Capitolo cinque
เป็นเอกจิบช็อกโกแลตร้อนเข้าไป ก็พบว่ามันเป็นช็อกโกแลตที่อร่อยมากจริงๆ ไม่เหมือนไมโล โอวัลตินที่เขาเคยดื่มมา แต่รสชาติคล้ายกับช็อกโกแลตที่ละลายแล้วมาผสมอย่างลงตัวกับนมสดที่ทั้งหอมทั้งหวานอมขม อร่อยกลมกล่อมจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะดื่มตามไปอีกอึกหนึ่งอย่างติดใจในรสชาติ
“อร่อยใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มข้างๆเขาว่า “ผงช็อกโกแลตสวิสเชียวนะ ของดีนะคุณถ้าติดใจละก็ เติมอีกก็ได้เลย”
“ไม่ล่ะครับ ดื่มของหวานๆตอนกลางคืนเดี๋ยวจะอ้วนตาย”
หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะ
“เหมือนมิลานไม่มีผิด วันๆไม่ต้องทำอะไรทาครีมบำรุงอะไรไม่รู้กี่ขวดต่อกี่ขวด แล้วก็ออกกำลังกาย กับคุมอาหารว่ามื้อนี้กินกี่แคลอรี่ จนไม่รู้จะหาอะไรในร่างกายมาอ้วน ก็ยังว่าอ้วนอยู่นั่น”
“ผมก็ไม่ถึงขั้นนั้นเสียหน่อย” เขาว่า “แต่ดื่มของหวานๆอย่างนี้แล้วก็ไปนอนไม่ได้เผาผลาญมันจะอ้วนเอาจริงๆนี่ครับ”
“คุณผอมแล้ว ต่อให้ดื่มสักสิบแก้วพรุ่งนี้คุณก็ไม่อ้วนขึ้นหรอก”
“เอาเถอะครับ” เป็นเอกดื่มช็อกโกแลตร้อนไปอีกอึกหนึ่ง “คุณมิลานนี่คงหล่อมากซีท่า หุ่นก็คงจะดีมากถึงได้ไปเดินแบบถึงอิตาลี”
“น้องผมเขาชื่อ’มิลาโน’ ไม่ใช่ ‘มิลานนี่’ ” เวนิสกล่าวติดตลก แต่เป็นเอกไม่ขำด้วย ชายหนุ่มจึงต้องขำออกมาเสียเอง “ไม่ขำหรือ โอเค ไม่ขำก็ไม่ขำ มิลานมันหล่อจริง ทั้งสาวทั้งหนุ่มติดตรึม”
เป็นเอก เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“คุณมิลานเป็นเกย์หรือ”
“ไม่รู้มันซี ไม่เห็นลงเอยกับใครสักคน” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้คู่สนทนา “ทำไมคุณรังเกียจเกย์หรือ”
“เปล่านี่ ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
เวนิสหัวเราะ แล้วก็ชวนคุยต่อไป
“ชอบหรือเปล่าที่นี่”
“ชอบซีครับ” เป็นเอกตอบ “สวยมาก อยากจะมาอยู่เสียตลอดชีวิต”
“จริงหรือ ผมหมายถึงบ้านผมนะ”
ผู้ฟังรู้สึกหน้าร้อนผ่าว มองหน้าพี่ชายของเพื่อนหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะบอกว่า “ผมพูดถึงรีสอร์ตนี้ต่างหาก มันสวยดีน่าอยู่จริงๆ แต่ถ้าคุณถามถึงบ้านคุณละก็ มันก็อึมครึมแปลกๆ ดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้”
“คุณเป็นคนตัดสินอะไรแค่ภายนอก” เขาว่า
“เอ้า ไหนมาว่าผมอย่างนั้น ผมก็บอกตามที่ผมเห็นน่ะซี คุณชักจะกวนผมแล้วนะ” เป็นเอกไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงไม่พอใจของเขานั้น ชัดเจนจนอีกฝ่ายสัมผัสได้
