“ห้องของนายอยู่ที่นี่” นฤบดินทร์ชี้ไปยังประตูห้องที่ปิดเอาไว้ในบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่โตนักหลังตลาดที่เขาเช่าไว้ “อาจจะมีฝุ่นบ้างเพราะชั้นก็ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดห้องนี้เท่าไหร่ ทนอยู่ไปก่อนคืนนึง หรือถ้าทนไม่ไหวจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาลูบสักหน่อยก็ได้นะ น่าจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร”
“เอ่อ.... ขอบคุณมากครับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ว่า...” ท่าทางของขจรเกียรติดูกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
“ผมไม่มีเงินช่วยแชร์นะครับ”
“ชั้นให้นายมาช่วยงานบ้าน ดังนั้นนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินแล้ว นายจะได้รายได้นิดหน่อยจากชั้นด้วย”
“เอ่อ...ผมไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นได้หรอกนะครับ”
“ก็หัดซะสิ คงไม่ยากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำได้หรอก”
ขจรเกียรติมองแววตาของคนข้างหน้า ก่อนจะถามขึ้น “พี่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
“ชั้นบอกนายแล้วว่านายไม่มีสิทธิ์มารู้เหตุผลของชั้น”
“แต่ผมไม่เข้าใจ”
“ชั้นจะนอนแล้ว... ยังไงพรุ่งนี้เจอกัน”
เกษตรอำเภอหันหลังให้กับลูกจ้างของตนอย่างไม่ใยดี ประตูห้องของเขาถูกปิดลงโดยทิ้งผู้มาเยือนให้ยืนสับสนอยู่กับคำถามและเรื่องราวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องของตนเองไป
ภายในห้องของขจรเกียรติ แม้เจ้าของบ้านจะบอกว่าไม่ได้ทำความสะอาดเท่าไหร่ หากแต่ผ้าปูที่นอนก็เรียบตึงและผ้าห่มก็ถูกพับไว้ที่ปลายเตียงอย่างเป็นระเบียบ เขาตบที่นอนเบาๆเพื่อดูฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาก็พบว่ามันไม่ได้สกปรกอย่างที่คิดหรือตามที่เจ้าของบ้านขู่ไว้นัก ภายในห้องมีหน้าต่างอยู่สองบานให้อากาศถ่ายเท ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างออกให้อากาศได้ถ่ายเท ก่อนจะทอดมองออกไปข้างนอก ตลาดยามหัวค่ำเงียบสงบเพื่อรอคอยความพลุกพล่านในตอนเช้ามืดวันใหม่ มันทำให้เขาคิดว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นเหมือนคนที่หลงทางและเหมือนคนที่ไม่มีค่า เขาเชิดหน้าชูตาในสังคมด้วยการเกาะคนมีเงิน และครั้งหนึ่งเขาเคยทำร้ายคนที่ดีกับเขาหลายต่อหลายคนรวมถึงชายร่างเล็กที่เขาเพิ่งถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
และในวันนี้ หมากชีวิตที่เขาวางแผนผิดพลาดเริ่มส่งผลต่อชีวิตเขาในตอนนี้ มันทำให้เขาไม่มีที่ยืนในสังคม ตลาดสดเบื้องหน้าทำให้เขานึกถึงเด็กขนผักในตลาด อย่างน้อยที่สุด คนเหล่านั้นยังมีค่าและมีศักดิ์ศรี ไม่เหมือนกับตัวเขาในตอนนี้ที่ไม่ต่างอะไรจากขยะไร้ค่าที่ใครๆต่างก็พากันผลักทิ้ง
และนี่แหละทำให้เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ ขยะอย่างเขามีค่าอะไรให้คนอย่างนฤบดินทร์เก็บไว้เช่นนี้?
