CHAPTER 29-1 ∞ กลับมายืนที่เดิมCHAPTER 29-2 ∞ กลับมายืนที่เดิม▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 29-1: กลับมายืนที่เดิม "สน...นายเข้าใจเราหน่อยสิ เรารอนายมานานแล้ว นานจนไม่รู้ว่ามันจะมีวันนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อใจนาย แต่เราแค่ไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความเลื่อนลอย มีแต่คำพูดที่ขอให้เชื่อใจ ถ้านายเป็นเรา นายก็จะเข้าใจนะสนว่าทำไมเราถึงลังเลอย่างนี้ อีกอย่าง เรารู้มาว่า...พ่อของนายเขาชอบนินามาก เขาคงไม่ยอมให้นายถอนหมั้นกับนินาง่ายๆ หรอก ปีใหม่นี้ นายก็จะพาเขาไปบ้านนายใช่ไหม มันหมายความว่า...ครอบครัวของนายพร้อมที่จะต้อนรับเขาแล้ว สน...นายรู้ไหมว่าเรารู้สึกยังไง ความหวังของเรามันแทบจะไม่มีเหลือเลย นายลองมาเป็นเราดูบ้างสิสน นายลองมาเป็นคนรอดูบ้างไหม"
สนดึงต้นมากอดไว้อีกครั้ง พยายามที่จะถ่ายทอดความรักความอบอุ่นให้กับต้นให้มากที่สุด เพื่อปลอบใจคนที่สนแสนจะรักที่ตอนนี้กำลังร้องไห้เสียขวัญ เมื่อกี้ต้นคงตกใจมากที่อยู่ๆ สนก็ถามคำถามโง่ๆ ออกไป คำถามที่แค่คิดก็รู้ว่าไม่ควรจะถามแล้ว
"นายก็รู้ใช่ไหมสน ถ้าเราจะรักคนอื่น เราก็คงรักไปนานแล้ว ไม่อยู่รอนายนานขนาดนี้หรอก ถ้าเราทำได้เราก็ทำไปนานแล้ว นายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอสน ผ่านมาสิบปีแล้วเราทำได้ไหม เราทำได้ไหม เราเคยลืมนายได้หรือเปล่า" ต้นตัดพ้ออย่างลืมตัว เริ่มควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองไม่ได้
"ต้น...พอแล้ว เราเข้าใจนายแล้ว อย่าพูดอีกเลยนะต้น" สนร้องห้าม ไม่อยากให้ต้นต้องพูดซ้ำเติมตัวเองให้เจ็บมากไปกว่านี้
"เรารักนาย จะให้เราพูดอีกกี่ครั้งเราก็พูดเหมือนเดิม นายยังสงสัยอะไรเราอีกหรือเปล่าสน นายยังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า บอกเรามาสิ นายจะให้เราพิสูจน์ตัวเองอีกกี่ปี สิบปียังไม่พออีกเหรอ จะให้เรารออีกนานแค่ไหนล่ะสน มันต้องนานอีกแค่ไหนนายถึงจะเชื่อใจเรา" ขนาดสนบอกไม่ให้พูดแต่ต้นก็ยังไม่หยุดพูด ต้นเก็บความเสียใจไว้ไม่ไหวแล้วนั่นเอง
สนกอดต้นแน่นขึ้น น้ำตาไหลพราก รู้สึกเหมือนคนกำลังจะขาดใจเสียให้ได้ "ต้น...พอแล้ว เราไม่สงสัยอะไรนายอีกแล้ว พอแล้วนะต้น เราขอโทษ"
"แล้วนายล่ะ นายบอกเราได้ไหม นายรักเราหรือเปล่า รักหรือเปล่า นายจะให้เรารอแล้วนาย..."
สนดันไหล่ต้นออกแล้วรีบใช้มือปิดปากต้นไว้ นั่นแหละต้นถึงได้หยุดพูดไป
"พอแล้วต้น...เรายอมแพ้แล้ว เรายอมทุกอย่างแล้ว เราจะบอกนายทุกอย่างที่นายอยากรู้"
ในที่สุดสนก็ทนไม่ไหว นี่คืออีกหนึ่งครั้งที่สนต้องเห็นต้นเสียใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ สนยังจำวันที่ต้นร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตอนที่สนหมั้นกับนินาได้ติดตาอยู่เลย สนไม่อยากเห็นต้นเสียใจแบบนั้นอีกแล้ว ให้สนตายเสียยังดีกว่า
"ต้น...ฟังดีๆ นะต้น" สนพูดเสียงสั่น ริมฝีปากไหวระริก
สนคงต้องยอมผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อเพื่อคนที่สนรัก ความจริงสนก็ผิดสัญญาที่ให้กับพ่อไว้ไปแล้วล่ะ ผิดตั้งแต่ที่สนมอบหัวใจให้ต้นไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ ต่อให้ไม่พูดคำว่ารัก การกระทำของสนก็ฟ้องความจริงทุกอย่าง สนรักษาสัญญานั้นไม่ได้มาตั้งนานแล้ว คงไม่มีประโยชน์ที่จะรักษามันต่อไป
"ต้น..."
