Kiss Love ♥ [04] มื้อแรก
[เอก...☼] ผมมองตามแผ่นหลังที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ของมัน…
ไอ้เด็กนี่มันเอ๋อรึเปล่า?
“ติดใจหรือวะเอก”
ไอ้มอมันพูดกวน ๆ ผมหันไปมองหน้ามัน
“หยุดคิดไปเลย”
“อ้าว กูจะไปรู้ไหมล่ะ ก็ตอนเล่นเกมเมื่อวาน มึงเล่นจูบน้องเขาซะจนเข่าอ่อน แล้วเมื่อคืน กูก็เห็นมึงจูงน้องเขาเข้ามาด้วย”
“กูไม่ได้จูง มันเกาะเสื้อกูมาเอง” ผมแก้ ไอ้นี่ มาพูดจาชักใบให้เรือเสีย
“แต่กูถือว่ามึงจูง เพราะถ้ามึงไม่ชอบจริง ๆ มึงคงสลัดทิ้งไปแล้ว ไม่ปล่อยให้มันจับมาจนถึงที่พักขนาดนั้นหรอก”
“มึงเห็นหน้ากูไหม”
ผมชี้หน้าตัวเองให้เพื่อนดู มันพยักหน้า
“กูหล่อ กูรวย กูเลยนิสัยดีพามันไปส่ง”
ไอ้พวกที่อยู่ในน้ำพากันโก่งคออ้วกเป็นทิวแถว
“ถุ้ย!! แม่งหลงตัวเอง พูดดีไปเหอะมึง อย่าไปติดใจน้องเขาละกัน”
“ไม่มีทาง”
ผมตอกกลับ เลิกสนใจมัน หันมายกผ้าเช็ดตัวเช็ดหัวตัวเองแทน มองไปยังไอ้สองพี่น้อง ไอ้เป้มันพยายามห่อตัวน้องมันด้วยผ้าเช็ดตัวสองผืน ผมขมวดคิ้วมอง อากาศก็ใช่จะหนาวมากมาย มันจะห่อทำไมขนาดนั้น
ไอ้เต้ยมันดึงผ้าเช็ดตัวออก ผมถึงได้เห็นว่าเสื้อมันบางแล้วก็แนบเนื้อขนาดไหน ไอ้เป้รีบดึงผ้ามาห่อไว้เหมือนเดิม มันทำหน้าดุ ๆ ปราม ไอ้เต้ยหน้าบูด จำยอมห่อตัวเองไว้เหมือนเด็กอย่างช่วยไม่ได้
มึงนี่อาการหนักนะเป้
ผมหยิบเสื้อกับกางเกงมาใส่เตรียมพร้อมสำหรับเริ่มงานวันแรก พวกเรามีเวลากันแค่สามวัน ต้องเร่งมือกันหน่อย
“กูไปก่อนล่ะ”
ผมบอกพวกมันแล้วเดินกลับไปก่อน เป็นหัวหน้าต้องดูแลหลายอย่าง จะทำเล่นๆ เหมือนพวกมันไม่ได้
ที่สำคัญ หิวแล้วด้วย
ผมเดินไปยังโซนอาหารที่พวกชาวบ้านเขาทำไว้ให้ จานชามที่นี่จะทำจากใบตองทั้งหมด ป่าเขาแบบนี้ จะให้ไปหาถ้วยชามจำนวนเยอะ ๆ มารองรับพวกเราคงยาก ขนมาทั้งหมู่บ้านก็ยังไม่พอ หัวหน้าหมู่บ้าน เลยต้อนพวกผู้หญิงมานั่งพับใบตองทำเป็นชามให้พวกเราแทน
ผมหยิบขึ้นมาส่องดู มันแข็งแรงใช้ได้ ทำง่าย ๆ ครับ แค่ฉีกเอาใบตองมาซ้อนกันสองชั้น หักมุมแต่ละด้านสี่ด้าน แล้วกลัดด้วยไม้แหลม ๆ ที่ทำจากไม้ไผ่คล้ายเข็มอีกที (เคยอ่านเจอในหนังสือน่ะ)
ผมตักข้าวใส่ งานนี้คงต้องวนสักสี่ห้ารอบถึงจะอิ่ม พอตักข้าวจนพูนก็หันไปตักแกง กับข้าวส่วนใหญ่ทำจากผักที่ชาวบ้านแถวนี้ปลูกกัน ส่วนเนื้อสัตว์ที่เห็นก็มีแค่เนื้อปลากับเนื้อไก่เท่านั้น
ผมกำลังจะเอื้อมไปหยิบทัพพีแกงส้ม เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครอีกคนยื่นมาจับด้วย สองมือชะงัก ผมหันไปมอง พอ ๆ กับที่มันหันมามองเหมือนกัน
