ตอนที่ 2
รู้ว่าต้องหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน
"เธอ"
ผู้ชายสองคนที่เปิดประตูเข้ามาหันมองหน้าในตอนที่ผมหลุดปากเผลอเรียก ในจังหวะเดียวกันผมก็ลุกพรวดจากตรงนั้นแล้วรีบเดินออกมาจากคลินิก ก้าวเท้าเร็วจนกลายเป็นวิ่งในตอนที่เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ในหัว ผมวิ่งออกมาได้ไม่ไกลเท่าที่ใจคิดก็เหนื่อยหอบจนต้องหยุดพัก แม้จิตวิญญาณเป็นของผมแต่ร่างกายเป็นของพลีส ซึ่งบอบบางและอ่อนแอกว่าที่คิด มือไม้แกว่งไกวหาที่เกาะยึดเพื่อไม่ให้สองขาที่อ่อนแรงพากันล้ม หายใจเข้าออกไม่สม่ำเสมอเพราะความเหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ทันด้วยซ้ำ
"น้อง"
ผมหันขวับไปมองเมื่อถูกเรียกจากด้านหลัง
พี่ต่อ... "น้องเป็นอะไรหรือเปล่า"
ผมก้มหน้าหนีในตอนที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ในร่างของพลีสไม่ใช่แสง พี่ต่อจะไม่มีทางรู้ว่าผมคือใคร เมื่อผมตั้งสติได้จึงเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"
"เปล่าครับ"
"แล้วทำไมวิ่งออกมาแบบนั้น"
"คือ...คือผม..."
"เป็นอะไร บอกพี่สิครับ"
"ผมนึกขึ้นมาได้ว่าลืมโทรศัพท์เอาไว้แถวนี้ เลยรีบวิ่งมาดูครับ" นักแสดงนำชาย สาขาโกหกยอดเยี่ยม มันอดชื่นชมตัวเองไม่ได้ในความหัวไวคิดหาเหตุผลมาแก้ตัว และเป็นเหตุผลที่ทำให้คนฟังเชื่อสนิทใจ
"อ้าว ลืมไว้ตรงไหน เดี๋ยวพี่ช่วยหา"
"แถวๆ นี้แหละครับ"
พี่ต่อพยักหน้ารับแล้วหันมองไปรอบๆ ก้มๆ เงยๆ หาโทรศัพท์ที่ผมบอก จริงจังในการมองหาอยู่ครู่หนึ่ง ผมหันมองพี่ต่อที่ไม่ทันได้สนใจผมแล้วล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา
"ผมเจอแล้วครับ"
"วันหลังอย่าลืมอีกนะครับ ถ้าหายไปคงเสียดายแย่เลย"
"ครับ"
"แล้วนี่ เห็นว่าทำแบ็กเก็ตหลุดเลยมาหาพี่ใช่ไหม ไปเร็ว เดี๋ยวพี่ซ่อมให้"
คาดเดาเอาเองว่าแบ็กเก็ตนั่นคงหมายถึงเหล็กจัดฟัน ประเด็นสำคัญที่ผมเกือบลืมไปว่ามาคลินิกทำไม ผมเดินตามหลังพี่ต่อที่ก้าวเท้าด้วยช่วงขายาวๆ เร็วจนตามไม่ทัน ได้แต่มองแผ่นหลังนั้นแล้วคิดถึงเรื่องเก่าๆ อยู่ในใจ คิดถึงแต่เรื่องเขา...
เรื่องราวของพี่ต่อ
"ไหนพี่ขอดูหน่อย แบ็กเก็ตตัวไหนหลุด"
"ตัวในสุดเลยครับ" ผมตอบ เพราะเหล็กจัดฟันตัวในที่ติดกับฟันกรามหลุด เส้นลวดที่ไม่มีอะไรยึดก็เอาแต่ทิ่มกระพุ้งแก้มจนเจ็บ ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนผมถึงจะชินกับไอ้วัตถุแปลกปลอมที่ติดอยู่ในปากนี่สักที
"โอเค เดี๋ยวพี่ซ่อมให้ จะว่าไปก็ใกล้ถึงวันเปลี่ยนยางแล้วนี่ จะเปลี่ยนไปเลยไหม อาทิตย์หน้าน้องจะได้ไม่ต้องเข้ามาอีก"
ผมไม่เข้าใจขั้นตอนการจัดฟันที่กำลังถูกพูดถึงจึงทำได้แค่พยักหน้ารับ
"วันนี้ก็จะเอายางสีเดิมใช่ไหม"
มันต้องเปลี่ยนสีด้วยเหรอ...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น จึงพยักหน้ารับอีกครั้ง
"เปลี่ยนสีบ้างสิ เดี๋ยวพี่เลือกให้เอาไหม"
"ได้ครับ"
"อ้าว ทำไมยอมง่ายอะ"
"ฮะ?"
