เพลงตื่นเช้าขึ้นมาอย่างงัวเงีย อย่างที่ว่าเขานอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่เมื่อนึกถึงเจ้าของหัวใจที่นอนอยู่ใกล้เขาเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนติดการตื่นเช้าทำให้ยอมลุกจากเตียงอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าของบ้านเดินย่องลงบันไดไม่ให้เกิดเสียงเพราะเกรงใจแขกที่หลับอยู่
เพลงเดินไปยังห้องครัว หวังจะทำมื้อเช้าแบบง่ายๆต้อนรับเช้าวันใหม่แก่แขกกิตติมศักดิ์ ทว่ายังไม่ทันจะได้เริ่มทำอะไรเขากลับได้ยินเสียงไอค่อกแค่กดังมาจากห้องรับแขก ซึ่งหากไม่ใช่ซอลเป็นคนทำแล้วจะไปใครไปได้อีก ร่างสูงเปลี่ยนจุดมุ่งหมาย เดินเข้าไปหาก้อนผ้าห่มยักษ์นี่ขดอยู่กลางบ้านเขาแทน
“แค่กๆ” เสียงไอดังมาอีกระลอกทำให้เพลงลดตัวลงไปเลิกผ้าห่มหนาก่อนจะเห็นใบหน้าแดงก่ำของซอลที่ยังนอนหลับไม่รู้ความ มือหนาเอื้อมไปสัมผัสหน้าผากเบาๆเพื่อวัดอุณหภูมิและอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ซอลมีไข้
แน่ล่ะตากฝนจนชุ่มขนาดนั้น แถมยังหลับท่ามกลางอากาศหนาวๆอีกด้วย ให้ตายเถอะเขานี่มันงี่เง่าชะมัด ถ้ายอมดื้อดึงให้อีกฝ่ายขึ้นไปนอนที่ห้องตนดีๆก็คงไม่ต้องมานอนป่วยเช่นนี้
ไข่ดาวไส้กรอกในตอนแรกจำต้องเปลี่ยนเป็นข้าวต้มอ่อนๆแทน เพลงเดินนำอาหารเช้าไปเสิร์ฟคนป่วย สะกิดให้ซอลตื่นมาทานข้าวทานยาก่อนที่อาการจะทรุดไปมากกว่านี้ เนื่องจากช่วงวัยเด็กเพลงเป็นเด็กขี้โรคอย่างที่ว่าทำให้ในบ้านเขามียารักษาโรคแทบทุกชนิดติดอยู่อย่างไม่ต้องห่วงเลย
“อืออ..” เสียงแหบครางฮือเมื่อโดนขัดจังหวะการนอน คนป่วยดูง่วงเกินกว่าจะใส่ใจอะไร ร่างผอมมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้ง
“คุณครับ..ตื่นมากินยาก่อนนะครับ”
คนถูกเรียกขมวดคิ้วก่อนพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นมามองคนขัดจังหวะ เสียงซอลตาปรือและพยายามลุกขึ้นมานั่งตัวตรงหลังจากตั้งสติได้แล้ว แต่เหมือนร่างกายเขาถูกหินถ่วงไว้ ขยับไปทางไหนก็หนักตัวไปเสียหมด เพลงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยพยุง
“ซอลไม่สบาย..กินข้าวแล้วกินยานะครับ” คนไม่สบายได้แต่พยักหน้ารับคำเออออให้เรื่องมันจบๆไป ในหัวตอนนี้เขาคิดถึงแต่เรื่องนอนเท่านั้น รวมไปถึงไม่ทันสังเกตเสียด้วยว่าคนข้างบ้านรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร
ริมฝีปากสีซีดขยับเคี้ยวข้าวต้มร้อนๆที่ถูกป้อนจากเจ้าของบ้านอย่างเชื่องช้า เชื่อเถอะเขาไม่ได้อยากทำตัวเอื่อยเฉื่อยขนาดนี้หรอก แต่ตอนนี้ร่างกายดูจะไม่เป็นใจเสียเลย… เมื่อข้าวคำสุดท้ายถูกป้อนจนหมด เพลงก็ป้อนน้ำเขาต่อด้วยยื่นยาหลากสีสองสามเม็ดไปให้คนตรงหน้า เขารู้ว่าทานยาหลังอาหารทันทีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทางที่ดีควรจะรอให้อาหารย่อยสักพักหนึ่งก่อนค่อยทาน แต่คนตรงหน้าดูจะไม่สามารถรออาหารย่อยได้เสียแล้ว
ซอลกลืนยาลงไปอย่าง่ายดาย ก่อนจะปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง บ่งบอกว่าเขาทำตามคำขอแล้วจากนี้ก็ขอนอนอย่างสงบๆสักที
“ซอลครับ ขึ้นไปนอนข้างบน…” ไม่ทันที่จะพูดให้จบประโยค คนป่วยก็มุดหลับอยู่ใต้ผ้าห่มไปเสียแล้ว
เพลงลอบยิ้ม ขบขำในความขี้เซาของคนตรงหน้า แม้จะรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไข้ก็เถอะ ถึงอย่างนั้นก็น่ารักมากอยู่ดี เขาใช้ตัวเลือกสุดท้ายสั่งการให้อุ้มคนป่วยขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ขืนยังนอนอยู่กลางบ้านที่ลมเย็นพัดเข้ามาตลอดเวลาเช่นนี้ซอลไม่มีทางหายแน่ๆ
ซอลตัวเบากว่าที่คิดแต่ก็ยังหนักอยู่ดี หากเขายังเป็นเด็กชายขี้โรคอยู่ล่ะก็คงไม่มีทางที่จะอุ้มไหวอย่างแน่นอน
ทันทีที่จัดแจงให้คนป่วยนอนบนเตียงนุ่มของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตั้งใจจะลงไปเก็บจานชามที่ทิ้งไว้ข้างล่าง เพลงนึกขอบคุณสวรรค์ที่วันนี้เขามีเรียนช่วงบ่าย ทำให้พอมีเวลาอยู่กับเสียงซอลมากขึ้น ถึงแม้อีกฝ่ายจะป่วยหนักก็ตาม
“อือ..” เสียงครางแผ่วเบาของคนป่วยดังขึ้นเหมือนรู้ว่าถูกคิดถึง เพลงหันกลับไปหาคนบนเตียงแทบจะทันที ซอลปรือตาเล็กน้อยจ้องมายังเขาและนั่นทำให้หัวใจเจ้ากรรมกระตุกอย่างหนัก
“ลิล...ลิลลี่..”
เสียงแหบพร่าของคนป่วยยังคงเอ่ยต่อพลางจ้องมายังเขา เพลงไม่เข้าใจถ้อยคำที่คนตรงหน้าหวังจะสื่อ เขาขยับเข้าไปใกล้คนป่วยมากขึ้น
“ลิลลี่ครับ…”
ลิลลี่งั้นหรือ?..เป็นชื่อคนใช่ไหม ถ้างั้นอาจจะเป็นใครสักคนที่สำคัญของซอลก็ได้ เมื่อสมองประมวลผลได้เพลงจึงตัดสินใจหมุนตัวกลับอีกครั้งด้วยหัวใจที่ชาแปลกๆ เพราะคนป่วยไม่ได้ร้องเรียกขอความช่วยเหลืออะไร แถมยังเอ่ยถึงใครบางคนอีก แน่ล่ะ ถ้าคนอย่างซอลจะมีคนรักแล้วก็ไม่เห็นจะแปลกเลย
ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามความคิดดี มืออุ่นๆก็คว้าจับข้อมือเขาไว้เสียก่อน เพลงตกใจจนสะดุ้ง หันกลับมามองเจ้าของดวงใจอีกครั้ง
เสียงซอลพยายามลืมตามองเขา จากฤทธิ์ไข้ทำให้เปลือกตาเจ้ากรรมหนักกว่าที่คิด แถมหยาดน้ำใสก็คลอเต็มเบ้าตา เพลงอดใจสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากแห้งซีดพยายามเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง
“....เล่นเปียโนให้ฟังหน่อย….”
