บทที่ 25
พวกผมเดินสำรวจภายในวังขาวกันอยู่พักใหญ่ จับจองห้องนอนพร้อมกับเอาของไปเก็บที่ห้องจนเสร็จก็มานั่งรวมกันอยู่ที่ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ภายในห้องมีโซฟาหนังสีขาวทรงกลมล้อมพรมสีขาวผืนหนาที่ปูอยู่ที่พื้น โต๊ะกระจกใสที่ตั้งอยู่บนพรมนั้นใสแจ๋วจนนึกว่าไม่มีกระจกวางอยู่ บนโต๊ะมีโทรศัพท์วางอยู่เท่ากับจำนวนพวกผมทุกคน ทุกเครื่องมีชื่อกำกับเอาไว้แล้ว
“ดีเลย กำลังจะขาดใจเพราะขาดโซเชียล” ไอ้มีนหยิบโทรศัพท์เครื่องที่มีชื่อมันมากดเปิด พวกผมก็หยิบกันบ้าง
“พวกแกอย่าเผลอตัวอัพรูปลงโซเชียลนะโว้ย คุณปริณขอเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งให้รู้ว่าเรามาที่ไหนกัน ถ่ายเก็บเอาไว้อย่างเดียวก่อน” ไอ้บูมเตือน
“เออเกือบลืมเลย ขอบใจที่เตือน แต่ที่นี่สวยจนอยากจะอวดเนอะแก สวยมาก” ไอ้มีนบอกพร้อมกับวางโทรศัพท์ลง
“แกเห็นยัยตังเมเมื่อกี้ไหมนาว ฉันละอารมณ์เสียแทนเลย” ไอ้ยีนหันมาพูดกับผม
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจเลย ว่าแต่พวกพี่ปอนเขาจะมาวันไหน” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้พวกมันพูดถึงมิเชล หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นเรา ควรระวังเอาไว้จะดีที่สุด
“มาวีคหน้าพร้อมทีมงาน แต่พวกฉันถ่ายโฟโต้บุ๊คเสร็จก็ต้องกลับเลย แต่แกต้องอยู่ต่อก่อน” ไอ้เกลือบอกผม
“รู้แล้ว คุณเมบอกแล้ว” ผมตอบมันไป คุณเมอยากให้ข่าวของผมเงียบไปก่อนเลยให้ผมอยู่ที่นี่ไปสักพัก น่าจะประมาณเดือนหนึ่งได้
“ก็ดี แกได้อยู่เป็นเพื่อนไอ้บิวไปก่อน” ไอ้จอมบอกผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองถ่ายรูป
“อากาศโคตรดีเลย เห็นคุณมาคัสบอกว่าที่นี่เริ่มเข้าหน้าหนาว แต่ดีนะยังไม่หนาวมากจนปากสั่น เย็นเหมือนเปิดแอร์กำลังสบาย น่าซ้อมบอลที่สุด” ไอ้บูมทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้แบกลูกบอลมาด้วย
“ฉันจะไปเดินเล่นหน่อยนะ” ไอ้บิวบอก
“เราไปเป็นเพื่อน” ไอ้จอมรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาไอ้บิว ผมเห็นไอ้ยีนหน้าเศร้าๆ มันคงพอจะรู้แล้วว่าไอ้จอมคิดยังไงกับไอ้บิว แต่ผมแปลกใจ ไอ้จอมมันไม่มีทีท่าว่าจะมีรสนิยมแบบนี้มาก่อนเลย
“พวกแกไปด้วยกันไหม ธารไปไหม” ไอ้บิวชวน
“ฉันขอนอนต่ออีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวตื่นแล้วค่อยไป” ไอ้เกลือบอก ไอ้บูมกับสามสาวก็ส่ายหน้าแทนการปฎิเสธ หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนกันหมดเชียวนะ เมื่อไม่มีใครไป ไอ้บิวกับไอ้จอมเลยเดินออกจากวังขาวไปด้วยกันแค่สองคน
ส่วนผมก็ตั้งใจว่าจะรอไอ้โหดมันก่อน แต่เบื่อๆ เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่นบ้าง ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ออกไปด้วย ในเครื่องถูกเมมเบอร์ทุกคนเอาไว้แล้วเสร็จสรรพ ส่วนโทรศัพท์ของผมที่เอามาจากเมืองไทยไร้สัญญาณเก็บตายเอาไว้ในกระเป๋าไปแล้ว ผมดินออกมาจากวังขาวก็เจอกับทหารองค์รักษ์สองคน