“อย่าเพิ่งโมโหซี” เวนิสหัวเราะลงลูกคอ “คุณยังไม่เห็นข้างในเสียหน่อย มาบอกได้อย่างไรว่าน่ากลัว”
“ผมไม่เถียงคุณละเดี๋ยวจะต่อความกันไม่จบ เอาเป็นว่าราตรีสวัสดิ์แล้วกันครับ” เป็นเอกทำท่าจะลุก แต่เวนิสกลับลุกตาม เดินอ้อมมายืนขวางเขาไว้
“เดี๋ยวซีครับ คุณยังไม่ง่วงไม่ใช่หรือ อยู่คุยเป็นเพื่อนผมก่อน นะ นะ”
ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงอีกครั้ง
“ถ้ากวนผมอีกที ผมจะกลับบ้านจริงๆด้วย” เป็นเอกว่า
“ครับผม สัญญาว่าไม่กวนแล้ว” เวนิสเดินกลับมานั่งที่เดิม “คุณอยู่กับโรมมาหกปีแล้ว รู้ไหมว่ามันมีแฟนหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ” เป็นเอกขมวดคิ้ว “คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“เปล๊า” เขาว่า “ก็เรื่องงานแต่งงานนี่ แม่เขาคงอินมากเลยอยากให้ลูกๆแต่งกันบ้างก็เลยมารบเร้าว่าเมื่อไหร่ผมจะแต่งงาน”
“แล้ว คุณมีแฟนแล้วหรือยังล่ะครับ”
“ไม่มีน่ะซี” เขายิ้ม “ไม่คิดมีด้วย มีแฟนแล้วยุ่งยากจะตายอยู่ตัวคนเดียวสบายกว่า ที่ถามคุณเนี่ยก็แค่อยากรู้ว่าโรมมันมีใครที่มันชอบหรือยัง จะได้ยุให้รีบๆแต่งงานแทนผม ผมขี้เกียจถูกแม่รบเร้า”
“ก็ไม่มีนะครับ ผมไม่เคยเห็นโรมมันควงใครสักคน เพื่อนมันยังไม่ค่อยมีเลย วันๆอยู่แต่กับพู่กัน กับผ้าใบ”
“ผมล้อมันบ่อยๆว่า ถ้าคิดอยากแต่งงานมีลูกเมื่อไหร่อย่าลืมไปขอผ้าใบแต่งนะ คบหาดูใจกันมานานแล้วนี่” เป็นเอกหัวเราะกับคำพูดของหนุ่มผู้พี่
“แล้วคุณล่ะ ไม่มีแฟน จะแต่งกับกีต้าร์ ไวโอลิน หรือเปียโนดี”
“ไม่รู้” เขายักไหล่ “เปลี่ยนเป้าหมายละกันครับคุณโจมตีผมอยู่ฝ่ายเดียว เอาเป็นว่าแล้วคุณล่ะ มีแฟนหรือยัง”
เป็นเอกส่ายหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น เวนิสเองก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก เขาก้มหน้าต่ำมองแก้วเปล่าในมือจนเป็นเอกไม่รู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มมีสีหน้าอย่างไร คงแอบขำหรือเปล่าที่เขาหาแฟนไม่ได้ เป็นเอกไม่แน่ใจ
“ผมเอาแก้วไปเก็บนะ” เวนิสเอ่ยขึ้นในที่สุด ยื่นมือไปหยิบแก้วกาแฟจากในมือเป็นเอกแล้วก็เดินหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เป็นเอกอยู่กับตัวเอง
เอาเข้าจริงๆแล้ว ชายคนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า เป็นเอกยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเวนิสเป็นใคร เป็นคนอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้เพียงว่าเป็นพี่ชายของโรมเท่านั้น แล้วมานั่งคุยกันสนิทสนมดึกๆดื่นๆอย่างนี้ได้อย่างไร เขาไม่เข้าใจตัวเองนัก ...เป็นไปได้ไหมว่าเขาชอบชายหนุ่มคนนี้เข้าเสียแล้ว