“พี่เอก”
มันเรียกผมเสียงเบา ผมละมือออกปล่อยให้มันตักก่อน มันทำหน้าอึกอัก แต่ก็ยอมหยิบทัพพีตักแกงส้มใส่ถ้วยมันเอง
“พี่ชอบเนื้อหรือผักมากกว่ากัน”
มันถาม ผมมองหน้ามันงง ๆ
“เนื้อ”
พอผมพูดจบ มันก็ควานหาเนื้อปลาในหม้อแล้วตักขึ้นมาค้างไว้ปากหม้อ ผมมองงงๆ มันพยักหน้ามาทางถ้วยข้าวผมนิดหนึ่ง ผมเลยยื่นถ้วยไปใกล้ แล้วมันก็ราดลงบนถ้วยข้าวผม
“ขอบใจ”
ผมบอกมันแค่นั้น
มันวางทัพพีลง แล้วหันไปตักแกงอย่างอื่น โดยไม่สนใจผมอีกเลย ผมก็ไม่คิดจะสานอะไรต่อ
ตอนแรกว่าจะยืนกิน แต่เด็กมันเยอะ ผมเลยเดินไปหาที่นั่ง เจอว่างอยู่ที่หนึ่ง ใต้ร่มไม้ เลยเดินไปทิ้งตัวลงนั่ง แล้วก็ตักข้าวกิน
ไอ้คนที่ตักแกงส้มให้ผม มันยืนหันรีหันขวาง คงหาที่นั่งเหมือนกัน จริง ๆ จะนั่งกินตรงไหนก็ได้ ถ้าด้านพออ่ะนะ แต่เวลาเกือบเก้าโมง แดดอย่างเปรี้ยง เพราะงั้นหาที่ร่มกินจะเวิร์คกว่า
มันหันมาทางผม ทำท่าชั่งใจ ก่อนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วต่างคนก็ต่างกินข้าวกันไปเงียบ ๆ
“พี่กินแค่นั้นอิ่มเหรอ”
มันถาม ผมหันไปมอง
“ไม่หรอก คงอีกสักสี่ห้าถ้วย”
มันชะงักช้อนจ้องผมตาค้าง
“คนรึควายกิน”
ดูปากมันครับ ผมหน้าหงิกทันที ถึงยังไงมันก็เป็นรุ่นน้อง มาพูดแบบนี้วอนจะโดนตบกะบาลไม่รู้ตัว
“ขอโทษฮะ งั้นเดี๋ยวผมไปตักมาให้อีกถ้วยละกัน”
มันรีบหนีความผิด ชิ่งไปหยิบถ้วยใบตองแล้วตักข้าวมาซะพูน
มึงใส่ข้าวมาซะขนาดนั้น แล้วมึงจะราดแกงยังไง
มันหันไปหยิบถ้วยเปล่าอีกสี่ใบ เพิ่มข้าวพูน ๆ มาอีกหนึ่งถ้วย ที่เหลือเป็นกับข้าวอย่างละถ้วย มันหันไปหยิบถาดที่วางอยู่ไม่ไกล ยกของทั้งหมดใส่ถาด เดินตรงมาที่ผม
“เดินรอบเดียวจบ”
มันบอกแค่นั้น แล้วหันไปหยิบถ้วยข้าวของตัวเองกินต่อ ผมมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้างง ๆ
คิดไม่ถึงเหมือนกันแฮะ วิธีนี้
“ขอบใจ”
ผมบอกมันเสียงเรียบ อย่าไปแสดงความโง่ให้มันเห็น
เดี๋ยวหมดหล่อ…
พอผมพุ้ยข้าวในถ้วยของตัวเองหมดก็ตักข้าวในถ้วยข้าวเปล่าพูน ๆ ใส่ถ้วยตัวเอง แล้วตักแกงมากิน ผมหันไปเห็นข้าวมันจะหมดถ้วยแล้ว เลยทำตัวเป็นพี่ที่ดี ยกถ้วยข้าวเปล่าที่ผมตักเหลือเมื่อกี้ให้มัน
มันจ้องกลับงง ๆ
“ทานด้วยกันสิ แค่นั้นคงไม่อิ่ม”
ถึงมันจะไม่กินเยอะขนาดผม แต่ถ้วยเดียวคงไม่พอเหมือนกัน
“กินเยอะ ๆ วันนี้ต้องใช้แรงเยอะ”
ผมสำทับอีกรอบ
มันพยักหน้าเข้าใจ ตักข้าวไปใส่ถ้วยมันพอประมาณ ผมวางถ้วยข้าวเปล่าไว้ที่เดิม แล้วเราสองคนก็นั่งกินกันไปเงียบ ๆ
“เคร้ง!!”
