ชยุตม์เดินกลับมาที่เดิม ปฐพียังหลับอยู่ แต่จักริณทร์ขึ้นมาจากน้ำแล้ว นุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงตัวเดียวนั่งมองปฐพีอยู่เงียบๆ วิศวกรหนุ่มกระแอมเบาๆ จักริณทร์หันมามองแล้วยิ้มให้บางๆ
“สบายมากเลยยุตม์ น้ำเย็น สะอาด สดชื่นที่สุด ผมไม่เคยอาบน้ำแล้วมีความสุขแบบนี้มาก่อน” จักริณทร์ขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดต่อว่า “อยากมาช่วยยุตม์ทำงานที่นี่ซะแล้ว รู้สึกผ่อนคลายกว่าขับเครื่องบินตั้งเยอะ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ เหมือนได้เข้าสปาทุกวัน”
...เหมือนต้องเข้าสู่สมรภูมิทุกวันต่างหาก...
“แล้วนี่ไม่หนาวหรือ ทำไมไม่สวมเสื้อผ้า” ชยุตม์ถามคนรักเสียงนุ่ม
“รอให้ต้วเแห้งเอง” จักริณทร์ตอบยิ้มๆ แล้วหันไปมองรอบๆ “แล้วนี่คุณโชคดีหายไปไหนครับ ตั้งแต่มาถึงก็ไม่เห็นหน้าเลย”
“เขาก็ไปเดินตระเวนปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านการสร้างรีสอร์ทอยุ่นะสิครับ” ชยุตม์เบ้ปาก ตอบเสียงเนือยๆ
“พูดเป็นเล่น ยุตม์นี่ไม่ถูกกับคุณโชคดีเป็นเอามาก”
“จริงๆ นะจักร ผมไปเจอเขากำลังยืนทำไอปาร์คกลางป่ากับเด็กมัธยม กำลังล้างสมองเด็กให้ต่อต้านรีสอร์ทของคุณอา นี่ตอนเป็นนิสิต คงถือโทรโข่งตะโกนปาวๆ อยู่กลางสนามฟุตบอลเรียกร้องความยุติธรรม”
จักริณทร์หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า ก่อนจะหันไปมองปฐพีแวบหนึ่ง
“ผมก็ว่าเขาเป็นคนจริงใจดี ตรงไปตรงมา ไม่สวมหน้ากาก ผู้กองปฐพีก็เหมือนกัน เป็นมิตรแบบที่เราไม่ต้องกังวลเลยว่าเขาแกล้งทำหรือเปล่า แต่นี่ก็มานอนอย่างเดียวแท้ๆ” จักริณทร์หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วพูดต่อว่า “ยุตม์ครับ คนที่นี่เขาดูเป็นมิตร ไม่สวมหน้ากากเหมือนสังคมกรุงเทพฯ หรือนิวยอร์คที่คุณไปอยู่หลายปี ไม่เหมือนแวนคูเวอร์ ไม่เหมือนปารีส หรือแม้แต่โตเกียว คุณเคยอยู่แต่เมืองใหญ่ๆ ที่คนไม่เคยสนใจอะไรรอบกายนอกจากตัวเอง พอมาอยู่จังหวัดน่านก็ยังปรับตัวไม่ได้ เขาหวงแหนธรรมชาติและท้องถิ่นของเขา เลยแสดงออกมาแบบนั้น แต่คุณโชคดีนี่เขาโผงผางไปนิด แต่ก็ไม่น่ามีพิษมีภัย อย่าคิดมากสิ”
...จักริณทร์มองคนในแง่บวกเสมอ นี่คือข้อดีอีกอย่างของจักริณทร์ที่เขาชอบ รวมถึงความใจเย็น...
...ต่างจากโชคดีลิบลับ...
...จักริณทร์จะว่าอย่างไรนะ หากรู้เรื่องที่โชคดีบุกไปถึงบ้าน บีบให้โต๋รับผิดชอบเดือนและลูกในท้อง และจับแต่งงานภายในสองวัน อีกทั้งขู่ว่าจะจัดการไม่ให้โต๋ได้มีโอกาสเหยียบเมืองน่าน และหากโต๋ไม่รับผิดชอบลูกก็จะให้เดือนเอาเด็กออก...