แม้น้ำเสียงคนป่วยจะแหบพร่าเพียงไหนแต่เพลงก็ฟังมันออกทุกคำ หัวใจเต้นโยนราวกับจะระเบิด
เล่นเปียโนให้ฟังในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ
เพราะความสงสัยที่ไม่สามารถปิดซ่อนใบหน้าไว้ได้ทำให้คนป่วยเค้นเสียงออกมาอีกที คนป่วยขยับมือที่คว้าข้อมืออีกคน เลื่อนลงไปกุมไว้ก่อนดึงมือเพลงให้เข้าใกล้กับใบหน้าหวานขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากสีซีดก้มลงบรรจงจูบแผ่วเบาไปยังมือของชายหนุ่ม ไล่วนไปตามนิ้วเรียวก่อนเอ่ยถ้อยคำอ้อนวอน
“...นะครับ...อยากฟัง….”
เพลงหน้าขึ้นสีอย่างห้ามไม่อยู่ เขาหันหน้าหลบคนป่วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทำไมซอลถึงต้องการฟังเสียงเปียโนของเขากัน เขาใช้มือที่ว่างอีกข้างปัดป่ายหน้าตัวเองเป็นพัลวัน หวังให้ความร้อนบนใบหน้าระเหยออกไปได้บ้าง คนป่วยยังคงจ้องมองเขาอย่างอ้อนวอน มือที่กอบกุมฝ่ามืออีกฝ่ายไว้ค่อยๆคลายออก
อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเสียงเพลงของเขามีความสำคัญ
ชายหนุ่มหน้าขึ้นสีปลดพันธนาการที่แสนหวานก่อนเดินไปยังเปียโนที่ตั้งอยู่รอมหน้าต่างของห้องนอน โน้มตัวลงนั่ง พรหมนิ้วมือลงบนคีย์บอร์ด สายตาส่งกลับไปยังคนบนเตียงอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เสียงซอลยังคงนอนจ้องมาทางเขาแม้ว่าเปลือกตาแทบจะปิดแล้วก็ตาม รอยยิ้มหวานส่งกลับมาให้เจ้าของห้องใจกระตุกอีกครั้ง
นิ้วเรียวของนักเปียโนกดลงตัวโน้ต บทเพลงเริ่มบรรเลง…
| | | | | | | | | |
เขามีความฝันที่แสนหวานที่สุด อบอุ่นที่สุดและดีที่สุดของชีวิต หญิงสาวในความฝันบรรเลงบทเพลงไพเราะจนไม่อาจกลั้นความสุขที่มากล้นยามได้ฟังได้ เสียงเพลงหวานหูยังคงติดอยู่ในใจเขาแม้กระทั่งลืมตาตื่นจากฝัน อากาศที่อบอุ่นขึ้นไม่ต่างจากหัวใจทำให้ฤทธิ์ไข้ทุเลาลงไปมากพอสมควร
เสียงซอลชันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนขบคิด จ้องมองไปรอบๆห้อง จำต้องหยุดสายตาไปที่เปียโนสีขาวข้างหน้าต่าง ภาพเหตุการณ์ในช่วงเช้าไหลเข้าสู่หัวเขาอย่างรวดเร็ว คนป่วยหน้าขึ้นสีแทบจะทันที หันรีหันขวางเมื่อไม่เห็นเจ้าของห้องก็ทำให้โล่งใจได้เปราะหนึ่ง เขาพยายามดันตัวเองออกจากเตียง พับผ้าห่มเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ ห้องสีขาวสวยและอบอุ่นไม่ต่างจากที่เขาเคยวาดฝันไว้ เสียแต่คนในจินตนาการกลับแตกต่างกันลิบ
เมื่อคิดได้อีกครั้งใบหน้าก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาอีก เพราะพิษไข้ทำให้เขาเห็นใบหน้าไม่ค่อยชัดเลยพลันนำเอาใบหน้าสวยหวานในจินตนาการใส่เข้าไปในความคิด เห็นเป็นภาพของหญิงสาวที่ตนวาดฝันจริงๆเสียอย่างนั้น