"ปกติไม่ยอมเปลี่ยนสีเลย ให้ใช้แต่สีเทา"
"เอ่อ...เบื่อแล้ว เปลี่ยนบ้างก็ได้ครับ"
พี่ต่อยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกให้ผมนอนลงบนเตียง ผู้ช่วยทันตแพทย์ใช้ผ้าปิดหน้า ปิดไว้คงดีเพราะไม่อย่างนั้นคนเป็นหมอฟันคงได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลของผมแน่ๆ ผมจับมือเย็นเฉียบของตัวเองเอาไว้แน่น ด้วยความกลัวมันจึงสั่นเบาๆ แต่ในวินาทีนั้นก็สัมผัสได้ถึงมืออุ่นที่เข้ามาจับกับมือผม เจ้าของฝ่ามือพูดกับผมเบาๆ ที่ข้างหู
"ไม่เจ็บนะครับ ไม่ต้องกลัว"
ใช้เวลาไม่นานในการจัดการติดเหล็กและเปลี่ยนยางในปาก ไม่เจ็บสักนิดอย่างที่พี่ต่อบอก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผ้าที่ปิดหน้าผมอยู่ก็ถูกเปิดออก
"เฮ้ย" ผมร้อง เพราะตกใจที่เปิดมาเห็นหน้าของพี่ต่อที่ก้มลงมาใกล้เหมือนจะแกล้งกัน พี่ต่อหลุดหัวเราะชอบใจ
"ไหนลองยิ้มให้พี่ดูหน่อย"
"ครับ?"
"ยิ้มหน่อย จะดูว่าสียางสวยไหม"
เมื่อเห็นว่าผมยังอึกอักไม่ยอมยิ้ม พี่ต่อก็จัดการยกสองมือของตัวเองบีบแก้มเบาๆ แล้วดึงมุมปากให้ผมฉีกยิ้ม
"ยิ้มหน่อยน่า"
ด้วยการกระทำแบบนั้นของพี่ต่อผมจึงหลุดยิ้มออกมาซะเฉยๆ ก่อนพี่ต่อจะสั่งให้ผมมองกระจก ยิ้มจนเห็นยางจัดฟันสีม่วงอ่อนที่พี่ต่อเป็นคนเลือกให้
"เห็นไหม สวยกว่าสีเทาตั้งเยอะ"
"..."
"ชอบไหมครับ"
ผมพยักหน้าอีกครั้งขณะกำลังมองรอยยิ้มกว้างๆ ของหมอฟันอย่างพี่ต่อ ตั้งแต่ตอนที่ผมมีชีวิตจนถึงตอนนี้...พี่ต่อก็ยังอบอุ่นและใจดีเหมือนเดิมเลย
พี่ต่อเดินออกมาจากห้องทำฟันพร้อมกับผม ขณะที่ผมกำลังจ่ายเงินค่าทำฟันก็หันไปเห็นประตูที่เปิดเข้ามาด้วยมือของผู้ชายอีกคน คนที่ทำให้ผมต้องนิ่งไปอีกครั้ง...น้องชายของพี่ต่อ
"หวัดดีเขี้ยวกุด"
"ฮึ?" ผมเผลอแสดงน้ำเสียงสงสัย เพราะเขาหันมาทักผมแบบนั้น วินาทีเดียวที่เผลอมองหน้าเขา ผมก็ต้องรีบหลบหน้าหนี หัวใจที่เพิ่งจะสงบกลับมาเต้นโครมครามอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายละความสนใจจากผมไปคุยกับพี่ต่อแล้ว
"ไปซื้อไอติมที่ไหนมา ทำไมไปนานจัง"
"ก็เดินไปนี่ ไม่ได้เหาะไป"
"ซื้อมาฝากพี่เปล่า"
"ก็นี่ไง"
"ของตามรสวนิลาเหรอ"
"อือ ของพี่ต่อช็อกโกแลต"
"แต่พี่ชอบวนิลามากกว่า แลกกัน"
"ตามเลียทั้งแท่งแล้วจะเอาไหมล่ะ"
"โห สกปรก"
"ทำมาเป็นรังเกียจ"
ผมหันมองทั้งสองคนที่คุยกันพลางเดินไปนั่งกินไอติมในห้องที่เปิดประตูค้างเอาไว้พอให้มองเห็น โดยไม่ทันรู้ตัวผมก็พลันน้ำตาไหลออกมาเมื่อมองเห็นคนตรงนั้น เป็นคนที่ผมคิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว เป็นคนที่หัวใจผมยังคงโหยหาแม้ว่าตัวเองจะตายจากไปนานแล้ว...เป็นเธอจริงๆ ด้วย
ตาม... ...