‘ตายละ ผมจะพูดภาษาอะไรกับเขาวะ’ ผมเริ่มกังวลในใจ
“ต้องการอะไรรึเปล่าครับ” ทหารองครักษ์คนหนึ่งถามขึ้นเป็นภาษาไทยชัดแจ๋วจนผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะประหลาดใจ
“พวกผมหัดเรียนภาษาไทยตั้งแต่เด็กๆ ทหารและนางข้าหลวงที่จะต้องอยู่ดูแลพวกคุณที่วังขาว ทุกคนใช้ภาษาไทยได้ดีครับ” เหมือนเขารู้ว่าผมกำลังสงสัยเลยอธิบายจนผมกระจ่าง ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะส่งยิ้มไปกระชับมิตรก่อน ดูจากหน้าตาแล้ว อายุน่าจะพอๆ กับผม ท่าทางก็ดูไม่มีพิษภัย ดูซื่อๆ ดี ถ้าตีสนิทได้จะได้เอาไว้ถามอะไรที่อยากรู้ จะว่าไปท่านปู่ของไอ้โหดก็ละเอียดรอบคอบดีที่เอาคนพูดภาษาไทยได้มาดูแลพวกผม
“ผมไปเดินเล่นได้รึเปล่าครับ” ผมถาม กลัวว่าจะไม่ควรเดินเตร่ไปเตร่มาถ้าไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน
“ผมจะเป็นคนพาไปเองครับ ที่นี่กว้างมาก เกรงว่าคุณจะหลงทางเพราะยังไม่คุ้น” หนึ่งในองค์รักษ์ตอบผม
“แล้วคุณไม่ต้อง..เอ่อ ไม่ต้องอยู่ดูแลที่นี่เหรอครับ” ผมถาม
“ไม่เป็นไรครับ พระชนนีเนตรนภารับสั่งให้ผมดูแลคุณปารมีโดยเฉพาะ” ผมฟังแล้วนิ่งไปสักสิบวินาทีกับคำว่า ‘โดยเฉพาะ’
“อ๋อ ครับ งั้นรบกวนคุณ...” ผมเว้นเอาไว้เพราะไม่ทราบชื่อองค์รักษ์คนนี้
“เรียกผมว่าอลันก็ได้ครับคุณปารมี”
“ได้ครับคุณอลัน งั้นเรียกผมสั้นๆ ว่ามะนาวต่างดุ๊ดนะครับ” ผมบอก อลันขมวดคิ้วทันทีก่อนจะพยายามพูดตาม
“มะ นาว ต่าง ดุ๊ด”
“เยี่ยมเลยครับ” ผมบอกก่อนจะแอบขำ อลันยังคงทำหน้างงแต่ก็เดินนำผมไป ผมว่าผมได้ยินเสียงอลันทวนชื่อผมซ้ำไปซ้ำมาเบาๆ
อลันพาผมเดินไปตามทางที่โรยด้วยหินกรวดก้อนกลมๆ ที่ทับกันเป็นทางเดินทอดยาวไปข้างหน้า ผมยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของถนนกรวดสายนี้ สองข้างทางเต็มไปทำต้นไม้เขียวชอุ่มดูคล้ายกันไปหมด อลันเดินนำผมไปเรื่อยๆ พร้อมกับอธิบายชื่นต้นไม้แปลกๆ ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทางข้างหน้าเริ่มชันขึ้นกว่าเดิม แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยปากถามว่าจะพาผมไปไหน ก็ยังเดินตามไปพร้อมกับพยายามจำเส้นทาง ผมว่าผมเริ่มได้ยินเสียงน้ำตกอยู่ข้างหน้า ตอนนี้ตรงด้านหน้าของผมเป็นทางแยกไปสามทาง
“ทางโน้นคือทางขึ้นไปบนผาสายรุ้งครับ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็จะขึ้นไปไม่ได้ เพราะเป็นสถานที่ส่วนพระองค์ของเจ้าชายแอชตัน ถ้าตรงไปข้างหน้าคือพระตำหนักนงนุช เป็นพระตำหนักของเจ้าชายแอชตัน เป็นสถานที่ต้องห้ามอีกเหมือนกัน แต่ผมจะพาคุณมะนาวต่างดุ๊ดไปทางซ้าย ทางนี้ครับ มันคือทางไปน้ำตกสายหมอก เดินอีกไม่ไกลก็จะเจอธารมรกตครับ”
“ดีเลย งั้นไปกันต่อเถอะครับ” ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆ กับชื่อสถานที่ มันดูอลังการอย่างกับวรรณกรรมของไทย