ทั้งที่ความจริงเขารู้ตัวว่าคนๆนั้นเป็นใคร
ก็จะเป็นใครได้อีกนอกจากเจ้าของบ้านหลังนี้! เพลงคงต้องคิดว่าเขาเป็นคนประหลาดไปแล้วแน่ๆ ทั้งเรียกชื่อใครออกมาก็ไม่รู้ ออดอ้อนขอฟังเสียงเปียโน แถมยังจูบ...ที่ฝ่ามือนั่นอีก
เขาหน้าร้อนขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง รู้ตัวดีว่าไม่ใช่เพราะฤทธิ์ไข้และก่อนที่จะระลึกอะไรที่น่าอายออกมานี่ได้อีกก็มีเสียงเรียกจากฝั่งตรงข้าม เรียกถึงชื่อเขา
“ซอล! ไอ้ซอล!” เสียงที่ฟังปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร เสียงซอลวิ่งไปทางหน้าต่าง มองลงไปยังพื้นเบื้องล่างหาที่มาของต้นเสียงและก็อย่างที่เขาคิดไว้ไม่ผิด ไอ้โทน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวยืนทำหน้างุดเงี้ยวอยู่หน้าบ้านเขา
ซอลรีบผละตัวออกจากห้องนอนอบอุ่น วิ่งลงไปยังชั้นล่างของบ้านหันซ้ายหันขวาแต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเจ้าของบ้าน บ้านทั้งหลังเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่และเขาก็มั่นใจเช่นนั้น เพลงคงต้องออกไปเรียนหรือมีธุระที่ไหนแน่ๆ คนป่วยมองหาเศษกระดาษแถวนั้นก่อนเขียนมันแปะไว้ที่หน้าตู้เย็น ที่ๆเขาคิดว่าเพลงจะต้องกลับมาเห็นแน่
ก่อนจะคิดอะไรได้อีกอย่าง ใบหน้าหวานขึ้นสีอีกครั้งแต่ก็บรรจงเขียนตัวหนังสือลงในกระดาษยับยู่ยี่ก่อนขึ้นชั้นบนของบ้าน นำมันไปวางไว้ตรงเปียโนสีอ่อน
เขาตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้านคนแปลกหน้าอีกครั้งก่อนเดินออกมาถึงรั้วบ้านเพื่อพบว่ามันถูกล็อกไว้
ซอลหันรีหันขวางอย่างจนปัญญา เจ้าตัวตัดสินใจปีนรั้วบ้านสีขาวเพื่อนำตัวเองออกมา พอดีกับเพื่อนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าบ้านหันมาเห็นเขากำลังทำท่าทุลักทุเลจนน่าขัน ร่างสูงแม้จะงงงันแค่ไหนก็ตามที่เพื่อนของตนมาปรากฏอยู่ที่บ้านหลังนี้แต่ก็ยอมเดินมาช่วยซอลให้ลงมาจากรั้วสูงจนได้
“มึงไปทำอะไรที่นี่เนี่ย”
“..เรื่องมันยาว” ซอลว่าพลางก้มหน้างุด เพราะรู้ว่าใบหน้าที่ร้อนผ่าวนั้นยังคงร้อนอยู่อย่างห้ามไม่ได้ เจ้าตัวรีบเอ่ยต่อ “ขอกูไปนอนหอมึงสักพักละกัน”
โทนรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ในระหว่างเดินทางไปยังหอพักของเขา เพราะวันนี้พวกเขาต้องนำผลงานที่ส่งเมื่อวานไปจัดนิทรรศการณ์ และเขาก็แปลกใจที่ไม่เห็นเพื่อนตัวเล็กอย่างทุกที ครั้นเมื่อโทรหาก็กลับปิดเครื่องเสียนี่ เขาไม่ว่าอะไรหากจำต้องเป็นคนขนย้ายผลงานของซี้ไปจัดตั้งแทนเจ้าของ แต่อย่างน้อยซอลก็จะบอกเขาก่อนทุกทีไม่เหมือนครั้งนี้