"เฮ้ย! พวกมึงสองคนเป็นอะไรกันหรือเปล่าวะ ทำไมยังไม่เข้าบ้านกันอีก"
เสียงปั้นจั่นตะโกนถามขณะที่เปิดประตูบ้านออกมาพร้อมกับนิก ทั้งสองคนได้ยินเสียงคนคุยกันเหมือนกำลังทะเลาะกันจึงต้องลงมาดูด้วยความเป็นห่วง
เอาอีกแล้ว พอสนกำลังจะบอกสิ่งสำคัญกับต้นก็มักจะมีคนมาขัดจังหวะจนได้ทุกทีเลย
"ขอโทษนะเว้ย ไม่รู้มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า พอดีพวกกูได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันไงก็เลยเป็นห่วง ไม่มีอะไรใช่ไหม" ปั้นจั่นร้องถามมาอีก
"เปล่าๆ" สนตะโกนตอบกลับไป แล้วก็ถอนหายใจ จะโกรธเพื่อนก็โกรธไม่ลงเพราะว่าปั้นจั่นไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
"เข้าบ้านกันเถอะต้น สงสัยมันยังไม่ใช่เวลาของเรา"
สนไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่ถูกขัดจังหวะตอนนี้ ต้นเองก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ต่างกัน อารมณ์มันเหมือนคนที่กำลังดูหนังรักดราม่าที่กำลังถึงตอนเศร้าสุดขีด คนที่นั่งดูร้องห่มร้องไห้อย่างสะเทือนอารมรณ์ แล้วอยู่ดีๆ ก็ตัดฉากไปที่หนังตลกที่กำลังถึงตอนตลกสุดขีดพอกัน คนที่นั่งดูอยู่คงทำอารมณ์ไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ช่างมันเถอะ ก็ดีเหมือนกัน จะไม่ได้ต้องเศร้ามากจนเกินไป สนเข้าใจต้นแล้วล่ะ ต่อไปสนจะไม่พูดหรือถามต้นเรื่องนี้อีกแล้ว และต้นเองก็คงจะเข้าใจเช่นเดียวกันว่าสนรักและเป็นห่วงต้นมากแค่ไหน ไว้รอจังหวะเหมาะๆ อีกทีก็แล้วกัน ต้นอยากไปดอยอินทนนท์มาก บางที...ที่นั่นอาจจะเป็นที่ที่ทำให้สนได้บอกรักต้นก็ได้
เสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานในบ้านของสนทำให้ต้นยิ่งไม่อยากเข้าไปเห็นภาพข้างใน แต่จะไม่มาเยี่ยมเยียนครอบครัวสนเลยก็คงจะดูไม่ดีเป็นแน่ ต้นจึงจำใจต้องมา สนมาถึงก่อนต้นตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว เอาของฝากไปให้ที่บ้านต้นตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนต้นเดินทางมาตอนเช้ามืดเพิ่งมาถึงเมื่อไม่นานนี้เอง
"อ้าวต้น มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก มาๆ ลูกมา มากินข้าวด้วยกัน"
พ่อของสนหันมาเห็นต้นก่อนใคร ทุกคนที่กำลังนั่งกินข้าวคุยกันอย่างสนุกสนานจึงหันมามองต้นเป็นตาเดียวกัน ต้นยกมือไหว้สวัสดีพ่อกับแม่ของสนในขณะที่ยังถือของฝากไว้ด้วย
แม่ของสนหยุดกินข้าวแล้วก็เดินมาหาต้น "คิดถึงต้นจังเลยลูก มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะลูก"
"เมื่อเช้าครับแม่พลอย" ต้นชำเลืองมองดูสนที่ดูเงียบๆ ไป สบตากันพักหนึ่ง ส่วนอีกคนที่นั่งถัดจากสนไปกลับมีแต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข
"ต้นดูผอมไปหรือเปล่าลูก" แม่ของสนถามพลางไล่มองดูตัวต้นตั้งแต่หัวจรดเท้า
"น่าจะอย่างงั้นครับแม่พลอย สงสัยผมคงไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่พลอยมานานก็เลยผอมน่ะครับ" ต้นพูดติดตลก แม่ของสนหัวเราะชอบใจใหญ่
"พี่ต้นมากินข้าวด้วยกันสิคะ แม่พี่สนทำอาหารอร่อยมากเลยค่ะ นินาช้อบชอบ โดยเฉพาะแกงผักกาดจอนะคะ สุดยอดไปเลยค่ะ"