ผมตายตอนอายุยี่สิบสอง ตอนนั้นอยู่มหาลัยปีสุดท้ายแต่ตอนนี้กลายมาเป็นนักเรียนม.ปลาย แถมร่างกายยังหดเล็กลงจนรู้สึกว่าทุกอย่างมันบอบบางไปหมด และเพราะยังเป็นนักเรียนม.ปลาย ก็เลยต้องไปโรงเรียน พี่หน่อยมาปลุกให้ลุกอาบน้ำตั้งแต่เช้า ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้า ถุงเท้า นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์และกระเป๋านักเรียนวางเรียงเป็นระเบียบ เพื่อให้ผมหยิบจับสิ่งของพวกนั้นเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนหุ่นยนต์ถูกวางโปรแกรม
ก่อนที่ผมจะสวมเสื้อนักเรียน ก็พลันไปเห็นหนังสือเรียนวิชาคณิตฯ ระบุชั้นม.หกใกล้ๆ กันคือสมุดที่มีสัญลักษณ์ของโรงเรียนอยู่ เป็นโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนนี่นา
เอาวะ...ลองโคฟเวอร์ย้อนวัยไปเป็นนักเรียนม.ปลายดูก็น่าจะสนุกดี คิดได้อย่างนั้นจึงสวมเสื้อผ้านักเรียน หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วใส่นาฬิกาข้อมือเป็นอย่างสุดท้าย แต่ขณะที่กำลังปรับสายนาฬิกา สายตาก็มองไปเห็นรอยแผลเป็นจางๆ ที่ข้อมือข้างนั้น มันจางจนผมไม่เคยสังเกตเห็น แต่ดูจากแผลเป็นแนวขวางขนาดยาวนั้น เดาว่าต้นเหตุของแผลนั่น อาจถูกของมีคมบางอย่างบาดลึกจนทิ้งรอยไว้ อดคิดไม่ได้ว่า...มันคือการกรีดข้อมือตัวเองหรือเปล่า
"น้องพลีส เสร็จหรือยังคะ"
"เสร็จแล้วครับ" ผมละสายตาจากรอยแผลนั่น แล้วเดินออกไปหาพี่หน่อย ก่อนจะขึ้นรถที่พี่หน่อยเป็นคนขับพาไปส่งที่โรงเรียน
"น้องพลีสคะ"
"ครับ?"
"วันนี้ที่โรงเรียน ไม่ว่าเพื่อนจะพูดอะไรเกี่ยวกับน้องพลีส ก็ไม่ต้องสนใจนะคะ"
"พี่หน่อยหมายถึงเรื่องที่..."