ฟากหนึ่งของประตู นฤบดินทร์ที่อาบน้ำและแต่งกายในชุดนอนลายทางกำลังนั่งเหม่อมองอยู่บนโต๊ะหนังสือพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป เพราะความรักบ้าบออย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะไอ้ความรู้สึกที่ไม่เคยจะลบมันออกไปจากใจทำให้เขาต้องทำอะไรต่อมิอะไรให้กับคนๆนั้น แม้กระทั่งการพาตัวอันตรายอย่างไอ้เด็กคนนั้นมาไว้กับตัวก็ตาม
เสียงเรียกเข้าดังขึ้น เขามองเบอร์ที่โทรเข้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงพี่เมฆ”
“หน่องกำลังทำอะไรของหน่องกันแน่”
“หมายถึงอะไรล่ะครับ”
“พี่ไม่เข้าใจว่าหน่อง....กับไอ้บ้านั่น ทำไม?”
“จำเป็นต้องใส่ใจผมด้วยหรอพี่”
“นี่หน่อง อย่ากวนได้มั้ย พี่เป็นห่วงหน่องนะ ไอ้เด็กนั่นมันไม่น่าไว้ใจ”
“คิดถึงตัวเองเถอะครับพี่เมฆ ผมทำไปก็เพื่อเป็นการรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำ ก็พี่เป็นคนบอกผมเองว่าผมเป็นคนพาหน่องมาแล้วทำให้เรื่องมันแย่ลง ตอนนี้ผมก็พาเค้าออกมาจากที่นั่นแล้วนี่”
“แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาไปเก็บไว้กับตัวนี่”
“ถึงเด็กคนนั้นจะร้ายกาจยังไงแต่เค้าก็เป็นคนนะพี่ พี่จะผลักไสเหมือนเค้าไม่มีจิตใจไม่ได้”
เมฆินทร์ปล่อยลมหายใจผ่านโทรศัพท์ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วหน่องจะทำยังไงต่อไป”
“ช่างมันเถอะครับ พี่ก็ดูแลคนของพี่ให้ดีเถอะ”
“....พี่ขอโทษนะหน่อง พี่กำลังรู้สึกเหมือนพี่กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก มากจริงๆ”
“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ผมเลือกของผมเอง ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
นฤบดินทร์วางสายลง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงและคว่ำหน้าซุกลงกับหมอนใบโตด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริกเหมือนกำลังร้องไห้ หากแต่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ หรือหากตั้งใจฟังดีๆ อาจจะมีคนได้ยิน เพียงแต่ใครบางคนก็คงจะไม่ได้ยินหรือใส่ใจฟัง
.
.
.
กลิ่นควันจางๆลอยเข้ามาในห้องยามสายทำให้นฤบดินทร์ตื่นขึ้นมา เขาขยี้ตาเบาๆก่อนจะเดินตามกลิ่นนั้นไปในครัว และยิ่งใกล้ต้นตอของกลิ่นเข้าไปเท่าไหร่ กลิ่นที่ว่ายิ่งชัดเจนว่ามันคือกลิ่นไหม้!
