล้วก็พวกไอ้ตู่ไอ้เบ้นภาคคอมอ่ะพี่ ราวๆแปดเก้าคน”
“พวกมึงนี่คือรวมทุกคนที่อยู่ในโต๊ะนี้ใช่ไหม” ศิลาว่า พลางลอบสบตากับเพื่อนสนิท ที่นั่งหน้านิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างมีเลศนัย
“ครับพี่” ไอ้จอมตอบ
“โอเค งั้นพวกกูไปด้วย”
เดือนสิบได้แต่มองเพื่อนคุยกับรุ่นพี่ตาปริบๆ เขาไม่ไม่ใช่คนเพื่อนเยอะ กับรุ่นพี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตื่นนอน มาเรียน ทำงาน กลับห้อง หลักๆแล้วชีวิตของเขาวนเวียนอยู่แค่นี้ กิจกรรมรับน้องของคณะเขาก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้างเพราะต้องทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากพี่รหัสกับลุงรหัส เขาก็แทบจะไม่รู้จักใครทั้งนั้น แน่นอนว่ารวมถึงรุ่นพี่ทั้งสามคนนี้ด้วย
“น้องสิบนี่ปกติก็เป็นคนเงียบๆแบบนี้หรอครับ” มือที่กำลังเขี่ยข้าวในจานอยู่ชะงักกึก เมื่ออยู่ดีๆบทสนทนาก็วกเข้ามาหาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“ก็.. ครับ ผมพูดไม่เก่งน่ะ ถนัดฟังมากกว่า”
“เหมือนไอ้ยุทธเลย เพื่อนพี่ก็พูดไม่เก่ง แต่เรื่องกระทำชำเรานี่ของถนัดมันล่ะ”
“สัดป้อง” คนที่ถูกพาดพิงทั้งที่อุตส่าห์นั่งเงียบๆมองเพื่อนสนิทตาขวาง แต่ไอ้คนถูกหมายหัวกลับยิ้มหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขุดเรื่องเพื่อนมาเผาให้รุ่นน้องฟังต่อหน้าตาเฉย
“เห็นนิ่งๆแบบนี้ลีลาบนเตียงไม่นิ่งนะครัช ทำคู่นอนอ่อนระทวยมานักต่อนักแล้ว”
“เหยดดด จริงดิพี่”
“จริ้ง! สมัยปีหนึ่งนี่ฮอตขนาดดาวคณะบัญชีกับบริหารตบกันแย่งเลยนะเว้ย ไม่ธรรมดา”
และหลังจากนั้นก็กลายเป็นมหกรรมย้อนวัยของรุ่นพี่ปีสาม จากแค่เรื่องของเพื่อนสนิทก็ลามไปจนถึงเพื่อนร่วมรุ่นร่วมคณะ ยันครูบาร์อาจารย์ก็ไม่เว้น สนุกเขาล่ะ จนเวลาผ่านไปเกือบถึงบ่ายโมงนั่นแหละ ถึงได้ฤกษ์แยกย้ายกันซะที
.
.
.
สองทุ่มครึ่งเป็นเวลานัดหมายที่ได้ตกลงกันไว้ เดือนสิบมาถึงร้านพร้อมกับไอ้ปืนด้วยรถ BMW รุ่นล่าสุดของมันในเวลาเกือบๆสามทุ่ม พอเดินเข้ามาในร้าน ก็เห็นว่าพวกไอ้จอมไอ้อิฐ และเพื่อนๆภาคคอมอีกสี่ห้าคนมากันครบหมดแล้ว
ร้านพี่อุ้ม หรือที่รู้จักกันในนาม ศุกร์เมา เสาร์ถอน ถูกเรียกว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของเด็กวิศวะมาแต่ไหนแต่ไร ตัวร้านก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เป็นร้านเหล้าแบบนั่งชิล ที่ฉาบผนังด้วยปูนเปลือยขึ้นมาแค่ครึ่ง ส่วนที่เหลือเปิดโล่งรับลม มีเวทีปูนยกสูงขึ้นสำหรับวงดนตรีสด ใช้เก้าอี้ไม้และโต๊ะไม้ทั้งร้าน
ไอ้ปืนแวะทักทายพี่อุ้มที่ดูเหมือนจะกำลังยุ่งๆอย่างสนิทสนม ส่วนเขาก็ได้แต่ยกมือไหว้ทักทายตามมารยาทเพราะไม่ได้สนิทกับพี่แกมากมายเหมือนมัน ก่อนจะเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส เดือนสิบยิ้มรับคำทักทายจากเพื่อนในโต๊ะที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆไอ้อ๋อง เด็กภาคคอมที่เคยกินเหล้าด้วยกันอยู่ครั้งสองครั้ง
