13.
กาลเวลาผันแปรอีกไม่กี่วันก็ถึงเวลาที่พี่เว่ยจะต้องจากลา เหลือเพียงสามวันก่อนที่พี่เว่ยจะออกเดินทาง ช่วงเวลาตลอดที่อยู่ในเมืองหยางพี่เว่ยคอยดูแลและพาผมออกไปเที่ยวเสมอ จนตอนนี้ตำราอาหารของผมเขียนได้ถึงสี่เล่มแล้ว ทั้งของคาวและของหวาน ทั้งพี่เว่ยและพี่ใหญ่ต่างก็บ่นอุบเกี่ยวกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจนต้องฝึกร่างกายที่ค่ายทุกเย็น เพราะโดนพิษของหวานและอาหารที่ผมทำให้ทานทุกวันถึงหลังๆ จะควบคุมอาหารมื้อเย็นจะทำเป็นปลาเสียส่วนใหญ่ หากแต่บุรุษทั้งสองก็ยังทานข้าววันละสามชามเหมือนเดิม อ้อ มีอีกเรื่องพี่เว่ยหลังจากครั้งที่ไปเที่ยวกันครั้งแรกหลังๆ จากนั้นก็จะแวะเวียนมาทานมื้อเย็นที่จวนประจำ
“ซื่อจูเจ้าช่วยให้คนไปซื้อของตามนี้ให้ข้าที” ผมส่งโพยสั่งของให้กับซื่อจูซึ่งรีบออกไปทันที แม้อยากจะไปซื้อเองเพียงใดแต่งานที่ล้นมือก็ทำให้ผมปลีกตัวออกไปไม่ได้ ตอนนี้ท่านพ่อและพี่หใญ่ไม่ได้ว่าแล้วครับหากผมจะออกไปข้างนอกเพียงแต่ต้องมีผู้ติดตามออกไปด้วย ยังไม่รวมองครักษ์เงาที่พี่เว่ยส่งมาคุ้มครองโดยที่ผมไม่ทราบจำนวนด้วยซ้ำว่ามีกี่คน แม้กระทั่งตอนที่ผมอยู่ในเรือนก็ยังมีคนคอยดู อันนี้พี่ใหญ่แอบกระซิบบอกมาครับ
มือเรียวเย็บถุงชาอย่างชำนาญแล้วเรียงใส่กล่องอย่างดี ที่สั่งให้คนทำให้ตอนนี้ผมทำได้สี่กล่อง ข้างๆ กล่องนั้นเป็นถุงเครื่องเทศที่ผมทำไว้ให้ ส่วนของที่สั่งให้ซื่อจูไปซื้อนั้นเป็นผ้าที่จะนำมาตัดเป็นเสื้อนอกเพราะไม่รู้ว่าจะเดินทางไปเมืองไหนบ้างหากแต่กล่าวถึงโฝหลางจี ก็คงจะมีฤดูหนาวอีกทั้งเดินทางสองปีผมก็อยากให้ของแทนตัวไปด้วย
หากแต่หวังให้คำมั่นที่ร่างสูงให้ไว้จะถูกรักษาอย่างดี มือเล็กหมุนกำไลอย่างเหม่อลอย สองปีผมก็ต้องเปลี่ยนแปลงและต้องก้าวหน้าจะเป็นเพียงคุณชายน้อยต่อไปคงไม่ได้ ความคิดนี้ผมยังไม่ได้ปรึกษากับท่านพ่อและพี่ใหญ่ ช่วงนี้พี่รองส่งจดหมายมาบ่อยมากเลยครับแม้ส่วนมากจะเป็นการบ่นเล็กๆ น้อยๆ กับบุตรมังกรก็ตาม
“ได้ของมาแล้วขอรับนายน้อย” ผ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามของที่ผมสั่งก็ถูกขนมาทั้งซื่อจูและบ่าวที่มีฝีมือตัดเย็บถูกเรียกให้มาช่วยผมตัดเย็บชุดคลุมด้านนอกที่บุด้วยผ้าขนสัตว์สำหรับกันความหนาว
“เร่งมือหน่อยนะ” ผมพูดพร้อมกับลงมือเย็บผ้าอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาสองวันทุกอย่างก็ถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว
.
.