“ทำอะไรของนายเนี่ย” เจ้าของบ้านถาม เมื่อเห็นแผ่นหลังเก้งก้างของแขกลูกจ้างของตน
“เอ่อ.... พยายามมองให้เป็นไข่เจียวนะครับ” ชายหนุ่มหันมาพร้อมกับจานข้าวที่โปะด้วยไข่เจียวสีน้ำตาล
“ผีตนไหนเข้าสิงให้นายมาทำกับข้าวกินแบบนี้”
“ก็...ในเมื่อผมมาอยู่ในฐานะคนดูแลบ้าน ผมก็อยากทำอะไรให้พี่น่ะ แล้วก็อันที่จริง...ผมหิวน่ะ”
“แล้วทำไมไม่ไปหาอะไรกินข้างนอก”
“ผมมีเงินที่ไหนเล่า“
นฤบดินทร์ส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ “เอาเป็นว่าชั้นขอโทษแล้วกัน ไม่คิดว่านายจะกระจอกขนาดนี้จริงๆ”
“ครับ พี่พูดไม่ผิดหรอก ผมมันกระจอก ไม่มีอะไรเลย แมงดาดีๆนี่เองแหละ”
สีหน้าของขจรเกียรติเจื่อนลง จนคนที่เผลอปากพูดออกไปรู้สึกผิดที่พูดไปโดยไม่คิดถึงใจของอีกฝ่าย
“เอาเถอะ ยังไงซะมันก็คงไม่เลวร้ายนักหรอกมั้ง” นฤบดินทร์คว้าจานข้าวไข่เจียวมาจากมือพ่อครัวฝึกหัด “ไว้ตอนเที่ยงชั้นจะพาไปหาอะไรกินในตลาด แต่อย่าคิดว่าชั้นจะเลี้ยงนะ เพราะชั้นจะเก็บไปหักเงินเดือนนาย”
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ”
รสชาติไข่เจียวของนฤบดินทร์ไม่ถึงกับขี้ริ้วนักแม้หน้าตาจะดูไม่ค่อยน่ากิน เบื้องหน้าของเจ้าของบ้านนั้น พ่อครัวมือใหม่นั่งกินข้าวอย่างเจียมตัวโดยไม่ได้พูดอะไรจนนฤบดินทร์ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง
“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”
“ก็...หลับอยู่ครับ”
“ดีแล้ว....”
บทสนทนาจบลงสั้นๆโดยต่างฝ่ายต่างเงียบไปอีกครั้ง
“แล้ว ผมต้องทำอะไรบ้างที่นี่”
ชายหนุ่มเหลือกตาอย่างครุ่นคิดหาคำตอบ “ก็...ทำความสะอาด ....แล้วก็ นึกเอาว่าจะทำอะไรให้คุ้มค่ากับเงินวันละสองร้อยที่ชั้นจะจ่ายให้”
“สองร้อยหรอครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แต่สุดท้ายก็รักษาอาการไว้ตามเดิม “ทำยังไงได้ล่ะ ผมไม่มีทางเลือกนี่”
“เงินทองเป็นของหายาก ชั้นว่าเมื่อก่อนนายคงจะเคยใช้เงินแต่ละวันเยอะกว่านี้สินะ”
“เอ่อ...ก็จริงแหละครับ”ขจรเกียรติตอบอ้อมแอ้ม
ต่างคนต่างเงียบกันไปชั่วอึดใจ ก่อนที่นฤบดินทร์จะเป็นฝ่ายออกคำสั่งในฐานะนายจ้าง
“กินอิ่มแล้วก็ไปหาอะไรทำซะ ห้องของนายทำความสะอาดให้ดีๆ แล้วก็ฝากกวาดถูข้างนอกให้ด้วย”
“เอ่อ.... ครับ”
.
.
.
ตะวันตรงหัวพอดี เกษตรอำเภอนั่งอยู่บนโซฟาหนังเทียมพลางเปิดทีวีโดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับเนื้อหาละครบนจอแก้วนั้นนัก สายตาของเขาแอบเหลือบมองชยหนุ่มที่กำลังทำงานบ้านด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆอย่างรู้สึกขัดตาอยู่เล็กน้อย หากแต่เขาก็เก็บอาการไว้ไม่ใส่ใจในความไม่ประสาของชายผู้นั้นนัก