อลันนำผมเดินไปอีกสักระยะ ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นและละอองน้ำที่ลอยมาปะทะใบหน้า อลันพาผมมาหยุดยืนที่แผงเถาวัลย์หนา มันห้อยลงมาจากด้านบนจนเหมือนม่าน ดูเผินๆ เหมือนว่าเป็นทางตันแล้ว แต่อลันก็เดินนำไปพร้อมกับแหวกม่านเถาวัลย์ออก พอผมก้าวพ้นเถาวัลย์ที่ห้อยมาปิดทางด้านหน้ามาได้ก็ต้องตื่นตากับภาพตรงหน้า ธารน้ำสีฟ้าอมเขียวมรกตขนาดกว้างงดงามราวกับภาพที่ถูกตกแต่งด้วยโปรแกรมโฟโต้ช็อป เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นสายน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงด้านบนที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ มันไหลลงมาสุดที่โขดหินขนาดใหญ่ตรงหน้า ปลายสายน้ำตกกระทบกับธารน้ำจนเกิดเป็นละอองน้ำกระจายฟุ้งไปทั่วอย่างกับมีหมอก
“สวยจังเลยครับ สวยมากๆ กลิ่นหอมนี่กลิ่นอะไรเหรอครับ” ผมถามอลันเนื่องจากได้กลิ่นหอมบางอย่าง
“ไม่มีใครทราบครับว่ามันคือกลิ่นอะไร เดิมธารแห่งนี้เป็นเพียงบ่อน้ำพุร้อน แต่เมื่อสิบปีก่อนน้ำตกจากผาสายรุ้งก็เปลี่ยนเส้นทางมาไหลลงที่นี่ ที่นี่เลยกลายเป็นธารน้ำอุ่นที่มีน้ำเต็มตลอดไม่เคยแล้ง แล้วเกิดกลิ่นหอมๆ นี้ขึ้นมาเองจนเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปเลยครับ อันที่จริงที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของเจ้าชายแอชตัน แต่เจ้าชายแอชตันทรงอนุญาตให้พวกคุณปารมีมาเที่ยวที่นี่ได้”
“มาเดินเล่นถึงที่นี่เลยเหรอครับ” เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง
“คุณมาคัส” ผมทักคุณมาคัสที่อยู่ในชุดพื้นเมืองแล้วก็รู้สึกแปลกตา แต่ก็ยอมรับว่าคุณมาคัสก็หล่อไม่เบาในชุดนี้
“อลันไปเถอะ เราจะดูแลคุณนาวเอง” มาคัสหันไปสั่งอลัน ซึ่งอีกฝ่ายทำหน้างงๆ
“คุณนาว” อลันทำหน้างงเมื่อคุณมาคัสเรียกผมแค่สั้นๆ
“แหะๆๆ คือ ชื่อเล่นของผมเองครับ ชื่อมะนาวต่างดุ๊ดเป็นชื่อของผมเวลาอยู่ที่ต่างประเทศ” ผมรีบหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเกาท้ายทอย รู้สึกผิดเบาๆ ที่ไปแกล้งอำอลันทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน
“ไม่เป็นไรครับ คุณมะนาวต่างดุ๊ด” อลันโค้งให้ผมกับมาคัสก่อนจะถอยหลังแล้วเดินกลับไปยังทางที่มา ผมแอบเห็นมาคุณคัสยิ้มแล้วส่ายหัวช้าๆ คงระอาที่ผมไปแกล้งอลัน ผมเลยหันไปหัวเราะแห้งๆ ให้คุณมาคัสอีกรอบ
“น้ำที่นี่เล่นได้รึเปล่าครับ” ผมถามคุณมาคัสที่เดินไปนั่งที่โขดหินใหญ่
“ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครเล่นครับ”
“ทำไมครับ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ถ้าเดินลอดม่านน้ำตกนี้ไปก็จะเจอกับสวนดอกไม้ สนใจไปดูไหมครับ” มาคัสไม่ตอบคำถามผมแต่ชี้ไปที่ด้านหน้า สงสัยเพราะเป็นเขตหวงห้ามเลยไม่อยากจะตอบอะไรมาก ผมรู้สึกตื่นเต้นอีกแล้ว หลังม่านน้ำตกยังมีสวนดอกไม่อีกเหรอ ที่นี่ดูลึกลับซับซ้อนจริงๆ
“ไปครับ” ผมรีบตอบรับ
คุณมาคัสนำผมเดินเหยียบก้อนหินใหญ่ที่อยู่ในธารน้ำตกแห่งนี้ มันเว้นระยะห่างกันเป็นทอดๆ เหมือนกับจงใจสร้างเอาไว้เพื่อให้เป็นทางเดินไปยังหลังม่านน้ำตกนี้ คุณมาคัสยื่นมือมาให้ผมจับแล้วพาผมก้าวข้ามไป คงจะกลัวผมลื่นล้ม ข้ามมาจนถึงหน้าม่านน้ำตกที่บังทางเข้าอยู่ ผมยืนลังเลเพราะถ้าข้ามไปช้าคงจะเปียกทั้งตัวแน่ๆ แต่ถ้ารีบก็กลัวจะตกน้ำโชว์คุณมาคัสอีก แต่คุณมาคัสดึงผมไปยืนใกล้ๆ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกมาคลุมศีรษะของผมเอาไว้แล้วจูงมือพาข้ามไปด้วยความเร็ว ในที่สุดผมก็ข้ามมาได้อย่างปลอดภัยและไม่เปียกอย่างที่ผมกังวล
