BED CARE JOB
ตอนที่ 17 อยู่ตรงนี้
อาการแผลที่หัวดีขึ้นมาก ตั้งแต่แรกก็ไม่มีอะไรให้น่ากังวลอยู่แล้ว แผลมันเล็กนิดเดียว เล็กมาก หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น ทุกคนตื่นตกใจกันไปเองทั้งนั้น ส่วนเปิ้ลผมแดงยังคงมาเรียนตั้งแต่เช้าเหมือนวันจันทร์ เธอบอกว่าอดทนมาเช้าอีกสองอาทิตย์ถึงจะย้ายเข้าไปอยู่หอใหม่ได้
พวกเราเป็นกังวลมากเรื่องอดีตแฟนเปิ้ลจะกลับมาระรานหรือเข้ามาวุ่นวายกับพวกเราอีกหรือไม่ แต่นับจากวันที่ไปขนของที่ห้องเปิ้ลซึ่งผ่านมาหลายวันกระทั่งวันนี้วันศุกร์จวนจะครบสัปดาห์แล้ว ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงสงบ ท้องฟ้าแจ่มใส ไร้เมฆหมอก ทำให้พวกเราค่อยวางใจว่าอดีตแฟนเปิ้ลคงถอดใจและไม่สนใจพวกเราอีกต่อไป
“หลังเลิกเรียนแล้วไปกินข้าวเลยปะ” เอกถามขึ้นระหว่างที่อาจารย์กำลังสอน
“ไปเลย หิวจะตายอยู่แล้ว” โจตอบด้วยเสียงไม่ดังนัก กลัวว่าจะถูกเรียกประจานยกกลุ่ม อาจารย์วิชานี้ไม่ค่อยปลื้มถ้ามีเสียงอื่นแทรกมาระหว่างการสอน
“กูต้องเอาโปรเจ็กไปอัปเดตอาจารย์ พวกมึงไปกันก่อน เดี๋ยวกูตามไป”
“ให้ไปด้วยไหม” โจหันมาถามผม
“ไม่ต้อง จะไปด้วยทำไม มหา’ลัยออกจะกว้าง คงไม่เจอแฟนเปิ้ลง่าย ๆ หรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมหัวเราะมัน ทำอย่างกับผมเป็นเด็กห้าขวบไปได้
“เออ ๆ ตามใจละกัน”
เที่ยงตรงอาจารย์เลิกเรียนตรงตามเวลา ปราศจากการดึงรั้งเหล่านักศึกษาให้เรียนต่อถึงแม้ว่ายังขาดอีกหนึ่งหัวข้อในการสอนวันนี้ก็ตาม อาจารย์บอกว่าถึงสอนไปก็ไม่เข้าหัวพวกเธออยู่ดีเพราะใจพวกเธอคงวิ่งไปถึงโรงอาหารหรือที่พวกเราชอบเรียกมันว่าแคนทีนแล้ว เหล่านักศึกษาที่แสนดีจะทำอย่างไร หัวเราะครืนกลบความจริงไปสิครับ
ผมสะพายเป้โดยมีโน้ตบุ๊กที่ยืมมาจากโจบรรจุอยู่ในนั้นไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อรายงานความคืบหน้า หลังจากที่โดนสั่งให้แก้เละเทะไม่เหลือซากไปเมื่อคราวก่อน ตอนที่ไปถึงผมเห็นอาจารย์นั่งรออยู่แล้ว จึงรีบเข้าไปสวัสดีทักทายอาจารย์ตามมารยาทก่อนจะเปิดโปรเจ็กให้อาจารย์ได้พินิจพิเคราะห์
ระหว่างที่รออาจารย์ตรวจดู ผมลอบกลืนน้ำลายนั่งรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ภาวนาให้ผ่านเสียทีเถอะ ยังมีงานอีกหลายส่วนที่ต้องทำเพิ่มอีก ถ้าไม่ผ่านสักทีผมก็จะไม่สามารถเดินหน้าส่วนอื่นต่อไปได้
“เอาละ ธาวิน” อาจารย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“ครับอาจารย์” ผมกลั้นหายใจรอฟัง
“ดีแล้ว เริ่มบทใหม่ได้”
“ขอบคุณครับอาจารย์” ผมฉีกยิ้มกว้าง ในที่สุดก็จะได้เดินหน้าต่อเสียที ผมรับโน้ตบุ๊กคืนจากอาจารย์ก่อนจะพับหน้าจอลงแล้วเก็บลงในกระเป๋าเป้ดังเดิม
ผมลาอาจารย์พร้อมขอบคุณอีกครั้งแล้วคว้าเป้ขึ้นมาสะพายออกจากห้องพักอาจารย์ไป มองนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือเห็นว่ายังมีเวลาไปกินข้าวได้ทันก่อนไปทำงานที่ร้านพี่ปุยฝ้าย จึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทาง เดินไปโรงอาหารคณะแทน