สองช้อนชนกันตอนกำลังจะตักแกงส้ม สงสัยมันจะชอบเหมือนผม มันเปลี่ยนทิศทาง เลื่อนจากแกงส้มไปที่ผัดฟัก ส่วนผมก็ตักแกงส้มมากินเหมือนเดิม
“แหม สองคนนี้มานั่งสวีทกินข้าวด้วยกันสองคนไม่ชวนเลยนะ”
ผมหันไปมองเจ้าของเสียงพูดเพราะ ๆ แต่ความหมายไม่รื่นหูของไอ้เพื่อนตัวดี
“พี่กิ๊ฟมาทานด้วยกันซิฮะ”
ไอ้ตัวเล็กข้างผมมันชวน
“ไม่ละ ไม่อยากขัดคนกำลังสวีทกัน”
พูดแค่นั้น แล้วมันก็เดินจากไป
ไอ้เพื่อนเวร แค่มึงก้าวเข้ามา มึงก็ขัดการกินอันราบรื่นของกูแล้ว เจ้าตัวเล็กข้างผมรีบพุ้ยข้าวเข้าปากจนแก้มโย้ ขย้ำถ้วยข้าวในมือลุกขึ้นยืน
“ผมไปก่อนละ ต้องไปหาเสื้อให้ไอ้เต้ยมันใส่อีก”
มันรีบเดินลิ่ว ๆ หายไปทันที
ผมกลับมานั่งกินข้าวเงียบ ๆ อีกที
เมื่อกี้นี้ นั่งกินข้าวเงียบ ๆ
แต่มันไม่รู้สึกเงียบ…
แต่ตอนนี้ นั่งกินข้าวเงียบ ๆ
แต่รู้สึกมันโคตรเงียบเลย…
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมซัดข้าวที่ไอ้ตัวเล็กจัดมาให้จนหมดไม่เหลือแต่แม้แต่เศษน้ำแกง รวบเก็บใบตองเปล่าเอาไปทิ้ง
ตรงนั้นมีกลุ่มเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณห้าหกขวบ แต่งชุดแม้วมานั่งเขี่ยดินเล่นกันอยู่ ผมยิ้มให้ ลูบหัวเล็กของเด็กคนหนึ่งเบา ๆ
เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองงง ๆ แผงขนตางอนยาวกระพริบปริบ ๆ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมนึกถึงดวงตาของใครบางคน เพราะแทบจะทุกครั้งที่ผมเห็น มันจะกระพริบตาแบบนี้ทุกที
เหมือนมันจะงง ๆ มึน ๆ หรือเอ๋อ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก ผมอมยิ้ม เดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
เก้าโมงตรง ทุกคนมารวมตัวกันกลางลานกว้าง มีชาวบ้านมาร่วมด้วยสี่ห้าคน ที่เหลือก็ไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว รอบ ๆ เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ชาวเขาที่มาให้กำลังใจกัน เพราะอีกไม่นาน เด็ก ๆ เหล่านี้ก็จะมีโรงเรียนเป็นของตัวเองแล้ว
ผมแบ่งงานให้เพื่อน ๆ นำเด็ก ๆ ในกลุ่มของตัวเองไปทำหน้าที่ ผมกับไอ้เป้แผนกก่อสร้างหลัก ไอ้โอมกับไอ้มอไปจัดหาอุปกรณ์และวัตถุดิบเพิ่ม (พอดีของขาดเยอะ) ไอ้โอ๊คกับไอ้ปิงไปจัดการเรื่องโต๊ะเก้าอี้ ส่วนพวกผู้หญิงดูแลรายละเอียดและคอยสนับสนุนผู้ชายไป
ผมต้องทำหน้าเข้ม เสียงดุ ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เพื่อให้พวกเด็ก ๆ เร่งงานตามคำสั่ง ยิ่งยืดเยื้อ คนที่เหนื่อยก็ตัวผมนี่แหละ ใครจะหาว่าผมโหดก็ช่าง