...และข้อมูลล่าสุดที่เขาได้รับคื กว่าหนึ่งสวนสามของลูกน้องเขาที่ไซท์งานเป็นลูกหนี้โชคดีทั้งนั้น รวมถึงแสวงด้วย ตอนนี้เขาจึงเข้าใจว่าทำไมแสวงจึงได้ทำท่าเกรงกลัวโชคดีนัก ส่วนตำรวจอย่างผู้กองปฐพีก็คงเอาโชคดีไม่อยู่ จัดการกับโชคดีไม่ได้ แต่ก็นั่นล่ะ เขาคิดว่าปฐพีคงชอบโชคดีอยู่เหมือนกัน ท่าทางยอมๆ โชคดีอยู่ไม่ใช่น้อย...
...จะว่าไป ปฐพีก็ดูใจเย็น มองโลกในแง่ดีเหมือนจักริณทร์และดูเข้ากันได้ดี แต่หากปฐพีกลายเป็นแฟนกับโชคดีก็คงแปลกน่าดูและท่าทางคงถูกแฟนข่ม...
...แล้วใครล่ะจะเหมาะกับโชคดี คนแบบนี้จะมีแฟนกับใครเขาได้ด้วยหรือ ดุขนาดนั้น ใครจะมาทนอยู่ด้วยได้...
...คนที่จะมาเป็นแฟนโชคดีต้องเป็นคนแข็ง ใจเย็นและอดทน แต่ในขณะเดียวกันต้องร้ายลึกพอที่จะสู้รบปรบมือกับโชคดีให้ได้...
ชยุตม์เดินออกจากสำนักงานมาที่รถ วันนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปได้ตามแผนงาน วันทำงานจบลงอีกวันหนึ่งโดยไม่มีเรื่องให้หนักใจ รวมถึงเรื่องการประท้วงที่ทุกคนหนักใจ กลุ่มต่อต่อต้านไม่ได้กลับมาอีกนับจากวันนั้นที่เขาประกาศมอบเงินรางวัลหนึ่งล้านบาทให้แก่ผู้ที่หาหลักฐานมายืนยัน คุณอาของเขาทราบข่าวแล้วเพราะผู้จัดการโครงการโทรไปรายงาน เขาจึงถูกบ่นเสียยกใหญ่ แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบาย คุณอาของเขาก็ยอมรับการตัดสินใจของชยุตม์
“อาจะขายหุ้นให้ยุตม์เลยดีไหม เอาไปซัก 40 เปอร์เซ็นต์ แล้วจะเหลือให้กลุ่มเจียงสกุลสิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็พอ”
ชยุตม์ปฏิเสธ เพราะยังไม่คิดจะทำธุรกิจในตอนนี้ เขายังเด็กและยังอยากทำงานวิศวกรให้เต็มที่ ไม่อยากจะมากังวลกับเรื่องการถือหุ้นอะไรทั้งนั้น และที่สำคัญ หากโชคดีรู้ว่าเขาถือหุ้นของรีสอร์ทที่เจ้าตัวเกลียดนักหนา เขาคงโดนเกลียดไปด้วย
...ไม่ใช่สิ โดนเกลียดเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แค่เป็นวิศวกรโครงการ โชคดีก็ไม่ชอบหน้าเขาจะแย่อยู่แล้ว ถ้ามาถือหุ้น โชคดีคงถึงกับไม่มองหน้าเขา...