ผมเห็นโจนั่งหัวโด่เด่นเตะตาเมื่อก้าวมาถึงโรงอาหารคณะ ถึงมันจะนั่งหันหลังให้ผมแต่ผมก็จำมันได้ ไม่ผิดคนแน่ ผมเร่งเท้าเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่มันนั่ง อารามรีบเร่งจึงเดินชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง” ผมรีบกล่าวขอโทษตามความเคยชิน ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือผมที่เดินไม่ดูทาง แต่ผมไม่ได้สนใจว่าใครคือคนผิดถูก
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่เห็น” คนตรงหน้าปัดเสื้อผ้าเบา ๆ พูดตอบกลับมาอย่างสุภาพก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“คุณ?” ผมเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ ถึงจะเคยเจอหน้าในช่วงเวลาชุลมุนครั้งเดียว แต่ผมไม่มีทางลืมใบหน้านี้แน่นอน
“มึง!?” และเขาก็คงจำผมได้เช่นกัน คำสุภาพกลืนหายไป เขาเดินเข้ามาใกล้ผมด้วยใบหน้าถมึงทึง จนผมต้องก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“จะทำอะไร” ผมถามกล้า ๆ กลัว ๆ
“กูจำมึงได้แล้ว” เขาหรี่ตาลง “มึงที่นั่งหลังรถกระบะนั่น”
“แล้วทำไม มีอะไร” สาบานว่าผมไม่ได้อยากยุหรือยั่วโมโหมันเลย ผมก็แค่จะถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง
“กูบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
“ผมไปทำอะไรให้คุณ” คนรอบข้างเริ่มมองมาที่ผมกับมันด้วยความอยากรู้และสนใจ
“เปิ้ลเป็นแฟนกู มึงมายุ่งเรื่องผัวเมียทำไม”
“เธอเลิกกับคุณแล้วไม่ใช่เหรอ คุณเองก็มีแฟนใหม่แล้วนี่ อย่าไปยุ่งเธออีกเลย อ้อ อย่ามายุ่งกับผมด้วย”
“แต่มึงเป็นคนช่วยพาอีเปิ้ลหนีมาจากกู” คนตรงหน้าผมเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่ได้หนี เพื่อนผมเดือดร้อน ผมก็แค่ช่วยพาเขาออกมา”
“พวกมึงสมรู้ร่วมคิดกัน” เขาชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่อง
“เอ่อ..ก็ใช่อะ พวกเราต้องการช่วยเพื่อน แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” คือผมไม่อยากปฏิเสธเพราะพวกเราวางแผนกันช่วยเปิ้ลจริง เรียกว่าสมรู้ร่วมคิดตามที่เขาพูดก็คงไม่ผิดล่ะมั้ง
“กูมาหาเปิ้ล มันอยู่ไหน”
“ไม่รู้” เรื่องอะไรต้องบอกเขาด้วย
“อย่าให้กูทนไม่ไหว บอกมา มันอยู่ไหน” เขาเค้นเสียงต่ำขู่ผม
“ไม่รู้ ผมเพิ่งมาถึงเหมือนคุณนั่นแหละ จะไปรู้ได้ไง”
“ถ้าไม่โดนสักหมัดคงไม่ยอมพูดใช่ไหม” เขาง้างมือขึ้น ทำท่าจะต่อยผม ไม่มีทาง ผมไม่มีวันยอมโดนต่อยอยู่แล้ว
“ไอ้โจ ช่วยกูด้วย” ผมตะโกนเรียกโจ เลิกอาย ฝังไว้ก่อน ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดให้ได้
“เราอยู่นี่ อย่าทำเพื่อนเรา” คนที่มาช่วยผมไม่ใช่โจ แต่เป็นเปิ้ล วีรสตรีขี่ม้าขาว
“เปิ้ล” อดีตแฟนเปิ้ลลดมือลงแล้วหันไปจับมือเธอไว้แทน
“มีอะไรกับเราอีก เราเลิกกันแล้วนะ”