ผมเว้นช่วงคำพูด คิดว่าตัวเองเข้าใจสิ่งที่พี่หน่อยต้องการจะสื่อมากพอ แต่ก็ออกปากย้ำไปเพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังนึกถึงเรื่องเดียวกัน
"กระโดดตึก"
"ค่ะ วันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่ต้องโต้เถียงหรือตอบคำถามอะไร ใครจะพูดอะไรก็ทำเป็นไม่สนใจ ทำได้นะคะ"
ผมพยักหน้ารับไปอย่างนั้น ก่อนพี่หน่อยจะขับรถมาถึงโรงเรียนพอดี เพราะว่าเป็นโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนจึงรู้จักที่ทางในโรงเรียนนี้ดี ผมเดินมายังห้องเรียนม.หกทับหนึ่งตามที่พี่หน่อยบอก มีนักเรียนอยู่ในห้องนั้นเยอะพอสมควร และทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปแทบจะทุกสายตาก็สามัคคีกันหันมามอง ไม่มีคำทักทายจากใครเลยและผมไม่รู้ว่าที่นั่งของตัวเองอยู่ตรงไหน
"ไง ไอ้พลีส มึงมาเรียนได้แล้วเหรอวะ"
ผมหันขวับไปมองคนข้างหลังที่ทักขึ้นมา เดาว่าอาจจะเป็นเพื่อนของพลีสแต่สัญชาตญาณกลับโต้แย้ง ความรู้สึกแรกที่หันไปมองหน้ามันบอกผมว่าไม่ใช่...นี่ไม่ใช่เพื่อน
"มึงโดดตึกลงไปห้าชั้นแต่ไม่เป็นอะไรเลย มึงห้อยพระอะไรวะถึงได้โกงความตายได้ขนาดนั้น ไหนขอกูดูหน่อยสิ"
"เฮ้ย" ผมปัดมือของนักเรียนคนนั้นออกไป หลังจากมันยกขึ้นแหวกคอเสื้อผมออก
"อะไร กูแค่ขอดูเฉยๆ"
"ไม่มี"
"กูขอดูหน่อยน่า"
"อย่านะเว้ย!" ผมโวยลั่น ดูเหมือนว่าร่างกายผอมบางของพลีสจะไม่มีแรงมากพอที่จะขัดขืนหรือต่อสู้กับนักเรียนตัวโตคนนี้ได้เลย ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักมันออกไป แต่สองมือของมันยังกุมเสื้อของผมอยู่ ในจังหวะที่ผลักมันออกกระดุมเม็ดที่สองของเสื้อนักเรียนผมก็ขาดกระเด็นออกไปด้วย
"กูไม่ได้ทำนะโว้ย มึงผลักกูออกมาเองอะ"
ผมก้มมองกระดุมเสื้อที่ขาดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นักเรียนคนนั้นก็ยักไหล่ใส่อย่างไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินไปนั่งที่ ผมก้าวเท้าตามมันเข้าไปในห้อง ไม่รู้ว่าต้องนั่งตรงไหน หันไปเห็นที่นั่งว่างๆ ข้างๆ กับนักเรียนหญิงที่หน้าตาดูเป็นมิตร จึงคิดที่จะหย่อนตัวเองลงนั่งตรงนั้น แต่อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาก่อน
"ไม่ใช่"
"..."
"ไม่ใช่ตรงนี้"
ผมไม่ทันได้เอ่ยถามว่าที่นั่งของพลีสอยู่ตรงไหน ไอ้นักเรียนอันธพาลคนเดิมก็จะโกนเรียกผม
"สมองมึงไหลไปตอนตกตึกเหรอวะถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองนั่งตรงไหน ตรงนี้โว้ย ข้างหน้ากูนี่"
ไม่มีทางเลือก ไม่มีที่อื่นแล้ว ผมจึงจำใจต้องเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเป็นตัวข้างหน้าของนักเรียนคนนั้น
"เฮ้ย"
ผมหันหลังมองไอ้นักเรียนอันธพาลที่ยกเท้าขึ้นมาถีบเก้าอี้ผม
