หายไปนานเลย เพราะสมองตัน ฝนก็ตกทั้งวันทั้งคืน(เกี่ยวมั้ยเนี่ย
) อ่านต่อไปนิดนึงก่อนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
**************************
วันพุธ***“ทำไมพี่ไม่ปลุกผม รู้รึเปล่า ผมจะไปสายแล้วนะ ไม่น่าเลยกูอยู่ดีไม่ว่าดี มานอนผิดที่ผิดทางเลยไม่ตื่นเลยเว้ย”
เขาโวยวายใส่พี่ตั้งที่นอนหน้าเสีย หน้าซีดอยู่บนเตียงเถียงอะไรไม่ออก
พอมานอนผิดที่เขาเลยไม่ตื่น ก็เพราะใครล่ะ ทำให้เขาอุตริมาทำตัวเป็นคนใจดียอมมาเฝ้าชาวบ้านเค้า
พี่ตั้งทำสีหน้าจืดเจื่อน เมื่อเขาเริ่มบ่นกับตัวเองปล่อยหมาออกจากปากไม่หยุด ก่อนที่พูดเสียงอ่อยๆ
“พี่เห็นเหลิมนอนหลับสบายๆ เลยไม่อยากปลุก อยากให้นอนนานๆ เห็นทำงานมาหนักทั้งวัน”
เขาเงยหน้าขึ้นมาโวยต่อทันที“แล้วนี่มันสิบเอ็ดโมง มันนอนนานเกินไปรึเปล่า พี่คิดได้บ้างมั้ย ผมกินเงินเดือนเค้านะ ไม่ได้ร่ำรวย
อยู่เฉยๆ ก็มีกินแบบพี่”
คราวนี้พี่ตั้งเงียบ เม้มปาก นิ่งไปเลยไม่พูดอะไรอีก กะพริบตาถี่ๆ ทำเอาต้องลุ้นว่าจะร้องไห้รึเปล่า แต่ก็ไม่ยักร้องแฮะ
เขาเลยชี้หน้าไป “พี่อย่าทำหน้าแบบนี้นะ ถ้างั้นก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก”
ได้ผลเว้ยเฮ้ย พี่ตั้งทำปากเม้มต่อไป แต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา เบือนหน้าไปทางอื่น เห็นแล้วเริ่มสงสาร เขาเลยเดินเข้าไปหา
“โอเคๆ ผมไปดีกว่า พี่ไม่ผิดก็ได้ ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น”
พี่ตั้งยังมาทำหน้าเศร้ามองหน้าเขาอีก มองหน้าพี่เค้าแล้วก็ใจอ่อนจนได้
เขาถอนหายใจ เอามือจับไหล่พี่ตั้ง พลางบอก “ผมขอโทษที่หงุดหงิดใส่”
ก้มลงมองหน้าพี่ตั้งสบตากันอีกที พี่ตั้งยิ้มขึ้นมาจนได้แถมส่งตาหวานให้ เวรล่ะสิ...รีบดึงมือกลับแทบไม่ทัน
หรือว่าเป็นแผนตีหน้าเศร้าเรียกร้องความเห็นใจ เขาถามตัวเองว่าแค่มองตากันไม่นาน ทำไมมือสั่น ใจเต้นแรงวะ
“ผะ..ผม..ไปทำงานก่อนนะ สายแล้วเนี่ย..เง้อ” รีบกลับหลังหันออกมาจนขาแทบขวิด
“เดี๋ยว...เหลิม” เอาไงดีเขาไม่กล้าหันไปมอง เหมือนหน้าร้อนๆ
“ไรพี่..มีไรอีก สายแล้ว” จะพูดอะไรก็ไม่พูด อ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้
พี่ตั้งทำเสียงอ่อนโยนได้อีก “ขอบคุณนะเหลิม” น้ำเสียงพี่ตั้งฟังดูเขินๆ จนคนอย่างเขาอยากรู้ว่าตอนที่พูดหน้าตาพี่เค้าเป็นไงหว่า
หันหน้าไปดูแล้วก็หันกลับมากลั้นยิ้ม พี่ตั้งหน้าแดงไปถึงใบหู จะอายอะไรนักหนาวะ แค่พูดแค่นี้
แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ หึหึ แต่เขาก็เขินเหมือนกัน ไปดีกว่า
“อืมๆ ไปแล้วนะ เจอกันพี่”