ไม้ถูพื้นถูกบิดเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับคนที่เพิ่งใช้งานมันค่อยปาดเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้าผากของตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะเดินมายังห้องโถงเล็กๆกลางบ้านเพื่อถามความต้องการของเจ้านายจำเป็นของตน
“ให้ผมทำอะไรเพิ่มมั้ยครับพี่หน่อง”
“พักก่อนก็ได้” นฤบดินทร์เหลือบไปมองนาฬิกาติดผนัง “นี่ก็บ่ายแล้ว พักสักแป๊บเดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน”
เสียงออดหน้าประตูดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่หันไปทางต้นเสียง อีกฝั่งของรั้วมีชายสองคนที่คุ้นตากันดียืนยิ้มอยู่ที่นอกรั้ว นฤบดินทร์เอ่ยด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ก่อนจะออกคำสั่งคนใช้จำเป็นอีกครั้ง
“ออกไปเปิดประตูให้โนกบพี่เมฆเข้ามาที”
“ค...ครับ” ขจรเกียรติรับคำก่อนจะทำตามอย่างว่าง่าย
“เป็นไงบ้าง มาอยู่กับหน่อง” อโณชาถามขึ้น เมื่ออดีตคนรักมาเปิดประตูให้
“ก็ดีครับพี่โน”
เมฆินทร์หลิ่วตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆออกไป ฝ่ายขจรเกียรติสบตาคนตัวโตอีกคนแวบหนึ่งก่อนจะเสตาหนีไปทางอื่น
“พี่แวะมาเยี่ยมน่ะ ซื้อส้มตำมาฝากด้วย ยังไม่ได้กินข้าวกันใช่มั้ย”
“เอ่อ ครับยังไม่กินครับพี่”
“นายดู....สงบเสงี่ยมผิดปกตินะ เกิดอะไรขึ้นกับนายหรือเปล่าเนี่ย” เมฆินทร์ถามเรียบๆ
“ไม่มีครับ ผมควรจะต้องแสดงท่าทางยังไงถึงจะเป็นปกติหรอครับ”
เมฆินทร์นึกในใจแทนเสียงพูดที่อยากจะกล่าวออกไป “เพราะมันปกติไงมันถึงผิดปกติ” หากแต่เขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ก็ไม่อะไรหรอก เข้าบ้านกันเลยดีกว่า ผมหิวแล้วล่ะ”
ขจรเกียรติเดินนำหน้าแขกก่อนจะเปิดประตูเข้าไป หน่องยืนขึ้นพลางยิ้มต้อนรับ “ลมอะไรหอบมาถึงนี่เนี่ย ทั้งสองคนเลย”
“ลมคิดถึงมั้งครับหน่อง ผมเป็นห่วงทั้งสองคนน่ะ ก็เลยมาเยี่ยม”
“เป็นห่วง? กลัวผมจะทำอะไรเจ้าจอนหรือกลัวเจ้าจอนมันจะทำอะไรผมหรอหน่อง พูดแบบนั้นน่ะ” เจ้าของบ้านยิ้มมุมปาก
“ก็กลัวทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ พูดตามตรงผมยังงงๆอยู่เลยว่าสองคนนี้ไปยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ด้วยกัน เมื่อวานผมก็ไม่ทันได้ตั้งตัวสักเท่าไหร่ ยังไงๆจอนมันก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งแหละครับ”