เจ้าของเสียงหวานใสดูท่าทางจะมีความสุขมากทีเดียว พ่อกับแม่ของสนก็ดูจะต้อนรับเธอเป็นอย่างดี
"อ๋อ พี่กินมาแล้วครับ ตามสบายเลย" ต้นหันไปบอกนินา รู้สึกแปลกใจที่สนยังนั่งกินข้าวเงียบๆ สีหน้าเหมือนคนกำลังเครียดหรือไม่ก็คงไม่พอใจกับบางสิ่งบางอย่างอยู่
"ผมซื้อเสื้อกับกางเกงมาฝากพ่อแต้วกับแม่พลอยครับ ลองดูว่าชอบหรือเปล่า"
ต้นบอกพลางยื่นของฝากให้แม่ของสน แม่ของสนรับมาดูแล้วก็ยิ้มดีใจ "โถลูก มาหาทีไรก็ซื้อของมาฝากทุกทีเลย ต้นซื้ออะไรมาให้พ่อกับแม่ก็ชอบทั้งนั้นแหละลูก ว่าแต่ต้นจะกินข้าวอีกสักหน่อยไหม วันนี้มีแกงผักกาดจอที่ต้นชอบด้วยนะ"
แม่ของสนไม่วายเชื้อเชิญอีกแม้ว่าต้นเพิ่งบอกไปว่ากินมาแล้ว
"เดี๋ยวผมต้องออกไปข้างนอกกับพ่อกับแม่แล้วครับแม่พลอย เอาไว้วันหลังนะครับ กลับมาคราวนี้ยังไงผมก็ต้องกินอาหารฝีมือแม่พลอยให้ได้ครับ"
"อย่างงั้นเหรอลูก งั้นเย็นนี้มากินข้าวด้วยกันนะ ชวนพ่อแอ๊ดกับแม่เยามาด้วยนะลูก เดี๋ยวแม่จะทำแกงผักกาดจอไว้ให้อีกเย็นนี้"
ต้นพยักหน้าพลางยิ้ม
"ครับ ถ้างั้น...ผมขอตัวไปก่อนนะครับ พอดีพ่อกับแม่รออยู่ พ่อแต้วครับ ต้นไปก่อนนะครับ" ต้นยกมือไหว้พ่อกับแม่ของสนอีกครั้งเป็นการร่ำลา มองดูสนที่ไม่พูดไม่จาแว่บหนึ่งแล้วก็เดินออกไป
แม่ของสนดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่ลูกชายของเธอไม่ยอมทักเพื่อน ไม่เคยเห็นสนทำท่าทางเฉยเมยแบบนี้กับต้นเลย จะว่าเป็นเพราะมีแฟนแล้วก็เลยไม่สนใจเพื่อนก็คงไม่ใช่ จะว่าไป สนก็ดูเฉยเมยกับคู่หมั้นจนดูน่าเป็นห่วงกว่าที่เฉยเมยกับต้นเสียอีก ถ้าจะเรียกว่าเย็นชาก็คงไม่ผิดนัก
พอกินข้าวกันเสร็จแล้ว สนก็จะพาคนในครอบครัวไปดูงานก่อสร้างร้านอาหารที่กำลังใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จะไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนแวะไปที่พระปฐมเจดีย์เพราะนินาอยากไปไหว้พระที่นั่น
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็พากันเดินมาขึ้นรถคันใหม่ที่สนเพิ่งดาวน์มาใช้งานที่บริเวณหน้าบ้าน
"นินานั่งข้างหลังกับพ่อนะ พี่จะนั่งข้างหน้ากับแม่" สนหันไปบอกคู่หมั้นด้วยเสียงที่ฟังดูห้วนๆ สำหรับสนแล้ว คนที่จะเป็นตุ๊กตาหน้ารถของสนคนแรกต้องไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้
นินาหน้าเจื่อนด้วยความผิดหวัง ขนาดอยู่ต่อหน้าพ่อแม่แท้ๆ สนยังไม่เกรงใจเธอเลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก อยากทำเย็นชาใส่เธอก็ทำไป แผนของเธอสำเร็จด้วยดีแล้ว เพราะฉะนั้น เธอแค่เพียงรอเวลาอีกไม่นานทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่เธอต้องการ
"ค่ะ ก็ดีเหมือนกันค่ะพี่สน นินาจะได้คุยกับพ่อ พ่อคุยสนุกดี แม่ก็คุยสนุกนะคะ" นินาหัวเราะกลบเกลื่อน
พ่อของสนมองหน้าลูกชายด้วยความสงสัยและไม่พอใจ สนทำเย็นชากับว่าที่ลูกสะใภ้ให้พ่อกับแม่เห็นตั้งแต่มาถึงที่บ้านเมื่อวานตอนเย็นจนกระทั่งตอนนี้ แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะยังไม่อยากตำหนิลูกชายต่อหน้าว่าที่สะใภ้ที่เพิ่งมาเยี่ยมเยียนที่นี่เป็นครั้งแรก
