The rainbow project เรื่องสั้น 7 เรื่อง 7 คนเขียน (อัพให้ใหม่ง่ายกว่าทำลิ้งค์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The rainbow project เรื่องสั้น 7 เรื่อง 7 คนเขียน (อัพให้ใหม่ง่ายกว่าทำลิ้งค์)  (อ่าน 262117 ครั้ง)

ออฟไลน์ chaoyui

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: The Rainbow Project [Vermilion] "Butterfly" by MonarcH Part 10 PG. 6 The End
«ตอบ #1680 เมื่อ13-06-2011 00:58:07 »

จบแล้ว แอบปวดใจตอนที่รู้ว่ายุทธเป็นเอดส์
เจ๊ญ่าทำไมทำแบบนี้ล่ะ :beat:

Saint De Jupiter

  • บุคคลทั่วไป
โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

กระชากวิญญาณกันสุดๆเลลยพี่นัท

ป.ล. แต่ยังไม่จบเนะ    :angry2:

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
เอาเพลงเพราะ ๆ มาฝากนะคะทุกคน

http://www.youtube.com/v/dLUnWjmpDe4?version=3&hl=th_TH

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106


ตอนที่ 13 คำสัญญาสุดท้าย

   ชายสูงวัยที่ได้ยืนนิ่งดวงตาเบิกกว้างแทบถลนออกจากเบ้า แววตาตื่นตระหนกหัวเต้นระรัวด้วยหวาดกลัวกับสิ่งที่ยืนให้เห็นตรงหน้า มือขาวซีดเล็บเขียวคล้ำจนดำที่กำลังออกแรงดึงปลายแถบแพรลื่นมันเงาด้วยมือเพียงข้างเดียวและกำลังค่อย ๆ ยกมือชูสองขึ้นไปเรื่อย ๆ ร่างของเขาลอยตามแรงสูงขึ้น แม้นร่างที่เคยแข็งค้างจะสามารถกระดิกตัวได้แล้วในตอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถดิ้นรนหลีกหนีให้พ้นจากพันธนาการโดยเงื้อมมือของอสุภ เขาทำได้แต่เพียงใช้สองมือของตนพยายามเหนี่ยวรั้งมือและแถบแพรพยายามที่จะแกะมันออกจากลำคอ สองขาสะบัดส่ายไปมาราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกชักเชิดให้เริงระบำอยู่ในอากาศ อสุรกายตรงหน้าแสยะยิ้มสยองก่อนจะหัวเราะดังก้องด้วยแหลมสูงเสียดประสาท ด้วยพึงพอใจกับเหยื่อของตนตรงหน้า ก่อนจะปล่อยมือออก ทำให้เหยื่อสูงวัยหล่นตุบลงบนพื้นพรม
   "ความตายมันยังไม่สาสมกับสิ่งที่แกทำกับฉัน" เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความโกรธแค้นของหรั่งสะท้อนก้อง ก่อนที่กรงเล็บสีดำจะตะหวัดออกไปในอากาศ ถึงแม้จะไปไม่ถึงร่างที่นอนหอบหายใจรวยรินแต่แค่เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้โลหิตไหลซึมออกมาจากปากแผลที่ปรากฏรอยเล็บยาวเป็นแนวบริเวณหน้าอกของร่างสูงวัย เสียงร้องโอยดังระงม และต่อเนื่องเมื่อ หรั่งออกแรงตะปบกรงเล็บตะกุยไปในอากาศอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งเกิดรอยกรีดลึกลงไปในเนื้อลิ่มเลือดไหลทะลักล้นจนนองเนือง กลิ่นความเลือดคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน
   "พอเถอะหรั่ง อย่าทำเขาอีกเลย อย่าทำบาปไปมากกว่านี้อีกเลย" หน่องที่ยืนดูเหตุการณ์มาโดยตลอดออกปากปราม
   "แล้วทีพวกมันทำกับหรั่งล่ะ มันเคยคิดจะหยุดบ้างไหม" เสียงตัดพ้อสั่นเครือที่ส่งมาให้เพียงแค่หน่องเท่านั้นที่ได้ยิน ก่อนจะหันมามองทางหน่องด้วยดวงตาสีแดงสด
   "มันยังไม่สาสมหรอกหน่อง" เสียงดุดันด้วยแรงโทสะสะท้อนก้อง ก่อนจะหันกลับมุ่งไปยังร่างที่นอนร้องโอดโอยด้วยพิษของบาดแผลทั่วร่าง ก่อนจะคว้าจับที่ขอเท้าทั้งสองข้างพร้อมกับออกแรงบีบจนได้เกิดเสียงดัง
   "กร๊อบ"   ก่อนเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจะดังตามมาไล่เลี่ยกัน "โอ๊ย!"
   "พอเถอะ... หรั่ง... หยุดเถอะ... หน่องขอร้องเพื่อตัวของหรั่งเองนะ อย่าสร้างบาปกรรมติดตัวต่อไปอีกเลย" หน่องวิงวอนร้องขอพร้อมกับพยายามเข้าไปใกล้ ด้วยน้ำตาที่อาบลงบนสองแก้ม
   "ได้ในเมื่อหน่องขอ... หรั่งจะให้... ให้ชีวิตของมันยังมีลมหายใจต่อไปก็แล้วกัน" หรั่งบอกพลางหันกลับมุ่งมาทางหน่อง ทิ้งไว้เพียงร่างอาบเลือดที่กำลังออกแรงคลนกระเสือกกระสนถอยหนีไปจนชิดมุมห้องพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยและพยายามเอาลำแขนยกขึ้นป้องหน้าซ่อนไว้ ดวงตาตื่นตระหนกหวาดกลัว และคำพร่ำเพ้อร้องแค่คำว่า "อย่า! อย่า! กลัวแล้ว! อย่า! อย่าทำฉัน! อย่า" ให้ได้ยินเท่านั้น
   
   ร่างสยองชวนขนลุกค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นเฉกเช่นก่อนเก่าที่เคยเห็น หน่วยตาสีอ่อนสะท้อนแววอาลัยแฝงความอบอุ่นอ่อนโยน จ้องมองนิ่งตรงไปที่หน่อง  ก่อนจะเข้าใกล้เกือบประชิด หน่องโผโถมทั้งตัวเข้าซุกกับอกกว้างหนานั้นพร้อมกับสวมกอดเสียเต็มรัก ความอบอุ่นแผ่ซ่านเติมเต็มหัวใจของหน่องอีกครั้ง หลังจากที่ขาดหายไปนาน
   "นิ่งเสียคนดี อย่าร้องเลย ทุกอย่างจบลงแล้ว" เสียงทุ้มนุ่มกังวานเอ่ยปลอบแล้วเอามือทั้งสองสัมผัสผิวแก้มใสจับหน้าของหน่องให้เงยขึ้น ดวงตาใสสะท้อนวงหน้าของหน่องอยู่ข้างใน ความอาทรห่วงหาส่งผ่านออกมาจากหน้าต่างแห่งหัวใจ ก่อนหรั่งจะประทับริมฝีปากอิ่มลงบนหน้าผากนวลขาวแล้ววกกลับมาจูบซับไล่คราบน้ำตาที่ยังคงทิ้งร่องรอยเปียกชื้นเอาไว้ให้เห็น
   "ใช่ทุกอย่างจบลงแล้ว หน่องเองก็คงจะไม่ได้เจอกับหรั่งอีกแล้ว" หน่องบอกพลางทอดถอนใจ
   "ไม่หรอก หรั่งจะอยู่ด้วยกันกับหน่องเสมอ อยู่ด้วยกันที่ตรงนี้ไงคนดี" หรั่งตอบพลางใช้นิ้วชี้จี้แตะไปที่บริเวณทรวงอกด้านซ้ายของหน่อง
   "หรั่งจะอยู่กับหน่องที่ตรงนี้จะไม่หนีหายไปไหนตราบเท่าที่เราจะไม่ลืมกัน หรั่งสัญญา" หรั่งบอกก่อนจะโอบกระชับวงแขนรอบลำตัวของหน่องเอาไว้ก่อนจะก้มลงประทับจูบที่กลางหระหม่อมของคนในอ้อมแขน
   "เดี๋ยวหรั่งจะพาหน่องไปส่ง ได้เวลาที่หน่องจะต้องกลับไปแล้ว" สิ้นคำหรั่งก็พาหน่องมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้สีขาวบานใหญ่ แสงสว่างจ้าส่องลอดช่องกระจกใสบนบานประตูนั้นออกมา แต่เมื่อทั้งสองปรับสายตาจนชินจนสามารถมองเห็นภาพจากด้านในได้ชัดเจน

   ภาพของนายตำรวจร่างใหญ่ ที่ศีรษะมีผ้าพันแผลสีขาวพันเอาไว้ เสื้อยืดที่สวมใส่อยู่ถูกย้อมไว้ด้วยเลือดแห้งเกรอะกรังขะมุกขะมอมแต่ก็พอมองออกว่ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อน เขากำลังนั่งกอบกุมมือที่เล็กกว่าเอาไว้และจ้องมองด้วยสายตาอาทรแฝงแววเศร้าอยู่ข้างใน  กับร่างของเจ้าของมือที่กำลังนอนหลับตาพริ้มนิ่งสนิทอยู่บนเตียงนอนที่ปูทับไว้ด้วยเครื่องนอนสีขาวสะอาดตา ผ้าห่มถูกคลี่คลุมจนถึงช่วงอก  ความเหนื่อยล้าสะท้อนออกมาจากสีหน้าที่อิดโรย ด้วยเขานั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กว่า แทบจะในทันทีที่เขารู้สึกตัวหลังจากหมดสติ เขาเองได้รับบาดแผลที่ถือว่าใหญ่พอดูเพราะถึงกับต้องเย็บเสียเกือบสิบเข็ม แต่คนที่นอนอยู่ตรงหน้าไม่มีบาดแผลร้ายแรงให้เห็นแม้เพียงนิด แต่กลับนอนนิ่งไม่ไหวติงเนิ่นนานเสียจนแสงเงินแสงทองเริ่มจะจับขอบฟ้าในอีกไม่นานนี้แล้ว
   "เช้าแล้วนะ ตื่นขึ้นมาคุยกับผมหน่อยสิ" เขาพูดออกมาเบา ๆ ราวกับเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของคนตรงหน้าพร้อมกับยกมือที่เกาะกุมเอาไว้ขึ้นมาแนบแก้มของตน เขาค่อย ๆ วางมือเล็กนั้นลงไว้ข้างลำตัวของผู้เป็นเจ้าของ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้มลงไปใช้ริมฝีปากประทับสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้มของคนที่นอนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งกลับมานั่งเฝ้ากุมมือที่ข้างเตียงอีกครั้ง
   
   "หรั่งคงหมดห่วงได้เสียที มีคนที่เขาพร้อมจะดูแลหน่องแทนหรั่งแล้ว เก็บหรั่งไว้แค่ความทรงจำของเรา เก็บไว้ในหัวใจของหน่อง แต่หน่องอย่าปิดกั้นใจ หากจะมีคนดี ๆ สักคนเข้ามาในชีวิต หมดเวลาของหรั่งแล้ว หรั่งต้องไปตามทางของหรั่ง หน่องก็กลับไปได้แล้ว ลาก่อน..." เสียงสุดท้ายที่หน่องได้ยินสะท้อนก้องในหัว ก่อนหรั่งจะเปิดประตูบานนั้นออกกว้าง หน่องถึงกับต้องหยีตาเมื่อพบแสงสว่างจ้าสะท้อนออกมาจากหลังประตูบานนั้น

   นิ้วมือของร่างที่นอนอยู่บนเตียงกระดิกส่งสัมผัสให้คนที่ฟุบอยู่ข้างเตียงทั้งที่ยังจับมือเอาไว้หลวม ๆ รู้สึกตัวตื่น เขากระพริบตาไล่ความง่วงงุน ก่อนจะหันมองไปที่ร่างของหน่องที่นอนอยู่ วงหน้าใสที่ดูเหมือนจะนอนหลับมาเต็มอิ่ม เปลือกตาเต้นสั่นไหวก่อนจะกระพริบลืมตาตื่น แววตาฉงนที่ส่งมาให้นายตำรวจหนุ่มราวกับมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ แต่ผู้หมวดหนุ่มก็หาได้สนใจด้วยความดีใจเขาโผกระโดดขึ้นไปนั่งด้วยบนเตียงก่อนจะช้อนร่างเล็กกว่าขึ้นมาสวมกอดพร้อมกับหอมแก้มไปเสียหลายฟอดก่อนจะมอบสัมผัสหวามหวานด้วยริมฝีปากของตนกับเรียวปากของคนร่างเล็กในอ้อมกอด หน่องเองจากที่แต่เริ่มก็พยายามดิ้นหนี ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันทีกับรสสัมผัสที่ได้รับก่อนจะหันผละออกพร้อมกับซุกซ่อนหน้าเข้าไว้กับอกแกร่งของนายตำรวจ ด้วยรู้ตัวดีว่าตอนนี้ผิวหน้าของตนเห่อร้อนและคงระเรื่อเสียจนแดงไปหมดทั้งหัวหู อับอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนีก็ไม่ปาน

