INTERMEZZO chapter# 18 เคยไหมที่ตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่แล้วรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง มันเงียบเหงาอย่างไรพิกลเมื่อรู้ว่าคนที่ใจคิดถึงไม่อยู่ใกล้กาย รู้สึกบ้างไหมว่าความเงียบในหัวใจตัวเองน่ากลัว ธีรธรตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำ เขาออกจากบ้าน และเดินไปที่รถของตนลอบชะเลืองมองบ้านข้างๆที่เงียบสงบ ไม่มีใครอยู่... ความรักบนการเดินทางหรือ? ก็อาจจะใช่ ตารางงานที่เขียนอักษรย่อมากมายถูกแปะไว้บนขอบจอมอนิเตอร์ของเครื่องพีซีโต๊ะทำงานธีรธร ขณะที่เจ้าของห้องทำงาน กำลังดูตารางงานตัวเองเตรียมลงมือทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ชีวิตยังคงดำเนินไป ทว่าเหมือนเนิ่นช้ากว่าปรกติ สามเดือนแล้วที่พิรุณาเริ่มเดินทางไปทำงาน จากตารางงานนั้นแสดงแผนการเดินทางที่วุ่นวายเหลือเกิน ช่วงพักสั้นๆที่พอมีพิรุณาจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับทีมงาน ที่ออสเตรีย ไม่มีการติดต่อกลับมาหาเขาโดยตรงแม้สักครั้ง มีแต่ปองที่หลังจากสภาพร่างกายฟื้นคืนเต็มที่ ก็เตรียมบินตามไปสมทบกับพิรุณาทันที ธีรธรก็ยังงง แอบติดต่อกันอย่างกับไม่รู้ ว่ายังมีอีกคนรออยู่ มันน่าน้อยใจน้อยเสียเมื่อไหร่ แต่ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไปทำงาน ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ จะมีเหตุผลอะไร ที่จะไปน้อยเนื้อต่ำใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนั้น อีกทั้งตัวธีรธรเองก็มีงานมากมายในแต่ละวัน เวลาจะเอาไปคิดเล็กคิดน้อย ย่อมน้อยเต็มทน โทรศัพท์มือถือสั่นพลางค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆไปบนของโต๊ะ ธีรธรมองชื่อคนโทรเข้า นึกแปลกใจก่อนกดรับ
“บอสครับผมจะบินบ่ายนี้แล้วนะครับ มีอะไรฝากให้คุณพิรุณาไหมครับ?” ปองถามเสียงใสเมื่อบอสหนุ่มรับสาย
“ไม่มีหรอก ของที่อยากให้ใช่ว่าจะให้ใครเอาไปให้ง่ายๆ”
“เช่นอะไรครับ?”
“เอาน่าอย่ามายอกย้อน”ปลายสายหัวเราะเบาๆ ทำไมปองจะไม่รู้ว่าสิ่งที่บอสหมายถึงคืออะไร แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ของที่อยากฝากให้ไปนั้นเป็นของยากต่อการฝากคนอื่นนำส่ง
“แล้วนี่ไม่กลัวเครื่องบินบ้างหรือ?”
“ไม่หรอกมังครับ ผมคิดว่าคงไม่น่ากลัว เขาว่ากันว่าเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้วนะครับ”
“อืม งั้นเดินทางดีๆล่ะ”
“ฝากบอกอะไรคุณพิรุณาไหมครับ” ธีรธรเงียบไปอึดใจ
“ฝากบอกด้วยแล้วกันว่า เอ่อ...คิดถึง” ปลายสายได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นเบาๆ คนฝากข้อความรู้สึกร้อนๆที่ใบหูอย่างไรชอบกล รู้สึกราวกับเป็นวัยรุ่นริรัก ทั้งที่ผ่านเวลาเหล่านั้นมานานหลายปี
“แล้วจะบอกให้นะครับ”ปองกล่าวตัดบทสนทนา ธีรธรวางโทรศัพท์ของตนใส่ลิ้นชักข้างกาย พอดีกับเสียงเคาะห้องเบาๆ เลขาสาวเยี่ยมหน้าเข้ามา พร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น
“บอสเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? หูแดงๆ”
“อ้อ ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ ขอบคุณสำหรับกาแฟ”
“ลีว่า บางที บอสน่าจะมาเข้างานสายกว่านี้หน่อยนะคะ มาเช้าแบบนี้ ลูกน้องเกรงใจเลยต้องมาเช้าบ้าง”เลขาสาวแซวอย่างขบขัน
“ถ้าคุณลีจะมาสายกว่านี้อีกนิดก็ได้นะครับ เจ้าตัวเล็กกำลังโต จะได้มีเวลาดูแลมากขึ้นอีกหน่อย”
“ลีเกรงว่า ตัวใหญ่ที่ที่ทำงานจะไม่ดูแลตัวเองน่ะสิคะ”ธีรธรหัวเราะแก้เก้อ ก็จริงอย่างที่เลขาสาวคุณแม่ลูกหนึ่งว่านั่นแหล่ะ เขาใส่ใจคนอื่นเต่ไม่ค่อยใส่ใจตัวเองมากนัก เสียดายแต่คนที่ธีรธรอยากดูแลไม่อยู่ เลยได้เพียงโหยหาอยู่ลำพัง ไม่รู้พิรุณาจะคิดถึงเขาบ้างไหม กับคนที่เป็นคนรักก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิงแบบเขา หรือว่าธีรธรคิดมากไปเอง เขาเองก็ยังไม่มั่นใจ
“ผมจะพยายามดูแล้วตัวเองมากว่านี้ ตกลงไหมครับ?”