จะบ้าหรือ ใจง่ายไปไหมเป็นเอก เจอกันวันแรกเนี่ยนะ
เขาไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น เวนิสก็กลับออกมาพอดี เขานั่งลงข้างๆเป็นเอกอีกครั้ง ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยถามขึ้นก่อนที่ฝ่ายนั้นจะทันได้พูดอะไรกับเขาก่อน “คุณเวนิส อยู่ไทยมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ ทำไมผมไม่เคยเจอ โรมก็ไม่เคยเล่าถึงคุณให้ผมฟัง”
คนถูกถาม มองไปที่ยอดไม้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับที่พูดตอบเป็นเอก
“ผมทำงานที่เวนิส” เขาว่า “มีโฮมสเตย์อยู่ที่นั่น อยู่กับครอบครัวของญาติฝั่งพ่อ เพิ่งกลับมาไทยก็เพราะงานแต่งแม่เนี่ยแหละ”
“อ้อ” เป็นเอกร้องอย่างเข้าใจ “คุณอยู่มานานซีนะครับ”
“ก็ตั้งแต่เรียนจบล่ะครับเกือบแปดปีได้”
“มิน่าสำเนียงอังกฤษคุณแปลกๆ ทั้งที่ได้ยินคุณประกายพรึกพูดในห้องอาหารว่าคุณจบจากฮาร์วาร์ด สำเนียงน่าจะเป็นอเมริกันกว่านี้นะครับ”
“ผมเรียนฮาร์วาร์ดไม่กี่ปี อยู่อิตาลีเกือบสิบปีทำไมสำเนียงผมจะไม่เพี้ยนไปล่ะครับ” เขาว่า “แต่สำเนียงอังกฤษของคุณก็ดีทีเดียว เป็นอเมริกันมากๆ ทั้งๆที่คุณก็ดู ไท้ยไทย”
เป็นเอกหัวเราะ
“ไม่รู้ซีครับ ผมเคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอน ม. ปลายแต่สำเนียงก็เป็นอย่างนั้นตลอด ไม่ได้เพี้ยนไปตามสำเนียงไทยนะ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง “คุณจะลองภูมิผมที่กรัน ปาลัซโซ่ ก็เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าผมมีภูมิให้ลอง”
เป็นเอกยักคิ้ว แต่อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าเงียบขรึม
“ผมไม่ได้คิดลองภูมิ ผมเห็นคุณมากับโรมก็คิดว่าพูดอิตาเลียนได้ เลยคิดจะชวนคุยจริงๆ ผมไม่ชอบเห็นใครมาเศร้าอยู่ใกล้ๆด้วย มันทำให้ผมไม่สบายใจ จะชวนคุยเป็นภาษาไทยก็อายเลยต้องพูดเป็นอิตาเลียนก่อน ไม่ได้คิดดูถูกคุณ หรือลองภูมิอะไรเลยจริงๆ แล้วคุณก็บอกเองว่า Inglese per favore ผมก็ตามใจไง พูดอังกฤษด้วยตามที่ขอ”
ตอนแรก เป็นเอกมั่นใจว่าจะได้ยินคำตอบยียวนกวนประสาทกลับมา พอมาได้ยินคำตอบที่จริงจังอย่างประโยคแรกก็อดประหลาดใจไม่ได้ ความรู้สึกไม่ชอบใจ ขวางหูขวางตากำลังจะละลายหายไปแล้วเชียว ประโยคสุดท้ายประโยคเดียวทำเอาเขาหงุดหงิดอีกครั้ง เขาลุกขึ้นในที่สุด กล่าวเบาๆว่า “ผมคงต้องไปนอนจริงๆแล้วล่ะ ขอบคุณสำหรับช็อกโกแลตร้อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์คุณเวนิส”