สนไม่ได้สนทนากับนินาอีก เมื่อทุกคนนั่งประจำที่กันหมดแล้ว สนจึงขับรถออกจากบ้านไปตามแผนที่วางกันเอาไว้
แดดร่มลมตกแล้ว ต้นจึงถือโอกาสนี้ออกมาเดินเล่นตามถนนเลียบคลองส่งน้ำหน้าบ้าน มองเห็นสะพานเหล็กแล้วต้นก็ใจหาย นานเท่าไหร่แล้วที่ต้นกับสนไม่ได้มานั่งเล่นด้วยกันที่ตรงนั้น คราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกไหมเพราะสนพาคู่หมั้นมาอยู่ที่บ้านด้วย คงไม่มีเวลามาคุยกับต้นหรอก
ต้นเดินไปที่สะพานเหล็กนั้นแล้วก็นั่งลง ถอดรองเท้าออกวางไว้ข้างๆ หย่อนขาลงไปตีน้ำอย่างที่ต้นชอบทำเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก สะพานเหล็กเล็กๆ แห่งนี้เก็บความทรงจำดีๆ ของต้นกับสนไว้มากมาย มันคงเหงาน่าดูเลยช่วงที่ต้นกับสนไม่อยู่ คงไม่ค่อยมีใครมานั่งเล่นเป็นเพื่อนกับมัน วันนี้ต้นกลับมาแล้วแต่ก็ยังคงเหงาอยู่ดีเพราะสนไม่มาด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้สนกับครอบครัวจะมีความสุขมากแค่ไหนที่มีสมาชิกใหม่มาเพิ่ม พ่อของสนดูตื่นเต้นและมีความสุขมากเลยล่ะ ถ้าต้นทำให้พ่อมีความสุขแบบนี้ได้ต้นคงภูมิใจน่าดู ถ้าอย่างนั้นสนก็คงจะภูมิใจไม่น้อยที่ทำให้พ่อมีความสุขมากอย่างนั้นได้ ถ้าหากเปลี่ยนนินาเป็นต้นแทน ที่บ้านของสนจะรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า
ช่างเถอะ กลับมาคิดเรื่องของต้นดีกว่า พรุ่งนี้แล้วสินะที่ต้นตัดสินใจที่จะบอกเรื่องสำคัญกับพ่อ คราวนี้ต้นต้องขอยืมตัวพี่สรกฤษณ์มาช่วย ตอนแรกสนเป็นคนเสนอตัว แต่ต้นไม่อยากให้สนต้องผิดใจกับพ่อของต้น เพราะว่าตอนที่ต้นไปเรียนเมืองนอก ต้นคงต้องอาศัยสนนี่แหละช่วยดูแลพ่อกับแม่ให้ ถ้าเกิดผิดใจกันแล้วก็คงทำให้สนลำบากใจที่จะมาหาพ่อกับแม่ของต้น สนเข้าใจประเด็นนี้ก็เลยยอมรับฟังแต่โดยดี
ส่วนพี่สรกฤษณ์ ต้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่สรกฤษณ์ยอมช่วยเรื่องนี้เป็นเพราะแค่อยากเอาใจต้น หรืออยากช่วยต้นอย่างพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น ต้นบอกสรกฤษณ์ไปแล้วว่าต้นต้องการความช่วยเหลือ ถ้าสรกฤษณ์ยินดีจะช่วยต้นในฐานะที่เป็นน้องคนหนึ่ง ต้นก็จะขอบคุณมาก สรกฤษณ์ก็ดูเข้าใจเหตุผลของต้นอยู่จึงตกลงที่จะช่วย
ไม่รู้ว่าต้นคิดถูกไหม แต่ต้นก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ ไม่อย่างนั้นต้นก็คงต้องปล่อยให้เวลาสามปีที่ต้นไปเรียนเมืองนอกผ่านไปเฉยๆ มันอาจจะดูโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ต้นก็จำเป็นต้องทำ ต้นยังไม่ได้บอกแม่เลย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้แม่จะรับได้แค่ไหน แม้ว่าตอนนี้แม่จะยอมรับที่ต้นเป็นเกย์ได้แล้วก็ตาม
"เพื่อนรักของผม มานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวครับ"
เสียงของใครบางคนดังขึ้นใกล้ๆ ในขณะที่ต้นกำลังนั่งเหม่อและคิดไปเรื่อยเปื่อย เสียงนุ่มๆ ทุ้มๆ นี้ต้นคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว พอหันไปมองก็เห็นสนยืนอยู่
"ขอนั่งด้วยคนนะครับเพื่อนต้น" สนทำน้ำเสียงเหมือนเด็ก