“เราขอโทษ กลับมาคบกันเหมือนเดิมเถอะ” ผมกำลังยืนฟังบทสนทนางอนง้อขอคืนดีอยู่เมื่อรู้สึกว่ามีมือมาวางบนไหล่ ตามด้วยเสียงที่คุ้นหู
“เป็นอะไรไหม” โจพูดอยู่ข้างหลังผม
“ไม่เป็นไร เปิ้ลมาช่วยกูไว้ทันพอดี”
ผมหันกลับไปตอบโจครู่เดียว กลับมามองอีกทีเห็นเปิ้ลกำลังร้องโวยวายที่ถูกยื้อยุดฉุดกระชากให้ตามอีกฝ่ายไปข้างนอกโรงอาหารด้วยกัน ผม โจ ภพและเอก รวมทั้งสองสาว ข้าวกับเกดรีบวิ่งตามคนคู่นั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย ปล่อยเปิ้ลนะ” ข้าวร้องบอกเมื่อพวกเราตามออกไปได้ทันพลางจับแขนข้างที่เหลือของเปิ้ลไว้ได้
“มึงนั่นแหละ ที่ต้องปล่อย กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมัน คนนอกอย่างพวกมึงไม่เกี่ยว”
“คนนอกอะไรวะ นี่เพื่อนกู อีกอย่างเปิ้ลมันก็ไม่ได้เป็นอะไรกับมึงแล้ว” เกดแย้งเสียงดัง พลางเข้ามาดึงแขนเปิ้ลเพื่อช่วยข้าวอีกแรง
“พวกแก ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปเคลียร์กับมันก็ได้” เปิ้ลบอกด้วยความลำบากใจ ไม่อยากให้เพื่อนเดือดร้อน
“ได้ยินแล้วใช่ไหม” อดีตแฟนเปิ้ลแสยะยิ้มออกมาราวกับผู้ชนะ ผมเห็นแล้วไม่ชอบใจท่าทางที่เขาแสดงเลย
“เปิ้ล เดี๋ยวก่อน” โจเรียกชื่อไว้ในจังหวะที่เปิ้ลกับคนที่ไม่ยอมเลิกกำลังจะเดินไปด้วยกัน
“อะไร”
“อยากไปกับมันจริงหรือเปล่า ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่นี่” ผมเห็นโจมองเปิ้ลด้วยสายตาเป็นห่วง ดวงตาเปิ้ลเองก็สั่นไหวกลัวเหมือนกันตอนที่มองตอบโจกลับมา
“ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง ไม่หยุดอีกวะ” แฟนเก่าเปิ้ลหัวเสีย
“เปิ้ล บอกพวกเราตรง ๆ มาเลยว่าอยากไปกับมันไหม พวกเราทุกคนเต็มใจช่วยแก” เกดสมทบอีกเสียงเมื่อเห็นว่าเปิ้ลเริ่มลังเล
“มึงไม่อยากไปหรอก มึงเป็นเพื่อนรักกู ทำไมกูจะไม่รู้ว่าตอนนี้มึงคิดอะไรอยู่” ข้าวเสริมอีกแรง
“พวกแก” ผมไม่คิดเลยว่าเปิ้ลจะร้องไห้ เธอคงตื้นตันที่มีเพื่อนคอยเป็นห่วงเธอมากขนาดนี้ “เราไม่ได้อยากไปแต่ไม่อยากให้พวกแกต้องมาเดือดร้อนซวยไปด้วย”
“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป อยู่นี่แหละ” โจกับเอกเดินเข้าไปใกล้เปิ้ล
“ไปเร็ว” อดีตแฟนเปิ้ลกระชากเสียงพร้อมกับดึงแขนเธอเต็มแรงจนเปิ้ลร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“พอได้แล้วมั้งมึงอะ ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าเปิ้ลไม่อยากไป” โจจับแขนคนนั้นไว้
“อยากเจ็บตัวหรือไง”
“ไม่อยาก” ผมว่าโจกำลังกวนประสาทอีกคนอยู่นะ
“ถ้างั้นก็ปล่อยแขนกู”
“มึงต่างหากที่ต้องปล่อยแขนเปิ้ล” โจย้อนอีกฝ่ายกลับไป
“กูไม่ปล่อย มึงจะทำไม”
“ก็ไม่ทำไม แต่ถ้ามึงไม่ปล่อย?” ผมไม่เห็นใบหน้าโจตอนที่บอกแฟนเปิ้ล เขาทำสีหน้าแบบไหนอย่างไร แต่ตอนที่โจเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ กับคนนั้น กลับทำให้อีกฝ่ายถึงกับตกใจเล็กน้อยก่อนจะปล่อยแขนเปิ้ลแต่โดยดี
“เออ ปล่อยก็ได้”