“ครับ Buona notte” เป็นเอกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หนุ่มลูกครึ่งก็ตะโกนเรียกเขาไว้ก่อน “คุณเอก พรุ่งนี้จะไปดูรอบๆรีสอร์ตกับผมอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”
เป็นเอกพยักหน้าให้ชายหนุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรอคุณที่หน้าต่างที่เราเจอกันวันนี้นะครับ เก้าโมงเช้านะ” เวนิสป้องปากตะโกนไป ก็เห็นเป็นเอกพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินกลับไปนอนที่บ้าน หนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนมองตามจนหนุ่มน้อยเดินไปลับสายตาแล้ว จึงคว้ากีต้าร์กลับขึ้นบ้านไปนอน
ลืมไปสนิทว่าเป็นเอกเอาผ้าห่มของเขาไปด้วยเสียแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นเอกตื่นก่อนโรม เขาเดินงัวเงียออกมาจากห้องก็พบว่าเพื่อนหนุ่มยังไม่ออกมาปรากฏกายให้เห็น เดินขึ้นไปบนห้องนอนแง้มประตูดูแล้วก็พบว่าเขายังนอนหลับสนิทอยู่เลย แม้แสงจะส่องลอดรอยแหวกของม่านเข้ามากระทบดวงหน้าที่หล่อเหลาราวรูปสลักหินอ่อนนั้นแล้ว เพื่อนหนุ่มของเป็นเอกก็ยังคงหลับได้อยู่ ไม่รำคาญแสงแดดที่พยายามปลุกเขาให้ตื่นเลยแม้แต่นิดเดียว
ท้องของชายหนุ่มที่ยืนมองเพื่อนอยู่ร้องประท้วงเบาๆ หลังจากหลับไปเกือบสิบชั่วโมงโดยไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย เขาจึงตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำ ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ แบบสบายๆ คว้ากล้องตัวใหญ่คล้องคอ ก่อนจะรีบไปรับประทานอาหารเช้า แล้วไปถ่ายรูปบริเวณรอบๆรีสอร์ตแห่งนี้ให้สมใจ
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกและเพื่อนหนุ่มชอบเหมือนๆกันก็คือการเก็บภาพบรรยากาศความน่าประทับใจของสิ่งที่พบเห็นเอาไว้ให้อยู่กับตัวไปนานๆ ไม่ใช่เก็บไว้ในสมองอย่างที่อาจจะเลือนหายไปง่ายๆ แต่โรมชอบเก็บภาพสิ่งต่างๆไว้ด้วยการละเลงสีน้ำลงแผ่นผ้าใบบันทึกสิ่งที่เขาชอบไว้ในรูปแบบที่เขาเห็นมัน เป็นแบบที่เขาต้องการไม่ใช่อย่างที่มันเป็นอยู่จริงๆ ในขณะที่เป็นเอกกลับชอบบันทึกสิ่งที่เขามองเห็นนั้นตามสิ่งที่มันเป็นจริงๆ ด้วยการบันทึกภาพด้วยกล้องถ่ายรูปมากกว่าเสียเวลาเลียนแบบมันผ่านปลายพู่กันเหมือนเพื่อนหนุ่ม
เดินออกมานอกบ้านก็พบว่าอากาศที่ ปาลัซโซ่ ดี เลย ในตอนเช้านั้น สดชื่นมากกว่าที่มันเป็นเมื่อวานตอนที่เขามาถึง แสงแดดยามแปดโมงขับสีเขียวสดของสนามหญ้า ดอกไม้หลากสี และต้นไม้ ที่ร่มรื่นอยู่แล้วให้ยิ่งสวยงามมากขึ้น เขาอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดเสียจริง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้น ถ่ายภาพบรรยากาศยามเช้านี้ไว้เสียก่อน