ต้นยิ้มจางๆ แล้วก็พยักหน้า สนนั่งลงเสียตัวติดกับต้นเลยจนต้นต้องขยับออกห่างไปอีกหน่อย
"จะเขยิบไปไหนล่ะ นั่งแบบนี้แหละ" สนบอก
สีหน้าของสนดูมีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากเมื่อเช้าที่ดูหน้าบูดๆ บึ้งๆ ไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไรหรือเปล่า แต่อย่างว่าล่ะนะ ได้พาคู่หมั้นไปเที่ยวก็คงต้องมีความสุขเป็นธรรมดา
"นานแล้วนะต้นที่เราไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้ที่นี่ เราคิดถึงสะพานเหล็กมากเลย"
ต้นพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ สนถอดรองเท้าออก วางไว้ข้างๆ ตัวแล้วก็เอาขาตีน้ำเล่นเหมือนต้น บรรยากาศแบบนี้เหมือนสมัยที่ต้นกับสนยังเป็นเพื่อนกันเลย ต้นนึกถึงวันที่สนเป็นแฟนกับเฟิร์นแล้วมีเหตุการณ์ให้ต้นต้องทำตัวเหินห่างกับสน แต่สุดท้ายสนก็กลับมาหาต้น มาง้อต้นที่สะพานแห่งนี้นี่แหละ
"วันนี้ไปเที่ยวมาสนุกไหม" ต้นถามโดยไม่หันไปมองหน้าสน แต่มองดูดวงตะวันที่กำลังคล้อยต่ำลงทุกทีๆ
สนถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ทำหน้าเซ็งๆ "ดูหน้าเราสิ"
ต้นหันไปมองตามที่สนบอก พอเห็นสนทำหน้าอย่างนั้นก็ขำเบาๆ "คนเยอะเหรอ"
สนถอนหายใจอีกครั้ง "เปล่า...ไม่เกี่ยวกับคนเยอะหรอก นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าทำไม เราไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้น จะให้เรามีความสุขได้ไงล่ะ เราว่านั่งคุยกันกับนายเฉยๆ ยังจะมีความสุขมากกว่าอีก เฮ้อ...เราเบื่อพ่อมากเลย ไม่รู้ว่าชอบอะไรนินานักหนา"
ได้ยินสนบ่นอย่างนั้นต้นก็ยิ่งรู้ว่าหนทางความรักของเขากับสนกำลังแคบลงไปเรื่อยๆ ดีไม่ดี อีกไม่นานนี้ก็คงไปต่อไม่ได้ พ่อของสนชอบนินาขนาดนั้น สนจะขัดพ่อได้ยังไง ต้นนึกไม่ออกเลย
"แล้วเมื่อคืน...นายนอนที่ไหน" ต้นถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น สนว่าจะมานอนเป็นเพื่อนต้นทุกคืน แต่เมื่อวานสนมาถึงก่อนต้น แล้วสนไปนอนที่ไหนกันหนอ
"ที่บ้านเรา" สนตอบสั้นๆ สีหน้าดูเครียดเหมือนกับคิดอะไรบางอย่าง
"แล้วนินาล่ะ เขานอนที่ไหน" ไม่รู้ว่าถามซอกแซกมากไปหรือเปล่า แต่ต้นก็อยากรู้จริงๆ ต้นกลัวเหลือเกินว่าพ่อของสนจะให้นินานอนห้องเดียวกับสน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้นก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น
"อย่าไปพูดถึงเขาเลยต้น มาพูดเรื่องของนายดีกว่า พรุ่งนี้นายพร้อมหรือยัง" สนเปลี่ยนเรื่องคุย แต่สีหน้าก็ยังดูกังวลอยู่
คราวนี้ต้นเป็นฝ่ายกังวลบ้าง "ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแหละ พรุ่งนี้พี่กริดจะมาที่บ้านเราตอนสิบโมงนะ เราบอกพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าเราจะพาพี่เขามาที่บ้าน"
"เสียดายจัง เราต้องไปดูร้านทั้งวันเลย ถ้ามีปัญหาอะไร โทรหาเรานะต้น เราจะมาหานายทันที"
ต้นพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
"อ้อ...คืนนี้ เราขอไปนอนห้องนายนะต้น"
ต้นขมวดคิ้วแปลกใจ "แล้วพ่อนายจะไม่ว่าเอาเหรอ"