“โอ้โห สวยจังเลยครับ สวยมาก” ผมอยากให้ไอ้พวกเพื่อนๆ ผมมาเห็นจังเลย ไม่น่าเชื่อว่าหลังธารน้ำตกแห่งนี้จะมีสวนสวยอย่างนี้อยู่ พื้นปกคลุมไปด้วยหญ้านุ่มๆ สีเขียวสด พันธุ์ไม้ดอกแข่งกันประชันสีสันไปทั่วบริเวณ ผมเดินตรงไปเรื่อยๆ แต่คุณมาคัสก็ห้ามเอาไว้ก่อน
“หญ้ามันลื่นครับ ข้างหน้านี้เป็นหน้าผา ถึงจะไม่สูงมากแต่ถ้าตกไปก็เป็นอันตรายได้”
“อ๋อ ขอบคุณครับ ดอกไม้พวกนี้มันขึ้นเองเหรอครับ” ผมถาม ผมว่ากลิ่นหอมที่ธารมรกตมันมาจากดอกไม้พวกนี้แน่เลย
“เจ้าหญิงแฮแทนทรงทำสวนนี้ขึ้นมาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตไม่นาน ท่านทรงทำเอาไว้ให้ลูกสาวของท่าน” คุณมาคัสเล่าด้วยสีหน้าที่ผมอ่านไม่ออก ใบหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงดูเศร้ากว่าปกติ
“ลูกสาวของเจ้าหญิงแฮแทน..” ผมพยายามนึกว่าลูกสาวของเจ้าหญิงแฮแทนคือใคร เท่าที่ฟังคุณเมเล่าถึงประวัติของพระธิดาองค์เล็กของท่านสเตฟานก็ไม่เห็นบอกว่าท่านมีลูก ผมนึกว่าท่านโสดเสียอีก
“ผมว่าเรากลับกันดีกว่า องค์ชายธีมัสอาจจะทรงห่วงที่คุณหายมานานแล้ว” มาคัสบอกกับผม จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมาพอดี ผมหยิบขึ้นมาดู พบข้อความเข้าเลยกดดู ปรากฏว่าเป็นรูปคู่ของไอ้โหดกับมิเชลในลักษณะที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน
“ผมไม่อยากให้คุณถือสาองค์หญิง” มาคัสคงจะเหลือบเห็นรูปที่ผมเปิดดูเลยพูดแทรกขึ้นมา
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลง อยากจะถามเหมือนกันว่าใครเมมเบอร์ท่านหญิงตังเมให้ผม ถามผมสักคำยังว่าต้องการรึเปล่า ชิ
มาคัสนำผมกลับไปไปทางเดิมที่เข้ามา และยื่นมือมาให้ผมจับเหมือนเดิม พอผมผ่านม่านน้ำตกออกมายืนด้านนอกได้แล้วก็ต้องตกใจเพราะมีร่างของใครบางคนก้าวพรวดมายืนประชันหน้ากับผมพอดีพร้อมกับดึงมือของผมออกจากมือของมาคัสอย่างรวดเร็ว
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” ผมถามไอ้โหดที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงหน้าผม
“ทำไมออกมาคนเดียว” มันถามผม
“คนอื่นมันอยากนอนกันอะ” ผมบอกมัน มันพยักหน้ารับรู้
“ขอบคุณที่ช่วยดูแลคนของผม” มันบอกกับมาคัส เน้นเสียงตรงคำว่าคนของผม
อ่อ...นี่มันหึงผมใช่ไหม ทำเก็กมาดเข้มเชียวนะไอ้หมาธีม มาคัสก้มหัวให้มันนิดนึง ไอ้หมาธีมจูงมือผมเดินกลับไปทางเดิมที่ผมมา เดินออกมาจนจะถึงวังขาวอยู่แล้วมันกลับพาเดินเลยมาที่ลานโล่งที่อยู่ด้านหน้าของวังขาว ซึ่งตรงนั้นมีรถเอทีวีสีดำจอดอยู่สี่ห้าคัน มันพาเดินมาถึงรถก็หยิบเอาหมวกกันน็อคมาสวมใส่ให้ผม
“จะไปไหน” ผมถามมันด้วยความตื่นเต้น อยากขี่มานานแล้วรถแบบนี้
“ไปเดทกัน” มันบอกก่อนจะสวมหมวกกันน็อคให้ตัวเอง เดทเหรอ ผมชอบคำนี้จัง