“ได้ยินอย่างนี้ก็เบาใจค่ะ แหม คิดถึงคุณพิรุณาจังเลยนะคะ”
“ครับ”แค่คำตอบสั้นๆ ลีแอนเดาธีรธรได้ทันที พิรุณาคงไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย ทำให้บอสของเธอออกอาการหงอยอย่างชัดเจนเมื่อพูดถึง เธอทำได้เพียงถอนหายใจแผ่วเบา
ปองนั่งรอเวลาเตรียมขึ้นเครื่อง มองโทรศัพท์มือถือของตัวที่หน้าจอมีรายชื่อของใครอีกคน เพียงกดปุ่มเดียว เพียงแค่นั้นจะได้ยินเสียงเจ้าของชื่อ หรือเพียงกดไม่กี่ครั้ง เขาคนนั้นจะหลุดลอยออกจากโลกของปอง...อาจเป็นตลอดกาล เสียงประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ทำให้ปองหลุดจาห้วงภวังค์ เขาปิดมือถือ หยิบกระเป๋าถือ เตรียมบอร์ดดิ้งพาสไว้พร้อม ระหว่างต่อแถวรอขึ้นเครื่องนั้น ความคิดไพล่ไปถึงสิ่งที่คุยกับบอสเมื่อเช้า
“แล้วนี่ไม่กลัวเครื่องบินบ้างหรือ?” ปองเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก
“ไม่หรอกมังครับ ผมคิดว่าคงไม่น่ากลัว เขาว่ากันว่าเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้วนะครับ” ปองตอบทั้งที่ไม่แน่ใจแม้ขณะนี้เขากำลังเดินขึ้นเครื่องแล้ว ปองส่งยิ้มน้อยๆให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องที่ช่วยบอกทางไปที่นั่งของเขา
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ หน้าคุณซีดเหลือเกิน”พนักงานต้อนรับคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสีหน้าของปอง ขาวซีดราวกระดาษ
“ผม..เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”ปองพยายามข่มใจให้เข้มแข็ง พยายามปัดความคิดนึกหวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป เขามองหาหมายเลขที่นั่งของตน หมายเลข แถวเดียวกับเมื่อครั้งเกิดอุบัติเหตุ ปองกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“เฮ้ ยืนเซ่อร์อยู่ทำไม เกะกะ”
“ขอโทษครับ”ปองกล่าว ก่อนจะแทรกกายเข้าไปนั่ง ที่นั่งริมหน้าต่าง มองออกไปเห็นปีก ตำแหน่งเดียวกับที่เขานั่ง เมื่อครั้งนั้น ความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจอย่างช้าๆ ปองเลือกที่จะเปิดโต๊ะหน้าที่นั่งลงมา เท้าแขนแล้วเริ่มสวดภาวนา เหงื่อเริ่มไหลซึม ทั้งที่ในเครื่องอากาศกำลังเย็นสบาย
“คุณผู้โดยสารคะ ขอความกรุณาอย่าเพิ่งใช้โต๊ะนะคะ....เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ปองเงยหน้ามองหนักงานต้อนรับคนนั้น ทั้งที่ภาพตรงหน้าพล่าเบลอด้วยน้ำตา
เคยรู้สึกฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบไหม กังวลใจกับของบางอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ราวกับว่ามันล้ำค่านัก ทั้งที่ในยามปรกติ แทบไม่อยากมีไว้ใกล้ตัว เคยคิดมากกับแค่การพิมพ์ข้อความสั้นๆส่งให้ใครบางคน กว่าจะพิมพ์ได้สักตัวอักษรใช้เวลานานราวสะกดคำไม่คล่อง แต่แล้วก็ไม่กล้าส่ง ธีรธรกำลังตกอยู่ในอาการเหล่านี้ เขาพยายามปรับสมดุลชีวิตตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย เหมือนที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งก่อนจะมีใครให้อยากเอาใจใส่ ทั้งทำงานหนัก เลิกงานดึก ออกไปดื่มกับเพื่อน พยายามหาสิ่งน่าสนใจให้ตัวเอง แต่สุดท้ายก็เหลวหมดทุกทาง เพราะสุดท้าย ความคิดยังคงวนเวียนถึงใครอีกคน ธีรธรมั่นใจ ว่ารักพิรุณา....