"กูได้ข่าวว่ากบาลมึงแตก ตรงนี้เหรอวะ"
"โอ๊ย!" ผมร้องลั่นเมื่อมันยกมือกดแผลที่หลังศีรษะเข้ามาทีหนึ่ง ความเจ็บของผมดันกลายเป็นเรื่องขำขัน เมื่อมันและเพื่อนที่นั่งข้างๆ พากันหัวเราะลั่นที่ทำให้ผมร้องออกมาได้
"เลิกแกล้งมันได้แล้วไอ้ปั้น เดี๋ยวมันก็ไปฟ้องครูหรอก"
"หรือไม่มันอาจจะโกรธจนไปกระโดดตึกตายอีกรอบหนึ่งก็ได้นะ"
"โอเคๆ ไม่แกล้งก็ได้"
ไอ้ตัวหัวโจกรับคำส่งๆ ก่อนที่ผมจะหันหน้ากลับไปมองกระดานอย่างไม่ได้สนใจ แต่ในตอนนั้นเสียงกระซิบของมันก็ดังขึ้นที่ข้างหู
"วันหลังถ้ามึงอยากตายจริงๆ ก็ลองไปกระโดดตึกที่มันสูงกว่านั้นดูนะ"
ผมไม่โต้ตอบ แกล้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ข้างในร้อนระอุ ทำได้แค่ระบายความรู้สึกผ่านมือที่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคือง เรื่องที่พลีสตกลงมาจากตึก คงถูกแพร่กระจายโดยใครสักคนจนรู้ไปทั่วกัน ที่ผมเดาได้ว่าทุกคนรู้ ก็เป็นเพราะสายตาที่มองมาราวกับว่าพลีสเป็นตัวประหลาด มีเสียงนินทาเกี่ยวกับพลีสที่ไม่รู้ว่าพลั้งเผลอหรือจงใจให้ได้ยินกันแน่ ผมสูดลมหายใจเข้าออกเรียกสติและทำเพิกเฉย ในตอนนั้นมันทำให้ผมตั้งคำถามว่าพลีสตัวจริง..
.เป็นคนยังไงกันแน่ การกลับมาเป็นนักเรียนไม่สนุกอย่างที่คิด ครึ่งวันที่ผมได้ใช้ชีวิตเป็นพลีสกลายเป็นความทรมาน บทเรียนบางอย่างก็ลืมแล้วหมดสิ้นจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางวิชาก็น่าเบื่อจนง่วงนอนแต่หลับไม่ได้ และที่สำคัญ...พลีสไม่มีเพื่อนเลยสักคน
กลางวันนี้ผมจึงต้องลงไปกินข้าวคนเดียว ในระหว่างทางจากตึกเรียนไปโรงอาหาร ไกลพอที่จะทำให้ผมได้มองนั่นมองนี่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยที่ผมเรียนอยู่บ้าง ก่อนเปลี่ยนความคิดไปนึกถึงร้านข้าวป้าพุกที่เป็นร้านโปรด ร้านนั้นจะยังอยู่ไหมนะ
หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู เงินจำนวนหนึ่งที่อยู่ในนั้นทำเอาผมเบิกตากว้าง เป็นเด็กม.ปลายต้องมีเงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ ผมเลื่อนสายจากแบงก์พวกนั้นไปยังบัตรประชาชนของพลีส สะดุดอยู่ที่ปีเกิด ปกติแล้วอยู่ม.หก ก็ควรจะอายุสิบแปด แต่ปีเกิดของพลีสดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ ด้วยความที่คิดเลขไม่เก่งเลยจึงยกนิ้วขึ้นมานับ คำนวณอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นชัดว่าพลีสอายุยี่สิบแล้ว จึงเกิดคำถามขึ้นมาในตอนนั้น อายุยี่สิบสูงได้แค่นี้เหรอ ไม่ใช่สิ...อายุยี่สิบทำไมยังอยู่ม.หกล่ะ
"ตุ้บ!" "โอ๊ย!"
ผมร้องออกมาในจังหวะเดียวกับที่ลูกฟุตบอลที่ปลิวมาจากไหนไม่รู้กระทบเข้ากลางหลังพอดี หันขวับไปมองจึงเห็นว่ามันเป็นคนเดิม ไอ้ปั้น!
"เฮ้ย! โทษที กูไม่ได้ตั้งใจ"
"..."