“ไง ได้ข่าวว่าเลิกกับไอ้นุแล้ว สนใจมาคบกับกูไหม” พอหย่อนก้นนั่งลงปุ๊บ ไอ้ตู่ที่นั่งอยู่ถัดไปจากไอ้จอมก็เริ่มเอ่ยปากแซวปั๊บ เดือนสิบรับแก้มน้ำเมาที่ไอ้เบ้นยื่นมาให้ก่อนจะกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“ไอ้สัด”
“ฮ่าๆๆๆ” มันหัวเราะอารมณ์ดี “กูเลี้ยงง่ายนะเว้ย ตบตูดไม่กี่ทีก็หลับสนิทยันเช้าแล้ว ไม่สนใจจริงๆอ่อ” มันว่าพลางกระพริบตาปริบๆ เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนทั้งโต๊ะ
เขาส่ายหน้าอย่างระอา ไม่ได้นึกโกรธที่มันแซวเรื่องนั้น ถึงจะมีจี๊ดๆบ้างเวลาที่ได้ยินชื่อมันแต่ในเมื่อเขาเลือกแล้วที่จะตัด มันก็ต้องตัดให้ขาด
ท้องทะเลท้องฟ้ามีเพียงแค่เรา
ท่ามกลางหาดทรายขาว
แสงดวงดาวพร่างพราว ประกายสวยงาม
ดั่งบนสวรรค์เปิดทาง ให้คนอ้างว้างอย่างฉัน
บอกความในใจให้เธอได้ฟัง
โอกาสอย่างนี้ ต้องพูดไป
เสียงเพลงจากวงดนตรีสดดังขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนสามทุ่มครึ่ง ข้างกายของเดือนสิบถูกขนาบข้างด้วยเพื่อนสนิทอย่างไอ้ปืน ส่วนอีกข้างเป็นไอ้ตู่ที่เสนอหน้าสลับที่กับไอ้อ๋องเพื่อมานั่งเต๊าะเขาโดยเฉพาะ
“ว่าทั้งหัวใจ มีแต่เธอนั้น อยากให้เชื่อกัน พยานคือฟ้าที่เฝ้าดู แล้วเธอคิดอย่างไรเมื่อได้รู้บอกที อยากฟังจากปากเธอ” ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาร้องคลอไปกับเสียงนักร้อง พลางเล่นหูเล่นตาใส่เขาอย่างเปิดเผย
จริงๆแล้วไอ้ตู่มันเป็นคนที่จัดว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นคนยิ้มหวาน ตาก็หวาน ยิ้มทีเลยเหมือนถูกดูดให้เข้าไปอยู่ในโลกของมัน ถ้าเป็นผู้หญิงถูกมันมองแบบนี้คงได้อ่อนระทวยลงไปกองกับพื้น แต่ประเด็นคือเขาไม่ใช่ผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรกับมันไง ความรู้สึกเลยค่อนไปทางขำๆติดจะรำคาญซะมากกว่า
“หากเธอก็รัก เธอก็รู้สึกดีๆ เหมือนกัน แต่เธอก็เขินอายอย่างนั้น ที่จะต้องพูดมา แค่ร้องว่าอ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยะ.. เฮ้ย!!” ไอ้ตู่ร้องเสียงหลงในจังหวะที่มันกำลังโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนที่ร่างหนาๆของมันจะผละห่างจากเขาไปไกลจนแทบตกเก้าอี้ เพราะแรงกระชากจากทางด้านหลังของใครซักคน
“เชี่ย!... เอ้า! พี่หิน.. อะไรของพี่วะเนี่ย” มันตั้งท่าจะด่าแต่ก็ต้องสงบเสงี่ยมลง เพราะคนที่กระชากมันจนแทบตกเก้าอี้คือรุ่นพี่ปีสาม พ่วงตำแหน่งพี่ว๊ากสุดโหดแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์
“หวัดดีครับพี่ๆ” พวกปีหนึ่งทั้งหลายแหล่ต่างพากันยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงทันที เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นรุ่นพี่ในคณะ แถมสองในสามยังเป็นพี่ว๊ากที่เคยสั่งซ่อมพวกมันอย่างทารุณเมื่อเทอมที่ผ่านมา