"ทำไมต้องว่าด้วยล่ะ เมื่อก่อนเราก็ไปนอนที่บ้านนายบ่อยๆ ไม่เห็นพ่อว่าอะไรเลย"
"มันไม่เหมือนกันนะสน นายมีคู่หมั้นมาด้วยนะ" ต้นเตือน
"ก็ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่า...เราจะไปนอนห้องนายนั่นแหละ ไปทุกคืนเลย"
สนเป็นลูกคนเดียวเหมือนต้น พ่อกับแม่ทุ่มเทความรักให้จนหมดจนบางครั้งดูเหมือนตามใจ ทำให้ต้นกับสนชอบดื้อรั้นกับพ่อแม่ในบางเรื่องเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเสียนิสัย
"อืม" ต้นพยักหน้า
"ไปขับรถเล่นกับเราไหม" สนชวนอย่างนึกสนุก เขาซื้อรถมาแล้วต้นยังไม่ได้นั่งเลย ตุ๊กตาหน้ารถตัวจริงของสนคือคนนี้ต่างหาก
"ไปไหนดีล่ะ" ต้นสงสัย
"แถวๆ นี้แหละ ไปที่โรงเรียนเก่าเราด้วยดีไหม เราว่าจะไปเตะบอลหน่อย ไม่ได้เล่นมาหลายวันแล้ว ไปกับเรานะ" สนรบเร้า
"อืม...ก็ดีเหมือนกัน"
สนพาต้นเดินมาที่บ้าน สีหน้าของสนดูมีความสุขมากขึ้น เป็นเหตุให้พ่อของสนที่กำลังนั่งคุยกับนินาอยู่ที่หน้าบ้านต้องคอยจับตาดูสนเป็นพิเศษตั้งแต่เดินเข้ามาในรั้วบ้าน ดูท่าทางพ่อของสนจะหนักใจกับลูกชายอยู่เหมือนกัน ตอนพาคู่หมั้นไปเที่ยวก็ทำหน้าบึ้งหน้างอ ถามคำตอบคำ แต่พออยู่กับต้นกลับทำหน้าระรื่นราวกับเป็นคนละคน
"เดี๋ยวผมกลับมาเย็นๆ นะครับพ่อ ผมจะพาต้นไปขับรถเล่นหน่อย ฝากบอกแม่ด้วยนะครับ"
สนบอกพ่อแล้วก็เชิญชวนต้นให้ขึ้นรถ ไม่แม้แต่จะปรายหางตามองดูคู่หมั้นของตัวเองที่แอบทำหน้าเง้าหน้างออยู่
พอสนเห็นต้นนั่งข้างหน้าคู่กันกับเขาแล้วสนก็ยิ้มอย่างมีความสุข นี่แหละคือช่วงเวลาที่สนรอคอยมาทั้งวัน
"รัดเข็มขัดด้วย" สนเตือนเมื่อเห็นต้นยังคงกวาดสายตามองดูทั่วรถของสนอยู่
"อ้อ ลืม" ต้นหัวเราะแหะๆ ใส่เข็มขัดนิรภัยแล้วก็หันไปยิ้มกับสน "รถนายสวยดีนะ"
"ชอบไหม"
ต้นหยักหน้ายอมรับ สายตายังคงมองไปรอบๆ ภายในตัวรถอยู่
"จะได้เหมาะกับตุ๊กตาหน้ารถของเราไง" สนยิ้มกรุ้มกริ่ม แววตาวิบไหวเป็นประกาย
ต้นหยุดมองสนเมื่อได้ยินประโยคนั้น แล้วก็ยิ้มเขินนิดๆ
"พร้อมยัง"
ต้นพยักหน้าตกลง สนจึงค่อยๆ ขับรถออกไป พอพ้นรั้วบ้านแล้วก็มุ่งตรงไปตามถนนเลียบคลองส่งน้ำที่ต้นกับสนคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงจนพอสังเกตเห็นได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดูแปลกจนนึกไม่ออกว่าเคยเติบโตที่นี่หรือเปล่า
สนพาต้นขับเลยมาจนถึงบริเวณ ม. เกษตรกำแพงแสน ตอนเด็กๆ ต้นเคยอยากมาที่นี่เพราะว่าบรรยากาศดี ต้นอยากไปดูตรงไหน สนก็อาสาขับพาไปทุกหนทุกแห่งที่ต้นอยากไปถ้าไม่ไกลจนเกินไป สีหน้าและแววตายิ้มอยู่ตลอดเวลา สนดูมีความสุขมากทีเดียวที่ได้ใช้เวลากับต้นในอำเภอที่เขาสองคนเติบโตมาด้วยกัน
ก่อนจะไปเล่นฟุตบอลที่โรงเรียน สนแวะซื้อชุดกีฬาที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งเพราะสนลืมเอามาด้วยจากเชียงใหม่ พอได้แล้วก็ขับรถมุ่งตรงมาที่โรงเรียนมัธยมเก่าที่ต้นกับสนเคยเรียนด้วยกัน เมื่อรถเคลื่อนเข้ามาสู่บริเวณโรงเรียน บรรยากาศเมื่อวันวานก็หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ต้นกับสนรู้สึกเหมือนเพิ่งจากไปเมื่อไม่นานนี้นี่เอง