แล้วพิรุณาล่ะ? ธีรธรถอดสูธสีเข้มโยนไปพาดพนักโซฟาอย่างลวกๆ รูดเนกไทโยนไว้อีกทาง แล้วนั่งลงบนโซฟา พาดขากับโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโทรทัศน์ สายตาเหม่อลอยหายห่างจากโทรทัศน์ที่ถูกเปิดไว้ด้วยความเคยชิน เสียงเพลงแจ๊สเบาๆ ดังขึ้นจากกระเป๋าเสื้อด้านในของเสื้อสูธสีเข้มที่ถูกพาดไว้อย่างไม่ใส่ใจ ธีรธร รีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาเห็นชื่อคนส่งเมสเสจแล้วหัวใจพองฟูแทบคับอก รีบกดอ่านข้อความพลางขมวดคิ้วไปกับ เนื้อความสั้นง่าย ‘พรุ่งนี้กลับ 2330 xx714’ หัวใจพองฟูนั้นกลับเหี่ยวแห้ง ลงทันตา ธีรธรเกิดคำถามเดิมที่เกิดขึ้นใหม่ในใจ
ตกลงเราเป็นอะไรกัน? คนรัก ? เพื่อน? คนรู้จัก? หรือ....ไม่ใช่แม้สักอย่างบ
ธีรธรยังคงพยายามทำตนดั่งปรกติ ทั้งที่ในใจมาดหมาย คืนนี้เขาจะทำใจแข็งคุยกับพิรุณา จะลองโกรธพิรุณาดูบ้าง ความคิดฟุ้งซ่านคนเดียวเช่นนี้จะได้หยุดลงเสียที ให้เขากลับมาเป็นคนเดิม คนที่มั่นคงและมั่นใจ คนที่เป็นตัวของตัวเอง คนที่คิดอ่านอย่างรอบคอบ มิได้วิตกกังวลกับคนเพียงคนเดียวเช่นทุกวันนี้ แล้วหากผลของการเปิดอกคุยคืนนี้ ไม่เป็นไปตามสิ่งที่หวัง....ธีรธรยังตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร
บอสหนุ่มเหลือบสายตาขึ้นมองนาฬิกา วันนี้เป็นอีกวันที่เขากลับบ้านเย็นกว่าปรกติ เรียกว่าดึกคงไม่ผิดนัก ก่อนจะแวะลงไปชั้นล่าง ตรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย ทักทายลูกค้าประจำรายใหญ่บางรายที่โฮตส์คลับด้านล่าง และดื่มอีกนิดหน่อยพอให้รู้สึกอุ่น ก่อนจะขับรถกลับบ้าน การจราจรยามค่ำคืนโปร่ง ธีรธรเลือกจะฟังเพลงเบาๆจากไอพอดแค่เพียงเสียบอุปกรณ์เพิ่ม เสียงเพลงเบาๆก็เริ่มขับกล่อมจากลำโพงรถยนต์ เทคโนโลยี ยิ่งทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเท่าไหร่ ความห่างไกลก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น เสียงเปียโนกับเสียงนุ่มของนักร้องชายขับกล่อมแผ่วเบา เนื้อความของเพลงนั้นซึมซาบโดยไม่รู้ตัว ธีรธรยิ้มกับตัวเอง เพิ่งรู้วันนี้เองว่าทำไมคนเราถึงชอบฟังเพลง
คนเรามีความนึกคิดอย่างไร บทเพลงก็สะท้อนภาพเหล่านั้น ไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง
พิรุณาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้อย่างเรียบร้อยเช่นทุกครั้ง สัมภาระมีเพียงกระเป๋าเป้ใบเดียวมันไม่หนักเกินกว่าพิรุณาจะแบก แต่สิ่งที่พิรุณากำลังคิดอาจจะหนักแทบแบกไม่ไหวเลยก็ว่าได้ พิรุณาเพิ่งทราบว่าปองไม่สามารถบินตามมาทำงานกับเขาได้ เพราะการเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหมาดๆ ยังคงฝังใจ ในถานะนายจ้าง พิรุณาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เป็นห่วงและกังวลเท่านั้นว่าปองจะยังสบายดีหรือไม่ พิรุณาเป็นห่วงหลายๆสิ่งรอบตัวเขา เรื่องงาน ที่ยกเลิกกะทันหัน เพราะเหตุความไม่สงบที่เกิดกับประเทศที่จะไปแสดง แต่ที่ห่วงที่สุดคงจะเป็นเรื่องคน การหายเงียบไปเฉยๆ หลายเดือน ไม่มีการติดต่อกันด้วยทางใดทางหนึ่ง โหดร้ายไปไหมกับคนที่เรารู้สึกดีๆด้วย การติดต่อกลับไปแค่วันไหนจะกลับ เวลาไหน ครั้งเดียวในรอบหลายเดือน จะดูใจร้ายไปไหม เพราะทำราวกับคนรับข้อความเป็นของตายกระนั้น นึกจะใช้ก็ใช้ นึกจะทิ้งก็ไม่เหลียวแล พิรุณายังคงคิดต่อไป พลางเดินไปทางประตูทางออก เห็นคนมายืนรอที่ผู้โดยสารคนอื่นหนาตา แต่ไม่เห็นใครคนนั้น หัวใจเริ่มบีบตัวแรงๆทำให้รู้สึกวิบโหวงอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งกวาดตาไปไม่เห็นคนที่คิดอยากเจอยิ่งปวดใจ เอาน่า...อาจจะติดงานมาไม่ได้ หรือไม่ อาจจะติดอย่างอื่น เลยมาไม่ได้ พิรุณาส่ายหน้าเบาๆขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆคล้ายการปลอบประโลมหัวใจตนให้ก้าวต่อไป
“เดินดูทางด้วย” พิรุณาเงยหน้าขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาได้ยินน้ำเสียงของใคร เพราะเขาเห็นปลายรองเท้าคุ้นตาของใครอีกคน หนึ่งในของไม่กี่อย่างที่พิรุณาเป็นคนเลือกให้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นฉ่ำชื้น มองเห็นชายหนุ่มตรงหน้าหอบหายใจน้อยๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากการขยี้ของเจ้าตัว
“ขอโทษที่มาช้า กลัวว่าจะหิวเลยไปหาซื้ออะไรมาให้รองท้องก่อน ลืมนึกไปว่าในนี้ไม่ค่อยมีของกินหนักท้องเท่าไหร่ เลยได้มาแค่นี้” ธีรธรยื่นช๊อคโกแลตให้พิรุณา ดวงตาคู่สวยนั้นมองดวงหน้าคมสันนั้นด้วยดวงตาแดงจัด ในลำคอตีบตัน เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง เวลาที่เหนื่อยทั้งกายใจการที่มีคนทำดีด้วยแบบนี้ รู้สึกดีขนาดไหน
“ไม่เอา อย่าร้อง อายเขานะ” พิรุณาพยักหน้า ยิ้มจางๆให้
“กลับบ้านกันนะ?” แทนคำตอบใด มือนวลนั้นจับแขนเสื้อคนตัวสูงกว่า แล้วเดินไปพร้อมกัน พิรุณาลอบมองด้วยหัวใจที่รู้สึกผิดเหลือเกิน
“นั่งหลังดีกว่ามั้งจะได้งีบสักหน่อยก่อนถึงบ้าน?”ธีรธรรีบเปิดประตูตอนหลังของรถให้พิรุณา เมื่อเห็นว่าจะนั่งหน้า
‘นั่งหน้าก็ได้ จะได้ไม่เหงา”พิรุณาส่งภาษามือ ธีรธรยิ้ม มือใหญ่ๆนั้นลูบศีรษะพิรุณาเบาๆ
“ งีบสักหน่อยเถอะ สีหน้าดูเหนื่อยเหลือเกิน”สุดท้ายพิรุณาก็ต้องยอม เขานอนคู้อยู่ที่เบาะหลัง มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพลขับกิตติมศักดิ์ ที่ ปรับเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป หันมายิ้มเอ็นดู แล้วหันไปเปิดเพลง ก่อนจะออกรถ
พิรุณานึกต่อว่าตัวเองในใจ ว่าช่างใจร้ายเหลือเกิน…ขณะเดียวกันธีรธรก็นึกต่อว่าตนเองอย่างขบขันว่า ช่างใจอ่อนได้ง่ายดายเหลือเกิน
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุดก็ได้อัพซะที