“เออหวัดดี กำลังได้ที่เลยสิพวกมึง เสียงดังลั่นไปถึงหน้าร้าน” พี่ป้องว่าก่อนจะเบียดกระแซะจนได้ที่นั่งข้างๆไอ้อิฐ ส่วนพี่ยุทธก็หยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างๆเขาแทนที่ไอ้ตู่ ที่ถูกพี่หินลากไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ไอ้เบ้นมือชงทำหน้าที่แจกจ่ายแอลกอฮอล์ได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงทั้งโต๊ะก็เริ่มได้ที่ แม้แต่เขาเองที่กินแค่จิบๆ นั่งฟังพวกมันคุยกันเงียบๆ ไม่ได้ยกซดเอาๆเหมือนพวกมัน ก็ชักจะเริ่มมึนๆแล้วเหมือนกัน
“เมายังเนี่ย” เสียงทุ้มต่ำจากร่างสูงที่นั่งเงียบอยู่ข้างกัน ทำให้เดือนสิบละสายตาจากพี่ป้องที่จับได้ไม้สั้นจากการเล่นเกม และกำลังยกซดเหล้าเพียวๆหันมามองอย่างแปลกใจ
ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือแสงไฟสลัวๆในร้าน ที่ทำให้เขามองว่าดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายมันทอประกายอ่อนโยนแปลกๆ
“นิดหน่อยครับ” เดือนสิบตอบ ก่อนจะยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายแก้เก้อ
เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเมื่ออยู่ดีๆคนที่นั่งกินเหล้าเงียบๆมาตลอดก็ชวนคุย นับเป็นประโยคแรกตั้งแต่ที่เราเจอกัน แต่ประโยคถัดมากลับยิ่งทำให้เดือนสิบปะหลายใจยิ่งกว่า
“ออกไปสูดอากาศข้างนอกกันไหม”
.
.
บริเวณหลังร้านจัดเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก มีต้นไม้ใหญ่สองสามต้นไว้ให้ความร่มรื่น ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ และไม้พุ่มประปรายตามรสนิยมเจ้าของร้านทั้งนั้น เดือนสิบไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาเดินตามร่างสูงของรุ่นพี่คนนี้ออกมา เป็นเพราะเขาเองก็อยากออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์คลายความหนักอึ้งจากฤทธิ์เหล้า หรือเป็นเพราะดวงตาคมกริบที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนนี่กันแน่
ฟึบ
แสงสว่างวาบจากไฟแซกในมือหนา ก่อนที่กลิ่นบุหรี่จางๆ จากคนข้างกายจะทำให้เดือนสิบเผลอย่นคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ ถึงมันจะเป็นกลิ่นมิ้นไม่ได้เหม็นฉุนเหมือนบุหรี่ราคาถูกแต่เขาก็ไม่ชอบมันอยู่ดี ซึ่งท่าทางของเดือนสิบก็ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาคมกริบของคนข้างๆ
“ไม่ชอบคนดูดบุหรี่หรอ”
“นิดหน่อยครับ” จริงๆแล้วเดือนสิบอยากจะบอกว่าไม่ชอบเอามากๆ ขนาดไอ้ปืนที่เมื่อก่อนดูดบุหรี่จัด พอเขาบอกว่าไม่ชอบมันก็พยายามลดลงและไม่มาสูบให้เห็นอีก แต่กับคนตรงหน้าเขาไม่กล้าบอกไปตรงๆเพราะเรายังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น
“จริงๆก็ว่าจะเลิกอยู่… แต่ยังหาแรงบันดาลใจไม่ได้” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อย ขณะที่ตาคมยังจับจ้องใบหน้าเนียนไม่วางตา
“สนใจมาเป็นแรงบันดาลใจให้หน่อยไหม สัญญาว่าจะเลิกอย่างเด็ดขาดเลย”
!!!!
*****
ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์รอน้องสิบนะคะ // กราบบบ
เราเพิ่งหัดเขียน ภาษาแปลกๆติดๆขัดๆก็อย่าว่ากันน้าา
ผิดพลาดตรงไหนติได้นะคะ เราพร้อมรับฟัง