ถ้าทำให้งานออกมาดี…
ผมยอม
พวกชาวบ้านเขาถางพื้นที่ไว้ให้แล้ว พวกเราแค่ปรับเกลี่ยดินให้เรียบร้อย และลงมือก่อสร้างได้เลย อุปกรณ์มีไม่เยอะครับ ส่วนมากก็ขนมาจากกรุงเทพนั่นแหละ
พอวัดพื้นที่กันเรียบร้อย แผนกขุดอย่างผมก็คว้าจอบอันใหญ่ไปลงมือเจิมหลุมเพื่อปักเสาทันที
เราทำโรงเรียนกันแบบง่าย ๆ มีเพียงตึกเดียว สร้างคล้าย ๆ กับโรงอาหารขนาดใหญ่ เน้นกว้าง กันแดดกันฝน หน้าต่างแบบบานยกค้ำ (ง่ายและประหยัดงบดี) หลังคากระเบื้อง (อันนี้มหาลัยเราออกให้) กำแพงจากไม้ พวกโต๊ะ เก้าอี้ กระดานดำและชั้นหนังสือ พวกเราก็ต้องมานั่งทำเองกันหมด รวมไปถึงห้องน้ำ และโรงอาหารขนาดเล็กด้วย
มันคงจะดูรก ๆ เก่า ๆ เน่า ๆ สำหรับคนเมือง แต่สำหรับชาวบ้านที่นี่แล้ว สิ่งที่ได้ คือสมบัติล้ำค่าเลยแหละ
กว่าจะได้แต่ละหลุม เหงื่อผมไหลแทบหมดตัว พวกสาว ๆ ก็พากันแวะเวียนเข้ามาเสิร์ฟน้ำไม่หยุด ค่อยหายเหนื่อยหน่อย ผมตั้งหน้าตั้งตาขุดไปเรื่อย ๆ พอเสร็จหลุมแรกก็ไปต่อที่หลุมสองและสามอยู่อย่างนั้น
ผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน ผมรู้แค่ว่า แดดมันตรงกะบาลแล้ว ขุดมากมือเริ่มช้ำ แม้ว่าจะใส่ถุงมืออย่างหนาก็เถอะ เหงื่อเหง่อหน้าหน้อมอมเป็นลูกหมา ดีที่พวกสาว ๆ เอาผ้าเย็นมาเช็ดให้ตลอด หน้าถึงได้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง
“พี่เอกคะ เช็ดหน้าหน่อยไหม”
ผมหันไปมองคนเรียก ไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร แต่คิดว่าน่าจะอยู่ปีสอง ผมพยักหน้า ยืนค้ำจอบยื่นหน้าเปื้อน ๆ ไปให้
ได้ยินเสียงกรี๊ดของพวกผู้หญิง ผสานเสียงโห่ของพวกผู้ชายดังมาเป็นทาง ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก พอหน้าสะอาดก็ลงมือขุดต่อ
ต้องปล่อยให้สาว ๆ รอกันไปก่อน เสร็จงาน ค่อยว่ากัน
“พี่เอก พักก่อนก็ได้นะคะ เที่ยงกว่าแล้วนะ”
สาวน้อยคนเดิมพูด ผมเงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ วันนี้ไม่ได้พกนาฬิกาครับ กลัวมันเสีย
ผมพยักหน้าวางจอบไว้ที่พื้น ถอดถุงมือทิ้งไว้ข้างจอบ
“พี่เอกคะ”
สาวน้อยแก้มแดงนิด ๆ ยืนบิดหน่อย ๆ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
“ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”
ผมมองคนตรงหน้า น้องหน้าตาน่ารักใช่ย่อย ช่วงพักเที่ยง ได้กินข้าวกับสาวสวยก็ดีไปอีกแบบ ผมพยักหน้า เดินตามน้องไป
แต่ยังไม่ทันจะถึงหม้อข้าว แขนผมก็โดนใครบางคนกระชากให้หยุด