เขาจัดงานเสร็จก่อนจะมาหาเพื่อนซี้ที่ทำตัวเงียบไปทั้งวัน และก็อย่างที่คาด เพื่อนตัวดีมีเรื่องจริงๆ ช่างเป็นโชคร้ายในความโชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้เพื่อนเขาพัก
“หยุดขำได้แล้ว!” ซอลว่าเสียงดังหลังจากเล่าทุกอย่างให้เพื่อนตนฟัง ทันทีที่ถึงหอพักซี้ของเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยการหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
จนถึงห้องพักเสียงซอลจึงได้แต่ไล่เตะเพื่อนตัวดีที่เอาแต่หัวเราะจนคนยอมหยุดพร้อมกลั้นเสียงหัวเราะ
“ไล่เตะกูได้แบบนี้หายดีแสดงว่าหายแล้วใช่มะ” คนหายดีเบ้หน้าใส่ก่อนตอบ
“ก็ยังปวดหัวหน่อยๆแต่ก็ดีขึ้น”
“สงสัยได้ยาดี”
คนได้ยาดีตบไหล่เพื่อนดังพลั่ก ใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งเมื่อนึกย้อนเหตุการณ์ เพราะเป็นคนนิสัยแข็งกร้าว สนิทกับคนยากและไม่ค่อยแสดงออกด้านนี้มากเท่าไหร่ทำให้เขาเขินจนอยากมุดแผ่นดินหนีเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังออดอ้อนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนกับคนที่ไม่เคยคุยด้วยสักครั้ง
โทนหัวเราะชอบใจเห็นท่าทีของเพื่อน “เป็นไง คุณลิลลี่ของมึงสวยมั้ย” คำตอบคือหมัดหนักๆพุ่งเข้าที่ท้องน้อย เพื่อนตัวเล็กหน้าแดงก่ำเป็นอีกคำตอบ โทนไม่เข็ดกับการต่อต้านของเจ้าตัว เอ่ยถามขึ้นอีก
“แต่ถึงเขาเป็นผู้ชายมึงก็ไม่ได้เกลียดหรือเลิกชอบใช่ไหม”
ซอลถลึงตาใส่ซี้อย่างอาฆาต อย่างไรเสียใบหน้าแดงก่ำนั่นก็ยืนยันในความรู้สึกทุกอย่างได้หมดแล้ว
“กูจะนอน” ซอลว่าพลางมุดเข้าผ้าห่มตัดบทสนทนา
เพราะคำพูดของเพื่อนสนิทตนเชือดเฉือนหัวใจทุกประคำ ใช่ นอกจากเขาจะไม่ได้เกลียดที่คนในฝันของเขาเป็นผู้ชายร่างสูง ซอลเพียงแค่ตกใจมากก็เท่านั้น แต่เจ้าตัวรู้ไม่ว่าความรู้สึกหลังจากนี้คืออะไร เขารู้ว่าตัวเองตกหลุมรัก ‘เสียงเพลง’ ของบ้านข้างๆมานานแล้วก็จริง แต่ไม่เคยคิดว่าหากได้เจอตัวจริงเป็นเช่นไร อันที่จริงเขาไม่คิดว่าความรักนี้จะได้โคจรมาพบกันเสียด้วยซ้ำ
ใจดวงน้อยเป็นเป็นส่ำเมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าอาย ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของเพลง ทุกอย่างทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจเขาเต้นรุนแรงขึ้นจนห้ามไม่ได้เมื่อค้นหาคำตอบของการกระทำตัวเองได้
โดยไม่ทันตั้งตัวเขากลับตกหลุมรักคนๆนี้อีกครั้ง และมากกว่าทุกครั้ง
.