“ให้นาวขับนะ” ผมบอก มันรีบส่ายหน้า ผมเลยได้แต่เบ้ปากใส่มัน มันขึ้นไปนั่งบนรถผมเลยขึ้นไปนั่งซ้อนมัน
“แล้วไปถูกเหรอ พานาวหลงป่าไม่เอานะ”
“เอาน่า ทีพี่หลงอยู่ในใจนาวตั้งนานพี่เคยบ่นไหม” มันพูดแบบนี้คิดว่าผมจะพูดอะไรได้อีก ก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่ข้างหลังมัน เสี่ยววะ แต่ก็ชอบ
“แล้วองค์รักษ์ของพี่ล่ะ ยืนมองกันตาแป๋วเลย” ผมถาม ด้านหลังผมมีองค์รักษ์ยืนอยู่ห้าหกคน รวมอลันด้วย แต่ละคนเปลี่ยนจากชุดทหารมาเป็นชุดพื้นเมืองธรรมดากันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ตามเราห่างๆ ก็พอ” มันหันไปบอก องค์รักษ์มันรีบโค้งให้แล้ววิ่งไปขึ้นนั่งบนรถเอทีวีที่เหลือ
“โหย มาที่นี่ได้แป๊ปเดียวราคีเจ้าชายจับเลยอะ” ผมชมมัน
“ราศี ไม่ใช่ราคี” มันแก้ให้ผม ผมหัวเราะและกอดเอวมัน
“เจ้าชายจะพากระหม่อมไปไหน จะไปพาขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกระหม่อมก็ยินดี แต่ยินดีไปแต่สวรรค์ นรกกระหม่อมขอให้พระองค์เสด็จโดยลำพังนะพะยะค่ะ” ผมบอกมัน
“หึหึ สวรรค์อะ ได้ไปแน่” มันหัวเราะก่อนจะพูดเบาๆ ให้ผมได้ยินกันแค่สองคน แล้วมันก็ขับรถออกไปโดยมีองค์รักษ์มันขับตามมาห่างๆ องค์รักษ์ของมันจะรู้ไหมว่าเจ้าชายองค์นี้โคตรจะหื่น ทะลึ่งลามกได้ตลอด
มันขับรถพาผมมาตามถนนด้วยความเร็วที่ไม่มากเท่าไหร่ สองข้างทางของบัณตราเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสด ผมจำได้ว่ามาคัสบอกว่าทีนี่เป็นเกาะ ไม่มีผืนแผ่นดินที่ติดต่อกับประเทศไหนเลย มาได้เพียงสองทางคือเครื่องบินและเรือ ผมก็ไม่ได้ศึกษามาหรอกว่าจริงๆ แล้วประเทศนี้มันอยู่ตรงไหนเพราะไม่คิดว่าจะได้มาเร็วขนาดนี้ รู้แต่ว่ามันอยู่ขึ้นมาทางเหนือจากประเทศไทย แนวๆ เดียวกับญี่ปุ่นเกาหลี แต่เป็นเกาะที่ถูกซ่อนตัวจากโลกเพราะปิดประเทศมานาน หรือเพราะเป็นประเทศที่เล็กจนคนภายนอกคิดว่าไม่มีอะไรน่าดึงดูใจจนประมาณนั้น
ลมเย็นมาปะทะตัวผมจนผมต้องกอดไอ้โหดมันแน่นกว่าเดิมเพราะรู้สึกหนาว ขับมาได้สักพักก็เริ่มเห็นบ้านคนเรียงรายอยู่สองข้างทาง มันขับเลี้ยวเข้ามาตามเส้นทางที่ป้ายเขียนบอก มีลูกศรชี้บอกทางเข้าด้วย แต่ผมอ่านไม่ออกหรอกครับ คงเป็นภาษาบัณตรา
“อลันบอกว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านที่กำลังเริ่มพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว” มันบอกผมหลังจากที่มาจอดรถตรงที่ทำไว้ให้จอด ผมลงจากรถแล้วถอดหมวกส่งให้มัน องค์รักษ์มันก็ขับตามมาจอดใกล้ๆ แล้วเดินตรงมาหาไอ้โหด
“เราจะเดินเล่นที่นี่” มันบอกกับองค์รักษ์ อลันหันไปพูดกับคนอื่นก่อนจะจะเดินหายกันไปเหลืออลันเอาไว้คนเดียว
“ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์เรียกเราว่าธีม ส่วนนี่..”
“มะนาวต่างดุ๊ด” อลันชิงพูดขึ้นมาก่อน ไอ้ธีมทำหน้าอึ้งไป แต่ผมหัวเราะขำ
“เรียกนาวเฉยๆ ดีกว่าอลัน” มันบอก
“ขอรับกระหม่อม เรียกว่า คุณธีม คุณนาว” มันทวนอีกครั้ง ไอ้ธีมมันโยกหัวผมที่ผมไปแกล้งอำองค์รักษ์ของมัน
อลันพาผมเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ พูดภาษาบัณตรากับชาวบ้านแล้วถึงหันมาแปลให้พวกผมฟังถึงรายละเอียดของสินค้าต่างๆ ผมอยากซื้อขนมพื้นเมืองไปฝากบรรดาไฮยีน่าที่รักของผม แต่ผมไม่ได้พกเงินมาเลย ไม่รู้เขาใช้สกุลเงินอะไรกัน อลันเหมือนจะรู้เลยส่งถุงกำมะหยี่สีดำมาให้ผม ผมเปิดดูก็พบเงินสกุลลขอลบัณตราจำนวนหนึ่ง ผมเลยหันไปมองหน้าไอ้โหด
“พระชนนีเตรียมเอาไว้ให้แล้วครับ” อลันบอก
“ไม่เป็นไรดีกว่า” ผมปฏิเสธ
“รับเถอะครับ ไม่เช่นนั้นกระหม่อม เอ้ย ผมจะโดนทำโทษที่ทำหน้าที่บกพร่อง” อลันยื่นถุงเงินมาให้ผมอีกครั้ง ไอ้โหดพยักหน้า ผมเลยรับมาถือเอาไว้ อลันยิ้มแล้วพาผมเดินต่อ เดินมาเจอร้านไอศกรีมผลไม้ ผมดูจากรูปเอาครับ ผมอยากกินมากเลยดึงเสื้อไอ้โหดให้มันหยุดเดิน
“มา โต อา คา” ผมทักคุณป้าคนขาย อลันหันมามองผมแบบอึ้งๆ ที่ผมพูดภาษาบัณตราได้ แหะๆ ผมจำมาจากน้องทัสที่ทักพวกผมในครั้งแรกที่ได้เจอกันแหละครับ ก็ได้แค่นี้แหละ
“##%$&^)(*_)())#@$#%$%$%6!” คุณป้าร่ายกลับมายาวจนผมยิ้มค้าหน้าเหวอไปเลย อลันแอบปิดปากหัวเราะผม ส่วนไอ้โหดก็ยืนขำไม่ต่างกัน
“คุณป้าบอกว่า คุณป้าจำหน้าคุณนาวได้ ลูกสาวคุณป้าชอบดูละครของคุณ” อลันแปลเสร็จผมก็เกาท้ายทอยแก้เขิน มันทั้งเขินทั้งแปลกใจสุดๆ หันไปพูดกับไอ้โหดมันเบาๆ
“นาวอินเตอร์ขนาดนี้เลยเหรอ เป็นไปได้ยังไง เขาดูละครนาวจากที่ไหนอะ”
“แม่ของพี่กับควีนนงนุชพระมารดาของเจ้าชายแอชตันเป็นคนไทย ประชาชนที่นี่รักทั้งสองพระองค์มาก ทั้งสองพระองค์เป็นเจ้าหญิงที่ใกล้ชิดกับชาวบ้านและเข้ามาช่วยพัฒนาด้านอาชีพให้ คนที่นี่เลยเห็นคนไทยเหมือนเป็นพี่น้องกัน แต่เพราะก่อนหน้านี้เป็นประเทศปิด คนไทยเลยไม่รู้จักที่นี่นัก คงจะมีแต่คนที่นี่ที่รู้จักประเทศไทยดี” ไอ้โหดมันอธิบาย ผมพยักหน้ารับรู้พร้อมกับสงสัยว่าทำไมมันรู้เรื่องราวละเอียดดีจัง
“นาวอยากดูละครของตัวเองเวลาพากย์เป็นภาษาบัณตราจัง” ผมนึกขำ
“คุณป้าให้คุณ” อลันหยิบไอศกรีมจากคุณป้ามาส่งให้ผม ผมหยิบเงินจะส่งให้ อลันรีบส่ายหน้า
“ถ้าเราจ่ายเงิน คนที่นี่จะถือว่าเราไม่รับน้ำใจจากเขา ถ้าเขาตั้งใจให้คือเราต้องรับเอาไว้ครับ” อลันอธิบาย ผมเลยยกมือไหว้คุณป้า หวังว่าคงจะรู้ว่าเป็นการขอบคุณของคนไทย เพราะคุณป้าทำท่าไหว้ผมตอบเป็นการรับไหว้ คนที่นี่คงจะรู้เรื่องประเทศเราเยอะจริงๆ ผมเห็นบางร้านมีธงชาติไทยแปะคู่กับธงชาติของบัณตราด้วย
“อร่อยภาษาบัณตราพูดว่ายังไงอะอลัน มันอร่อยมาก สุดยอด หอมผลไม้ รถอมเปรี้ยวอมหวาน อร่อยมากอะพี่ธีม” ผมยื่นไอศกรีมไปให้ไอ้โหดมันชิม มันก็ก้มลงมาชิมไอศกรีมในมือผมก่อนจะกระซิบที่หูผม
“ถ้าไม่ติดว่านาวจะอาย จะชิมที่ปากนาวแล้ว คงจะอร่อยกว่า”
“นี่ ทำหน้าให้มันบางหน่อยก็ได้นะ เป็นถึงปริ๊นซ์แต่หื่นไม้เว้นแม้แต่ในตลาด” ผมกระซิบกลับ
“หึหึ ไปเดินทางโน้นต่อกัน” ไอ้โหดหัวเราะก่อนจะชวนผมเดินไปข้างหน้าต่อ
“เออโรมันโย มาตาอาคา” ผมหันมาชมไอศกรีมว่าอร่อยและขอบคุณป้าเขาอีกทีด้วยภาษาบัณตราที่อลันสอนก่อนจะเดินตามไอ้โหดมันไป