ชยุตม์หันไปเห็นโต๋กำลังทำงานอยู่จึงเดินเข้าไปหาและถามด้วยความแปลกใจที่โต๋ไม่รีบตาลีตาเหลือกกลับบ้านเช่นทุกวัน
“โต๋ เลิกงานแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน เดี๋ยวพ่อตาโวยวายเอานะ” ชยุตม์ถามแกมเหน็บแนมอีกคนที่คยควบคุมดูแลคุ่สามีภรรยาวัยรุ่นคู่ใหม่
“คุณโชคดีไม่อยู่ครับ” โต๋ตอบยิ้มๆ เมื่อได้ยินชยุตม์เรียกโชคดีว่า พ่อตา “เดือนโทรมาบอกว่าไม่ต้องรีบกลับก็ได้ คุณโชคดีไปเชียงใหม่ อาจจะกลับค่ำๆ”
“ไปทำไม” ชยุตม์พึมพำ ไม่ได้ตั้งใจถาม แต่คำตอบที่ได้ยินจากโต๋ทำให้เขาต้องนิ่ง
“ไปคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์ครับ เห็นเดือนบอกว่าคุณโชคดีจะจัดการนายช่างให้อยู่หมัด” โต๋ตอบแบบที่ได้ยินเดือนพูดให้ฟัง
“จัดการ หมายความว่าจัดการเรื่องประท้วงต่อต้านรีสอร์ทนี่นะ”
...เอาจริงแฮะ โชคดีท่าทางจะเอาจริง แต่คนอย่างโชคดีก็คงเอาจริงทุกอย่างนั่นล่ะ...
...แล้วทำไมโชคดีบอกว่าจะจัดการเขาให้อยู่หมัด นี่เปลี่ยนเป้าหมายจากรีสอร์ทมาเป็นตัวเขาแล้วหรืออย่างไร...
“โต๋ก็รีบกลับบ้านเถอะ ถึงเขาไม่อยู่ก็อย่ากลับค่ำ สายเขามีทั่วทุกหัวระแหงไม่ใช่หรือ เข้าไปถึงหูพ่อตาแล้วจะยุ่ง”
โต๋พยักหน้าแล้วเก็บของให้เข้าที่ “ครับ กลับแล้วครับ อ้อ แต่ว่านายช่างอย่าไปพูดให้คุณโชคดีได้ยินว่าเป็นพ่อตาผมนะครับ เดี๋ยวโกรธปรอทแตก เมื่อวาน คนงานโดนไล่ออกไปคน โทษฐานส่งของลูกค้าผิดที่”
...ขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมร้ายแบบนั้น แล้วเรื่องโกรธปรอทแตกเพราะพูดไม่เข้าหูนี่เขาสงสัยนักว่าระหว่างเรียกชื่อเล่นว่าหมูปิ้ง กับล้อเล่นว่าเป็นพ่อตา อย่างไหนโชคดีจะโกรธมากกว่ากัน...
“แล้วเรื่องคุณโชคดีไปคุยกับเพื่อนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อมาจัดการนายช่าง ผมจะคอยสืบสวนให้” โต๋ทำท่าจริงจัง
“ไม่ต้องหรอก แต่ขอบใจนะโต๋ ผมจะไปสืบเอง ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะมุ่งมาจัดการผม แทนที่จะเป็นการต่อต้านการสร้างรีสอร์ท”
ชยุตม์มาหยุดยืนหน้าร้านโชคดีค้าเหล็กเอาเมื่อเวลาหนึ่งทุ่ม มีลูกค้าอยู่สี่ห้าคนกำลังเลือกซื้อสินค้า พงษ์เดินเข้ามาทักทายแล้วเชิญให้เขาไปนั่งคอยโชคดีในห้องทำงานแต่ชยุตม์บอกว่าไม่ได้มาพบเจ้าของร้าน
“ผมมาหาคุณเตือนใจ” ชยุตม์แจ้งความประสงค์
“คุณนายไม่อยู่ครับ ไปซื้อของ แต่อีกหน่อยก็คงกลับ นายช่างรอเดี๋ยวนะครับ” พงษ์ตอบแล้วขอตัวไปดูแลลูกค้า ปล่อยให้ชยุตม์นั่งมองไปรอบๆ สภาพภายในร้าน
ธุรกิจของโชคดีท่าทางไปได้ดี ตลอดเวลาที่เขานั่งอยู่มีลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากโชคดีขายเหล็กให้โครงการรีสอร์ทชายหนุ่มก็จะทำรายได้เป็นเงินจำนวนมาก แต่โชคดีคงไม่ยอม คนๆ นี้มีทิฐิมากนักเกินกว่าจะยอมฝืนอุดมการณ์ตัวเองเพื่อแลกกับเงิน
...เหมือนพ่อเขาไม่มีผิด เหมือนโชกออกมาจากพิมพ์เดียวกันยังไงยังงั้น นี่ถ้าได้อยู่ด้วยกันคงถูกคอกันอย่างรวดเร็ว...
เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อ ชยุตม์ก็ถอนหายใจเบาๆ พ่อเขาเริ่มระแคระคายเรื่องของเขาแล้ว ทั้งที่พ่อเป็นคนหัวสมัยใหม่แต่เขาก็รู้ว่าพ่อคงทำใจลำบากที่รู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้ ความจริงเขาคิดว่าพ่อคงจะสงสัยมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว หรือบางทีก็คงตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย แต่พ่อก็ไม่เคยพูดอะไรหรือแสดงท่าทีใดๆ จวบจนกระทั่งพี่ชายคนรองของเขาเปิดเผยตัวเองให้พ่อกับแม่ทราบ คราวนี้เลยก็กลัวลูกชายคนเล็กจะเป็นเหมือนพี่ชายคนรองไปอีกคน
...ซึ่งพ่อก็คงจะคิถูก และคงจะตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าเขากับจักริณทร์เป็นแฟนกันมาได้กว่าหนึ่งปีแล้ว และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่คอนโดของเขา แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันเพราะการทำงานที่แตกต่างกัน แต่ก็เรียกว่าเขากับจักริณทร์ใช้ชีวิตคุ่อยู่ด้วยกัน
ชยุตม์รออยู่ประมาณ 10 นาทีคุณเตือนใจก็กลับมาถึงบ้าน คุณแม่ของโชคดียังดูสวยมาก เหมือนคุณแม่ของเขาที่อายุเกือบหกสิบปีแล้วก็ยังสวย
“ผมแวะมาสวัสดีคุณเตือนใจครับ จะมาซื้อเหล็กด้วย ตั้งใจว่าจะต่อเติมบ้านคนงาน พอดีคุณโชคดีไม่อยู่”
“ไปเชียงใหม่ค่ะ เห็นบอกว่าจะไปคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวัทยาลัยให้ช่วยทำวิจัย ก็เรื่องรีสอร์ทของนายช่างนั่นล่ะคะ โชคดีเขากะจะโค่นลงให้ได้เหมือนเรื่องสร้างห้างสรรพสินค้า” คุณเตือนใจอธิบายยิ้มๆ “แต่นายช่างไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าโครงการไม่ผิดจริง ยังไงโชคดีก็ทำอะไรนายช่างไม่ได้”
ชยุตม์ฟังไปก็ขมวดคิ้วตาม คุณเตือนใจพูดเหมือนโชคดีหาทางขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทำงานวิจัย แต่ดูๆ ไปก็เหมือนจงใจต่อต้านเขา
...ถ้าโครงการไม่ผิดจริง ก็ทำอะไรเขาไม่ได้...
...และเขาอยากจะพูดซ้ำอีกเหลือเกินว่าไม่ใช่รีสอร์ทของเขา คุณเตือนใจพูดเหมือนจะเข้าใจง่ายแต่ก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก...
...แล้วตอนนี้เขาเลยกลายเป็นนายช่าง แทนที่จะเป็นวิศวกร เพื่อนๆ รุ้คงหัวเราะเยาะกันเป็นแถว โครงการแต่ละแห่งที่เขาสร้างนั้นยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ตึกสูงเกินร้อยชั้น ศูนย์แสดงสินค้า สนามบิน ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างทั้งนั้น ได้รับรางวัลทางด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมมาจากหลายสถาบัน ทุกโครงการสำเร็จเรียบร้อยอย่างดี...
...แต่รีสอร์ทเล็กๆ ขนาดเพียงเจ็บสิบกว่าไร่ อาคารก่ออิฐธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้โทคโนโลยีพิเศษใดๆ เลยกลับทำให้เขาหนักใจยิ่งกว่าสร้างตึก The Royal Heaven ที่เมืองโอซาก้า...