   ควันสีดำลอยจากปล่องไฟทรงสูง หลังจากที่หน่องกับหมวดพชรเสร็จจากการวางดอกไม้จันทน์ที่บนเมรุก็พากันมายืนหยุดมองอยู่ไกลห่างจากผู้คน ทั้งสองแหงนมองตามควันไฟที่ถูกสายลมพัดพาแตกกระจัดกระจายไปบนท้องฟ้า บริเวณโดยรอบเหรื่อในวงการบันเทิง แวดวงข่าวมากหน้าหลายตารวมไปถึงประชาชนที่ชื่นชอบเอกวิน นรลักษณ์อยู่อย่างหนาแน่น แม้บางส่วนเริ่มจะพาทยอยกันกลับบ้างแล้ว
   สายตาของหน่องจ้องมองนิ่งไปบนท้องฟ้าก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ
   "หลับให้สบายนะหรั่งเพื่อนรัก ไม่ต้องเป็นห่วง หน่องสัญญาว่าจะจดจำหรั่งเอาไว้ในใจของหน่องเสมอ เราจะไม่มีวันลืมกัน หน่องสัญญา"
   รอยตำรวจโทพชร เขามายืนซ้อนที่ด้านหลังของหน่องพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างของตนยกขึ้นมาจับที่ไหล่ของคนตรงหน้าเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ "ผมก็สัญญา สัญญาว่าจะรักและดูแลเพื่อนคนสำคัญของคุณตลอดไป ผมสัญญา" 

- จบบริบูรณ์-

นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ ขอบคุณที่ร่วมติดตามและรับชมด้วยกันมาตลอดทั้ง 7 เรื่อง
โอกาสหน้าฟ้าใหม่ บรรดาคนเขียนทั้ง 7 คน อาจจะได้มีเรื่องใหม่ ๆ มานำเสนอ(หน้า) ให้กับคนอ่านทุกคนอีกครั้ง
สุดท้ายนี้อีป้าแก่ ๆ คนนี้ คนเดิม จะย้อนกลับไปทะลายไหที่ดองเอาไว้คาดว่าน่าจะเค็มได้ที่
ทั้ง 2 เรื่องกลับมาเคาะสนิมสร้อยร้อยเรียงเรื่องให้ทุกคนอ่านเหมือนเดิม
ขอบคุณที่ช่วยให้แรงใจและอยู่ด้วยกันมาตลอดจนจบ  (ได้ข่าวว่า อีป้าแก่ ๆ เกินลิมิด ไป 10 วัน เอง มั้งคะ)
ปล. ห้ามทวงตอนพิเศษ เพราะเหนื่อยโฮกกว่าจะเข็นเรื่องนี้ออกมาจนจบได้  :เฮ้อ:
     และขอแสดงความยินดีกับคนที่ตอบปัญหาถูกทั้ง 7 คนด้วยนะคะ
     ติดตามเรื่องรางวัลอีกครั้งที่ห้องพูดคุย รอให้ได้รางวัลมาครบเจ็ดชิ้นก่อนจะจับฉลากอีกครั้งค่ะ
     

ด้วยรัก
จากอีป้าแก่ ๆ ค่ะ

 :กอด1:



yunjaelover

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากๆ ค่ะ  สงสารแต่หรั่ง ต้องมาทำกรรมเพิ่ม  แต่คงไปแบบหมดห่วงที่  หน่อง มีคนดูแลแล้ว
โปรเจคนี้สนุกมากค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
  :กอด1:

shibao

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ stormphoenix

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-3
จบได้สมบูรณ์แบบ :pig4: :pig4:


สงสารก้อแต่หรั่งแหละ  แต่ก้อขอให้หรั่งไปสู่สุขตินะ :call: :call:


ปล.ไอ้ชั่วนั่นมันคงจิตหลอนเป็นบ้าใช่ไหมครับ :laugh: :laugh:สมน้ำหน้ามัน

Saint De Jupiter

  • บุคคลทั่วไป
 :3123:

จุ๊บๆๆ ขอบคุณฮะป้านัท

^___^

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
 :o12:  เศร้าอ่ะ  สงสารหรั่ง
แต่ถ้าไม่มีหรั่งคุณตำรวจกับหน่องคงไม่ได้เจอกันนะเนี่ย


ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
จบได้ประทับใจมากครับ  ความรักของเพื่อนแท้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
ขอบคุณนักเขียนทุกคนมากค่ะสำหรับเรื่องราวที่สนุกทั้ง 7 สี

runynam

  • บุคคลทั่วไป
จบได้น้ำตาไหลนองหน้ามากมาย แบบว่า
สงสารหรั่ง...มากอ่ะ :monkeysad:
ชอบประโยคประทับใจ

"ไม่หรอก หรั่งจะอยู่ด้วยกันกับหน่องเสมอ อยู่ด้วยกันที่ตรงนี้ไงคนดี"
"หรั่งจะอยู่กับหน่องที่ตรงนี้จะไม่หนีหายไปไหนตราบเท่าที่เราจะไม่ลืมกัน หรั่งสัญญา"


กรี๊ดดดดดดดดดดดดด สุภาพบุรุษมากอ่ะ หมวดเพขรเลยได้หน่องไปแนบอก
สมน้ำหน้า หนุ่มใหญ่ที่เป็นใครก็ไม่รู้ ขอให้มันหลอนอยู่อย่างนั้นล่ะ สม

 :mc4: จบโปรเจคได้สมบูรณ์ และ ตราตรึงใจมากค่ะ
หว้งว่าจะมีแบบนี้ เรื่อยๆนะค่ะ  :L2: :L1:

ออฟไลน์ taroni

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-27

ออฟไลน์ jiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1567
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +175/-2
เพิ่งเห็นว่าย้ายมาที่นี่แล้ว

สนุกมากมาย ขอบคุณค่ะ

ปล สงสารหรั่วเป็นที่สุดเลย

ออฟไลน์ ♠♥♦♣

  • ex-ChCh13
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1612
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-7
น้ำตาไหล ซึ้งมากมาย
ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้พบกันอีกครั้งนะ(อินจัดประหนึ่งว่าเป็นเมียหรั่ง)
สุดท้ายขอบคุณป้าจากใจค่ะสำหรับนิยายดีๆ ผีเฮี้ยน อิอิ
ทั้งๆ ที่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว ยังอุตส่าห์เข็นนิยายออกมาเพื่อพวกเราอีก นางงามจริงๆ
ขอบคุณนะคะ^^

Chubby

  • บุคคลทั่วไป

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งได้เข้ามาอ่านตอนจบวันนี้เอง สงสารหรั่งเนอะคุณนาย ชีวิตอาภัพนัก
ขอมอบ :L2: ขอบคุณสำหรับความสนุกจากเรื่องนี้ และขอ :กอด1:คุณนายเพื่อให้หายเหนื่อยจ้ะ
จะรอกินของดองทั้งหลายจากคุณนายนะเจ้าคะ ได้ข่าวว่าจะทุบไหดองทั้งหลายแล้ว อิ อิ

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
รู้สึกว่าจะมีเรื่องนึงนะคะที่จะครบรอบ1ปีด้วยนะคะ ถ้าจำไม่ผิด 555
ใครเจอก็ช่วยงัดๆ
ขึ้นมาด้วยนะคะ
เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่หน้าไหนแล้วค่ะ 555

MadamLilac

  • บุคคลทั่วไป
กว่าจะหาเรื่องนี้เจอ งุิงิ
ยังคงสงสารหรั่งจนวินาทีนี้ ปล่อยให้ท่านโรคจิตมันหลอนไปอย่างนั้นแหละ สะใจดี

ขอบคุณสำหรับเรื่องหลอนๆ สนุกๆ แบบนี้นะคะ

butterfly_bee

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งได้ตามเข้ามาอ่านโปรเจคเรื่องสั้นเจ็ดสี
อ่านแล้วทั้งสนุก สุข ซึ้ง หลอน เปรี้ยว หวาน มัน เผ็ด
ชอบมากมาย 
ขอบคุณนักเขียนทั้งเจ็ดท่านที่เขียนนิยายทั้งเจ็ดเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
ป้านัทครับ
ขอบคุณครับจบแบบบีบหัวใจมาก  สงสารหรั่งมากเลยครับ
ที่สงสารมากๆคือ หรั่งไม่เคยได้รับความสุขตั้งแต่เด็ก  แต่พอกำลังจะมีความสุขกลับมีคนมาพรากเอาชีวิตอีก  เฮ้อ
ขอบคุณครับป้านัท

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
อ่านแล้วแอบงงเรื่องDoomแฮะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เหลือไหมอ่ะคะ หรือใครกำลังนั่งดูทีวี? โอ๊ยยย งงง่ะ

ส่วนหรั่ง...น่าสงสารแฮะ โดนถ่วงน้ำทั้งที่ยังไม่ตาย... พออ่านช่วงเอามารวมแล้วแอบขาดตอน รู้สึกไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่

แต่แนวคิดดีมากเลยค่ะ ที่ทุกอันเชื่อมกัน สนุกมาก ชอบๆ^^

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
ก็จระเข้จากเพลิงพรายไงคะ ไปโปล่ที่ DOOM 555

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป


ตอนแรก "คำสัญญา"
เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูด้วยเหตุที่มีลักษณะถอดแบบชาวตะวันตกทั้งที่แม่เป็นคนไทย
อาจเพราะพ่อของเด็กคนนี้เป็นชาวต่างชาติ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นหน้าทั้งพ่อ
และแม่ นับตั้งแต่วันที่ได้ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้
เขาวิ่งไล่ตามท้ายรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ที่กำลังแล่นออกไปอย่างช้าๆ เพราะเพื่อน
ตัวน้อยของเขาได้ผู้อุปการะพาไปอยู่ด้วยในฐานะสมาชิกใหม่ของครอบครัว
เด็กทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นที่อุปถัมภ์ค้ำชูพวกเขา และ
บรรดาเด็กน้อยอีกหลายชีวิต บ้านที่มีคนเอาใจใส่ดูแลด้วยความรักจนพวกเขาเรียกได้
อย่างเต็มปากเต็มคำว่าแม่ บ้านที่คนภายนอกรับรู้กันด้วยคำว่า "บ้านเด็กกำพร้า"
นัยน์ตาสีอ่อนซึ่งเปรอะไปด้วยม่านน้ำตา เช่นเดียวกับเพื่อนรักซึ่งหันกลับมามองเขา
อยู่ในที่นั่งตอนหลังผ่านกระจกบานหนาของรถพร้อมกับมือน้อยที่โบกส่ายให้อยู่ไหว ๆ
หน่วยตาก็ฉ่ำน้ำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าเมื่อคืนที่ล่วงมาทั้งสอง
จะผ่านการร่ำไห้และนอนกอดกันจนหลับสนิทไปทั้งคู่เมื่อช่วงรุ่งสางของวันนี้เอง
"หน่อง! สัญญานะว่าจะไม่ลืมหรั่ง... หน่อง!!" เสียงตะโกนของเด็กน้อยที่วิ่งตามมา
ด้วยสองขายาวเก้งก้างซึ่งโบกมือใหญ่ตามส่วนผสมแห่งชาติพันธุ์ของเจ้าตัวส่งให้เพื่อน
ร้องบอกมาจากด้านหลังรถคันนั้นทั้งที่ยังร่ำไห้ จนสองสามีภรรยาที่อยู่ในที่นั่งตอนหน้า
ของรถ ต้องชะลอความเร็วลงก่อนที่ฝ่ายสามีซึ่งเป็นคนขับ จะกดปุ่มเลื่อนกระจกข้าง
ในตอนท้ายให้กับลูกชายคนใหม่ของเขาเพื่อให้ได้ยินคำสั่งลานั้นอย่างชัดเจน
เด็กชายตัวน้อยได้เพียงแต่ชะโงกหน้าออกไปนอกตัวรถพลางตะโกนตอบกลับไป
ให้กับเพื่อนรักของเขาเหมือนเป็นคำมั่นสัญญา
“หน่องไม่ลืมหรั่งหรอก! หรั่งก็อย่าลืมหน่องนะ!”  มือน้อยที่เกาะอยู่บนขอบประตู
เพื่อใช้พยุงตัวเองข้างหนึ่ง ถูกส่งออกไปโบกลาเพื่อนรักของตนเองส่งท้ายจนรถ
เคลื่อนออกไปพ้นอาณาเขตรั้วของสถานที่ ซึ่งนับจากนี้จะเป็นเพียงความทรงจำ
ก่อนที่เจ้าตัวจะหดศีรษะกลับเข้าไปในตัวรถ แต่ก็ยังคงหันมาทอดสายตาอาลัยให้เพื่อน
ที่เห็นอยู่ไกล ๆ กระทั่งลับสายตาไป