“อยากจะเคลียร์ก็เคลียร์กันตรงนี้” เอกพูดขึ้นบ้าง โชคดีว่าจุดที่พวกเรายืนอยู่ ใกล้ ๆ กันนั้นมีโต๊ะหินอ่อนอยู่ เอกจึงพยักพเยิดให้สองคนไปนั่งแล้วจบปัญหาที่ตรงนั้น
พวกเราที่เหลือทั้งหกคนเฝ้าจับตาดูคนที่นั่งเคลียร์ปัญหาส่วนตัวกันไม่วางตา หากผู้ชายคนนั้นคิดจะลงไม้ลงมือกับเปิ้ล พวกเราจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ในที่สุดเปิ้ลก็เดินออกมาพร้อมรอยน้ำตาจาง ๆ เธอยิ้มให้ตอนที่มาถึง
“เรียบร้อยไหม” โจถามขึ้น
“อืม เรียบร้อยแล้ว ตกใจเลย ไม่คิดว่ามันจะยอมจบง่าย ๆ”
“ดีแล้วที่ไม่ยืดเยื้อ”
“เราว่าเป็นเพราะที่แกพูดกับมันตอนนั้นแน่ แกพูดอะไรกับมันวะโจ มันถึงดูกลัวขึ้นมาอะ” เปิ้ลขมวดคิ้วระหว่างที่ถาม เธอเลือกคำถามได้ดีมากเพราะผมเองก็อยากรู้เช่นกัน
“ก็ไม่มีอะไร เราแค่ขู่มันไปนิดหน่อย”
“ขู่อะไรวะ” ภพถามแทนใจผม
“พ่อมันทำงานที่บริษัทพ่อเราไง เราเลยบอกว่าถ้ามันยังไม่หยุดเราจะไปฟ้องพ่อมัน แล้วฟ้องมหา’ลัยด้วย ขู่แบบเด็กไหม” โจพูดพลางหัวเราะ
“เออ เด็กมาก ใครจะเชื่อวะ แล้วมันก็เชื่อ?” ข้าวทำหน้าประหลาดใจขั้นสุด
“แล้วคิดว่ามันเชื่อไหมล่ะ” โจแค่นเสียงตอบ
“เราก็สงสัยว่าตอนนั้นทำไมแกถึงมาถามชื่อนามสกุลแฟนเก่าเรา” เปิ้ลเปรยขึ้นมา
“วันที่ไปขนของที่ห้องแก พอเห็นหน้ามันแล้วรู้สึกคุ้นหน้ามันอย่างบอกไม่ถูกเลยลองถามชื่อจากแกไป อีกอย่างเราว่ามันไม่กล้าสู้กับใครตรง ๆ หรอก
“หน้าแบบนี้ดูก็รู้ คงกล้าแค่เด็ก ผู้หญิงและคนชราเท่านั้นแหละ” ภพพูดขึ้น
“อืม ไม่งั้นมันต่อยไอ้เปลไปนานแล้ว ไม่ยืนพูดพล่ามมากหรอก”
“อ้าว มาแวะที่กูได้ไง” ผมบ่นที่ถูกดึงชื่อเข้าไปเอี่ยว
“เออ..ไอ้เปล แล้วนี่แกไม่ไปทำงานเหรอ?” เอกทักขึ้นแล้วให้ผมทำหน้ายังไงล่ะ ผมลืมไปเสียสนิท ตายแน่ ต้องสายแน่นอน
ผมรีบลาพวกมันแล้วรีบพุ่งตัวออกจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ข้าวอะไรก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว แต่ต่อให้รีบสุด ๆ ทว่าสุดท้ายก็ยังมาสายไปสิบห้านาทีอยู่ดี
“สวัสดีครับพี่ปุยฝ้าย พี่พงศ์ น้องหนู” ผมกระหืดกระหอบเข้าร้านแล้วเอ่ยทักทุกคนทันที
“สายนะจ๊ะ”
“ขอโทษครับ ผมมีเรื่องที่มหา’ลัยนิดหน่อย” ผมรีบยกมือไหว้ขอโทษพี่ปุยฝ้ายอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่แซวเล่น พี่รู้ว่าเปลไม่ใช่เด็กเหลวไหล ตั้งแต่ทำงานมาเปลไม่เคยมาสายเลยสักครั้งนี่นา เข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากสวมผ้ากันเปื้อนของร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่พงศ์กับน้องหนูขอพักไปหาอะไรกินข้างนอก พี่ปุยฝ้ายเดินไปเช็กสินค้าหลังร้าน ส่วนผมกำลังจัดของอยู่ตรงตู้ชั้นล่างที่เคาต์เตอร์ ทำให้ไม่เห็นว่ามีลูกค้ามายืนรอสั่งเครื่องดื่มหรือขนม กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากด้านบนหัว
“อเมริกาโน่แก้วหนึ่งครับ”
“ครับ ขอโทษครับ” ผมรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดขอโทษทันที “คุณเคน?”