“พี่เว่ยท่านมาแล้ว”
“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย” ยังไม่ทันที่จะทักทายพี่เว่ยก็เอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่ใต้ตา คงเพราะผมโหมเตรียมของมากไปเลยทำให้ใต้ตาคล้ำ ความสัมพันธ์ระหว่างผมและพี่เว่ยนั้นค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ หากแต่มั่นคง
“มิมีอะไรมากขอรับ ข้าเพียงแต่เตรียมของให้ท่าน”
“เจ้ามิควรหักโหมนัก”
“มิเป็นไรขอรับ ซื่อจูนำของมา” ผมหันไปบอกซื่อจู ในขณะที่ถูกประคองไปนั่ง ทำอย่างกับเขาเป็นคนป่วยแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไรเพราะรู้ดีว่าอีกคนเป็นห่วง
“เจ้าหักโหมเกินไปแล้ว ดูใบหน้าเจ้าสิ” ผมยิ้มให้กับอาการบ่นของร่างสูง จะมีใครรู้ว่าพี่เว่ยเป็นคนขี้บ่นแบบนี้ได้เท่าเขาอีกแล้ว ขนาดพี่ใหญ่ยังไม่เคยรู้เลยว่าสหายสนิทจะขี้บ่นได้แบบนี้
“ไม่ได้หนักหนาอะไรเลยขอรับ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงแต่เพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้ข้าเหนื่อยหรอกขอรับ” ตบเบาๆ ลงมือหนาที่กุมมือเขาไว้
“เจ้าก็พูดเช่นนี้ตลอด” และพี่เว่ยก็พูดเช่นนี้เพราะรู้ดีครับเกี่ยวกับการดื้อรั้นของผมในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“และท่านก็รู้จักข้าดี” ผมเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มกว้างอย่างที่รู้ดีว่าร่างสูงนั้นจะต้องยอม ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง ไม่ช้าซื่อจูก็นำบ่าวหลายนำของที่ผมจัดไว้ หากแต่สิ่งสำคัญอยู่ในห่อผ้าแพรที่ผมรับจากมือซื่อจู
“พี่เว่ยนี่คือสิ่งที่ข้าเร่งทำเพื่อให้ท่าน โปรดลองใส่ให้ข้าดูได้รึไม่ขอรับ” ทันทีที่บอกร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนผมค่อยแกะห่อผ้าหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่ตัดเย็บไว้แล้วค่อยๆ สวมให้กับร่างสูงเมื่อจัดเรียบร้อยผมก็ขยับออกมาดู อ่า ต้องบอกว่าต่อให้เป็นชุดธรรมดาๆ แต่ไม้แขวนดีก็กลายเป็นของชั้นดีได้ และไม้แขวนที่เป็นถึงชินอ๋องนั่นทำให้เสื้อคลุมของเขาดูมีราคาขึ้นมาเลยทีเดียว
“มันอบอุ่นเลยทีเดียว”
“ข้ารู้มาว่าที่ท่านจะเดินทางไปนั้นเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว นี่คงจะช่วยท่านได้”
“มันอุ่นและพี่ชอบมาก” เพียงเท่านี้ผมก็ยกยิ้มกว้าง แค่นี้ก็ไม่เสียแรงเปล่าแล้ว พี่เว่ยสั่งให้คนขนกลับจวนของตน ผมพับเสื้อพร้อมกับผ้าคลุมผืนหนาแล้วห่ออย่างพิถีพิถัน
“พรุ่งนี้เดินทางยามไหนหรือขอรับ”
“แต่เช้าตรู่”
“ข้าจะไปส่ง..”
“มิเป็นไร พี่ไม่อยากให้เจ้าไปหลิงเอ๋อร์ เจ้าจะทำให้การตัดสินใจที่จะไปของพี่สั่นคลอน” อ่า ตอนนี้ใครเอาเนื้อมาย่างบนหน้าผมได้เลยครับ ร้อนกว่าเตาไปอีก เมื่อพี่เว่ยกระซิบถ้อยคำหวานข้างหู ไม่ต้องมีกระจกก็ทำให้ผมรู้เลยว่าตอนนี้ผิวขาวนั้นแดงก่ำ
“พะ...พี่เว่ย” เสียงของผมสั่นพร่าเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดังรูปสลักนั้นขยับเข้ามาชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาดุจแมลงปอแตะบนผิวน้ำที่ริมฝีปาก
บึ้ม!!