"ไม่ได้ตั้งใจให้โดนหลัง กะว่าจะให้โดนหัวมึงซะหน่อย"
ไอ้ปั้นและฝูงเพื่อนของมันหัวเราะลั่นดูชอบใจกับมุกเลวๆ ที่ล้อเล่นกับความเจ็บปวดของคนอื่น ที่ผมไม่ทำอะไรเลยนอกจากอดทนเอาไว้ เป็นเพราะผมไม่ใช่พลีส ผมไม่รู้ว่าถ้าเป็นพลีสจะทำยังไงเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าผมทำอะไรตามใจตัวเองออกไป อาจจะส่งผลอะไรต่อพลีสในตอนที่เขากลับมาก็ได้
ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยเด็กนักเรียน กวาดสายตามองหาร้านป้าพุกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อร้านนั้นยังอยู่ที่เดิมเลย มองอาหารหลากชนิดที่วางเรียงราย เมื่อถึงคิวจึงสั่งเมนูที่เล็งเอาไว้สองอย่าง ผัดผักที่ชอบและหมูทอดร้านป้าพุกที่อร่อยที่สุดในโลกเลย ผมเผลอมองป้าพุกที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยตั้งแต่ผมจบม.หก รวมๆ แล้วก็เกือบแปดปี ป้าพุกยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
"หนู"
"ครับ?"
"ทำไมมองหน้าป้าแบบนั้นล่ะลูก จะเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า"
"เปล่าครับ แค่คิดว่า ป้าพุกยังสวยเหมือนเดิมเลย"
"ตายจริง ปากหวาน แถมหมูให้อีกชิ้นก็แล้วกัน"
"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มกว้าง แล้วหยิบจานข้าวเดินออกมาหาที่นั่ง กวาดตามองไปรอบๆ ยังไม่เจอที่นั่งแต่หันไปเจอสายป่านที่เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน ด้วยความพลั้งเผลอไม่ทันคิดผมจึงเดินเข้าไปสะกิดเรียกน้องสาว
"อ้วน!"
คนถูกเรียกหันขวับมามอง แล้วขมวดคิ้วมุ่น
"พี่เป็นใครคะ"
"..."
"อยู่ดีๆ มาเรียกหนูว่าอ้วนได้ไง"
พลาดแล้ว ลืมตัวว่านี่คือพลีสไม่ใช่แสงเทียน ด้วยศักดิ์ศรีแห่งนักแสดงนำชาย สาขาโกหกยอดเยี่ยมผมจึงรีบหาข้ออ้าง ก่อนได้ไอเดียแถแบบเบสิกที่สุด
"ขอโทษครับ ทักผิดคน" พูดแค่นั้นแล้วหันหลังขวับ ได้ยินเสียงสายป่านกับเพื่อนคุยกันตามหลังมา
"ใครวะแก"
"ไม่รู้เหมือนกัน ทักผิดไม่ว่า แต่มาเรียกว่าอ้วนนี่น่าตีป่ะ"
ได้ยินเสียงหัวเราะของน้องสาวที่เรื่องเมื่อครู่กลายเป็นเรื่องขำขันไปแล้ว ผมยิ้มนิดๆ แล้วนั่งลงที่โต๊ะว่างๆ เพื่อกินข้าว รสชาติของหมูทอดร้านป้าพุกพาผมหลุดออกจากทุกความคิด อร่อยจนอยากจะร้องไห้ การติดอยู่ในร่างนี้มีเรื่องดีๆ เรื่องเดียวที่ผมชอบ คือการได้กินอาหารอร่อยๆ ที่โหยหามานานนี่แหละ
"แก นั่งนี่กัน"
"หาที่อื่นเถอะ"
"โต๊ะนี้แหละน่า ตรงนี้มีคนนั่งไหม..." คำถามชะงักเมื่อผมเงยหน้าให้เห็น ผมจำได้ว่าผู้หญิงกลุ่มนี้เป็นเพื่อนในห้องเรียนของพลีส
"ไม่มี" ผมตอบ
"แกนั่งตรงนั้นละกัน"
"แกนั่นแหละไปนั่ง"
"แกนั่นแหละ"
"นั่งได้ ไม่กัด" ผมบอก หลังจากที่ผู้หญิงพวกนั้นเอาแต่เกี่ยงกันว่าใครจะนั่งข้างๆ ผม ก่อนจะตกลงกันได้แล้วส่งหน่วยกล้าตายมานั่งข้างผม ผมหันมองผู้หญิงพวกนั้น ที่ต้องมองเพราะถูกมองก่อน ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องเอ่ยปากถาม