“โนจะเอากลับไปอยู่ด้วยมั้ยล่ะครับ ผมไม่มีปัญหานะ ”
“ก็เจ้าตัวเขายืนยันนี่ครับ ว่าจะอยู่ที่นี่ ผมจะไปคิดอะไรแทนเขาได้“
นฤบดินทร์ปรายตามาทางขจรเกียรติที่ยืนเงียบๆไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยปากออกมาสั้นๆ
“ผมอยู่ที่นี่ดีแล้วครับพี่ ได้ทำงานด้วย อีกไม่นานก็เปิดเทอมแล้ว”
“เออจริงสิ ลืมไปเลย แล้วเปิดเทอมเมื่อไหร่จะเปิดเทอมเนี่ย” อโณชาถามอย่างใส่ใจใคร่รู้
“อีกเดือนกว่าน่ะครับ”
“อืม... ก็คิดซะว่ามาเปลี่ยนประสบการณ์ที่บ้านนอกแล้วกันนะ ที่นี่ก็ไม่เลวร้ายนักหรอกเชื่อพี่สิ”
“กินข้าวกันเลยมั้ย พี่ชักหิวแล้วสิ” เมฆินทร์เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อ ก่อนที่นฤบดินทร์จะออกคำสั่ง
“จอน เอาส้มตำไปใส่จานไป”
“อ่า ครับ”
“เดี๋ยวพี่ไปช่วย” อโณชายิ้ม พลางลุกขึ้นตามไป
“เอ่อ โน ไม่ต้องก็ได้...” เมฆินทร์ร้องทัก
“ห่างกันสักหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า” นฤบดินทร์เอ่ยเรียบๆ พร้อมกับที่อโณชาก็พยักหน้ารับ และเดินจากไป
“ผมช่วยขนาดนี้แล้ว ถ้ามันจะแป๊กอีกพี่ก็ควรไปบวชได้แล้วล่ะ” เกษตรอเภอพูดขึ้น เมื่อทั้งอโณชาและขจรเกียริตเดินเข้าไปในครัว
“หน่อง ... พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี หน่องไม่ควรจะทำให้พี่ขนาดนี้เลย...จริงๆนะ”
“เพราะคำน้ำเน่าคำเดียวน่ะพี่ ผมถึงทำแบบนี้ พี่ก็แค่หลับหูหลับตารับประโยชน์ไปเถอะ”
“แต่มันไม่แฟร์กับหน่อง วันนี้ไอ้บ้านั่นมันอาจจะเชื่องกับหน่อง แต่วันไหนมันจะเป็นไอ้บ้าเหมือนเมื่อก่อนหน่องไม่มีทางรู้เลยนะ”
“ช่างมันเถอะครับ ผมยังยืนยันว่าพี่ก็แค่หลับหูหลับตา....”
“พี่รัก....และเป็นห่วงหน่องนะ” ชายหนุ่มเว้นช่วง ก่อนจะต่อคำท้ายหนักแน่น
“ขอบคุณมากครับพี่เมฆ ผมขอแค่คำหลังก็พอ”
“ไอ้นั่นมันจะอยู่กับหน่องอีกนานแค่ไหน”
“ก็เมื่อเขาพร้อม”
“หน่องต้องเป็นคนตัดสินสิ ไม่ใช่มัน”
“ให้เขาเลือกเถอะครับ มีบางเรื่องที่พี่ไม่รู้ และผมก็คิดว่ามันควรเป็นความลับต่อไป .... ถึงผมจะเล่นบทร้ายแต่ในมโนสำนึกผมก็มีความเห็นใจให้เด็กคนนั้นอยู่บ้าง และพี่ก็ไม่ควรจะไปรู้เหตุผลข้อนี้ด้วย”
“แล้วหน่องได้อะไรชึ้นมา กับการทำทุกสิ่งทุกอย่างลงไป”
“ไม่มีเลย .... ถ้าจะมีก็คงเป็น...การได้ทำในสิ่งที่เอ่อ... ช่างมันเถอะ”
อโณชาและนฤบดินทร์เดินกลับมาพร้อมกับจานอาหาร เกษตรอำเภอเหลือบไปมองก่อนจบบทสนทนาลง
“กินข้าวกันดีกว่าครับพี่เมฆ เมื่อกี๊พี่เป็นคนบ่นว่าหิวไม่ใช่หรอ” เขายิ้ม ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร
.
.
.