ตอนนี้ผมได้ระเบิดสติตัวเองทิ้งไปแล้วครับ
อ่า
ผมถูกจูบ ฉ่า.... รู้สึกร้อนไปทั้งตัวเลยครับ และผมก็ต้องระเบิดตัวเองอีกรอบ เมื่อมุมปากหยักระบายยิ้มกว้าง ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งดูละลายใจยิ่งกว่า ให้ตายเถอะ ใครก็ได้ช่วยโยนเชือกให้ผมปีนขึ้นจากหลุมที่พี่เว่ยขุดที
“งือ..เลิกจ้องข้าสักที” ผมยกมือขึ้นปิดหน้าเมื่อสายตาคมจ้องมองโดยไม่หลบสายตาและผมก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่สายตานั่น ยอมแล้วต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็ต้องยอม
“เจ้าเลิกปิดหน้าเถิด”
“ก็ท่าน เพราะท่านนั่นแหละ” ไม่รู้แล้วครับตอนนี้ แม้อยากจะลุกไปแค่ไหนก็ตามแต่แข้งขาอ่อนไปหมดแล้ว คอยดูนะผมจะต้องอัพเลเวลเพื่อต้านทานการหว่านเสน่ห์ของร่างสูงให้ได้
“หึ จงรักษาตัวให้ดีองครักษ์เงาทั้งหมดของพี่จะคอยดูแลเจ้า นี่คือป้ายคำสั่ง” ผมรับป้ายคำสั่งที่ทำมาจากหยกใส่ถุงผ้าอย่างทะนุถนอมเพราะเป็นสิ่งล้ำค่า
“ข้าไม่ขออะไรจากพี่เว่ยนอกจากการดูแลตนเอง และกลับมาหาข้า” ผมไม่ต้องการข้าวของหรือสิ่งมีค่า ขอแค่อีกฝ่ายรักษาตัวแล้วกลับมาหาผมในอีกสองปีข้างหน้า
“พี่สัญญา” ทั้งสองฝ่ายต่างมอบรอยยิ้มให้แก่กันฝ่ามือกอบกุมไว้แน่น และเมื่ออีกฝ่ายจะเดินทางวันพรุ่ง มื้อเย็นที่จวนก็ถือว่าเป็นมื้อล่ำลา ดังนั้นผมเลยขอเป็นฝ่ายเข้าครัวเพื่อทำอาหารมื้อพิเศษ ให้แก่ทุกคนได้ทาน เริ่มจากอาหารทะเลที่ส่งมาที่จวนทันทีเมื่อจับได้เพราะผมนั้นส่งกับพ่อค้าไว้แล้วเลยกะจะทำกุ้งมะนาว ทะเลอบวุ้นเส้น ปลาหมึกผัดไข่เค็มที่ผมทำไข่เค็มไว้ และทำโรลกุ้งผักสด ส่วนของหวานเป็นมันเชื่อมทานคู่กับหัวกะทิอบควันเทียน ดังนั้นเมื่อพี่เว่ยยอมปล่อยผมก็พุ่งมาที่ห้องครัวทันที
ผมให้บ่าวในครัวปอกมันสำปะหลังแล้วล้างให้ดีๆ และให้ต้มด้วยไฟอ่อนๆ พวกกุ้งและปลาหมึกผมให้บ่าวทำไว้ให้ตั้งแต่ของมาแล้วครับ เมื่อคำนวณเวลาแล้วอีกไม่นานท่านพ่อและพี่ใหญ่คงกลับจวนผมเลยเร่งมือ ให้ท่านป้าเรียงกุ้งใส่จานส่านผมก็โขลกพลิกกระเทียมและปรุงรสเปรี้ยวเค็มหวานใส่ชามไว้
“เจ้าหั่นปลาหมึกให้ข้าที”
“เจ้าค่ะ” ผมนำไข่เค็มที่ต้มไว้มาแกะเอาเฉพาะไข่แดงสี่ลูกและไข่เค็มอีกหนึ่งลูก นำไข่แดงมาผสมน้ำอุ่นแล้วยีให้ละลายพร้อมกับใส่น้ำมันพริกเผาอีกหนึ่งช้อนคนให้เท่ากัน หั่นต้นหอม กระเทียม พอดีกับบ่าวนำปลาหมึกมาให้พอดี
“นี่เจ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก” ผมตั้งกระทะแล้วเจียวกระเทียมแล้วใส่ปลาหมึกลงไปผัดพอสะดุ้งแล้วใส่ไข่แดงที่ยีไว้ลงไปปรุงรสเล็กน้อยผัดจนสุขแล้วใส่ไข่เค็มที่ผ่าไว้ลงไปโรยด้วยต้นหอมและพริกที่หั่นไว้แล้วตักใส่จาน เสร็จไปอีกอย่างแล้ว