ในบ้านหลังน้อยที่อบอุ่น คุณสุมาลี และคุณอธิป สองสามีภรรยา ที่แต่งงานมาด้วยกัน
หลายปีแต่เป็นที่ตัวคุณอธิปเองไม่สามารถมีลูกได้ สามี ภรรยาคู่นี้จึงไปขออุปการะเด็ก
มาเป็นลูกบุญธรรม พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูหนูน้อยด้วยความรักจนบัดนี้เด็กคนนั้นเติบใหญ่
เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ช่างเจรจา และไม่ได้คับแค้นใจในเรื่องที่ตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ
แต่กลับเรียกทั้งสองว่า พ่อ กับ แม่ ด้วยความสนิทใจ   
“หน่อง… หนูไปสมัครงานไว้ที่ไหนบ้างล่ะลูก” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นระหว่างมื้อเช้า
บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันไปสบตากับลูกชายที่ฝั่งตรงข้าม
“หน่องก็ร่อนจดหมายสมัครไปเรื่อยแหละแม่ ที่ไหนเรียก ที่ไหนรับ หน่องก็ทำที่นั่น
แหละครับ” หน่องตอบกลั้วหัวเราะเบาๆ   
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวพ่อจะฝากงานให้แล้วกันนะ” คุณอธิปพูดขึ้นมาลอย ๆ
ทั้งที่กางหนังสือพิมพ์บังตัวเองเอาไว้เสียมิด หน่องได้แต่หันไปมองทางมารดาพลาง
ทำหน้าเจื่อนพร้อมกับส่งยิ้มปุเลี่ยน ๆ ให้
"ไม่ต้องมาทำเป็นสลดใส่แม่เลยนะหน่อง ดีแล้ว... จะได้ไม่ต้องหาให้เหนื่อย ให้พ่อฝาก
ให้ก็ดี เราน่ะรับปริญญามาได้ก็หลายเดือนแล้วนะ อีกอย่าง...งานสมัยนี้มันหายาก
นะลูก ถ้าไม่มีเส้นมีสายกับใครเค้าไม่ต้องตระเวนหาไปเป็นปีหรอกรึไง” คนเป็นแม่
ได้แต่บ่นด้วยไม่อยากให้ลูกต้องเหนื่อยกับการตระเวนหางานแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พอฝ่ายสามี
ออกปากจึงออกเสียงสนับสนุนให้ในทันที                                               
 “ครับพ่อ ครับแม่ เอาไว้อีกสักเดือน ถ้าไม่มีใครเขาเรียก หน่องจะทำตามที่พ่อว่าก็ได้ครับ”
หน่องจำใจต้องยอมตกปากรับคำออกไป แต่ก็ขอเติมข้อแม้ให้ผู้เป็นพ่ออีกสักหน่อย                                                 
“ตกลงว่าหน่องสัญญากับพ่อแล้วนะ” คุณอธิปได้ทียึดถือคำพูดลูกชายเป็นสัญญา
พลางยกยิ้มบางก่อนพับหนังสือพิมพ์ลงวางไว้ข้างตัว แล้วลุกจากโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมตัว
ออกไปทำงาน

ภายใต้แสงไฟสีสวยเย้ายวนตาซึ่งมีแสงวูบวาบจากแฟลชกระพริบประกอบตามจังหวะ
ที่ถูกกำหนดไว้อยู่เป็นระยะ เรือนร่างกำยำที่แทบจะปราศจากอาภรณ์ของเหล่าชายหนุ่ม
ซึ่งพากันยักย้ายส่ายเอวออกลีลาอย่างยั่วตายั่วใจตามจังหวะเสียงดนตรีที่เร่งเร้าอยู่บนเวที
ขนาดพอประมาณที่ประดับไว้ด้วยเสาสแตนเลสสีเงินวาววับ เสียงเบสหนัก ๆ ราวกับว่า
จะปลุกเร้าจังหวะการเต้นของหัวใจผู้ที่ได้รับฟังให้แทบจะกระดอนออกมาเต้นอยู่นอกช่องอก
ม่านควันที่ถูกฉีดพ่นออกมาจากเครื่องกำเนิดควันพาให้บรรยากาศรายรอบแลดูสลัว
เลือนลางราวกับม่านแห่งความฝัน
ภายในร้านที่เต็มไปด้วยชายหนุ่มหลายวัยและหลากชาติพันธุ์ ต่างพากันเป่าปากส่งเสียง
เล็กแหลม ปรบมือและหัวเราะร่าอยู่ในส่วนของโซฟาหนังหนานุ่มสีส้มสดที่หันหน้าไปยังเวที
เสียงตะโกนยั่วยุพวกหนุ่ม ๆ ที่อยู่บนเวที ให้ถอดปราการสุดท้ายบนเรือนร่างที่สมบูรณ์ไปด้วย
กล้ามเนื้อของวัยหนุ่มให้หลุดออกจากส่วนสงวน โดยที่ที่นั่งริมขอบเวทีมีสารพัดเพศพันธุ์
ทั้ง เก้ง กวาง หรือแม้แต่ ชะนี นั่งรายล้อมอยู่เต็มไปหมด เสมือนว่าเป็นทำเลทองแห่งการ
โลมเลียด้วยสายตาและวาจา รวมไปถึงการจาบจ้วงด้วยสัมผัสตามแต่ใจจะปรารถนา
เหล่าผู้ชมต่างพากันโบกธนบัตรมูลค่าหลักร้อยไปจนหลักพันให้สะบัดไปตามแรงมือ
แต่ก็มีบางคนที่ทำเป็นใจดี ทั้งที่จริง ๆ ใจกล้าถึงขั้นจงใจเอาธนบัตรสอดใส่ลงไปในขอบ
ของปราการด่านสุดท้าย เพียงเพื่อต้องการจะได้สัมผัสกับส่วนแข็งขันที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน
แบบเต็มไม้เต็มมือ
มีเพียงกะเทยสาวแอ็คชงค์หนึ่งเดียวซึ่งไม่เพียงแต่จะเอาธนบัตรห้าร้อยบาทในมือของตน
สอดเข้าไปเท่านั้น แต่เขากลับแนบนามบัตรที่ระบุชื่อและเบอร์โทรใส่ไปในเครื่องนุ่งห่ม
ที่แสนจะเล็กและรัดรูปอวดสรีระ ร่างกายของชายหนุ่มที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นด้วยกัน
บนเวทีแห่งนั้น ชายหนุ่มซึ่งเพื่อนร่วมอาชีพกล่าวขานเรียกนามของเขาแบบง่าย ๆ
 ตามลักษณะที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดอย่างภาพลักษณ์ของเขาว่า "หรั่ง"

ในห้องชุดพักอาศัยของคอนโดมิเนียมหรูกลางใจเมือง ร่างล่ำสันบนที่นอนหนานุ่ม
ซึ่งเปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อแน่นตามแบบฉบับของคนที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ
แต่แท้ที่จริงแล้วความสมบูรณ์ของเรือนร่างและมัดกล้ามนั้นได้มาจากการรับจ้าง
ทำงานหนักเมื่อครั้งอดีตแต่เยาว์วัย ผิวขาวอมชมพูตามชาติพันธุ์ ส่วนผสมที่กลมกลืน
กันระหว่างตะวันออกและตะวันตก ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูสด ประดับรอยบุ๋มบนสอง
ข้างแก้มให้ชวนมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยามที่เจ้าตัวแย้มยิ้มหรือหัวเราะ
เสียงเพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอนหนานุ่ม
ทำให้เจ้าตัวหลุดออกจากนิทรารมย์พร้อมกับเอื้อมมือออกไปคว้ามากดรับก่อนจะแนบ
ที่ข้างหู
"อเล็กซ์" ตื่นรึยัง วันนี้พี่ไม่ได้ไปรับเองนะ พี่ให้รถตู้ของหนังสือแฟชั่นที่เธอจะไปถ่ายแบบ
ให้เขาเข้าไปรับแทน เธอไปถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำให้เสร็จก่อน แล้วพี่จะพาไปแคสต์หนัง
พี่ติดต่อทีมงานไว้ให้แล้ว เร็ว ๆ นะ เดี๋ยวเจอกันเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที"
อ๊อบที่เข้ามาเป็นผู้จัดการและชักนำให้เขาเข้ามาสู่วงการบันเทิง โทรมาปลุกเขาแต่เช้า
แถมร่ายยาวจนคนรับแทบลืมหายใจไปชั่วครู่ก่อนจะวางสายไป
ชายหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอนก่อนผลุนผลันพาร่างเปลือยเปล่าของเขาเข้าห้องน้ำ
โดยไม่ลืมที่จะเร่งรีบทำเวลาด้วยรู้ดีว่า ที่พี่อ๊อบโทรมาปลุกนั้น แสดงว่าในเวลาอีกไม่เกิน
30 นาที เขาจะต้องพร้อมและลงไปรอรถที่จะมารับเขาไปทำงานก่อนเวลานัดหมาย
เล็กน้อย และนี่ก็จวนได้เวลาแล้วจริง ๆ

"เป็นไง... เมื่อคืนหนีไปเที่ยวไหนมา เช้านี้ถึงมานั่งทำเป็นเซื่อง" อ๊อบหันไปต่อว่าอเล็กซ์
พลางส่งสายตาดุ ๆ ไปให้ชายหนุ่มรุ่นน้องที่ตนเองกำลังปลุกปั้นเพื่อเป็นดาราในสังกัด
ของตนด้วยเห็นว่าปลอดสายตาของผู้สอดรู้สอดเห็น หลังจากชายหนุ่มแต่งหน้าจนเสร็จ
และรอเวลาเซตฉากในสตูดิโอ
"ผมไปหาเพื่อนที่บาร์มาน่ะพี่ ไม่ได้แอบไปเที่ยว สามทุ่มผมก็กลับมานอนที่ห้องแล้ว"
อเล็กซ์ตอบตามตรง
"ทีหลังอย่าไปอีกเลยนะ พี่ขอ เรากำลังจะมีชื่อเสียง พี่ไม่อยากให้ใครมาระแคะระคาย
เรื่องอดีตของเรา" อ๊อบสั่งห้ามพร้อมกับแจกแจงเหตุผล
"ครับ" อเล็กซ์เองทำได้เพียงแค่ตอบรับไปเท่านั้น ลึก ๆ ในใจแล้ว เขาเองก็เหงา แค่อยาก
ออกไปเจอะเจอกับคนรู้จักในบ้างครั้งก็เท่านั้น
"เดี๋ยวถ่ายแบบชุดนี้เสร็จพี่จะพาเราไปหาหม่อมเอียด ผู้กำกับชื่อดังเลยนะ พี่เอารูปและ
พอร์ตโฟลิโอของเราไปให้ท่านดู ท่านสนใจ... เลยให้เรียกไปคุยด้วย เห็นว่าท่านกำลัง
หานักแสดงประกบพระเอกดังเลยนะ... น่าจะเป็นโอกาสดีของเราล่ะ" อ๊อบบอกยืดยาว
ตามนิสัย
"เสร็จจากนี่ก็คงบ่ายแก่ ๆ กว่าจะไปถึงไม่ค่ำเลยเหรอพี่" อเล็กซ์ท้วงเสียงอ่อย
"ไม่เป็นไร... ท่านนัดที่วังตอนค่ำ ๆ ท่านบอกไม่ได้ไปไหน... ท่านจะรอ" อ๊อบแย้ง
"แหม! แหม! แหม! คุณป้ากับคุณน้องสองคนนัดจะไปไหนกันเหรอคะ" ช่างแต่งหน้า
สาวประเภทสองฝีมือดีแซวทักเสียงดังขณะก้าวเข้ามาในห้องแต่งตัว
"คืนนี้ไม่ไปปาร์ตี้กับพวกหนูรึคะคุณป้า" หล่อนกรีดกรายพลางร้องถามด้วยโทนเสียงสูง
ที่ดัดจนเล็กแหลม
"ฉันกับอเล็กซ์คงไปด้วยไม่ได้หรอก นัดหม่อมเอียดเอาไว้น่ะ เสร็จจากนี่ก็ต้องรีบไปกันเลย"
อ๊อบปฏิเสธกะเทยรุ่นน้องไปตามตรง
"เสียดายจังป้า นาน ๆ จะได้เจอกันสักที ปาร์ตี้นี่ก็เหมือนเป็นเลี้ยงขอบคุณป้ากับน้อง
อเล็กซ์นะคะ" คุณน้องช่างแต่งหน้าพยายามชักชวน
"พี่หมี... เจ๊ภาให้มาตามนายแบบแล้วครับ" เสียงทีมงานที่มาชะโงกหน้าประตูร้องบอก
"ไอ้หมาวัด ทีหลังเรียกชื่อชั้นเต็ม ๆ นะแก ไม่ต้องย่อ รัศมีย่ะรัศมี" กะเทยสาวช่างแต่งหน้า
แทบจะกรีดร้องด้วยเคืองที่ถูกเรียกชื่อตัวเองย่างย่อ ๆ จากชายหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งจะหัวเราะ
ใส่ซะเสียงดังก่อนจะเดินจากไป
"อเล็กซ์ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะตามไปก็แล้วกัน พี่ขี้เกียจแสบตาถ้าต้องไปดูเค้าถ่ายแบบนาน ๆ
ขอนั่งเล่นอยู่นี่ก่อนดีกว่า" อ๊อบบอกพลางรุนหลังของอเล็กซ์ให้เดินตามช่างแต่งหน้าสาว
ประเภทสองออกไป
................................................................................................^o^