ช่วงวันหยุดอย่างนี้อาจจะดูเงียบๆ ไปบ้าง แต่บรรดาเด็กหนุ่มๆ ในหมู่บ้านที่มาเล่นฟุตบอลในโรงเรียนก็ช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป สนเปลี่ยนชุดในห้องน้ำเสร็จแล้วก็เดินมาหาต้นที่นั่งรออยู่ตรงม้านั่งตัวโปรดของต้นข้างสนามฟุตบอล มีขวดน้ำหนึ่งขวดวางอยู่ข้างๆ
"ฝากดูเสื้อกับกางเกงเราหน่อยนะต้น" สนบอกแล้วก็วางถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าที่สนเพิ่งเปลี่ยนไว้ลงบนม้านั่ง
"รู้สึกเหมือนตอนเรียนมัธยมเลย นายว่าไหม" ต้นพูดขึ้นมาแล้วก็ยิ้ม
"อืม...คิดเหมือนกันเลย หวังว่า...คงจะไม่มีใครวิ่งเอาน้ำมาให้เราตัดหน้านายอีกนะ"
ต้นขำเบาๆ ที่สนยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ สนจำได้ดีเลยล่ะ เหตุการณ์นั้นนั่นเองที่ช่วยให้สนได้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างที่สนไม่เคยรู้มาก่อน
"ไปเล่นเหอะ น้องๆ เขารอแย่แล้ว" ต้นเตือนเมื่อหันไปเห็นหนุ่มๆ รุ่นน้องยืนคอยสนอยู่กลางสนามฟุตบอลหน้าโรงเรียนอย่างใจจดใจจ่อ คงอยากจะเล่นเต็มแก่แล้วนั่นเอง
"เดี๋ยวมานะ" สนบอกแล้วก็วิ่งจู๊ดไปถึงกลางสนามในเวลาไม่กี่วินาที
ต้นนั่งยิ้ม มองดูสนเล่นฟุตบอลกับเด็กๆ ในหมู่บ้านอย่างมีความสุข ความทรงจำสมัยเด็กๆ พรั่งพรูหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย นึกถึงสมัยที่ต้นยังแอบรักสนอยู่ แม้จะฟังดูเศร้าแต่พอหวนกลับไปนึกถึงต้นกลับยิ้มอย่างมีความสุขได้ในวันนี้ ความทรงจำกับคนที่เรารักมักสวยงามเสมอเวลาที่ย้อนกลับมานึกถึง
ปกติแล้ว ต้นชอบนั่งดูเวลาสนเล่นบาสเก็ตบอลมากกว่า เพราะต้นจะสามารถมองเห็นสนใกล้ๆ ได้ ไม่เหมือนเวลาที่เล่นฟุตบอลเพราะสนจะอยู่ไกล ไม่ว่าสนจะทำอะไร อยู่ในอิริยาบถไหนก็ดูมีเสน่ห์ไปหมด ต้นชอบแอบมองเวลาสนยิ้ม ชอบต้นแขนที่ดูขาวเนียนและมีกล้ามพองาม ไม่ดูล่ำบึ้กจนเกินไป ชอบหุ่นของสนที่ดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจ แม้ว่าสนจะไม่ใช่คนตัวสูงใหญ่มากแต่รูปร่างก็สมส่วนจนต้นเคยเก็บไปคิดจินตนาการในโลกส่วนตัวบ่อยๆ คิดถึงอารมณ์แอบรักวันนั้นแล้วต้นก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่ามันจะผ่านมานานถึงสิบปีแล้ว
เกือบๆ ชั่วโมงทีเดียวที่สนเล่นเตะฟุตบอลจนพอใจ ฟ้าเริ่มมืดแล้วแต่ก็ยังพอมองเห็นระยะไกลได้อยู่ สนวิ่งตรงมาที่ต้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ต้นหยิบขวดน้ำเตรียมไว้ พอสนวิ่งมาถึงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นขวดน้ำให้
"ขอบคุณครับเด็กชายสหัสวรรษ" สนกระเซ้าด้วยการเรียกชื่อจริงของต้นสมัยเรียนมัธยมต้น
"ไม่เป็นไรครับเด็กชายทิวสน" ต้นเล่นด้วยบ้าง
ตัวของสนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ชุดกีฬาสีขาวเมื่อเปียกเหงื่อแล้วก็แทบจะซ่อนอะไรที่อยู่ภายในไม่ได้เลย โดยเฉพาะช่วงล่างที่เนื้อผ้าเปียกลู่แนบไปกับผิวเนื้อจนเห็นรอยขอบชุดชั้นในชัดเจน
"เปียกหมดแล้ว เห็นไปถึงไหนๆ เลย" ต้นแซว หัวเราะเบาๆ
สนหยุดดื่มน้ำแล้วก็หันมาพูดเล่นกับต้น "อย่าแอบดูของเรานะ"