“มันต้มสุขแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าใส่น้ำตาลลงไปนะ ...อืมเท่านั้นล่ะ รอละลายก็พอแล้วยกลงได้เลย ซื่อจูไปสอนเพื่อนเจ้าขูดเยียจึที” หันไปสั่งซื่อจูพร้อมกับมือระวิงกับการทำน้ำปรุงรสสำหรับเมนูที่สอง ใส่ซอสหอย ซีอิ๊วดำ ซอสปรุงรส น้ำตาลทรายและน้ำซุปคนให้เข้ากัน แล้วเอากุ้งลงไปแช่ ไม่นานก็ตักขึ้นมา ใส่วุ้นเส้นไปคลุกกับเครื่อง ผมนำหม้อดินเผาผัดหมูและขิงแก่กระเทียมในหม้อจนน้ำมันออกมาแล้วใส่วุ่นเส้นลงไป ตามด้วยกุ้งและคึ่นช่ายปิดฝาตั้งเตาแยกต่างหากด้วยไฟอ่อนๆ โดยให้ลูกมืออีกคนช่วยดู ส่วนโรลนั้นผมก็นำแผ่นแป้งมาเรียงกุ้งใส่กับผัดต่างๆ แล้วม้วน จากนั้นก็ส่งให้ท่านป้าเป็นผู้รับไม้ต่อทำต่อจนเสร็จ
“กุ้งเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“ยกลงมาเลย” ยกลงมาเสร็จผมก็เทน้ำจิ้มลงไปราด เสร็จไปอีกอย่าง เลยนั่งพักแล้วมองซื่อจูสอนให้บ่าวอีกคนคั้นน้ำกะทิจนได้ปริมาณที่ผมต้องการแล้ว ผมก็เอามาใส่หม้อต้มพอเดือดก็ใส่เกลือลงไปสิดหนึ่งแล้วยกลงพออุ่นผมก็จุดเทียนแล้วเป่าให้เหลือแต่ควันวางลงในหม้อแล้วปิดฝ่ารอไม่นานก็เอาออกแล้วให้ทุกคนจัดอาหารมื้อนี้ขึ้นโต๊ะ ส่วนผมก็ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วตรงไปยังห้องโถงเพราะท่านพ่อและพี่ใหญ่กลับมาแล้ว เมื่อกลับเข้าไปผมก็เห็นทั้งสามคนกำลังคุยกันอยู่
“ทุกคนขอรับ มื้อเย็นพร้อมแล้วขอรับ”
“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ” เป็นท่านพ่อที่พูดขึ้นแล้วเดินนำไปยังโต๊ะทานข้าว มื้อเย็นก็ยังคงได้รับคำชมไม่ขาดปากเช่นเคย เมื่อทานเสร็จแล้วทั้งท่านพ่อและพี่ใหญ่ก็ปล่อยให้ผมเดินไปส่งพี่เว่ย
“พี่ต้องไปแล้ว” ผมมองมือที่กุมไว้อย่างใจหายเพราะรู้สึกอาลัยกับความอบอุ่นนี้
“ข้าจะรอท่าน”
“ดียิ่ง รอพี่นะ” ผมยิ้มกับน้ำเสียงอ่อนโยนนั้น แต่ก่อนที่ร่างสูงจะหันเดินไปขึ้นรถม้าผมก็ฉวยข้อมือใหญ่ก่อนที่จะเขย่งตัวขึ้นจรดปลายจมูกที่แก้มหนาแล้วผละออกหมุนตัววิ่งหนีกลับเข้าจวนทันที เรื่องอะไรจะอยู่เล่าแค่นี้ผมก็อายพอแล้ว อ่าทำอะไรลงไปนะ กล้าทำลงไปได้ยังไง อ่า ผมรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะค่อยเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างช้าๆ
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่”
“ว่าอย่างไรหลิงเอ๋อร์” ผมอ้ำๆ อึ้งก่อนที่จะพูดสิ่งที่ต้องการออกไป
“ข้าอยากไปเรียนที่สำนักขอรับ และอยากฝึกวิทยายุทธ์ อ้อแล้วข้าอยากเปิดร้านน้ำชาด้วยขอรับ” เพียงพูดออกไปภายในห้องโถงก็เงียบกริบ
หลิงพูดอะไรผิดไปเหรอ
***********************************
กลายเป็นนิยายอาหารโดยสมบูรณ์ฮ่าๆๆ
ในที่สุดก็มีโมเม้นต์หวานๆกันเสียที
ตอนนี้เราเปิดฟิคอีกเรื่องแต่ลงเด็กดีไว้ เดี๋ยวจะเอามาลงนะคะเมื่อได้หลายตอน
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ
รัก
ขอตัวไปหาอะไรกินแปบ หิว