วันใหม่เลยผ่านไป ตอนนี้พ่อแม่เขากลับมาจากต่างจังหวัดแล้วและเขาก็ได้เข้าบ้านตัวเองได้อีกครั้งเสียที เป็นอาทิตย์แล้วที่เขาแอบจ้องผ่านผ้าม่านมองไปยังบ้านตรงข้ามทุกเวลาที่เผลอตัว
เขาไม่ได้ยินเสียงเปียโนอีกเลย
ข้อความที่เคยเขียนไว้สองข้อความมีเพียง ‘ขอบคุณที่ช่วยดูแล’ และ ‘เพลงเพราะมาก’ ที่แปะอยู่หน้าตู้เย็นและเปียโนสีอ่อนตามลำดับ เขารู้ว่าเพียงแค่นี้ไม่อาจส่งความรู้สึกของเขาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้จะเขียนอะไรให้มันมากกว่านี้
ถึงแม้จะรู้ว่าคนข้างบ้านไม่ได้เล่นเปียโนบ่อยอะไรขนาดนั้น แต่ในเวลานี้ใจเขากลับต้องการเสียงเพลงที่คุ้นเคยบรรเลงออกมา เสียงเปียโนที่บรรเลงในวันนั้นยังคงดังก้องในหัวเขาชัดเจนราวกับกดฟังในแผ่นเสียงก็ไม่ปาน ทุกตัวโน้ต ทำนองเขาจำมันได้ขึ้นใจ อันที่จริงต้องเรียกว่ามันติดอยู่ในใจตลอดเวลามากกว่า
ซอลไม่ได้คุยกับเพลงอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเช่นกัน บรรยากาศในตอนนี้ดูจะเงียบเหงาเป็นพิเศษ เขาวางดินสอในมือลงก่อนเผลอหันไปมองบ้านตรงข้ามอีกแล้ว
หากแต่ครั้งนี้กลับไม่ว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง เขาเห็นเจ้าของผมสีกาไขกุญแจรั้วบ้านก่อนเปิดมันเข้าไป เพราะเมื่อก่อนไม่เคยที่จะใส่ใจบ้านตรงข้าม ไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักแต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป พอได้ใกล้ชิดกันครั้งหนึ่งกลับทำให้เขาหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง หรือพบเห็น..
เพลงเดินหายเข้าไปในบ้านแล้วแต่หัวใจเขายังสั่นระรัว และสั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าตัวติดสินใจอะไรบางอย่าง ซอลเดินออกจากบ้านตัวเอง สูดลมหายใจเรียกกำลังใจครั้งที่หนึ่งร้อยของวัน กระชับถุงพลาสติกในมือแน่น ขาเรียวก้าวสั่นๆไปยังหน้าบ้าน พร้อมกับตัดสินใจกดกริ่งเรียกคนในบ้าน
เสียงหัวใจที่ดังทะลุออกมาจากอกทำลายความเงียบ ก้อนเนื้อในอกเต้นรัวมากจนเขากลัวว่ามันจะเด้งหลุดออกมานอนกองตรงพื้นเสียจริงๆ ไม่นานนักเจ้าของบ้านก็ออกมา
ซอลสูดลมหายใจเข้าอีกเฮือกใหญ่
ใบหน้าที่ไม่ได้เจอมาราวหนึ่งอาทิตย์เผยออกมาให้เห็น
ดวงตาสองคู่สอดประสาน
เพลงดูแปลกใจที่เห็นเขายืนจังก้าอยู่ตรงหน้า ส่วนแขกตรงหน้าก็อึกๆอักๆไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที ซอลอ้าปากพร้อมๆกับหุบ วนอยู่อย่างนั้นได้สามสี่ครั้งจนตัวเองยังรู้สึกรำคาญ จะอะไรนักหนาก็แค่พูดๆไป เสียงซอลปิดปากสูดลมหายใจเข้าอีกเฮือกหนึ่ง
“เอา...เอาเสื้อมาคืน..”
“อ๋อ...ครับ..”
เขายื่นถุงพลาสติกที่ใส่เสื้อของคนตรงหน้าผ่านประตูรั้วสีอ่อน เจ้าของเรือนผมสีการับมันไว้ ทั้งคู่ยืนนิ่งสร้างความเงียบเสียงดังอีกครั้ง เจ้าของเปียโนสีขาวส่งสีหน้าสงสัยออกมา คิดว่าคนตรงหน้าน่าจะหมดธุระกับเขาแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่จะไม่ได้พูดคุยกันอีกก็ตาม แต่คนตัวเล็กกว่ากลับเอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ไปไหน ทำให้เขาต้องรอดูการกระทำของเจ้าของดวงใจ
เสียงซอลเงยหน้าขึ้นมาพลันรวบรวมความปรารถนาของเขาที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะพูดคำนี้กับคนตรงหน้ามานาน
“เล่นเปียโนให้ฟังหน่อยสิ”
.
คนฟังเงยหน้าขึ้นมาสบตาพร้อมฉีกรอยยิ้มกว้าง….ได้เป็นคำตอบ
ให้เพลงผูกพันสองใจ...นานเท่านาน
[/i]
| | | | | | | | | |
กะให้ตอนนี้เป็นตอนจบ แต่คิดว่าคงมีตอนพิเศษออกมาอีกหน่อยๆ