แต่แล้วต้องประหลาดใจเพราะคนที่มาสั่งกาแฟคือคุณเคน ผมสอดส่ายสายตามองไปที่โต๊ะหนึ่งทันที
“มองหาใครเหรอครับ อ้อ กาแฟไม่ใช่ของพี่นะครับ เป็นของเจ้านายพี่”
“เปล่า เอ่อ..ครับ รอสักครู่นะครับ” ผมบอกเขาแล้วไปจัดการกาแฟที่คุณเคนสั่งอย่างรวดเร็ว
“ช่วงนี้งานเยอะมาก เขาเลยไม่ค่อยว่าง วันนี้ก็คงเลิกดึกด้วย”
“เหรอครับ” ผมเออออรับ มือยังไม่หยุดงาน ทำหน้าที่ชงกาแฟต่อไป
“พรุ่งนี้ไม่มีเรียนใช่ไหม”
“ครับ แต่มีงานครับ”
“ทั้งวันใช่ไหม”
“ครับทั้งวัน” ผมตอบอัตโนมัติ
“คืนนี้เดี๋ยวไปรับที่ห้อง” ผมชะงักก่อนเล็กน้อยแล้วมองคุณเคน
“เขาให้มารับเหรอครับ”
“เปล่า พี่คิดเอง เออเองคนเดียว” คุณเคนตอบด้วยเสียงยียวน
“กาแฟได้แล้วครับ” ผมตัดบทไม่ตอบ คุณเคนไม่ยอมรับกาแฟไปแต่กลับวางเงินลงบนโต๊ะแทน
“พี่วานน้องเปลเอาไปให้เขาหน่อยได้ไหม”
“ทำไมครับ”
“ขี้เกียจฟังคนพูดว่ากาแฟไม่ถูกปากน่ะ”
“แล้วคุณเคนล่ะครับ”
“พี่จะไปเข้าห้องน้ำ เกือบลืม..เขานั่งอยู่ในรถแน่ะ” คุณเคนหลิ่วตาบอกให้ผมรู้ นึกว่าเขาติดธุระไม่ได้มาด้วย แท้จริงแล้วนั่งรออยู่ในรถนี่เอง ถ้ามาถึงที่นี่แล้วทำไมถึงไม่เข้ามาในร้านกันล่ะ ไปรอทำไมในรถ
คุณเคนเข้าห้องน้ำไม่นานก็กลับออกมา เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยังยืนอยู่ที่เดิม พลางเหลือบมองแก้วกาแฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
“ยังไม่ได้เอาไปให้เหรอ”
“ขอโทษครับ ผมไม่สะดวกเอาไปให้” ผมอยากจะพูดแค่นี้แต่ก็ไม่สบายใจจึงพูดต่ออย่างตะกุกตะกัก “ตะกี้..มีลูกค้าเข้ามา พี่พงศ์ก็ไม่อยู่ ผมเลยไม่กล้าทิ้งร้านไปครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เอาไปเอง” คุณเคนพูดจบก็มองแก้วกาแฟก่อนจะเปรยขึ้นต่อ “ได้แต่หวังว่ากาแฟแก้วนี้คงจะถูกปากเขาล่ะนะ ถึงจะไม่ได้เอาไปให้แต่ก็เป็นคนชงเองกับมือ”
“เอ่อ..มั้งครับ”
“พี่ไปนะ”
“สวัสดีครับ”