“โทษทีน้อง พอดีพี่ต้องการเพื่อนพี่ไปคุยเรื่องงานนิดหน่อย”
ไอ้กิ๊ฟครับ มันลากผมเดินลิ่ว ๆ หนีน้องมา ไอ้นี่หน้าหวานแต่ดันแมนแตก วันนี้มันก็ลงมือขุดดินด้วยตัวเอง แก้มขาว ๆ ของมันแดงปลั่งไปหมด
“มึง กูจะกินข้าวกับสาว ๆ”
ผมรีบค้าน มีหญิงมาให้ท่าถึงที่เชียวนะโว้ย กูทำงานมาเหนื่อย ๆ ขอรางวัลให้กูหน่อยสิ
“มึง เรื่องหญิงเอาไว้ทีหลัง เรื่องงานต้องมาก่อน”
“มีอะไร”
ผมขมวดคิ้วถามกลับ ท่าทางแบบนี้คงไม่ได้พูดเล่นแน่ ๆ
พอไปถึง ก็เห็นพวกมันนั่งทำหน้าเครียด ผมกวาดมองไปรอบ ๆ มีกับข้าวสามอย่างวางเรียงกันเป็นแถวอยู่บนโต๊ะ (พวกมันเพิ่งทำกันเมื่อเช้า) แต่ละคนมีถ้วยข้าวประจำตำแหน่ง แถมยังมีปีสองโผล่มาด้วยสองคน ไม่ต้องเดาครับว่าใคร หนึ่งในนั้นเป็นน้องไอ้เป้ ส่วนอีกคนก็คนที่ตักข้าวให้ผมเมื่อเช้านี้แหละ
มันเหลือบตามองผมนิดหนึ่ง แล้วก้มหน้าลงไปกินต่อ
ผมทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามมันซึ่งเป็นที่นั่งข้าง ๆ ไอ้กิ๊ฟ มันเลื่อนถ้วยข้าวที่ตักไว้เผื่อมาตรงหน้า ในขณะที่ปากมันก็พูดไป
“ตอนแรกเราติดต่อเพื่อซื้อไม้จากหมู่บ้านข้าง ๆ แต่ไม่รู้ติดต่อกันอีท่าไหน พอไปเอาเข้าจริง ๆ เขากลับไม่มีของให้ พวกเราคงต้องหาไม้กันใหม่”
ผมขมวดคิ้วทำท่าคิด ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วมึงจะให้กูไปดูด้วยตัวเอง หรือจะให้ใครรับผิดชอบ”
ผมปรึกษา
“มึงนั่นแหละ ไปกับไอ้เป้มัน เพราะมันรู้เรื่องไม้ดีกว่าใคร”
ไอ้อ้อยเลขาผมเป็นคนเสนอ ผมพยักหน้า งานนี้ถ้าหาไม้ไม่ได้ก็สร้างโรงเรียนไม่ได้
“พวกมึงรีบกินแล้วรีบไป กูติดต่อหารถให้แล้ว”
ไอ้อ้อยมันบอกต่อ
ผมรีบตักข้าวเข้าปากด้วยความรวดเร็ว
แน่นอนครับ มื้อนี้คงต้องสี่ถ้วยเหมือนเดิม…
“กินเยอะ ๆ สิ ต้องใช้แรงเยอะนะ”
ไอ้เป้มันบอกน้องมัน มือก็พุ้ยข้าวใส่ถ้วยน้องมันจนล้น
“กูไม่ได้กระเพาะควายเหมือนมึงนะ”
ไอ้เต้ยมันเถียง
“เอาเถอะมึงเป็นน้องของควาย มึงก็ต้องทำตัวควาย ๆ เหมือนพี่มึง กินให้หมด ตัวจะได้โต ๆ”
ไอ้เต้ยทำหน้าเซ็ง คุ้ยตักข้าวกิน แต่พอพี่มันเผลอ มันก็แอบตักไปให้เพื่อนมัน เจ้าตัวเล็กหันไปมองเพื่อนตาเขียว
“ไอ้เต้ย” มันกระซิบใส่เพื่อนเสียงเบา “กูกินไม่หมด อิ่มจะตายอยู่แล้ว”
ไอ้นี่มันก็รู้นะ ไม่โวยวายให้ไอ้เป้รู้
“ช่วยกูหน่อยดิ กูไม่อยากถูกฆ่า”
มันอ้าปากจะเถียง ก่อนจะหุบลง แล้วตั้งหน้าตั้งตากิน มันเหลือบตามองผมนิดหนึ่ง ก่อนหลุบเปลือกตาลงไปนั่งกินต่อไม่สนใจผมอีกเลย
..