เขาจำได้ว่าโรมบอกเขาว่า ที่คลองหลังบ้านมีเรือกอนโดลา คอยพายผ่านทุกวันพาไปรับไปส่งตามสถานที่ต่างๆตามที่ลำคลองไหลผ่าน ในรีสอร์ตแห่งนี้ได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปที่หลังบ้าน ชะเง้อมองลำคลองที่สะท้อนแสงระยิบระยับล้อกับลำแสงแรกของดวงอาทิตย์สุดสายตาเขาคือหัวโค้งตรงบ้านของเวนิสเท่านั้น จะรอเท่าไรก็ไม่มีเรือผ่านมาสักที ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากุญแจ แล้วสตาร์ทรถขับออกจากบ้านหลังนั้น ตรงไปยังกรัน ปาลัซโซ่ทันที
เป็นเอกใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เขาก็วนรถเข้าจอดที่ลานจอดรถข้างๆ ปราสาทใหญ่ศูนย์กลางที่ทำการของรีสอร์ต เดินตรงเข้าห้องโถง ในหัวก็คิดล่วงหน้าว่าจะกินอะไรก่อนเป็นอันดับแรกดี
“Buon Giorno, Signore” พนักงานต้อนรับกล่าวอรุณสวัสดิ์
“Buon Giorno” เป็นเอกกล่าวตอบสั้นๆ เดินตรงไปยังห้องอาหารด้วยความหิวเหลือเกิน แต่พนักงานสาวที่เพิ่งกล่าวทักเขานั้นเองก็เดินเข้ามาขวางไว้
“ขอโทษค่ะ ขอบัตรเข้าทานอาหารด้วยนะคะ” หล่อนถามหาบัตร แต่บัตรอะไรล่ะ เขาไม่มีสักอย่างโรมไม่ได้บอกเสียด้วยว่าจะต้องใช้บัตรอะไรเวลาจะมากินข้าวที่นี่ เป็นเอกหน้าเหวอ ตกใจเพราะเขาไม่มีบัตรอะไรอย่างนั้นเลย จะได้กินข้าวเช้าไหมเนี่ยเรา
“เอ้อ ผมเป็นเพื่อนกับคุณโรม น่ะครับ ลูกเจ้าของที่นี่”
“แต่คุณก็ต้องมีบัตรเข้ารับประทานอาหารนะคะ” หล่อนว่า “ถ้าไม่มี เราก็คงให้คุณเข้าไปไม่ได้หรอกค่ะ เป็นกฏของที่นี่”
ซวยแล้วซี แต่กูไม่รู้เสียหน่อยว่าต้องใช้บัตรอะไรด้วยนี่
“ไว้ผมค่อยเอามาให้ทีหลังไม่ได้หรือครับ พอดีผมไม่ทราบจริงๆว่าต้องใช้บัตรด้วย” เป็นเอกว่า นึกในใจว่าถ้ามาถึงแล้วก็ไม่อยากจะกลับไปให้เสียเที่ยว หิวจนจะกินวัวเข้าไปได้ทั้งตัวแล้ว
“ไม่ได้จริงๆน่ะค่ะ ทางเราต้องรักษากฏอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นจะโดนตำหนิเอาได้ค่ะ” พนักงานสาวหน้าเสีย คงจะอยากทำตามที่เป็นเอกขอ แต่ก็กลัวจะถูกว่าเอาจริงๆ ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนน้ำท่วมปากอย่างนั้น
“มีอะไรกันหรือครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของพนักงานสาว หล่อนสะดุ้งไหวตัวเล็กน้อยก่อนจะ หันไปไหว้ชายหนุ่มอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ คุณเวนิส คือคุณผู้ชายท่านนี้ไม่มีบัตรเข้าห้องอาหารค่ะ ดิฉันก็เลยไม่แน่ใจว่าควรจะให้เข้าไปได้หรือเปล่าเดี๋ยวจะหาว่าดิฉันไม่ปฎิบัติตามหน้าที่น่ะค่ะ” หล่อนว่า