"อ๊อบ... ฉันถูกใจพ่อคนนี้ของเธอจัง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างที่ใจฉันคิดเอาไว้เลย"
หม่อมราชวงศ์รังสรรค์ เทวฤิทธิ์ หรือที่คนในวงการมักเรียกว่า 'หม่อมเอียด' เอ่ยปาก
หลังจากที่อ๊อบพาอเล็กซ์เข้าไปนั่งบนเก้าอี้หลุยพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
ในห้องรับแขกที่หรูหรา ซึ่งอยู่ภายในตำหนักไม้เก่าสไตล์วิคตอเรีย มรดกตกทอด
จากท่านพ่อของหม่อมเอียด ซึ่งได้สืบทอดจากท่านปู่ของหม่อมเอียดมาอีกต่อหนึ่ง
เช่นกัน
"อ๊อบดีใจที่หม่อมชอบค่ะ พ่อคนนี้น่ะ... อ๊อบเห็นแววก็เลยชวนมาเข้าวงการ ถ้าหาก
ว่าหม่อมจะให้อเล็กซ์ทำอะไร... หม่อมก็บอกได้เลยนะคะ"  อ๊อบตอบพลางส่งยิ้ม
ประจบประแจง
"เขาเหมาะมากที่จะให้เล่นหนังของฉันนะอ๊อบ แต่..." หม่อมเอียดพูดยังไม่ทันจะจบดี
"แต่..อะไรคะหม่อม ถ้าเรื่องเรียนการแสดง อ๊อบก็กะจะให้อเล็กซ์เข้ามาเรียนกับหม่อม
ที่วังอยู่แล้วน่ะค่ะ" อ๊อบจีบปากจีบคอตอบ
"เธอนี่รู้ใจฉันดีจังนะ แล้วพ่อคนนี้เขาจะว่างมาได้วันไหนบ้างล่ะ" หม่อมเอียดถามพลาง
ส่งยิ้มไปทางอเล็กซ์
"หม่อมสะดวกวันไหนบอกมาได้เลยนะคะ อ๊อบจะกันคิวเอาไว้ให้ ช่วงนี้ก็มีแค่งานพวก
ถ่ายแบบนิตยสาร กับเดินแบบนิดหน่อย อเล็กซ์เองก็เพิ่งจะเข้าวงการใหม่ ๆ ถ้ายังไงอ๊อบ
รบกวนฝากหม่อมให้ช่วยอบรมสั่งสอนอเล็กซ์ด้วยนะคะ พ่อคนนี้เค้าตัวคนเดียว...
หาเงินส่งเสียตัวเอง เพราะไม่มีพ่อมีแม่เหมือนคนอื่นเขาน่ะค่ะ" อ๊อบร่ายสรรพคุณ
ของอเล็กซ์เสียยืดยาวพร้อมกับเรียกคะแนนความสงสารจากหม่อมเอียดเต็มที่
................................................................................................^o^

ตอนที่สอง "เพื่อนรัก"
 
   แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบเป็นระยะ ๆ เมื่อนักข่าวบันเทิงจากทุกสื่อต่างเข้ามาแย่งถ่ายรูปในวันสำคัญวันนี้ ด้วยเป็นวันเปิดกล้องพร้อมแถลงข่าวการถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่องใหม่ยิ่งใหญ่แห่งปี ที่ทุมทุนสร้างมหาศาล อำนวยการสร้างโดย บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของวงการ ภายใต้การกำกับและดูแลโดยหม่อมเอียด นักแสดงนำและนักแสดงสมทบจึงมารวมกันคับคั่งครบทุกตัวคน นักข่าวต่างพากันแย่งสัมภาษณ์นักแสดงจนดูวุ่นวาย แต่เมื่อพิธีกรกล่าวเชิญผู้สื่อข่าวให้เข้ามานั่งยังเก้าอี้ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ ความโกลาหลจึงสงบลง
   หลังจากช่วงเวลาของพิธีการผ่านพ้นไปความวุ่นวายก็กลับมาเยือนอีกครั้ง แต่ก็กินเวลาไม่มากนัก ด้วยเป็นเพราะนักข่าวต่างรุมสัมภาษณ์ด้วยการยิงคำถามกับนักแสดงเป็นราย ๆ ไปอย่างพร้อมเพรียงในคราวเดียวกัน จนในที่สุดก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหารว่างที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมรอไว้  อเล็กซ์ ที่เหน็ดเหนื่อยจากการถูกกรุ้มรุมปลีกตัวแยกออกมาหาเครื่องดื่มที่มุมกาแฟ เขาเดินเข้าไปยืนข้างชายหนุ่นร่างเล็กคนหนึ่ง โดยที่อีกคนยังมิได้สังเกตเห็นถึงการมาของเขา มือหนาเอื้อมไปคว้าหยิบถ้วยกาแฟที่คว่ำรออยู่ แต่ก็พลาดไปฉวยเอามือของคนด้านข้างที่กำลังเอื้อมมาจับถ้วยกาแฟใบเดียวกันไว้ได้เสียก่อน
   “ขอโทษครับเชิญคุณก่อน” อเล็กซ์ทำได้แต่เพียงกล่าวขอโทษเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มหูแบบสุภาพ พลางหันไปมองหน้าของเจ้าของมือนุ่มนั้นเต็มตาก่อนจะร้องเรียกด้วยความยินดีและเอามือออกจากมือของอีกคน
   “หน่อง! หน่องใช่ไหม! เป็นหน่องจริง ๆ ใช่ไหม?” อเล็กซ์ร้องถามระล่ำระลัก
   คนตรงหน้าได้แต่ทำหน้ายุ่งมองมาแบบสงสัย ว่าดาราหนุ่มรู้จักตนเองได้อย่างไร แต่เมื่อมองไปได้สักครู่ ความทรงจำเก่า ๆ ที่แสนเลือนรางก็กลับเด่นชัดขึ้นมาแทบจะทันที ภาพวงหน้าของเด็กชายเพื่อนสนิทในวัยเยาว์ซ้อนทับกันได้พอดิบพอดีกับดาราหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ
   “หรั่ง! หรั่งจริง ๆ ด้วย หน่องจำแทบไม่ได้เลย... ไม่คิดว่าหน่องจะได้มาเจอกับหรั่งอีกนะนี่” 

   หลังจากที่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอประมาณ ทั้งสองก็พากันปลีกตัวไปพูดคุยอย่างออกรสอยู่ในบริเวณสวนนอกห้องจัดเลี้ยง โดยเลือกม้านั่งซึ่งถูกจัดวางไว้ริมบ่อปลาข้างสถานที่จัดงานเป็นมุมส่วนตัวเพื่อระลึกความหลังและรับรู้ความเป็นไปของกันและกัน ภายใต้บรรยากาศของละอองน้ำฉ่ำเย็นจากน้ำพุในบ่อ และความร่มรื่นเขียวขจีของแมกไม้ในสวนซึ่งสร้างความอิ่มเอมแก่ทั้งคู่ จนเวลาผ่านมาได้ครู่ใหญ่ อ๊อบที่เดินตามหาอเล็กซ์มาซะทั่วงานก็เข้ามาถึงยังบริเวณที่เพื่อนทั้งสองคนนั่งคุยอยู่ก่อนแล้ว
   “อเล็กซ์ มาอยู่นี่เอง แล้วทำไมมานั่งอยู่นี่ได้หละ” อ๊อบก้าวพรวดเข้ามาพร้อมกับยิงคำถามใส่ตามวิสัยใจร้อนของเจ้าตัวแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันกับอเล็กซ์พลางขมวดคิ้วส่งแทนคำถามไปยังเด็กในสังกัด
   “พี่อ๊อบ... นี่หน่องเพื่อนผมเอง ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว หน่อง... นี่พี่อ๊อบผู้จัดการเราเอง” อเล็กซ์กล่าวแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
   “สวัสดีครับพี่อ๊อบ... ผมเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ของหรั่งครับ” คนตัวเล็กได้แต่กล่าวทักทายพลางกระพุ่มมือไหว้คนตรงหน้า ก่อนจะหยิบนามบัตรในกระเป๋าส่งไปให้คนอายุมากกว่า
   “สวัสดีจ๊ะ” อ๊อบที่ได้แต่ทักทายกลับตามมารยาท กลับต้องตาโตเมื่อเห็นว่า กระดาษใบเล็กในมือนอกจากจะระบุชื่อ  นิวัฒน์ แก่นกำภู  และเบอร์โทรศัพท์ ยังระบุตำแหน่งของคนตรงหน้าว่าเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิงของนิตยสารชั้นดีในเครือสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย
   “แหมอเล็กซ์ มีเพื่อนเป็นนักข่าวสายบันเทิงก็ไม่เคยบอกพี่สักนิดเลยนะเรา” อ๊อบทำทีแสร้งเป็นต่อว่าไปให้อเล็กซ์แบบเสียไม่ได้ แต่กลับส่งยิ้มประดิษฐ์หวานไปให้กับหน่องแบบเต็มใจ และหน่องเองก็จับสังเกตในกิริยานั้นได้
   “ถ้างั้นพี่ฝากหนูเขียนเชียร์อเล็กซ์ให้พี่หน่อยได้ไหมคะ คนกันเองนะคะ ถือว่าช่วย ๆ กันทำมาหากิน แล้วนี่ได้สัมภาษณ์กันไปบ้างรึยังคะ เดี๋ยวพี่จะได้นัดสัมภาษณ์แบบส่วนตัวให้นะคะ เอาเป็นสักวันศุกร์นี้ก็ได้นะคะ อเล็กซ์เค้าว่างพอดี ส่วนเวลากับสถานที่เดี๋ยวพี่ให้อเล็กซ์เค้าโทรไปบอกตามเบอร์ในนามบัตรนะคะ” อ๊อบจีบปากจีบคอบอกระรัวตามแบบของตัวเอง
   “ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมจะไปตามนัดนะครับ แต่วันนี้ผมขอถ่ายรูปหรั่งเอาไว้ก่อนนะครับพี่ วิวแถวนี้สวยดีด้วย” หน่องบอกพลางคว้ากล่องถ่ายรูปคู่มือจากกระเป๋าที่วางเอาไว้บนเก้าอี้ข้างตัวขึ้นมาปรับโฟกัส แล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพเพื่อนเก่าบันทึกลงในเมมโมรี่การ์ดของกล้อง
   “มา ๆ เพื่อนสองคนไม่ได้เจอกันนาน มา... พี่จัดให้นะคะ น้องยืนข้าง ๆ อเล็กซ์นะ... เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” อ๊อบบอกพลางเจ้ากี้เจ้าการจัดท่าทางให้ทั้งสอง ก่อนจะแบมือขออุปกรณ์ถ่ายภาพจากมือของหน่องมากดบันทึกภาพของทั้งสองคนไปเสียหลายรูป แล้วจึงส่งกล้องคืนกลับมาให้ผู้เป็นเจ้าของ
   “เอาไว้วันศุกร์เราเจอกันใหม่นะคะ พี่ขอบคุณมากเลยค่ะ” อ๊อบบอกพลางกระพุ่มมือไหว้ด้วยความเคยชินจนคนถูกไหว้รับไหว้แทบไม่ทันจึงต้องร้องบอก
   “พี่ครับ...ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับ ผมขอบคุณมากนะครับ แล้วเราเจอกันวันศุกร์นะครับ... สวัสดีครับพี่” หน่องระร่ำระลักบอกพลางกระพุ่มมือไหว้คนอาวุโสกว่า
   “จ้า... วันนี้อเล็กซ์ไม่มีคิวงานที่ไหนแล้วนะคะ เชิญตามสบายเลยค่ะคุณน้อง”  อ๊อบบอกพลางหันหลังเดินจากไปช้า ๆ
   เพื่อนทั้งสองใช้เวลาพูดคุยกันต่ออีกสักพักก็แยกย้ายจากกันโดยไม่ลืมที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของกันและกันเอาไว้เรียบร้อย

    "แม่ครับ ทายสิว่าวันนี้หน่องไปเจอใครมา" หน่องโผกอดแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นแทบจะทันทีที่เห็นหน้าก่อนจะเอ่ยถาม พลางเอาศีรษะถูบริเวณต้นแขนของผู้เป็นมารดาอย่างออดอ้อน
   "แม่จะรู้ด้ยังไงล่ะ ไอ้ลูกคนนี้... แม่ไม่ได้ไปด้วยเสียหน่อย" คนเป็นแม่ไม่เพียงแต่เลี่ยงตอบคำถามกลับกอดรัดฟัดหอมสองแก้มของหน่องไปเสียหลายฟอด
   "หน่องถึงให้แม่ทายไงครับ" หน่องบอกพลางหัวเราะร่า
   "บอกแม่มาเถอะ... แม่ไม่อยากทายแล้วจ๊ะ" สุมาลีบอกพลางเอามือลูบเรือนผมนุ่มบนศีรษะของลูกชายอย่างแผ่วเบา
   "แม่จำวันที่ไปรับหน่องมาอยู่ด้วยได้ไหม... ที่เพื่อนหน่องวิ่งร้องไห้ตามมาส่งหน่องจนรถของแม่กับพ่อพ้นประตูรั้วนะครับ" หน่องบอกพลางเอนตัวลงเอาหัวไปหนุนตักและนอนจ้องไปที่แม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย
   "เพื่อนหน่องที่ชื่อ... หรั่งใช่ไหม แหมผ่านมาเป็นสิบปี ยังได้มาเจอกันอีกนะลูก ถือเป็นโชคดีของทั้งสองคนเลยนะที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง... แล้วเจอกันได้ยังไงล่ะ" สุมาลีบอกพลางยิ้มหวานส่งให้ก่อนซักถามที่มาที่ไป
   "วันนี้หน่องไปทำข่าวข้างนอก เป็นงานเปิดตัวเปิดกองถ่ายหนังใหม่ของหม่อมเอียดครับ แล้วหน่องก็ไปเจอกับหรั่งที่นั่น แต่แม่รู้ไหม... ตอนนี้หรั่งเค้าเป็นดาราแล้วนะแม่ ถึงจะเป็นแค่พระรอง... แต่อีกหน่อยหน่องว่าหรั่งต้องได้เป็นพระเอกเต็มตัวแน่ ๆ เลยแม่" ชายหนุ่มเล่าพลางยิ้มตอบมารดาของตน
   "ดีจัง... แม่ดีใจด้วยนะ แล้วแม่จะไปดูนะครับ แต่ตอนนี้ แม่ต้องไปทำกับข้าวก่อนแล้ว... เดี๋ยวพ่อเราเขากลับมาจะมาว่าแม่ว่าไม่ทำอาหารเย็นเอาไว้ให้ แล้วลูกหิวรึยังล่ะหน่อง" สุมาลีบอกพลงเอาหมอนอิงซุกไปใต้ศีระษะลูกชายก่อนจะกระถดตัวลุกขึ้นยืนขณะที่ถามด้วยความเป็นห่วง
   "ยังไม่หิวครับแม่ หน่องรอกินพร้อมพ่อดีกว่า" 
   ลูกชายตอบพร้อมกับสำทับว่ารอผู้เป็นบิดา ด้วยรู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงจะกลับมาถึง เพราะพ่อของเขาไม่เคยกลับถึงบ้านค่ำมากนัก หากไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้ามักจะกลับมากินข้าวพร้อมกันทุกวันอยู่เสมอ เมื่อลูกชายบอกมาแบบนั้นคุณสุมาลีจึงลุกไปเตรียมอาหารมื้อเย็นไว้รอท่า ในเมื่อตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลากลับของหัวหน้าครอบครัวด้วยเช่นกัน