..
..
..
..
ตามคาดครับ มีไอ้เป้ที่ไหน ก็ต้องมีไอ้เต้ยที่นั่น มันยังไม่วายลืมคีบน้องมันมาด้วย อยู่บ้านไม่เท่าไหร่ แต่พอมาค่าย มันติดน้องมันหนักยิ่งกว่าเดิมอีก สงสัยกลัวน้องมันหลงป่า
รถกระบะมีแค็ปเก่า ๆ เน่า ๆ สีเป็นสนิมซะส่วนใหญ่ ตอนนี้มันบรรจุสิ่งมีชีวิตตัวผู้ทั้งหมดสี่ตัว ผม ไอ้เป้ ไอ้เต้ย และแน่นอน ว่ามีไอ้เต้ยอยู่ที่ไหน ไอ้ตัวเล็กก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย
“มึงจะลากกูมากับมึงทำไมอ่ะเต้ย กูกำลังช่วยเขาอยู่”
“ถ้ามึงจะด่ากู มึงต้องด่าพี่กู เพราะมันลากกูมาก่อน”
พวกมันสองตัวนั่งเถียงกันอยู่ที่แค็ปด้านหลัง โดยมีผมเป็นคนขับและไอ้เป้นั่งข้าง ๆ
“พี่มึงลากมึง ไม่ได้ลากกู”
“กูไม่อยากมาคนเดียว”
“คนเดียวที่ไหนพี่มึงก็อยู่”
“เหรอ กูคิดว่ามันเป็นหมีควายซะอีก”
มันจงใจแขวะเสียงดัง
ผมหัวเราะหึ ๆ จนไอ้เป้หันมาด่าทางสายตา มันไม่เถียงครับ เพราะกำลังดูรายละเอียดที่ไอ้กิ๊ฟจดให้มาอยู่
ไอ้นี่มันจริงจังเวลาทำงานพอ ๆ กับผมนั่นแหละ…
“เอาน่า กูเลี้ยงขนมมึงก็ได้”
พวกมึงอายุกี่ขวบกันวะ ง้อกันด้วยขนมเนี่ยนะ ไอ้ตัวเล็กมันคงจะยอมหรอก
“มึงสัญญาแล้วนะ”
แต่มันก็ยอม = =
“เอ้อก็ได้”
แล้วพวกมันสองคนก็คุยกันงุ้งงิ้ง ในขณะที่ผมกับไอ้เป้ปรึกษากันเรื่องงานไป
เราต้องขับรถไปอีกหมู่บ้าน (ซึ่งตอนมาผมเห็นแล้วว่าอยู่ตรงไหน) เพื่อไปรับชาวบ้านคนหนึ่งเป็นคนนำทางไปโรงไม้
บอกตามตรง ขุดดินว่าเหนื่อยแล้ว การต้องวิ่งไปหาชาวบ้านที่คุยภาษาไทยได้บ้างไม่ได้บ้างนี่ยากยิ่งกว่า พวกเราวิ่งวุ่นกันอยู่ค่อนวันถึงหาไม้ได้ กว่าจะไปถึง เขาแทบจะปิดโรงไม้กลับบ้าน
ยังดีที่คุณลุงเจ้าของแกใจดี แกเป็นไทยแท้ พอบอกว่าจะเอามาสร้างโรงเรียนให้น้อง ๆ ก็ลดแลกแจกแถมใหญ่ แต่ก็ไม่มาก เพราะแกก็ชาวบ้านธรรมดา ยังต้องค้าขายเพื่อเลี้ยงครอบครัวอีก (ตอนไปถึงเห็นยืนอมนิ้วกันหน้าสลอน 3 ชีวิต)
แค่เขาลดให้นี่ก็ประหยัดงบประมาณไปได้เยอะแล้ว จะได้เอาเงินที่เหลือไปทำอย่างอื่นกันต่อ