"มองอะไรกัน"
"พวกเราแค่สงสัย พลีสกินข้าวเป็นด้วยเหรอ"
"เฮ้ย คนบ้าอะไรจะกินข้าวไม่เป็น"
"ไม่เคยเห็นพลีสลงมากินข้าวเลย"
"ใช่ๆ ปกติก็เอาแต่อยู่บนห้อง"
"วันนี้คิดยังไงถึงลงมากินข้าว"
ผมไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี จึงคิดคำตอบง่ายๆ ออกไปส่งๆ
"เราหิว"
กลุ่มเพื่อนพยักหน้ารับ ไม่วายเรื่องของพลีสยังถูกพูดต่อด้วยเสียงกระซิบนินทา
"สงสัยตกตึกแล้วสมองกระทบกระเทือน"
"นั่นสิ ตอนอยู่บนห้องก็ทำตัวแปลกๆ"
ยิ่งคิดยิ่งสงสัยว่าพลีสดูเป็นอะไรในสายตาของเพื่อนที่โรงเรียน พลีสหน้าตาน่ารัก มีครอบครัวที่เพียบพร้อมทั้งพ่อแม่และฐานะการเงินที่ไม่เป็นรองใคร ดูจากผลการสอบวิชาคณิตฯ และฟิสิกส์ ที่ครูแจกคืนมาในคาบ คะแนนเกือบเต็มทั้งสองวิชานั่นก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าพลีสคงจะเรียนเก่งไม่ใช่เล่น ชีวิตของพลีส ดูเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบแท้ๆ แต่การที่ผมใช้ชีวิตเป็นพลีสอยู่ในโรงเรียนแค่ครึ่งวัน...มันเจ็บปวดจนบอกไม่ถูกเลย
ระหว่างกำลังเหม่อลอย สายตาผมมองไปเห็นสายป่านกับเพื่อนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะที่ไม่ไกล ความสนใจจึงเปลี่ยนไปที่น้องสาวแทน เห็นสายป่านกินข้าวอย่างอร่อย คุยกับเพื่อนอย่างมีความสุข จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้..
.ใช้ชีวิตอย่างดีเลยนะอ้วน ...
ผมกลับมาที่บ้านพลีสอีกครั้งหลังจากที่หน่อยไปรับที่โรงเรียน หมดแรงจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนเลยตั้งใจว่าจะรีบขึ้นห้องทันทีเลย แต่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อพ่อกับแม่ของพลีสกลับมาแล้ว พี่หน่อยจึงพาผมเดินไปหาพ่อกับแม่ในห้องนั่งเล่นก่อน
"พ่อ แม่ สวัสดีครับ"
"เอ๊ะ?"
ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องไหว้พ่อแม่หลังกลับมาจากโรงเรียน แต่การกระทำของผมสร้างความประหลาดใจให้พ่อกับแม่ซะงั้น ปกติพลีสไม่ทำสินะ
"เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่ไหม"
"ไม่ครับ"
"แล้วที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง"
ไม่รู้ว่าพลีสเคยพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่หรือเปล่า หากผมออกปากบอกถึงปัญหาที่โรงเรียนอาจจะทำให้พ่อแม่เป็นห่วงก็ได้ จึงทำได้แค่ยิ้มนิดๆ
"เมื่อกี้แม่เจอแม่ของตะวัน เห็นว่าวันนี้คะแนนคณิตฯ กับฟิสิกส์ที่สอบคราวก่อนออกแล้ว คะแนนพลีสเป็นยังไงบ้างลูก"
"อ๋อ เกือบเต็มเลยครับ" ผมตั้งใจโอ้อวดเต็มที่ หยิบกระดาษคำตอบทั้งสองวิชาจากกระเป๋าส่งให้พ่อกับแม่ดู คิดว่าพลีสจะได้รับคำชื่นชม แต่สีหน้าของแม่ดูไม่ยินดี จนกระทั่งแม่พูดบางคำออกมา
"เคยทำได้ดีกว่านี้นี่"
"แต่นี่เกือบเต็มเลยนะครับ"
"ผิดข้อหนึ่งก็เท่ากับศูนย์นั่นแหละ"
ตรรกะอะไรเนี่ย!