เขารีบวิ่งออกมาจากห้อง แต่ยังได้ยินเสียงพี่ตั้งบอกว่า “เดี๋ยวพี่โทรหานะเหลิม”
วันนี้เขาทำงานไม่รู้เรื่องเลย มาทำงานก็สาย พอตั้งใจจะทำงานก็นึกถึงแต่หน้าพี่ตั้งตอนอาย
จนตัวเองพลอยหูแดงไปด้วยอย่างกับออสโมซิสจากจินตภาพ บางทีก็อารมณ์ดีนั่งยิ้มอยู่คนเดียว
ขนาดไอ้พี่ไก่มันทั้งจิก ทั้งกัด ทั้งเขี่ย เรายังชิวๆ เงยหน้ามายิ้มรับ จนพี่ไก่สงสัย บ่นกับคนอื่นให้ได้ยินแล้วเดินจากไป
“กูว่ามันมาแปลกๆว่ะ อย่างกับคนบ้า ยิ้มแม่มน่ากลัวชิ...หาย”
“หึหึ” เราเหลือบตาหันไปมองพี่ไก่แล้วหัวเราะในคอ
“ดูมันสิ หัวเราะยังน่ากลัวเลย บรื๋อๆๆ” พี่ไก่บ่นอีกครั้งแล้วเดินหนีไป ฮ่าๆ
ถ้ารู้ว่าทำหน้าแบบนี้ ยิ้มแบบนี้แล้วไอ้พี่ไก่มันกลัว เขายิ้มไปตั้งนานแล้ว
ไม่บอกกันก่อนนี่หว่า ว่ารอยยิ้มของเขาพิฆาตหัวหน้าได้ขนาดนี้ หุหุ
สักพักพี่ม้ามาได้อีก เอางานมาวางบนโต๊ะอย่างแรง “น้องเหลิมขา ได้ข่าวว่าวันนี้มาสายนะคะ เอางานของหนูไปเลย
เมื่อเช้าพี่โดนจิกให้มาทำแทน ไม่ได้เลยนะคะน้องเหลิม ต้องซื้อขนมมาเลี้ยงพี่ด้วย”
น้องจิ๊บแอบมากระซิบข้างหูพี่ม้า แต่กระซิบเบามาก...ได้ยินทั้งแผนกนี้และแผนกอื่นว่า
“เจ๊ วันนี้พี่เหลิมมันไม่ปกติ เจ๊ระวังมันกัดนะ”
มันพูดแบบนี้แสดงว่าทุกวันเขาปกติ ที่จริงวันนี้เขาก็ปกตินะ ไอ้ที่ว่าไม่ปกติมันเป็นยังไง โอ๊ยคิดเองงงเอง
“จิ๊บ...พี่ฉีดยาแล้ว ไม่กัด เอ๊ยไม่ใช่ พี่ไม่ได้บ้านะ จะได้ไปเที่ยวไล่กัดพี่ม้า” พี่ม้าหัวเราะร่วนสะบัดนิ้วตีแขนน้องจิ๊บเบาๆ
“วุ้ยย...ก็น่านนะสิคะ น้องเหลิมจะมากัดเจ๊ได้ยังไง เจ๊ออกจะน่ารัก โฮะๆๆ” พี่ม้าเอามือปิดปาก ทำสีหน้าท่าทางได้น่าหมั่นไส้มาก
จนต้องเผลอพึมพำกับตัวเอง “ผมจะไปกัดพี่ทำไม หนังเหนียวขนาดนี้ กัดยังไงคงไม่ขาดหึหึ ยังไงผมก็ต้องเลือกคนที่จะกัดหน่อย”
แต่มันคงไม่เบาพอ พี่ม้ามีจริตยกมือตีป๊าบมาที่หลัง
นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่มีนม เขาต้องนึกว่าพี่แกเป็นผู้ชายไปแปลงเพศมาแล้วแน่ๆ มือหนักพอๆ กับตีนเลยเว้ย
“น้องเหลิม หนูพูดอะไรคะ พี่จะถือว่าพี่ไม่ได้ยินนะค้า อย่าลืมซื้อขนมมาฝากพี่กลางวันนี้นะคะเป็นการไถ่โทษ พี่ไปเสนอหน้านายก่อน เดี๋ยวเค้าเรียกหา”
พี่ม้าวิ่งห้อหน้าเริ่ดไปแล้ว น้องจิ๊บก็มาเดินด้อมๆ มองๆ วนเวียนรอบตัวเขาอย่างกับเขาเป็นโบสถ์
จะวนสามรอบเหมือนวันวิสาขะบูชากันรึไง รำคาญจนต้องถาม
“น้องจิ๊บทำอะไรหล่นเหรอครับ” (หรือสติปัญญาหาย หึหึ))
น้องจิ๊บทำหน้าประหลาด เหมือนได้ยินอะไรที่แปลไม่ออก ก็พูดภาษาไทยไปนี่หว่า
“เปล่าคะ หนูเดินเล่น”
น้องมันโกหกเหมือนเห็นเขาโง่ เขาโง่ก็จริงนะแต่ปกติถ้าไม่สนิทกันจะไม่ค่อยเปิดเผยให้รู้ ต้องคนสนิทกันจริงๆ ถึงจะบอก