...โชคดี เพราะโชคดีจริงๆ...
“คุณเตือนใจคิดว่าคุณโชคดีเขาตั้งใจจะจัดการผมให้ได้ใช่ไหมครับ นอกจากเรื่องรีสอร์ทแล้ว คุณโชคดีคงหมายหัวผมไว้ด้วย” ชยุตม์พูดออกไปตรงๆ
“โธ่ อย่าคิดถึงขนาดนั้นสิคะนายช่าง หมูปิ้ง เอ๊ย โชคดีไม่คิดร้ายขนาดนั้นหรอก ลูกชายดิฉันมันเห็นอะไรไม่ค่อยถูกที่ถูกทางก็พยายามทำอะไรบ้าง ไม่เคยนั่งนิ่งมองอยู่เฉยๆ จะว่าไป ม้นก็มีเหตุผลอยู่บ้าง แม้จะรั้นไปสักหน่อย แต่ถ้ารีสอร์ทของนายช่างมีแผนงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีก็คงไม่มีปัญหา”
“ไม่ใช่รีสอร์ทของผมครับ ผมเป็นวิศวกรโครงการ” ชยุตม์แก้ให้ถูก
“คะ ดิฉันทราบ มันพูดติดปากไปยังงั้นเอง”
“แล้วผมก็มั่นใจว่ารีสอร์ทของเราใส่ใจเรื่องนี้มาก สถาปนิกก็ให้ความสำคัญเป็นอันดับนึ่ง เรามุ่งจะทำให้เป็นรีสอร์ทที่อิงแอบธรรมชาติ ให้คนที่มาพักได้สัมผัสธรรมชาติแท้จริง ส่วนเรื่องที่กังวลเกี่ยวกับแม่น้ำน่านและประตูน้ำของโครงการ ตอนนี้ทีมงานกำลังมุ่งศึกษาประเด็นนี้เพิ่มเป็นพิเศษ หากคุณโชคดีกังวลก็อยากให้ส่งตัวแทนเข้าไปศึกษาร่วม”
ชยุตม์คุยกับคุณเตือนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยหวังว่าสิ่งที่คุยอาจจะผ่านไปยังโชคดี เขาขอความกรุณาให้คุณยินดีช่วยคุยกับลูกชายให้เข้าใจเขาบ้าง เขาไม่กล้าคุยกับโชคดีโดยตรงเพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นคงไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ
...จะเกลียดกันไปถึงไหนก็ไม่รู้...
“ไว้ดิฉันจะช่วยคุยอีกที ให้ผู้กองปฐพีช่วยคุยด้วย” คุณเตือนใจปิดการสนทน
“ขอบคุณมากครับ ผมก็อยากให้คุณโชคดีเข้าใจผมบ้าง”
“นายช่างไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ โชคดีไม่ได้เกลียดนายช่าง ยังไงๆ หากนายช่างมีเจตนาดี หมูปิ้งก็ต้องเห็นความดีของนายช่างอยู่วันยังค่ำ” คุณเตือนใจให้กำลังใจ
“ผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ชยุตม์ลุกขึ้น เตรียมตัวอำลาผู้สุงวัยกว่า “ผมคงไม่รบกวนเวลาคุณเตือนใจแล้ว ขอลาเลยนะครับ”
ชยุตม์ยกมือสวัสดีแล้วกล่าวอำลาย ไม่ลืมย้ำเรื่องการซื้อเหล็ก “เอ่อ เรื่องการซื้อเหล็ก คุณเตือนใจอยากบอกคุณโชคดีนะครับ”
“ไม่บอกหรอกค่ะ แต่ว่าไม่รับประกันว่าหมูปิ้งจะไม่รู้นะคะ เพราะว่ารายนั้นตรวจบัญชีเป็นประจำ แต่ว่าพอลูกค้าซื้อไปแล้วจะไปตามเอาคืนไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าคุณนายช่างซื้อเป็นเงินสด คือเรื่องตามไปเอาของคืนจากลูกค้านี่ไม่เคยมีประวัติ” คุณเตือนใจรับปาก แต่ก็ยังทำหน้าสงสัย “ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ยอมขายให้นายช่าง”
“เขากลัวผมเอาไปสร้างรีสอร์ท” ชยุตม์ตอบสั้นๆ
คุณเตือนใจหัวเราะอย่างเห็นขัน พลางเดินมาส่งชยุตม์ที่หน้าร้านแล้วพูดว่า “นายช่างไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ โชคดีมันเป็นคนจริง เป็นคนยุติธรรม บางทีมันอาจดูร้ายไปบ้าง แต่คนที่รู้จักดีจะรู้ว่าลูกชายดิฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ถ้าโชคดีเข้าใจคุณแล้ว มันก็ไม่มีอะไรหรอก ตอนนี้ให้เขาพิสูจน์อะไรของเขาเถอะ ให้เวลาเขาบ้าง”
...ให้เวลา โชคดีก็ควรให้เวลาเขาบ้างเหมือนกัน...