หัวค่ำของวัน หลังจากขจรเกียรติอาบน้ำเสร็จ วันนี้เขาอาบน้ำเร็วกว่าปกติเนื่องจากทำงานมาทั้งวันจนรู้สึกอ่อนเพลียกว่าทุกที เขาเดินมายังโถงกลางบ้าน เบื้องหน้านั่น นฤบดินทร์ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีอย่างไม่ได้แยแสว่ามีเขาอยู่ในบ้าน
“มีอะไรจะให้ผมทำอีกหรือเปล่าครับ พี่หน่อง”
“วันนี้พอแล้วล่ะ เก็บแรงไว้เถอะ พรุ่งนี้จะต้องไปช่วยโนเค้าเกี่ยวข้าวกันนี่”
“ขอบคุณนะครับ ที่อนุญาตให้ผมไปช่วยพี่โน”
“อืม.... ไม่เป็นไร ยังไงซะคนมันเคยผูกพันกันนี่นา”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“จะขอบคุณอะไรนัก”
“ผมขอบคุณที่พี่ช่วยผม แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าพี่ทำไปเพื่ออะไรกันแน่ก็เถอะ”
“ไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก เพียงแต่นายอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่านายกำลังเสียอะไรไป”
“เอาเป็นว่า ผมยินดีจะเสียมันแล้วกัน แลกกับกาที่ผมได้อยู่รอดที่นี่”
นฤบดินทร์คว้ากระเป๋าเงินก่อนจะควักธนบัตรสีแดงสองใบให้กับอีกฝ่าย
“ชั้นให้เป็นรายวันแล้วกัน นายจะได้มีเงินไว้ทำซื้อหาอะไรบ้าง”
“ขอบคุณครับพี่หน่อง” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่พื้นยกมือไหว้ พลางรับเงินนั้นไว้ ชายหนุ่มสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะพูดติดตลกขึ้น
“นายดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่า”
“ทำไมหรอครับ”
“ขึ้นมานั่งด้วยกันข้างบนก็ได้ ชั้นไม่ได้มองนายเป็นบ่าวต่ำต้อยขนาดนั้นหรอก ถึงนายจะต้องมาทำงานแลกเงินที่บ้านของชั้น แต่เอาเป็นว่า .... นายมาอยู่เป็นเพื่อนชั้นก็แล้วกัน นายจะได้ไม่ต้องเกร็ง ตกลงมั้ย?”
“เอ่อ จะดีหรอครับ”
“อื้ม แต่ถ้าอยากนั่งข้างล่างก็ตามใจ” เจ้าของบ้านเบนสายตากลับไปยังทีวี ก่อนที่ที่ว่างบนโซฟาจะยวบลง
“ผมจะเจอนายจ้างดีๆแบบพี่หน่องมั้ยเนี่ย ถ้าผมเรียบจบมีงานทำเนี่ย”
“ไม่รู้สิ น่าจะไม่มั้ง”
เสียงต่อล้อลต่อเถียงเงียบลงจนเหลือเพียงเสียงทีวีที่ดังขึ้น ทั้งสองคนต่างคนต่างนั่งกันเงียบๆ จนละครหลังข่าวจบ นฤบดินทร์หันมามองคนข้างๆ ก่อนจะพบว่า บ่าวจำเป็นของเขาหลับคอพับไปตั้งแต่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขายื่นมือไปเพื่อจะแตะให้ชายคนนั้นได้สติ หากแต่เขาก็ชะงักมือไว้ และเปลี่ยนใจเดินเข้าห้องนอนไปถ้าจะหายไปนานขนาดนี้
ไม่รู้จะมีใครรออ่านอยู่รึป่าว หายไปนานมาก
งานเยอะ + เขียนนิยายสองเรื่อง + วุ่นวายกับน้องไอ(โฟน) ที่เพิ่งถอยมา
ไอโฟนนี่มันช่างเป็นมือถือที่ต้องการการเอาใจเสียจริงๆ - -
แต่ก็เหมือนโทรศัพท์ต้องสาปนะครับ ที่พอซื้อมาแล้วต้องขลุกอยู่กะมันทั้งวี่ทั้งวัน
เอาเป็นว่าขอโทษที่หายไปนานๆนะครับ
แอบแย้มนิดว่า อีกไม่กี่ตอน น่าจะถึงตอนจบแล้วล่ะครับ
(ไม่กล้าบอกว่าเท่าไหร่ตอน แต่นี่ก้โค้งสุดท้ายแล้ว)
สรุป เรื่องนี้มันเอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว
ปล. ผมเพิ่งเปลี่ยนชื่อลีอกอินนะครับ อย่าเพิ่งตกใจนะ ว่าชื่อใครไหงมันเช้ยเชย