เขาโบกมือปัดไล่น้องมันไป อย่ามาตอม เอ๊ย...อย่ามายุ่งกะกู
“ไปทำงานไป อย่ามาแอบมองพี่ พี่ไม่มีแฟนก็จริง แต่หนูก็ไม่ใช่เสป็กพี่”
น้องจิ๊บค้อนขวับ สะบัดขน เอ๊ยสะบัดผมไปเลย ปากก็ชมเขาไปตลอดทาง
“พี่เหลิมปากหมาเหมือนเดิมเลย ใครเค้าไปแอบมอง...ทุเรศ”
แน่ะชมกันค่อยๆก็ไม่ได้ ต้องมาชมดังๆให้ได้ยินด้วย แบบนี้ก็เขินแย่สิ
เขาทำงานต่อก็ยังยิ้มเขินอยู่ จนเริ่มสงสัยตัวเองว่าท่าจะบ้าตามที่เค้าบอกแล้วรึเปล่า
ทำงานไปจนเย็นพี่ตั้งไม่เห็นโทรมา ไหนบอกว่าเดี๋ยวจะโทรมา สมองเริ่มบรรเจิดคิดวุ่นวาย
‘หรือว่าพี่เค้าอาการกำเริบ อาการหนักเลยโทรมาไม่ได้’…แต่ดูอาการเมื่อเช้าก็ปกติดีหว่า
‘พี่แกกลับบ้านไปแล้วแหงเลย คงไม่ต้องให้เราไปเป็นเพื่อนแล้ว’…คนบ้าไรวะ โตจะเป็นควายอยู่แล้วยังต้องให้มีเพื่อนไปนอนด้วย
‘พี่ตั้งหลอกเราแน่เลย อะไรว้า พูดปดมดเท็จ แย่ๆๆๆ’…ดูๆแล้วก็ไม่น่าเป็นคนแบบนั้นนี่หว่า
คิดวนเวียนไปมาจนเลิกงาน ถึงมาคิดได้ว่าทำไมเขาไม่เป็นฝ่ายโทรไปเองหว่า คว้าโทรศัพท์มากดหา
เสียงเพลงรอสายดังขึ้น “โปรดส่งใครมารักฉันที...อยู่อย่างนี้มันเปลี่ยวหัวใจ...”
ฟังจนจะเคลิ้ม อินไปตามเสียงเพลง เสียงพี่ตั้งก็ดังขึ้นมาแทนนักร้อง หูย...ขัดใจ คนกำลังฟังมันส์ๆ
“น้องเหลิมเหรอ โทรมามีอะไร?”ทำไมพี่มันถามแบบนั้นล่ะ เซ็งเป็ด คนอุตส่าห์โทรไปหา
แต่ตอนนี้ เอิ่มมม...นั่นสิเขาโทรไปทำไม คิดสิคิด อย่าช้า ให้ไว
“อ้าวตายอ่า..กดผิด ใครน่ะ?” ด้านๆ แก้เก้อไปแบบนี้ก่อนแล้วกันวะ
“พี่ตั้งเองครับ นี่น้องเหลิมเลิกงานแล้วเหรอ”
“ยัง แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เลิกแล้ว” พี่จะให้ไปหารึเปล่าล่ะ พูดสิพูด
“อืม งั้นพี่ไม่กวนแล้ว พี่วางก่อนนะ”
เฮ้ย! ไหงเป็นแบบนี้ล่ะ “เอ่อ...ดะเดี๋ยว พี่เป็นไรป่าว” ทำไมเย็นชากับผมจัง
เขาคันปากอย่างกับคนเป็นเริม อยากจะถามให้รู้ๆไป หรือเขาทำไรผิด พยายามคิดแล้วคิดอีก
ไม่นะ เขาทำดีมาตลอด ไม่มีพลาดอะไรเลย ดีเพียบพร้อมไปทุกสิ่งอย่างขนาดนี้ จะหมดความสนใจกันไปง่ายๆได้ไง
“ไม่เป็นไร พี่ดีขึ้นแล้ว นี่นอนยาวเลย เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเหลิมมานอนด้วย”
หุหุ สงสัยตื่นเต้นมีเขาไปนอนข้างๆ แล้วพี่ตั้งก็พูดต่อ
“เหลิมนอนกรนเสียงดังมาก ทีแรกพี่นึกว่าข้างโรงพยาบาลมีโรงงาน เสียงกระหึ่มยิ่งกว่าเครื่องเสียงโซนี่อีก”
เอ่อ ท่าทางพี่กำลังด่าผมนะ จะอารมณ์ดีไปมั้ยพี่ อายก็อายแต่ยังไม่ยอมแพ้เว้ย
“เหรอ...แล้วทำไมผมหลับล่ะ ไม่เห็นได้ยินเลย”
“เออ นั่นสินะ ท่าทางเหลิมหลับสนิท พี่ยังลุกมาดูตั้งหลายครั้ง”