ชยุตม์คิดในใจ ยกมือสวัสดีคุณเตือนใจแล้วขึ้นรถกลับบ้านเพื่อไปทานอาหารเย็นกับจักริณทร์ที่รอเขาอยู่ แต่ไม่ทันจะออกนอกเขตเทศบาล เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากจักริณทร์ว่ายังอยู่ในตัวจังหวัด
“ผมเจอกับผู้กองปฐพีที่ตลาด ผู้กองชวนทานข้าว ยุตม์ย้อนกลับมาสิ มาทานด้วยกัน แต่ถ้าอยากทานกันสองต่อสองก็ได้นะ ผมจะบอกปฏิเสธผู้กอง” จักริณทร์บอก
“จักรทานเถอะ แล้วจะให้กลับเข้าไปรับไหม” ชยุตม์ตอบ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผู้กองคงไปส่ง แต่ยุตม์แน่ใจนะว่าทานข้าวคนเดียวได้”
“แน่ใจสิ ผมทานข้าวคนเดียวมาหลายมื้อแล้วนะจักร” ชยุตม์ยืนยัน
“ผมอดแวะดูตลาดริมแม่น้ำไม่ได้ ของน่าซื้อเยอะแยะ ได้ของไปฝากเพื่อนจนแทบจะถือไม่ไหวเลยกลับบ้านช้า พอดีเจอผู้กอง ยุตม์รู้ไหม ผู้กองปฐพีต่อราคาเก่งมาก ไม่น่าเชื่อว่าตำรวจจะซื้อของเก่งขนาดนี้ แล้วรู้จักคนแทบทั้งตลาดเลยดีเดียวล่ะ สมกับเป็นลูกชายผู้ว่าราชาการจังหวัด” จักริณทร์อธิบาย แล้วลงท้ายด้วยการบอกว่าคิดถึง ก่อนจะวางสายไป
ชยุตม์ขับรถมาถึงสะพาน เห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนั่งตกปลากันอยู่ เขาจึงจอดรถแวะลงไปคุยด้วย เด็กหนุ่มทั้งสามคนบอกว่าขอบมาตกปลาตอนค่ำๆ โดยเฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเพราะได้ปลาเยอะ
“แต่อีกหน่อยคงไม่ค่อยมีแล้วครับ” เด็กหนุ่มร่างผอมสุงพูดขึ้น ชยุตม์ถามว่าทำไม คำตอบที่ได้ยินทำให้เขาอึ้ง
“พอรีสอร์ทตรงเชิงดอยสร้างเสร็จ อะไรก็คงเปลี่ยนไป ปลาที่เคยมีก็คงน้อยลง”
...โชคดี ทั้งหมดนี่เพราะโชคดีแท้ๆ ล้างสมองเด็กวัยรุ่นยังได้ น่าให้ไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศีกษาธิการยิ่งนัก...
ชยุตม์ตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้เขาจะไปคุยตกลงกับโชคดีอีกครั้ง ต่อให้ต้องทะเลาะกันหรือถูกต่อยเขาก็ไม่กลัว