ต้นยิ้มอย่างเอ็นดู รู้สึกมีความสุขมากทีเดียว มากจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร ดูจากสีหน้าของสนแล้วก็คงมีความสุขไม่ต่างกัน
"ไม่เห็นอยากดูเลย"
"จริงเหรอ" สนยิ้มกรุ้มกริ่ม "ตอนสมัยเรียนที่นี่ ไม่รู้ใครนะชอบแอบดูเราเวลาเราเล่นกีฬา"
"นายรู้ด้วยเหรอ" ต้นหน้าเหวอ ไม่คาดคิดว่าสนจะรู้ขนาดนั้น
สนหัวเราะยิ้มๆ ส่งขวดน้ำคืนให้ต้น จากนั้นก็นั่งลงที่ม้านั่ง ต้นนั่งตามลงมาด้วย
"มีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับต้นที่เราไม่รู้" สนหยุดเว้นจังหวะ "อีกไม่นาน...นายก็ไม่ต้องแอบดูแล้วล่ะ" สนไม่ได้ขยายความต่อ แต่ความหมายของสนก็คือ ทั้งตัวและหัวใจของสนจะเป็นของต้น ร่างกายของสนที่ต้นเคยได้แต่แอบหลงไหล ต่อไปต้นก็จะได้ครอบครอง ไม่ต้องแอบดูอีกต่อไป
"ยังไงเหรอ" ต้นถามอย่างพาซื่อ
"เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก" สนยิ้มและหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
"มีความสุขจังเลย ได้กลับมายืนที่เดิมแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะต้น เราอยากหยุดเวลาไว้แบบนี้นานๆ"
สนเหม่อมองท้องฟ้าสักพักแล้วก็ถอนหายใจ "แต่อีกไม่นานนายก็ต้องไปแล้ว เราคงเหงาน่าดูเลย"
"แค่สามปีเอง ไม่นานหรอก" ต้นบอกเสียงเรียบ แต่ความจริงก็คิดเหมือนสนนั่นแหละ
"แค่สามวันเราก็คิดถึงนายแย่แล้ว สามปีเราไม่ต้องคิดถึงนายจนบ้าเลยเหรอ"
ต้นหัวเราะ "ขนาดนั้นเลยเหรอ"
"อืม..."
สนเงียบไปสักพัก สีหน้าดูจริงจังขึ้น พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว สนก็จับมือข้างหนึ่งของต้นมากุมไว้ ต้นได้แต่มองอย่างแปลกใจพร้อมกับรอคอยว่าสนจะพูดอะไรต่อจากนี้
"ที่นินามาบ้านเราวันนี้ เราไม่รู้ว่านายคิดอะไรหรือเปล่านะ แต่นายไม่ต้องกลัวนะต้น เราเตรียมแผนการทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้นายเชื่อใจเรา ต่อให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ต่อให้ได้ถอนหมั้นหรือไม่ได้ถอนหมั้น วันหนึ่งเราก็จะกลับมาหานายจนได้ เราไม่ได้มีทางเลือกเดียวนะต้น ขอโทษนะที่เราบอกนายไม่ได้ว่าเราจะทำอะไร นายกับเราคบกันมาสิบสองปีแล้ว นายก็รู้ใช่ไหมต้นว่าเราไม่เคยผิดคำพูดกับนายเลย มันอาจจะฟังดูเลื่อนลอยเพราะนายยังไม่เห็นอะไรชัดเจนนะ แต่ขอให้นายเชื่อใจผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องรับปากเราก็ได้ว่านายจะรอ แต่ขอให้นายรู้ไว้อย่างเดียว เราเตรียมแผนการทุกอย่างไว้หมดแล้ว ถ้าเราจำเป็นต้องร้ายกับใครเราก็จะร้าย เพราะเรา...จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้นาย...สมหวังกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นายหวังไว้ จำคำพูดของเราไว้นะต้น จำไว้ให้ดีนะ"
ฟังจบแล้วต้นก็ยิ้ม ไม่รู้หรอกว่าสนกำลังคิดจะทำอะไร แต่ต้นก็ยินดีจะรอ ไหนๆ ต้นก็รอมาเป็นสิบปีแล้ว จะรออีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร สนไม่เคยผิดคำสัญญา ต้นเชื่อใจผู้ชายคนนี้เสมอ สิ่งที่สนพูดวันนี้ บรรยากาศดีๆ อย่างวันนี้ ต้นจะจำไว้เสมอไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน
TBC