เป็นเอกเห็นเวนิสเต็มตา เมื่อเขาเดินลงมาจากบันไดหินข้างๆ เคาน์เตอร์ต้อนรับนั้น ชายหนุ่มลูกครึ่งดูราวกับเป็นคนละคนกันกับคนเมื่อวานเมื่อสลัดชุดสูทเนี้ยบออกไปเป็นเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีนส์พอดีตัว และรองเท้าหนังแบบลำลองราวกับหนุ่มคาวบอยหลุดออกมาจากภาพยนตร์ตะวันตกอย่างนั้น เวนิสดูแปลกไปที่สุดเมื่อผมที่เคยหวีเรียบทามูสไว้เรียบร้อย บัดนี้ไม่มีอะไรแต่งอยู่เลย เป็นผมหยักศกแบบธรรมชาติ สระแล้วก็เช็ดให้แห้งเท่านั้นดูค่อนข้างยุ่งแต่ก็ทำให้ดูดีขึ้นไปอีกแบบหนึ่ง
หนุ่มน้อยยิ้มให้กับเวนิสก่อนจะเอ่ยปากทัก
“อรุณสวัสดิ์ครับ ขอบคุณพระเจ้าที่คุณมาก่อนเวลา ไม่งั้นผมคงต้องกลับบ้านไปทั้งที่ไม่ได้กินอะไรแล้ว”
เวนิสยิ้มให้ เดินเข้ามาถึงตัวเป็นเอกก็หันไปพูดกับพนักงานสาวว่า
“เขามากับผม คุณเป็นเอก เป็นแขกสำคัญของที่นี่ ต่อไปนี้ถ้าเขาจะทำอะไรก็ให้ทำได้เลย จะกินข้าว หรือจะเดินดูอะไรให้ถือว่าเขาเป็นเพื่อนผม ไม่ใช่แขกที่มาพักที่นี่ทั่วไป เข้าใจไหม”
พนักงานสาวรับคำเรียบร้อยก่อนที่หล่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์อย่างเสียหน้า ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋าหันมาพูดกับเป็นเอกเป็นคำแรก
“ไงคุณ จะมากินข้าวก็ไม่เอาบัตรมา ใครเขาจะให้เข้ากินได้ล่ะ”
“อ้าว” เป็นเอกชักสีหน้า “นี่คุณจะกวนผมแต่เช้าเลยหรือ ผมไม่รู้นี่นาว่าที่นี่ต้องใช้อะไรด้วย”
“โรงแรมหรือรีสอร์ต ที่อื่นก็ทำแบบนี้”
“คุณกำลังจะหาว่าผมไม่เคยเข้าโรงแรมอื่นหรือไง”
เวนิสยักไหล่ แล้วก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นไปชั้นบน
“คุณ เดี๋ยว” เป็นเอก เดินตามมา “คุณจะไปไหน ไม่กินข้าวด้วยกันหรือ”
อีกฝ่ายได้ยินก็หันมายิ้มให้
“ผมกำลังจะขึ้นไปกินข้างบนอยู่นี่ไง บรรยากาศดีนะคุณ สวยกว่าร้านอาหารข้างล่างนี่ตั้งเยอะ คุณจะตามผมมาหรือเปล่าล่ะ”
“แล้วแต่คุณก็คุณเป็นลูกเจ้าของนี่” เวนิสหัวเราะคิกคัก ก่อนจะลากแขนเป็นเอกแทนคำพูดให้เดินตามขึ้นไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชายหนุ่มรีบสะบัดแขนออกเร็วเพียงใด ปากมุบมิบว่า “ผมเดินเองได้”
***********************************************************************
หวังว่าคนที่ชอบเวนิสอยู่จะถูกใจบ้างนะครับ ตอนหน้าคืนพรุ่งนี้ มีอาหารอิตาเลียนมาเสิร์ฟหลายอย่างเลย ขอเตือนว่าก่อนอ่านตอนหน้าทานข้าวก่อนนะคร้าบ เดี๋ยวจะอ่านไป ท้องร้องไป อิอิ