กว่าพวกเราจะเสร็จธุระก็ดึกสงัดแล้ว ผมขับรถไปส่งพี่อุ๋ย(คนนำทาง) ที่หมู่บ้าน แล้วพวกเราก็รีบขับรถกลับ (ไม้จะมาส่งอีกทีพรุ่งนี้)
ตอนนี้รอบด้านมืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเท่านั้น
“เอกจอดรถก่อนดิ”
ไอ้เป้มันสั่ง ผมจอดรถตาม ไอ้เป้มันเปิดประตูลงจากรถแล้วผลักเบาะเลื่อนไปด้านหน้า
“กายมานั่งหน้ากับเอก พี่จะนั่งกับเต้ย”
ผมมองมันงง ๆ ไอ้เต้ยมันนั่งกับกายก็ดีอยู่แล้ว แล้วมันจะไปนั่งด้วยทำไม ไอ้ตัวเล็กพยักหน้า ลงจากรถแล้วให้ไอ้เป้เข้าไปนั่งแทนที่ พอผมหันไปมองไอ้เต้ยก็พอเข้าใจ
มันนั่งตัวตรงแน่ว หน้าออกแนวซีด ๆ ไอ้เด็กนี่มันคงกลัวความมืดจัด ๆ ครั้งที่แล้วมันก็นั่งช็อคตาค้างเลย
ในเมืองกรุง ถึงมืด แต่มันมืดแบบมีแสงสว่างบ้าง แต่ในป่าที่มีต้นไม้รกครึ้ม ถ้าไม่ใช่เดือนหงาย มันจะมืดแบบมืดสนิทเลย แล้วรถก็ไม่มีกระจกด้วย ได้ยินเสียงพวกสรรพสัตว์ยามค่ำคืนคร่ำครวญกันดังสนั่น แม้รถจะจอดสนิท ก็มีสายลมพัดผ่านมาปะทะผิวหน้าเป็นระลอก หนักบ้างเบาบ้างให้เย็นสะท้านจนขนแขนลุก
แล้วสายลมเหล่านั้น ก็พัดพาเอาใบไหม้ตามสองข้างทาง ไหวเอนไปมาเบา ๆ กิ่งก้านเสียดสีกัน สร้างเสียงและภาพให้ดูน่ากลัว ถ้าใครขวัญอ่อนอยู่แล้ว คงจะนั่งไม่ติดเบาะแน่ ๆ
พอไอ้เป้มันนั่งได้ มันก็บีบมือน้องมันแน่น ผมสังเกตว่าไอ้เต้ยมันตัวสั่นด้วย
มึงก็รู้ว่าน้องมึงกลัว แล้วมึงจะเอาน้องมึงมาด้วยทำไมวะ
“ไม่ต้องมองนอกรถนะ”
มันบอกเสียงนุ่ม ดึงหน้าน้องมันไปซบกับอกมันอีกที ซึ่งไอ้เต้ยก็ทำตามอย่างว่าง่าย คิ้วผมขมวดด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก มันคงห่วงน้องมันจริง ๆ
พอไอ้ตัวเล็กย้ายมานั่งข้างผมเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันต่อ
TBC..
Note :
1. รู้สึกตัวเองเหมือนเต่าหน่อย ๆ นะ ฮ่า ๆ ช้าดีกว่าไม่มาเนอะ ^^
2. ยังไม่ว่างเอาอิมเมจมาลงให้ เข้าไปดูกันที่แฟนเพจละกันนะคะ ^^ "แฟนเพจ Kiss Love หรือ แฟนเพจน้องคีส ก็ได้^^"
3. ขอบคุณคร้าบบบบบบบ