อากาศทีนี่ดีมากจริงๆ เย็นสบาย ลมไม่แรงมาก สะอาด บ้านหรือร้านค้าแต่ละหลังจะทาด้วยสีเปลือกไข่ไก่ตัดกับสีน้ำตาล ส่วนใหญ่คนทีนี่จะผิวออกสีน้ำผึ้งแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดี คงจะเหมือนกับผิวของไอ้หมาธีม ผิวมันเนี๊ยนเนียน เวลาลูบแล้วลื่นมือ ผมชอบลูบหน้าท้องมัน ถึงเป็นลอนกล้ามเนื้อแข็งแรงแต่ก็ถือสุขภาพผิวมันดีมาก น่าอิจฉา
“กินข้าวเที่ยงที่นี่ไหม” มันถามผม ผมคิดอยู่แป๊ปนึงก็ส่ายหน้า
“กลับไปกินกับเพื่อนๆ ดีกว่า เอาไว้ค่อยมาพร้อมพวกมันใหม่” ผมบอก
“งั้นกลับกัน”
มันจะพาผมกลับ แต่ผมดึงมือมันเอาไว้ก่อน แล้วจูงมันเข้าไปในร้านเสื้อผ้า ผมอยากใส่เสื้อผ้าพื้นเมือง ผมเลือกดูชุดจนได้ชุดที่ถูกใจ ผมอยากจะเปลี่ยนชุดเลยเลยบอกกับอลัน อลันคุยเจ้าของร้าน เจ้าของก็ชี้ให้ผมเดินเข้าด้านหลังของร้าน ผมจูงมือไอ้โหดเข้ามาก็สั่งให้มันเปลี่ยนด้วยเพราะซื้อให้มันด้วย เราเข้าไปเปลี่ยนชุดกันคนละห้อง ผมเปลี่ยนเสร็จแล้วก็เดินออกมารอ สักพักมันก็เดินออกมา ผมยิ้มออกมาเลยเมื่อเห็นมัน ชุดพื้นเมืองที่ผมเลือกให้มันช่างเข้ากับตัวมันจริงๆ เสื้อเป็นเนื้อผ้าไหมพรมถักลายดำแดง ผ่าหน้ายาวโชว์ช่วงอกนิดๆ มีผ้าพันคอทรงกลมอันใหญ่คล้องรอบคอเอาไว้ กางเกงสีดำพองตรงสะโพกนิดๆ ยาวแค่เข่า ช่วงจากหน้าแข้งลงมาก็รัดรูปพอดีขา ส่วนของผม เสื้อข้างในเป็นสีขาวคอปีน ส่วนเสื้อคลุมตัวนอกเป็นเสื้อถักแขนยาวตัวใหญ่ๆ ปลายเสื้อแหลมเป็นทรงวี ช่วงปลายผ้าจะกรุยๆ เป็นเส้น แต่กางเกงของผมเป็นขาจั้มสามส่วนสีดำ เนื้อผ้าใส่สบายมากๆ อลันบอกว่า นี่เป็นเสื้อผ้าสำหรับหน้าหนาว เพราะหน้าหนาวที่นี่จะหนาวมากสุดๆ
“พี่หล่ออะ” ผมบอก มันยิ้มที่ผมชมมันเพราะนานๆ ผมจะชมมันสักที
“นาวก็น่ารักมาก” มันก็ชมผม เออดีนะ ยอกันเอง
“ไปเถอะ เดี๋ยวไปไม่ทันข้าวเที่ยง” ผมรีบบอก กลัวมันอดใจไม่ไหว สายตานี่หื่นเต็มขั้นแล้ว กลัวเจ้าของร้านเข้ามาเห็นจะช็อกเสียก่อน
ผมกับมันจ่ายเงินเสร็จก็พากันเดินกลับไปที่รถ เดินธรรมดาไม่ได้จับมือกันหรอกครับ แต่รู้สึกว่าตั้งแต่ใส่ชุดพื้นเมือง คนจะมองผมกับไอ้โหดมากกว่าตอนใส่ชุดธรรมดาแบบตอนขามา อลันบอกว่าผมกับองค์รัชทายาทของมันดูหล่อมากๆ สงสัยผมต้องซื้อชุดพื้นเมืองหน้าหนาวที่นี่ไปใส่ทุกวันเสียแล้ว
ผมซ้อนรถมันกลับไปที่วัง แต่อ้อนมันว่าไม่อยากใส่หมวกกันน็อค อยากสัมผัสอากาศของบัณตราให้เต็มปอด มันเหมือนจะชั่งใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยอม ตัวมันเองก็ไม่ใส่ตาม แล้วมันก็ขับรถช้าๆ ผมก็พยายามซึมซับทั้งอากาศ ทั้งกลิ่นของมันเข้าเต็มจมูก ก็กลิ่นตัวมันก็หอมดี แบบนี้รึเปล่าที่เขาว่ายามรักตดยังห๊อมหอม เมื่อก่อนยังว่ามันซกมกอยู่เลย ผมอยากซบหน้ากับแผ่นหลังมันนะ แต่ก็ไม่กล้าเพราะมีองค์รักษ์ขับตามมาข้างหลัง ถึงมันจะแสดงว่าไม่แคร์ใครแต่ผมก็ไม่อยากให้ใครมาว่ามันได้ ถึงเราจะรักกันแต่เราต้องอยู่ร่วมในสังคมของกันและกันให้ได้ด้วย นี่ผมก็ไม่ได้ถามมันว่าไปหาพ่อแล้วเป็นยังไงบ้าง ถามว่าผมกลัวไหมหากทางโน้นรู้แล้วอาจจะกีดกันมันกับผม ก็กลัวนะแต่ไม่ได้กังวลมากเท่าไหร่ ผมแคร์ความรู้สึกผู้ชายที่ผมกำลังกอดเอวมันอยู่มากกว่า ความรู้สึกมันสำคัญที่สุดสำหรับผม ไม่ว่ามันจะเลือกทางไหน ขอแค่มันบอกเป็นทางที่มันคิดว่าดีที่สุด ผมก็จะยอมรับด้วยดี