ไอ้พี่ตั้งขอรับ...กูไม่ใช่หลินปิงนะ ไม่ต้องมาดูบ่อยขนาดนั้นก็ได้ อยากจะถามว่าพี่เป็นไงมั่งก็พูดไม่เป็น “วางแล้วนะ ไม่มีอะไรใช่มะ”
“อืม ไม่มีอะไร แล้วเย็นเหลิมอย่าลืมซื้ออะไรมากินเองด้วยล่ะ ที่นี่ไม่มีเลย”
กำลังจะวางสายอยู่แล้วพอพี่ตั้งพูดขึ้นมาก็ทำเอางงเป็นไก่ตาแตกได้อีก “ไหน...ยังไงนะซื้ออะไรไปไหน”
พี่ตั้งพูดเหมือนบ่นกับตัวเอง แต่มีซาวด์เอฟเฟ็กมาเข้าหูเขา “แปลกนะฟังแค่นี้ก็งง” น่าน ด่าเขาโง่อีก
“เหลิมมาหาพี่เย็นนี้ อยากกินอะไรก็ซื้อมา ตอนมานอนกับพี่ที่โรงพยาบาลไง”
ตกลงเขาต้องรู้เองใช่มั้ยว่าต้องไปนอนเฝ้าพี่ “พี่ไม่เห็นบอกผมว่าต้องไปนอนอีก”อารมณ์กวนๆ กลับมาอีก
“ทำไมต้องบอกล่ะเหลิม เหลิมก็ต้องรู้หน้าที่สิ”
อีกแล้ว...เขาไปมีหน้าที่นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เริ่มคันหัวอย่างกับมีเหากระโดดมาอาศัยอยู่เป็นชุมชน
ทั้งเกาทั้งยีจนจะเป็นทรงแอฟโฟล่อยู่แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเขามีหน้าที่ อาราย....วะ ไม่ชอบอะไรที่มัดมือชกแบบนี้เลย
ไอ้นิสัยส่วนตัวรั้นๆ ที่ไม่ค่อยดีอยู่อย่างหนึ่งมันเริ่มกำเริบ ถ้ารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร พอมีคนคนมาบอกให้เขาทำอะไรเขาจะไม่อยากทำ
“หน้าที่??? ผมมีหน้าที่อะไรกัน ใครมามอบหน้าที่ให้ผมเมื่อไหร่ ทำไมผมไม่รู้”
เผลอโวยเสียงดังใส่พี่ตั้งไป พอพูดไปแล้วก็ตกใจเสียงตัวเอง
พี่ตั้งเงียบไปนาน ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาวของพี่ตั้งเข้ามาในสาย
น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมาอ่อนระโหย อย่างกับคนป่วย (เออแต่แกก็ป่วยอยู่โรงพยาบาลนี่หว่า) “ก็หน้าที่ของคำว่าเป็นเพื่อนไง”
พี่ตั้งหยุดพูดไปชั่วขณะก่อนเอ่ยต่อ ไม่รอฟังเขาบ่นอะไรไปอีก “ไม่เป็นไรเหลิม พี่เข้าใจ พี่ขอโทษที่กวนใจเหลิมมาตลอด ลาก่อนนะ”
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ก่อนการประมวลผลถ้อยคำที่พี่เค้าพูดจะเข้าสู่สมองอันชาญฉลาด
กว่าจะคำนวณเสร็จว่าพี่เค้าคิดยังไง เสียงวางสายตัดไป ตกใจ แต่ทำอะไรไม่ทัน
รู้แต่ว่าเหมือนเลือดมันเหือดไปจากร่างกาย ใจมันโหวงๆหวิวๆ เหมือนๆ เขาทำอะไรผิดไปอีกแล้ว
“เฮ้ยยย...ไรว้า เฮ้ยยย ลาก่อนอะไรน่ะ” วูบแรกคือ พี่เค้าน้อยใจอะไรอีกล่ะ ยุ่งชิบ...
พยายามปลอบใจตัวเอง ‘ก็ดี...ดีที่สุดเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องชีวิตวุ่นวายกับกูอีก กูได้อยู่สบายๆ สักที กลับไปทำงานดีกว่า’
แต่แปลกที่คราวนี้หน้าเขากลับยิ้มไม่ออกแล้วเว้ยเฮ้ย เซ็งชิบ...
*******************************