ผมเผลอโวยในใจ ตอนที่แม่ยื่นกระดาษสองแผ่นนั้นคืนมา
"ต้องพยายามกว่านี้นะพลีส"
ผมพยักหน้ารับ ไม่มีข้อโต้แย้ง แต่พ่อกลับแทรกขึ้นมาแทน
"เกินไปหรือเปล่าคุณ ได้แค่นี้ก็ถือว่าเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ"
"แต่พลีสเคยทำได้ดีกว่านี้ ก็ต้องรักษามาตรฐานตัวเองสิ"
"คะแนนเยอะขนาดนี้ ยังไงก็ได้เกรดสี่อยู่แล้ว ผิดบ้างสักข้อสองข้อจะเป็นอะไรไป"
"คุณก็ให้ท้ายลูกอยู่แบบนี้ไง พลีสถึงได้ไม่ตั้งใจทำข้อสอบ คราวหน้าถ้าลูกคะแนนตกลงไปอีก คุณยังจะพูดว่าไม่เป็นอะไรอยู่หรือเปล่า"
"คุณก็กดดันลูกเกินไป"
"ที่ฉันต้องกดดันก็เพราะพ่ออย่างคุณเอาแต่ปล่อยปะละเลยแบบนี้ไง"
"น้องพลีสคะ"
ผมเงยหน้ามองพี่หน่อยที่เข้ามาเรียก
"วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า ขึ้นไปทำการบ้านในห้องดีกว่าค่ะ นะคะ ไปค่ะ" ผมไม่มีการบ้านแต่จำใจต้องลุกออกมาจากตรงนั้น พี่หน่อยก็แค่พยายามไม่ให้ผมอยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่กำลังทะเลาะกัน ผมได้คำตอบที่เคยถามพี่หน่อยว่าพ่อกับแม่พลีสทะเลาะกันบ่อยไหม มันแทบจะทุกครั้งเลยที่พวกเขาเจอหน้ากัน
ผมเข้ามาในห้องนอน หย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ จดจ้องอยู่กับกระดาษคำตอบในมือ นึกไปถึงตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน วันที่วิ่งโล่เอาคะแนนสอบวิชาคณิตฯ ที่ได้เกินครึ่งมาให้พ่อกับแม่ดู ก็ได้รับคำชมราวกับผมได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างกับชนะคณิตศาสตร์โอลิมปิก ถ้าสอบได้แปดสิบคะแนนแบบนี้พ่อกับแม่คงจัดงานฉลองเลี้ยงโต๊ะจีนไปแล้ว แต่กับพลีสมันไม่ใช่เลย ผมจึงอยากถามแทนพลีส อยากรู้จริงๆ ...
ต้องแค่ไหนล่ะถึงจะพอทำได้แค่ถอนหายใจแล้วดึงลิ้นชักโต๊ะออกแล้วโยนกระดาษสองแผ่นนี้เข้าไป ก่อนที่ผมจะปิดลิ้นชักก็หันไปเห็นสมุดโน้ตปกสีดำเล่มหนาอยู่ในนั้น ถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดูจึงเห็นว่าเป็นไดอารี่ เสียมารยาทเปิดอ่านเพราะผมอยากรู้จักพลีสมากกว่านี้อีกสักหน่อย แต่เนื้อความพวกนั้นไม่ได้เล่าถึงตัวเองมากนัก เป็นประโยคสั้นบ้างยาวบ้างที่เมื่ออ่านแล้วดูหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
รู้ดีว่าถ้าอยากหลุดจากความรู้สึกนี้
ต้องมีความสุขก่อน
แต่ไม่รู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขเลย
ไม่รู้จริงๆ
มันเป็นห้องเล็กๆ มืดๆ
มีประตูบานเดียว
แต่พอเปิดออกไปก็ไม่เจอใคร
จึงต้องกลับเข้ามาในห้องเหมือนเดิม
มันมืดจริงๆ
ไม่มีแสงสว่างเลย
ข้อความพวกนั้นจากไดอารี่เลอะคราบน้ำตา ทุกอย่างมันเพิ่มเหตุผลที่ทำให้ผมปักใจเชื่อว่า...
...เด็กคนนี้พยายามที่จะฆ่าตัวตายจริงๆ To be continued.