“นาว” มันเรียกผม
“หืม”
“คิดอะไรอยู่ กอดพี่ซะแน่นเชียว”
“นาวชอบแผ่นหลังพี่” ผมตอบ แผ่นหลังมันกว้างดี
“พี่ก็ชอบข้างหลังนาว” มันบอก ผมยันตัวขึ้นไปกัดไหล่มันจนมันร้องโอ้ย ทะลึ่งไปแล้วไอ้เจ้าชายหน้าหมาเอ้ย
“พี่มีความสุขไหม” ผมถามมัน
“มีมาก”
“นาวก็มาก”
“อยู่ที่นี่กันเลยไหม” มันถามผม ผมได้ฟังแล้วก็พูดไม่ออก จริงๆ อยู่ที่นี่กับมันก็ดีนะ ไม่มีนักข่าวมาตาม ไม่ต้องอยู่ในสังคมที่พร้อมโจมตีผมเสมอ แต่มันไม่ใช่แค่นายธีรดลเหมือนที่เมืองไทย ผมจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร
“พี่อยากอยู่ที่นี่เหรอ” ผมถามมัน
“พี่อยากอยู่ทุกที่ที่มีนาว” มันบอก
“พี่ให้องค์รักษ์ขับนำไปก่อนได้ไหม” ผมถามมัน มันค่อยๆ ชะลอรถ อลันพร้อมกับองค์รักษ์คนอื่นๆ ขับมาขนาบข้างๆ
“นำเราไปก่อน ไม่ต้องเป็นห่วง ใกล้ถึงวังแล้วไม่น่าจะมีอะไร ฝากไปบอกเพื่อนๆ เราว่าเรากำลังจะกลับไปทานข้าวเที่ยงด้วย” มันบอกจบ องค์รักษ์ทุกคนก็ก้มหัวรับคำสั่งมันแล้วขับนำมันไป จนเหล่าองครักษ์เกือบลับตามันถึงได้เร่งเครื่องขับต่อ ผมกระชับเอวมันไว้แล้วแนบหน้าซบกับแผ่นหลังของมัน แผ่นหลังมันอบอุ่นจริงๆ ด้วย แผ่นหลังนี้เป็นของผม คนในอ้อมกอดก็เป็นของผม เหมือนกับที่มันบอกกับคุณมาคัสว่า ผมคือคนของมัน ดูท่ามันก็อยากใช้เวลานี้กับผมนานๆ เพราะมันขับอย่างกับเต่าคลานเลยครับ เอ่อ ไอ้หมาธีม เดินดีไหมถ้าจะช้าขนาดนี้
“พี่เป็นเจ้าชาย จะพานาวเข้าไปอยู่ในปราสาทเหรอ แต่นาวไม่ใช่ซินเดอเรลล่านะ ชีวิตจริงคงจะเหมือนที่เรามโนไม่ได้หรอก” ผมบอกกับมัน
“บัณตราไม่มีพี่เป็นเจ้าชายเขาก็ปราบกบฏกันมาได้ แต่นาวไม่มีพี่ไม่ได้หรอก พี่มั่นใจ” มันบอกผม มั่นหน้ามากนะไอ้หมา
“โหย เข้าข้างตัวเองว่ะ” ผมเอาหัวโขกหลังมัน ทั้งที่คำที่มันพูดนั้นไม่ผิดเลย
“ที่พี่มั่นใจ เพราะพี่เองก็ไม่มีนาวไม่ได้เหมือนกัน”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่กอดมันเอาไว้ ได้แต่นึกในใจว่ามันกำลังทำให้ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว จากที่คิดว่า ถ้ามันเลือกครอบครัวมันผมก็จะยอมรับ ตอนนี้คงไม่ได้แล้ว ไอ้หมาธีม..ผมเสียมันไปไม่ได้จริงๆ มันทำให้ผมหลงทางในใจมันเหมือนกัน ผมหาทางออกไม่เจอและไม่คิดจะหาด้วย ถ้ามันทิ้งผมเมื่อไหร่ผมจะหั่นมังกรมันทิ้งให้ไอ้มาม่อนเอาไปกัดเล่น ผมนึกแล้วก็แอบหัวเราะ ก่อนจะได้ยินเสียงมันถามคำถามเดิมๆ
“มโนอะไรอีก”
“นาวรักพี่ธีมจัง คึคึคึ”
...นี่แหละครับ คำโบราณที่ว่า ไปไหนมาสามวาสองศอก ต่อไปถ้ามันถามผมว่าผมมโนอะไรอีก ผมก็จะบอกว่าผมรักมัน เอาให้มันพูดไม่ออกไปเลยแบบที่มันกำลังเป็นตอนนี้ดีไหม อึ้งไปเลยละซี่..
เอ๊ะ!แต่ผมว่าผมลืมอะไรไปนะ ผมว่าผมมีเรื่องจะจัดการไอ้โหดมันนะ แต่ลืมไปแล้วว่าเรื่องอะไร ช่างมัน หลังมันอุ่นจนสมองผมตันไปละ ไว้นึกได้ค่อยว่ากันอีกทีเนอะ เพราะตอนนี้ผมมีความสุขกับเดทที่เป็นเดทของ 'เรา' จังเลยครับ
โปรดติดตามตอนต่อไป