   "เป็นไงเรา... ทำงานมาได้จะครึ่งเดือนแล้ว ได้เขียนข่าวจริง ๆ กับเขามั่งหรือยัง" ผู้เป็นพ่อถามลูกชายระหว่างมื้อค่ำบนโต๊ะอาหาร
   "หน่องเขียนแล้วนะครับพ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้หน่องเอาไปสงให้ บก.ดูก่อน... แต่ข่าวนี้รับประกันว่าต้องได้ลงพิมพ์กรอบบ่ายพรุ่งนี้แน่ ๆ" เจ้าตัวตอบบิดาพร้อมสำทับด้วยความแน่ใจว่าข่าวที่เขาเขียนจะต้องได้พิมพ์ลงหนังสือ เพราะเป็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง
   "มั่นใจจริงนะเรา ไปทำข่าวอะไรมาล่ะ" คนเป็นพ่อถามกระเซ้า พร้อมกับหัวเราะถูกใจ
   "ก็ข่าวเปิดกล้องหนังของหม่อมเอียดไงครับ ข่าวใหญ่ขนาดนั้น... ยังไงเค้าก็ต้องเอาของหน่องลงอยู่ดีแหละครับ" ชายหนุ่มตอบเฉลยพร้อมหัวเราะร่าให้กับบิดา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
   "วันนี้นะ... พ่อรู้ไหมว่าหน่องไปเจอใครมาด้วยล่ะพ่อ"
   "ก็ไปเจอหม่อมเอียดกับดาราน่ะสิ... ไอ้ลูกคนนี้นี่ถามแปลก ๆ" บิดาตอบกลั้วหัวเราะพลางยกยิ้มยั่วกลับไปให้ลูกชาย
   "โหพ่อ... ตอบแบบนี้แล้วหน่องจะไปต่อถูกไหมนั่น  คืออย่านี้พ่อ... พ่อจำวันที่ไปรับหน่องมาอยู่ด้วยได้ไหมครับ เพื่อนหน่องคนที่วิ่งร้องไห้ตามหลังรถพ่อมาส่งหน่องไงครับ"
   "เอ... เพื่อนหน่องคนนั้น... แต่ผ่านมาหลายปีแล้วนะหน่อง พ่อจำชื่อไม่ได้แล้วนะ" ผู้เป็นบิดาตอบจริงจังพลางหยุดยิ้มและหันไปมองหน้าของบุตรชายช้า ๆ อย่างตั้งใจฟังความต่อ
   "หรั่งไงครับพ่อ ตอนนี้หรั่งเค้าเป็นดาราแล้ว... เป็นพระรองด้วย เล่นประกบพระเอกดังในหนังของหม่อมเอียดด้วยนะพ่อ... หน่องมีเพื่อนเป็นดารานะพ่อ" เจ้าตัวตอบพลางหัวเราะร่าและรอยยิ้มเต็มหน้าไปให้บิดา
   "อ้าว... อย่างนี้ก็ขอสัมภาษณ์ตัวต่อตัวลงสกู๊ปพิเศษเลยสิ ในฐานะดาราเพื่อนของนักข่าว" อธิปกล่าวกระเซ้าเย้ายั่ว
   "หน่องนัดไว้แล้วครับ... วันมะรืนนี้แหละ ยังไงพรุ่งนี้เช้าหน่องก็ต้องไปบอก บก.ที่ออฟฟิชก่อนอยู่ดี" ลุกชายคลี่ยิ้มบอกอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองได้โอกาสนำเสนองานสำคัญ

   อเล็กซ์กำลังนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นที่มีฟองครีมขาวละเอียดของครีมบาธหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้องปกคลุมตัวอยู่ ชายหนุ่นอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข เพราะสายน้ำและกลิ่นหอมช่วยผ่อนคลายความเมื่อล้าของร่างกายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับในวันนี้ เขาดีใจที่ได้เจอเพื่อนรักซึ่งห่างหายจากกันไปเป็นสิบปี ด้วยนับจากวันที่เพื่อนรักจากไปเขาทั้งสองก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย และไม่เคยได้ข่าวของกันและกันแม้แต่น้อย วันนี้เขามีความสุข หัวใจพองฟูจนคับอก และเป็นหนึ่งในเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งของเขา จนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมาคนเดียว
ในวันนี้เขาเหมือนได้วันเวลาเก่า ๆ ที่เลือนหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง พรุ่งนี้เขาจะโทรไปชวนหน่องให้มาที่บ้านของเขา คอนโดที่เขาอยู่ เพื่อจะได้นัดสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นข้ออ้างที่จะได้ทำให้เขากับเพื่อนได้เจอกันอีกครั้งเท่านั้นเอง 'แบบนี้ต้อฉลอง' เมื่อคิดได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกดระบายน้ำในอ่างออกก่อนเปิดฝักบัวให้สายน้ำเย็นจัดไหลรดลงบนร่างเพื่อชะล้างฟองครีมนุ่มจนหมดจดจึงปิดน้ำแล้วคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาซับตัวจนแห้ง ก่อนจะแต่งตัวแล้วผลุนผลันออกไปหาความสำราญยามค่ำคืน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:01:14 โดย จงกลนี »

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่สาม "ความต่าง"
   แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ถนนสายนี้ไม่เคยเงียบเหงา แสงนีออนหลากสีจากร้านรวงที่เรียงรายไปตลอดเส้นทางส่องสว่างไปทั่วทั้งสองฝั่งฟากของถนนซึ่งมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ บรรดาผีเสื้อราตรีออกกรีดกรายเริงระบำอย่างสนุกสนานไปตามจังหวะเสียงเพลงที่แต่ละร้านขยันเปิดเพื่อดึงดูดใจให้เข้าไปเยี่ยมเยือน แต่ที่ดูโดดเด่นจนแทบจะเป็นตำนานของถนนสายนี้ คือร้านที่ตังตระหง่านอยู่ตรงปากซอยยอดนิยมของบรรดาผู้ฝักใฝ่ในเพศรสของพวกเดียวกัน "เดอะ บัตเตอร์ฟลาย บอย" อาโกโก้บาร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องราตรี เพราะโชว์สนุกตระการตา พนักงานหน้าตาดี บริการได้ถึงอกถึงใจจนเป็นที่ประทับใจของลูกค้า
   ชายหนุ่มเดินเข้าไปทางประตูด้านหลังของร้านจนไปหยุดอยู่หน้ามาม่าซังผู้ซึ่งเคยดูแลช่วยเหลือเขามาตลอด นับจากวันแรกที่เขาเข้ามาทำงานจนไต่เต้าขึ้นสู่ความเป็นดาวเด่นของบาร์แห่งนี้
   "แหม... หรั่ง เจ๊กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย ไปไงมาไงถึงได้มาจนถึงนี่ได้ล่ะจ๊ะ" มาม่าซังในชุดกี่เผ้าไหมซาตินสีดำประดับขนเฟอร์สีแสดพวงยาวรอบบริเวณลำคออันเป็นยูนิฟอร์ของร้าน ทักทายก่อนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบคร่าว ๆ พลางเลื่อนมือขึ้นคล้องแขนชายหนุ่มให้ก้าวตามไปยังห้องรับรองพิเศษ
   "ก็คิดถึงเจ๊ไงครับ ผมเลยมาหา... ว่าจะแวะมาใช้บริการในฐานะลูกค้าบ้างไงครับ" อเล็กช์คลี่ยิ้มหยอดหวานทีเล่นทีจริง
   "ต๊าย! ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะจ๊ะ ดีล่ะ... เจ๊จะได้มอมแล้วรูดทรัพย์ให้หมดตัวเลยดีไหม" มาม่าซังสัพยอกกลับไปอย่างเอ็นดู
   "กลัวที่ไหนครับเจ๊ จัดมาเลยดีกว่า" อเล็กซ์รับมุขตามน้ำ แถมย้ำความต้องการของตน
   "งั้นเดี๋ยวเจ๊สั่งเด็กให้ยกเอาเครื่องดื่มมาเสริฟร์ก่อนแล้วกัน อยากดื่มอะไรดีจ๊ะรูปหล่อ" มาม่าซังถามด้วยกิริยาจริตจะก้านหูตาแพรวพราวตามอาชีพของหล่อน
   "ขอเป็นบรั่นดีแล้วกันครับเจ๊" 
   "โอเช... เดี๋ยวเจ๊จัดเต็มให้เลยแล้วกัน บรั่นดีพร้อมเพื่อนนั่งดื่มระดับดาวเด่นของร้านเลยนะจ๊ะ" หล่อนบอกพลางยกยิ้มอย่างรู้กันก่อนจะเปิดประตูออกไปจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าวีไอพี ไม่ถึงอึดใจประตูห้องรับรองพิเศษก็เปิดออกอีกครั้งโดยมาม่าซังคนเดิม พร้อมกับเด็กหนุ่มผิวขาวหน้าตาดี ตามมาด้วยบริกรที่ยกเอาบรั่นดีในขวดทรงกลมคอเรียวสวยและแก้วกระเปาะกลมก้านเตี้ยในถาดมาวางบนโต๊ะกลาง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรินเสิร์ฟให้อย่างรู้หน้าที่ทันทีที่มาม่าซังขยิบตาให้พลางนั่งลงประกบแขกคนสำคัญ
   "หรั่งจ๊ะ นี่น้องยุทธ เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานแต่ก็ขึ้นหม้อเป็นดาวดังของที่นี่ตอนนี้เลยนะ
 ยุทธจ๊ะ นี่พี่หรั่งจ้ะ ลูกค้าคนสำคัญของพี่เชียวนะ" มาม่าซังเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนรุ้จักกันอย่างเป็นทางการขึ้นมาอีกหน่อย 
   "สวัสดีครับพี่" ยุทธหันมายิ้มให้ก่อนจะยกมือไหว้และเอ่ยทักทาย
   "ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวเจ๊ไปดูแขกข้างนอกก่อนนะคะ ยุทธดูแลพี่เค้าดี ๆ ด้วยนะ" มาม่าซังเอ่ยขอตัวพร้อมสั่งกำชับให้ยุทธดูแลแขกเป็นอย่างดี ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวโดยไม่ลืมที่จะกดล็อคลูกปิดประตูเมือออกจากห้อง
   "ครับ" ยุทธรับคำ พร้อมกับเอื้อมไปคว้าเอาแก้วเครื่องดื่มสีอำพันบนโต๊ะมาป้อนส่งให้ถึงปาก
   "มาทำที่นี่นานหรือยังครับ" อเล็กซ์ถามก่อนจะอ้าปากรับและดื่มบรั่นดีที่ยุทธป้อมให้
   "ก็ไม่นานนะครับยังไม่ทันจะครบเดือนเลย" ยุทธบอกตามตรง
   "แล้วบริการดีกับทุกคนแบบนี้รึเปล่า" อเล็กซ์ กระเซ้ายั่วยิ้ม
   "ผมก็ต้องบริการแขกทุกคนเป็นอย่างดีอยู่แล้วล่ะครับ" ยุทธตอบกลับพลางส่งสายตายั่วยวน
   "บริการดี แล้วอย่างอื่นจะดีด้วยไหม" อเล็กซ์เอ่ยถามเสียงแหบพร่า
   "ก็คงต้องลองดูเองล่ะครับ จะได้รู้ว่าดีไหม" ยุทธเอ่ยตอบก่อนจะยื่นหน้าของตนให้เข้าไปใกล้กับคนตรงหน้าพร้อมกับเผยอริมฝีปากแตะเพียงแผ่วเบากับกลีบปากหนาได้รูปสวยนั้น อเล็กซ์กลับตอบรับจูบด้วยความพึงใจ ผิวหน้าขาว ๆ อมชมพูของเขา กลับเริ่มแดงจัดขึ้นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และความยั่วยวนของยุทธ เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นประคองท้ายทอยพร้อมกับสนองตอบจูบทักทายของยุทธกลับด้วยความเร่าร้อนที่มากกว่าของอีกฝ่าย ทั้งสองแทบจะพากันลืมหายใจ ยุทธเองก็ใช้สองมือของตนโอบกระชับคล้องรอบลำคอของอเล็กซ์เอาไว้ ก่อนที่อเล็กซ์ จะผลักให้ยุทธ เอนหลังราบลงไปกับโซฟาที่นั่งอยู่ และยุทธเองก็รู้ดีว่าจะตนเองต้องตอบสนองคนตรงหน้าอย่างไร ความเงียบเข้ามาครอบคลุมทั้งสองเอาไว้ มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดแผ่ว ๆ คลอเบา ๆ จากลำโพงเล็ก ๆ ของเครื่องเสียงชั้นดีหวานแว่วกังวานอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่พายุอารมณ์ของทั้งสองคนจะพัดโหมกระพือ ให้ไฟสวาทลุกโชนต่อเนื่องเนิ่นนานกว่าจะดับมอดลงได้ ทิ้งไว้แต่เพียงหยาดเหงื่อบนผิวเปลือยเปล่า และอาการหอบหายใจอย่างอ่อนแรงเท่านั้น

    ในบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งแถบชานเมืองกรุงเทพ ท่ามกลางความมืดของราตรี สายลมพัดโชยกลิ่นหอมของดอกราตรีที่ปลูกอยู่เป็นซุ้มข้างตัวบ้าน เข้าไปยังหน้าต่างห้องนอนของหน่อง ถึงแม้นจะปิดไฟในห้องเสียจนมืดเมื่อเจ้าตัวเริ่มจะเข้าสู่ห้วงนิทรา แสงจันทร์ที่ลอดส่องจากหน้าต่างสาดกระทบเข้ากับวงหน้าหวานที่กำลังพริ้มตาหลับ แพขนตาหนา และคิ้วเข้ม ๆ ประดับบนเรียวหน้า พร้อมริมฝีปากบางที่อมยิ้มอย่างมีความสุขในค่ำคืนนี้ ถึงแม้นว่าหน่องจะต้องนอนเดียวดายอยู่บนที่นอนหนานุ่มอุ่นสบาย แต่หน่องก็มีความสุข ในอ้อมกอดของหน่องตอนนี้ มีเพียงตุ๊กตาหมีโพลาร์ยัดใยสังเคราะห์นุ่มนิ่มขนาดไม่ใหญ่นักอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ตุ๊กตาตัวนี้ คุณสุมาลีมารดาเลี้ยงที่รับหน่องมาอยู่ด้วย ขอให้คุณอธิปผู้สามีซื้อให้หน่องในคืนแรกที่หน่องจะต้องนอนในห้องส่วนตัวห้องนี้เพียงลำพังในคืนแรก หลังจากที่นอนกับพ่อและแม่ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์นับแต่วันที่มาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ แม้นว่ากาลเวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ตุ๊กตาตัวนี้ เป็นของเล่นส่วนตัวชิ้นแรกที่หน่องเคยมี จากที่หนานุ่มกอดแน่น กลับกลายเป็นแบนแฟบลงไปกว่าเดิมมากแต่เขาก็ยังคงรักและนอนกอดด้วยทุกคืนตลอดมา โดยไม่เคยคิดจะทิ้งขว้าง ถึงต่อมาเขาจะมีของชิ้นอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกหลายชิ้นก็ตาม
   
   "หน่อง... ตื่นรึยังลูก เดี๋ยวจะสายเอานะจ๊ะ" คุณสุมาลีร้องเรียกที่หน้าประตูก่อนจะลองหมุนบิดลูกบิดประตูและพบว่าประตูไม่ได้ล็อค จึงเปิดออกแล้วเข้าไปร้องเรียกหน่องจนถึงเตียง
   "หน่อง... เช้าแล้วนะลูก อย่ามัวแต่ขี้เซาซิจ๊ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก" คุณสุมาลีร้องเรียกพร้อมเขย่าตัวปลุกลูกชาย
   "ครับ ตื่นแล้วครับแม่" หน่องตอบรับก่อนจะปรือตามองแม่ของตน ก่อนจะตาโต ตกใจเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ฝาผนังห้อง พร้อมตะโกนเสียงดัง
   "จะเจ็ดโมงแล้ว" พร้อมกับเด้งตัวกระโดลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว
   "แม่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วลงไปกินด้วยนะลูก" คุณสุมาลีบอกพลางเดินออกจากห้องไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารของบ้าน

   "สายแล้ว!" หน่องส่งเสียงดังพลางวิ่งไปตามทางเดินก่อนจะเอาบัตรประจำตัวพนักงานแนบเข้ากับเครื่องสแกนบัตร เมื่อเครื่องส่งเสียงบี๊บสั้น ๆ พร้อมกับที่เขามองดูตัวเลขดิจิตอลบนหน้าจอ ที่บอกเวลา แปดโมงยี่สิบเก้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปดโมงามสิบหลังจากเสียงบี๊บนั้น พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
   "เฮ้อ… ฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี"
   "ผมเข้าใจนะว่าเส้นยาแดงพอดี แต่งานเมื่อวานล่ะ เรียบร้อยดีไหม" เสียง บก. เอ่ยแซวด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่ดวงตาเต้นระยิบ ด้วยเสียงดุ ๆ ส่งมาให้ จากทางด้านหลัง
   "อุ้ย บก. ผมตกใจหมดเลย" หน่องพูดก่อนจะหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มปุเลี่ยนให้คนตรงหน้า
   "เรียบร้อยดีครับ เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บที่โต๊ะแล้วจะรีบเอางานไปส่งที่ห้องนะครับ" หน่องตอบก่อนจะทำหน้าจ๋อยเมื่อสบตาดุ ๆ คู่นั้น พร้อมกับวิ่งเอาของไปเก็บที่โต๊ะ ก่อนจะค้นหางานส่วนของเจ้าตัวจากในกระเป๋าออกมาถือไว้ แล้ววิ่งกลับไปหา บก. ที่ห้องทันที

   "ดี เดี๋ยวผมจะเอาลงข่าวกรอบบ่ายนี้เลยนะ แต่... ทีหลังไม่ต้องเขียนเยอะขนาดนี้นะ แค่ข่าวบันเทิงนิดหน่อย ถึงจะข่าวดังมากก็ตาม เอาแค่พอรู้เรื่องก็ได้" บก.ยังคงแกล้งทำเป็นเสียงเข้ม ก่อนจะเว้นวรรคและทำเสียงดุใส่อีกครั้ง
   "ก็ข่าวแรกของผมนี่ครับ บก. งั้นผมไปแก้มาส่งให้ใหม่ก็ได้ ขอเวลาอีกสักสิบนาทีนะครับ" หน่องตอบร้อนรน
   "เอางี้ อีกสิบนาทีเอามาให้ผมแล้วเรามาดูพร้อมกันอีกที" บก.ตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง
   "ครับ ขอบคุณครับ บก." หน่องรีบบอกพลางวิ่งตื้อออกจากห้องไปที่โต๊ะทำงาน และวิ่งกลับมาที่ห้อง บก.อีกครั้ง
   "อืม... ดีขึ้นนะ แต่ยังใช้ไม่ได้ ดูตรงนี้สิ" บก.ชมพอหอมปากหอมคอก่อนชี้แนะข้อผิดพลาดให้หน่องเข้าใจว่าจะต้องแก้ไขย่างไร
   "ทีนี้เข้าใจรึยัง" บก.เอ่ยถามพร้อมยกยิ้มบางอย่างใจดี
   "เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ บก.ต่อไปผมจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ" หน่องตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
   "แล้วคนนี้ใคร ดาราใหม่ของหม่อมเหรอ" บก.เอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเหลือบไปเห็นภาพประกอบข่าวที่หน่องถ่ายมาได้
   "ใช่ครับ" หน่องบอกตามตรง
   "หน้าตาดีทีเดียว ไม่ขอสัมภาษณ์ไปเลยล่ะ" บก.เอ่ยถาม
   "ผมนัดไว้แล้วครับ พรุ่งนี้แหละครับบก." หน่องตอบ
   "งั้นดีเลย ผมยกคอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษกรอบบ่ายเสาร์นี้ให้คุณไปเลยแล้วกัน ตั้งใจทำงานนะ"  บก.เห็นดีพร้อมกับสั่งกำชับงานมาอีกที
   "ขอบคุณครับ  ผมจะตั้งใจทำเต็มที่เลยครับบก." หน่องตอบพร้อมรอยยิ้ม และหัวใจพองโตคับอกด้วยความดีใจ

   บรรยากาศในการถ่ายทำภาพยนตร์ เป็นไปด้วยความเคร่งเครียด เนื่องด้วยเป็นซีนที่พระเอกกำลังประทะอารมณ์ขั้นรุนแรงกับดาราหนุ่มรูปหล่ออยู่อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ทั้งสองทำการรับส่งบทในส่วนของตนและถ่ายทอดออกมาได้ดีจนน่าตกใจ ทั้งกองพากันเงียบกริบรอชมและลุ้นไปด้วยใจจดจ่อ ขณะที่กล้องสามตัวทำงานของมันไปอย่างต่อเนื่องพลันพระเอกหนุ่มที่กำลังอินกับบทบาทการแสดงของตน ก็ส่งหมัดลุ่น ๆ เข้าไปที่โหนกแก้มของพระรองหน้าใหม่ ส่งผลให้คนโดนสอยเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาจริง ๆ กลายเป็นว่าพระเอกกับพระรองซัดกันนัวอยู่กลางกองถ่าย ต่างฝ่ายก็ไม่มีใครยอมใคร
   "คัท"
   
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 4 "ตัวแปร"
 


   พาดหัวตัวไม้หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันรุ่งขึ้น ทำเอาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ลงข่าวดังกล่าวขายดีเกลี้ยงแผงด้วยเวลาอันรวดเร็ว ข่าวที่ลงทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างแพร่หลาย สื่อทุกสื่อต่างพุ่งเป้าไปที่ทั้งสองคน และพยายามติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์เป็นกรณีพิเศษทั้งทางโทรศัพท์แบบรายงานสดออกอากาศ หรือสื่อสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ก็ตามที แต่ก็ไม่มีใครสามารถติดต่อได้เลย ทั้งสองยังคงเก็บตัวเงียบและงดกิจกรรมทั้งหมด รวมไปถึงกองถ่ายต้องหยุดถ่ายทำไปด้วยเป็นระยะเวลาถึงเจ็ดวัน แต่ทั้งนี้มีเพียง หนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียวที่ได้สัมภาษณ์พิเศษ ด้วยพระรองหน้าใหม่ตามข่าวได้โทรไปนัดแนะให้มาหาถึงห้องพักบนอาคารสูงย่านใจกลางเมืองด้วยตนเองแถมสำทับอีกด้วยว่าจะให้ข่าวใหญ่นี้เป็นพิเศษหากนักข่าวที่มาทำข่าวคือ นายนิวัตน์ แก่นกำภู หรือที่เขาเองเรียกว่า "หน่อง" ผู้เป็นเพื่อนรักตั้งแต่วัยเยาว์ของตน
   "หายากมากไหมหน่อง" อเล็กซ์ถามขณะที่เปิดประตูออกกว้างเพื่อรับหน่องเข้ามาในห้องพัก
   "ไม่ยากหรอก... เอ๊ะ! หรั่งหน้าหมดหล่อเลยนะ เขียว ๆ ม่วง ๆ ด้วย" หน่อที่ก้มหน้าถอดรองเท้า ร้องทักด้วยตกใจเมื่อเงยหน้ามาเห็นใบหน้าของเพื่อน ทั้งที่รู้ข่าวมาบ้างแล้ว แต่ก็อดกระเซ้าไม่ได้ ด้วยนิสัยขี้เล่นแบบเด็ก ๆ
   "เจอหน้ากันก็เล่นทักอย่างนี้เลยเหรอคนเรา" อเล็กซ์ ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเต็มตา
   "เออ ลืมไป... ขอโทษทีนะหรั่ง หน่องไม่ได้ตั้งใจ แต่มันอดไม่ได้ ไม่นึกว่าจะเป็นเยอะขนาดนี้" หน่องบอกพลางส่งยิ้มปลอบใจไปให้
   "ดีว่าหน่องถ่ายรูปหรั่งไปตั้งแต่วนก่อนแล้วนะ ขืนเอารูปวันนี้ไปลง... คงดูไม่จืดแน่ ๆ" หน่องบอกพลางระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
   "แล้วหน่องกินอะไรมารึยัง จะกินอะไรก่อนไหม... หรือจะทำงานเลย" อเล็กซ์ถามพลางรินน้ำใส่แก้วมาให้อีกฝ่ายที่นั่งรออยู่ในส่วนรับรองแขก
   "ทำงานก่อนเลยดีกว่า... เดี๋ยวค่อยกินก็ได้" หน่องบอกพลางหยิบอุปกรณ์บันทึกเสียงออกมาจากในกระเป๋าสะพายข้างของตนมาวางบนโต๊ะกลางพร้อมกับกดปุ่มบันทึกและเริ่มยิงคำถามทำงานในทันที

   หลังจากที่สัมภาษณ์และรับประทานอาหารร่วมกันหน่องก็ลากลับเพื่อรีบเอาไฟล์เสียงกลับไปทำการเขียนข่าว และบทสัมภาษณ์ส่งให้ บก.ที่สำนักงานในทันที บก.พึงพอใจผลงานและกล่าวชมหน่อง ก่อนจะเอาข่าวและบทสัมภาษณ์ส่งไปจัดหน้าลงพิมพ์ เพื่อจะให้ทันกับการวางแผง และด้วยผลงานชิ้นนี้ของหน่องทำให้เขาได้รับคำชมจากเพื่อร่วมงานทุกคน จนคาดว่าเจ้าตัวคงจะยิ้มหน้าบานไปได้อีกหลายวัน

   ส่วนเพื่อนอีกคนที่หลังจากรอให้ร่องรอยฟกช้ำบนใบหน้าจางลงไปบ้างแล้ว ก็ออกมาปรากฏตัวและทำงานออกงานตามปรกติแม้ว่าจะมีนักข่าวจากสื่อต่าง ๆ คอยไล่ล่าตัวเขาอยู่บ้างประปรายก็ตาม ส่วนคู่กรณียังคงเก็บตัวเงียบและงดให้ข่าวต่อไป อาจจะมีบ้างที่ทั้งสองต้องมาพบเจอกัน หรือจะต้องทำงานร่วมกันเพราะภาพยนตร์ยังถ่ายทำไปไม่ถึงครึ่งเรื่อง แต่ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดคุยสุงสิงกันมากเหมือนที่ผ่านมา แล้วก็ไม่มีใครสักคนจะเอ่ยถึงเรื่องที่ล่วงมาแล้วอีกเลย

   "อเล็กซ์... วันนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดของผู้ใหญ่ท่านนึง เจ๊ขัดไม่ได้... ถึงใจจะไม่ค่อยอยากให้เราไปเท่าไหร่" อ๊อบบอกหลังจากที่อเล็กซ์ เดินออกจากฉากที่กำลังถ่ายทำอยู่ด้วยหมดซีนของวันนี้แล้ว และกำลังจะเดินไปห้องพักเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
   "ทำไมล่ะครับพี่อ๊อบ... วันเกิดของใครเหรอพี่?" อเล็กซ์ถามพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
   "ก็ท่านนะสิ คนนะยังไม่เท่าไหร่... แต่สถานที่จัดงานนี่สิ บอกตามตรงนะ... ใจพี่ล่ะไม่อยากจะให้เธอไปเลยอเล็กซ์" อ๊อบบอกกระซิบด้วยความหนักใจ
   "แล้วเค้าจัดกันที่ไหนเหรอพี่อ๊อบ" อเล็กซ์ถามอย่างสงสัย
   "ก็เดอะบัตเตอร์ฟลายบอยน่ะสิ" อ๊อบบอกชื่อด้วยเสียงที่กระซิบเบากว่าเดิม
   "อ้อ...ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ ว่าแต่เราต้องไปถึงกันกี่โมงล่ะพี่อ๊อบ" อเล็กซ์บอกพลางยักไหล่ก่อนถามไถ่เวลา
   "ไม่ใช่เรา... แต่เป็นเธอคนเดียวต่างหากล่ะอเล็กซ์" อ๊อบบอกตามตรงพลางตีหน้ามุ่ยอย่างขัดในอารมณ์
   "ไปคนเดียวเหรอพี่... แล้วพี่ไม่ไปด้วยกันหรอกเหรอ" อเล็กซ์ถามด้วยความสงสัย
   "ก็เค้าเชิญเธอคนเดียวย้ำว่าแค่เธอคนเดียวนะอเล็กซ์" อ๊อบบอกพร้อมส่งสายตาสื่อความในไปให้
   "หมายความว่าผมต้องไปงานท่านคนนี้คนเดียวว่างั้นเถอะ" อเล็กซ์ตอบและย้ำทำความเข้าใจกับอ๊อบอีกครั้งพร้อมถอนหายใจ
   "เยส... แต่ไม่ต้องห่วงนะ ท่านปิดร้านเลี้ยงแบบลับเฉพาะท็อปซีเคร็ทกับเพื่อน ๆ ของท่านเท่านั้น ไม่มีนักข่าวหรือคนอื่นที่ไม่ได้รับเชิญปะปนเข้าไปหรอก ท่านเองก็คงไม่อยากเป็นข่าวหรือเปิดเผยเท่าไหร่ สบายใจได้อเล็กซ์" อ๊อบบอกพร้อมส่งยิ้มประจบประแจง
   "จริง ๆ พี่ก็ปฏิเสธไปแล้วนะ... ตอนที่เค้าติดต่อมา แต่พอมารู้ว่าเป็นท่านพี่ก็เลยจำใจต้องรับปากท่านไป ก็ใครจะไปกล้าขัดใจใหญ่คับฟ้าขนาดนั้น... ขืนไปทำให้โมโหเรื่องคงจะยาวไม่จบง่าย ๆ" อ๊อบร่ายยาวเป็นฉาก ๆ
   "ก็ได้พี่แล้วคืนนี้ผมจะไปก็แล้วกัน" อเล็กซ์บอกด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้ายสักเท่าไหร่

   บรรยากาศรอบ ๆ ถนนสายนี้เป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา แสงไฟหลากสียามค่ำคืนสว่างไสวราวกับว่าถนนสายนี้ไม่เคยหลับใหล "เดอะ บัตเตอร์ฟลาย บอย" ก็เช่นกัน แต่ถึงแม้ว่าป้ายไฟหน้าร้านจะเปิดเอาไว้ แสงสีตระการตาเต็มที่ แต่มีเพียงประตูหน้าเท่านั้นที่ไม่ได้เปิดเพื่อรอรับแขกภายนอก มีเพียงประตูด้านข้างเท่านั้นที่เปิดเพื่อรับแขกแบบเฉพาะการ โดยมีการ์ดร่างยักษ์สองนายยืนคุมเชิงอยู่ที่หน้าประตูเพื่อคอยตรวจตราและตรวจบัตรเชิญของแขกแต่ละคนที่ต่างพากันจอดรถไว้บริเวณลานจอด และเดินนวยนารถมาทางประตูทางเข้าด้วยเสื้อผ้าหน้าผมหลากแบบหลายแนวตามข้อกำหนดการแต่งกายที่ระบุไว้ในบัตรเชิญ เครื่องแต่งกายแฟนซีตามแต่ใจของผู้สวมใส่จะรังสรรค์แต่งมาเพื่อประชันกัน
   "คุณอเล็กซ์ใช่ไหมครับ" หนึ่งในการ์ดทักถามขณะที่อเล็กซ์ เดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าการ์ดร่างยักษ์ 
   "ใช่ครับ" 
   "ท่านสั่งไว้ว่าพอคุณมาถึงให้เข้าไปแต่งตัวด้านใน... มีช่างรอคุณอยู่แล้วครับ" หนึ่งในการ์ดชุดดำบอกพลางเปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้าไป โดยมีพนักงานของบาร์ที่สวมชุดผิดแปลกไปจากเครื่องแบบตามปกติของร้านซึ่งเป็นผ้านุ่งไหมพื้นสีแดงตาดเงินหยักรั้งเพียงชิ้นเดียวที่ห่อหุ้มท่อนล่างเอาไว้ได้อย่างหมิ่นเหม่ ขณะที่เครื่องแต่งกายท่อนบนกลับเป็นผ้าโปร่งสีเงินแลทะลุไปเห็นเนื้อหนุ่มได้โดยไม่ต้องอาศัยจินตนาการแต่อย่างใด ก่อนที่หนึ่งในพนักงานบริการจะพาอเล็กซ์ไปยังห้องที่มีช่างคอยบริการเสื้อผ้า หน้า ผม รออยู่ก่อนแล้ว
   เสื้อผ้าที่ช่างแต่งตัวเตรียมไว้สำหรับอเล็กซ์เป็นเสื้อสีขาวแขนสั้นคอปาดกว้างตัวยาวคลุมลงมาถึงบั้นท้ายเกลียวเชือกไหมสีทองพันผูกเอาไว้ที่ช่วงเอว ชายผ้าสีแดงขลิบลายทองทั้งผืนเหน็บเอวจากด้านหน้าอ้อมไปทางด้านหลังรอบลำตัว ปล่อยชายยาวอีกข้างมาคล้องเอาไว้ที่แขน รองเท้าสไตล์แกลดิเอเตอร์ซึ่งเป็นหนังโปร่งเส้นสายระโยงไปถึงหน้าแข้ง อเล็กซ์ถูกจับปรุงโฉมแต่งตัวละม้ายชาวโรมันโบราณก่อนจะถูกพาเข้าไปหาเจ้าของงาน

   ห้องจัดเลี้ยงด้านในถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดประหนึ่งจำลองสวนดอกไม้หลากสีสันที่กำลังแข่งกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ใต้ซุ้มโค้งหนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานซึ่งมีเครื่องแต่งกายละม้ายคล้ายคลึงกันกับอเล็กซ์  แต่ที่บนศีรษะเรือนผมสีอ่อนประดับด้วยพวงมาลาช่อมะกอกสีเงินยืนสง่าคอยต้อนรับแขกที่มาร่วมงานพร้อมกับรอยยิ้มมีเสน่ห์ ด้วยวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดีและอ่อนกว่าอายุจริงไปเป็นสิบปี บุรุษที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของประเทศ ถึงแม้ว่าจะหมดวาระลงไปนานแล้ว แต่อิทธิพล อำนาจยังคงมีอยู่อย่างมากมายจนใคร ๆ ต่างต้องยำเกรงไม่กล้าขัดอกขัดใจ และเรื่องที่เจ้าตัวจะไม่มีคู่ชีวิต ครองตัวเป็นโสดมาจนถึงปัจจุบันจะเป็นข้อครหา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาให้ระคายหู รวมถึงเรื่องรสนิยมทางเพศที่ผิดแปลกจากที่ควรจะเป็น ด้วยเจ้าตัวนิยมชมชอบหนุ่ม ๆ หน้าตาดี จึงมักมีข่าวออกมาในทำนองที่ว่าเจ้าตัวมักให้รางวัล หรือจัดเลี้ยงเป็นกรณีพิเศษแก่บรรดานักกีฬาหนุ่ม ๆ ประเภทหมัด ๆ มวย ๆ ที่สร้างชื่อเสียงมาให้แก่ประเทศในฐานะแชมเปี้ยนอยู่เสมอ ๆ อย่างไรก็ตาม ข้างกายของท่านผู้นี้ก็ยังคงแวดล้อมไปด้วยบรรดาชายหนุ่มประเภทดาราดัง ๆ และดาวรุ่งหน้าใหม่อยู่มิได้ขาด และพวกเขาเหล่านั้นก็ยินยอมพร้อมใจทำทุกอย่างเพื่อท่านผู้นี้ ผู้ที่ทะนงตนว่าอยู่เหนือคนอื่น ๆ และไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหน
   "สวัสดีครับ สุขสันต์วันเกิดครับท่าน" อเล็กซ์ยกมือไหว้ทักทายพร้อมอวยพรชายสูงวัยกว่าตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย
   "สวัสดีอเล็กซ์ ตัวจริงหล่อกว่าที่เห็นในรูปเยอะนี่เรา" ท่านเพียงแต่พยักหน้ารับและเอ่ยทักเสียงนุ่ม
   "ขอบคุณครับ" อเล็กซ์จำต้องตอบกลับตามมารยาท
   "ไม่ต้องเกร็งหรอกอเล็กซ์ ฉันไม่ใช่เสือใช่สางที่ไหนทำตัวตามสบายเถอะ แค่เธอมาคอยอยู่ข้าง ๆ ฉันก็พอ" ท่านเอ่ยบอกพลางยกมือกระดิกนิ้วเรียกบริกรที่ผ่านมาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วไวน์แดงจากถาดโลหะสีเงินท่านหยิบแก้วที่มีเครื่องดื่มสีแดงส่งไปให้อเล็กซ์ และยกแก้วในมือของตนขึ้นกระทบจนเกิดเสียงดังกังวานเบา ๆ
   บรรยากาศของงานเป็นไปด้วยความรื่นรมย์ แขกที่ได้รับเชิญซึ่งแม้จะดูบางตาแต่ก็ล้วนเป็นผู้อยู่ในแวดวงและเพศรสชนิดเดียวกัน การสังสรรค์จึงเป็นไปอย่างกันเองแต่ละคนกินดื่มอย่างสนุกสนานบางคนถึงขั้นเมามายจนครองสติตัวเองไม่อยู่แต่ก็มีคนคอยให้การดูแลปรนนิบัติกันแบบถึงตัวกระทั่งล่วงเข้าสู่วันใหม่ ช่วงเวลาหฤหรรษ์ของการสังสรรค์จึงสิ้นสุดลงพร้อมกับของชำร่วยที่บรรดาแขกพิเศษแต่ละคนได้รับกลับไปอย่างทั่วถึง     ก็คือบรรดาหนุ่ม ๆ ของร้านที่หิ้วปีกกลับไปให้บริการต่อกันเป็นพิเศษ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของงานวันเกิดซึ่งก็ได้รับพระรองหน้าใหม่ไปเป็นของขวัญพิเศษสำรับค่ำคืนนี้ด้วยเช่นกัน
   
   "ติ๊ด ๆ "
   "ติ๊ด ๆ "
   "ติ๊ด ๆ "
   เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าดังมาจากโทรศัพท์มือถือของหน่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงดังติดต่อกันโดยไม่ได้รับการเปิดอ่านในทันที ด้วยเหตุที่ผู้เป็นเจ้าของโทรศัพท์กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขบนที่นอนหนานุ่มแสนสบายภายในห้องนอนของเจ้าตัว

    'งานเลี้ยงเพิ่งเลิก กำลังจะกลับ'  ข้อความสุดท้ายจากอเล็กซ์ถึงผู้จัดการส่วนตัวก่อนเจ้าตัวจะปิดเครื่องไป
   
   "โอ๊ย! ทำไมติดต่อไม่ได้นะ... กดปุ่มจนนิ้วจะหงิกแล้วนี่" อ๊อบบ่นออกมา เมื่อทนพยายามติดต่ออเล็กซ์หลายครั้งแต่ทุกครั้งระบบตอบรับอัตโนมัติก็เพียงแต่ตอบกลับมา
   "เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้"
   เจ้าตัวยังคงเพียรพยายามติดต่อด้วยความง่วนงุนจนกระทั้งเผลอหลับไปในที่สุด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:02:06 โดย จงกลนี »

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ห้า "สิ้นแสงดาว"
   ดอกบัวสีสวยแย้มกลีบบานอวดโฉมงามอยู่เหนือผืนน้ำกว้าง ผิวน้ำพลิ้วไหวเป็นระรอกตามกระแสลมที่พัดผ่านส่งกลิ่นหอมเย็นรวยระรื่นชื่นใจ  ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเตรียมจะลาลับ แสงสีส้มเหลือบม่วงอาบย้อมปุยเมฆที่ประดับท้องฟ้าสีน้ำเงินซึ่งเข้มจัดขึ้นทุกที ฝูงนกตัวน้อยทยอยบินกลับรังนอนของมัน นกกาน้ำขนดำเป็นมันเลื่อมที่เกาะคาคบไม้ใหญ่ใบโกร๋นส่งเสียงร้องดัง "กา... กา... กา..." ทำลายความเงียบและบรรยากาศที่น่าอภิรมย์เสียสิ้น กระทั่งชายหนุ่มรุ่นกระทงที่เหวี่ยงแหจับปลาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลซึ่งกำลังเก็บกู้เครื่องมือของเขาขึ้นจากน้ำอดรนทนไม่ไหว จึงยิบฉวยสิ่งที่หาได้จากใต้น้ำปาขึ้นไปบนยอดไม้เหนือหัว ทำให้นกที่คนรังเกียจตกใจและบินหนีหายไป
   "กูตกใจหมดไอ้นกบ้า!” เขาสบถด่าเสียงขรม
   "ขวัญอ่อนจริงนะไอ้มิ่ง แล้ววันนี้มึงได้ปลาเยอะไหมวะ" เพื่อนคู่หูวัยไล่เลี่ยกันกล่าวเยาะก่อนจะเอ่ยถามจำนวนผลผลิตที่ได้ของวันนี้
   "หลายตัวอยู่ ดีกว่าไม่ได้แหละน่า เก็บชุดนี้เสร็จกูก็ว่าจะพอแล้วว่ะวันนี้" มิ่งบอกพร้อมกับใช้มือสาวแหที่มีปลาขนาดเขื่องติดอยู่กับตาข่ายหลายตัวนั้นอย่างช้า ๆ
   "แล้วมึงล่ะไอ้ก้อน... ได้ปลาเยอะไหม" มิ่งถามคู่หูที่มาด้วยกัน
   "เออ... กูกะว่าเหวี่ยงรอบนี้เสร็จกูก็จะขึ้นเหมือนกัน จวนจะมืดแล้วว่ะ" ก้อนบอกก่อนจะเหวี่ยงแหในมือลงสู่ผืนน้ำอีกครั้ง
   มิ่งที่ค่อย ๆ เดินขึ้นจากน้ำไปยืนที่บนตลิ่งริมบึง เขาค่อย ๆ  แกะปลาแน่นิ่งด้วยถึงฆาตรออกจากด้ายเหนียว ๆ ของตาข่ายก่อนจะเอามันใส่ลงไปในถังพลาสติกแห้งๆ ที่ข้างในมีเพื่อน ๆ ของมันนอนไม่ไหวติงรอท่าอยู่ก่อนแล้ว  ปลาบางตัวที่ยังไม่ถึงฆาตดิ้นกระแด่ว ๆ สะบัดโบกครีบหางอย่างเอาเป็นเอาตายพยายามกระเสือกกระสนให้ลำตัวหลุดออกจากเส้นใยเพชฌฆาตที่พรากเอามันขึ้นมาจากแหล่งพำนักพักพิง มิ่งทำเช่นเดียวกันกับตัวที่แน่นิ่ง แต่เขาต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าเพื่อจะเอามันออกสิ่งที่พันธนาการ  ก่อนจะค่อย ๆ หย่อนลงถังอีกใบที่มีน้ำและปลาที่ยังหายใจใส่เอาไว้บางส่วน
   "มิ่ง แหกูติดอะไรไม่รู้ว่ะ ดึงไม่ขึ้นเลย มึงลงมาช่วยกูก่อนสิ" ก้อนร้องเรียกเพื่อนมาจากในบึงน้ำ
   "รอแป๊บนึง...เหลืออีกสองตัว... เดี๋ยวกูลงไปช่วย" มิ่งตะโกนกลับไป
เมื่อปลาตัวสุดท้ายที่พยายามดิ้นอย่างเหนื่อยเปล่า แต่ก็หนีอุ้งมือของมัจจุราชไปไม่พ้น ถูกหย่อนลงในถังน้ำเพื่อให้ไปอยู่กับบรรดาเพื่อน ๆ ของมัน ที่ว่ายวนแตกตื่นชนกับด้านข้างของถังกึงกัง มิ่งก็เดินลงไปในบึงอีกครั้งตรงไปทางก้อนที่กำลังพยายามดึงเก็บกู้แหของตนแต่ก็ไร้ผล ความลึกของระดับน้ำแค่คอของทั้งสองที่ยืนอยู่คู่กันไม่ได้เป็นอุปสรรค์มากนัก ด้วยการประกอบสัมมาอาชีพที่ทำอยู่ทำให้พวกเขาช่ำชองทุกที่ทางของบึงน้ำกว้างแห่งนี้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ลดทอนคุณสมบัติข้อนั้นลงคือความมืดดำของท้องฟ้า
   "ไอ้มิ่ง มึงลองพยายามดึงขึ้นมานะ เดี๋ยวกูจะงมลงไปแกะดู" ก้อนบอกก่อนจะมุดไปใต้ผืนน้ำด้วยการคลำไปตามความยาวของเครื่องมือจับปลา ทั้งสองช่วยกันดึงช่วยกันลาก จนตาข่ายและสิ่งที่ติดอยู่เคลื่อนมาสู่ตรงส่วนที่ใกล้ริมตลิ่งเข้ามาทุกที ทั้งสองถึงกับตกตะลึงยืนแข็งทื่อนัยน์ตาเบิกกว้าง ก่อนจะเป็นมิ่งที่ได้สติตะโกนออกมาเสียงดัง
   "ไอ้ก้อน! ผะ... ผะ... ผีหลอก" พร้อมกับปล่อยมือออกจากปลายเชือกเครื่องมือทำมาหากินแล้ววิ่งตะเกียกตะกายหนีขึ้นไปบนฝั่ง
   "หะ.. ไอ้มิ่งมึงรอกูด้วย" กว่าก้อนจะแกะมือของตัวเองออกจากตาข่ายได้ สิ่งที่ติดอยู่กับตาขายก็โผล่พ้นน้ำออกมาให้เห็นจนติดตาเสียแล้ว
   "หมวดพชร... เข้าเวรที่นี่วันแรกมีคดีใหญ่ให้ทำรึยังล่ะ" ผกก.สน. ... ที่กำลังเปิดประตูออกจากห้องเดินเข้ามาถามสัพยอก รต.ท.พชร พงษ์ภิญโญที่โต๊ะร้อยเวร
   "ยังครับท่าน วันนี้มีแต่คดีจราจร กับคดีวิวาทเล็กน้อย ยังไม่มีเรื่องใหญ่ครับ" หมวดหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนพร้อมรายงานผู้บังคับบัญชาของตน
   "ตามสบายเถอะหมวด นี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวแวะไปหาอะไรกินกันสักหน่อยไหมหมวด" ผู้เป็นนายเอ่ยชวนแต่ยังไม่ทันไร เสียงวิทยุสื่อสารประจำสถานีก็ส่งเสียงเรียกมาเสียก่อน
    'มีผู้แจ้งเหตุ พบศพคนตาย ในบึงท้ายหมู่บ้าน... ท้องที่... ขอร้อยเวร ตรวจสอบด้วย ทราบแล้วเปลี่ยน' รต.ท. พชร เอื้อมคว้าหยิบไมโครโฟนมาถือไว้ในมือก่อนจะกดปุ่มที่ด้านขางแล้วกรอกเสียงลงไป
   "ทราบแล้ว เปลี่ยน"
   "ไม่ทราบว่าใครรับเรื่องครับ เปลี่ยน"
   "ผม... ร้อยตำรวจโทพชร พงษ์ภิญโญ ร้อยเวร สน... เดี๋ยวผมจะไปดูที่เกิดเหตุเอง...ทราบแล้วเปลี่ยน"
   "รับทราบ เลิกกัน"
   "ผมขอตัวไปดูที่เกิดเหตุนะครับ" ผู้หมวดหนุ่มคว้าหมวกมาสวมพร้อมกับทำความเคารพผู้เป็นนาย
   "ไปเหอะ โชคดีนะหมวด" ผกก.สน. ... เอ่ยรับทราบสถานการณ์สำคัญตรงหน้า
   
   "ทำไมยังไม่เปิดเครื่องสักทีนะอเล็กซ์ หายหัวไปทั้งวันทั้งคืนแล้วฉันจะไปตามตัวที่ไหนได้เนี่ย เค้าเลื่อนคิวมาถ่ายเป็นเช้าพรุ่งนี้แล้วด้วย ตายละฉัน ต๊าย ตาย ๆ ๆ" อ๊อบบ่นออกมาพลางเอามือทาบอก พร้อมกับพยายามจิ้มโทรศัพท์ติดต่อหาอเล็กซ์จนมือเป็นระวิง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักบนคอนโดสูงที่ปราศจากร่อยรอยการมีตัวตนของดาราหนุ่มที่อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเอง อ๊อบเดินไปตามทางเดินก่อนจะไปกดยืนรอลิฟต์ ระหว่างนั้นก็ยังคงเพียรพยายามโทรหาดาราหนุ่มในสังกัดแต่ก็ไร้วี่แวว เมื่อลิฟต์โดยสารที่ว่างเปล่ามาถึงเขาจึงเดินเข้าไปกดปุ่มชั้นล่างด้วยนิ้วมือข้างที่ว่างจากการกดปุ่มบนโทรศัพท์  'หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงอีกนะ ปีที่แล้วฉันก็เสียดาราดังอย่างนิว นวดล นรลักษณ์ไปคนนึงแล้ว ปีนี้คงไม่ต้อง... อเล็กซ์ เอกวิน นรลักษณ์...' ความคิดชั่ววูบของอ๊อบสะดุดหยุดลงทันทีก่อนที่บานระตูลิฟต์จะปิดลง

   รถกระบะสีดำคาดขาวกลางลำตัวรถด้านข้างพิมพ์ตราสัญลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับด้วยข้อความระบุพื้นที่ปฏิบัติการวิ่งเรียบไปตามถนน ก่อนจะหักหัวเลี้ยวเข้าถนนลูกรังแคบ ๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้สัญจรผ่านไปมา เพราะถนนเล็ก ๆ สายนี้ไปสิ้นสุดที่บึงน้ำกว้างหลังหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ ผู้หมวดหนุ่มจอดรถหยุดนิ่งใต้ต้นตะขบสูงแผ่กิ่งใบกว้าง ลำแสงจากดวงไฟหน้ารถส่องยาวไปจนถึงร่างของสองหนุ่มที่ยืนหน้าซีดปากสั่นเพราะความอกสั่นขวัญหาย ประกอบกับสภาพเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ยังคงเปียกชื้น ความเย็นเยือกของสายลมยามค่ำยิ่งส่งผลให้ความเหน็บหนาวเกาะกินเข้าไปถึงหัวใจ รต.ท.พชร บิดกุญแจดับเครื่อง พร้อมกับเปิดประตูแล้วก้าวเดินเข้าไปทางที่มีคนยืนรออยู่แล้วหลายคน
   "ผมร้อยตำรวจโทพชร พงษ์ภิญโญร้อยเวรสน... ตามที่มีคนแจ้งพบศพครับ" รต.ท.พชร ร้องถามก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าก้อนและมิ่ง ที่ด้านหลังหน่วยกู้ภัยกำลังขะมักเขม้นตามไฟเสียจนสว่างโร่เห็นชัดราวกับกลางวัน
   "สวัสดีครับคุณตำรวจ ผมเป็นคนโทรแจ้งเองครับคุณตำรวจ ผมชื่อก้อน ส่วนนี่ไอ้มิ่งเพื่อนผมครับ"  ก้อนที่ยังคุมสติตัวเองได้ดีกว่าชิงเป็นผู้บอกเสียเองก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับผู้หมวดหนุ่มได้ฟังทั้งหมด
   "แล้วตอนนี้ศพอยู่ไหน" รต.ท.พชร ซักถามถึงหลักฐานสำคัญ
   "ข้างหน้านี่เองครับ" ก้อนบอกพร้อมกับยกมือชี้นิ้วไปทางชายน้ำ
   "ทางนี้ครับคุณตำรวจ..." เสียงหนึ่งในทีมกู้ภัยร้องบอกออกมาจากทางชายน้ำ
   กระสอบป่านใบใหญ่หนาคือพันธนาการซึ่งห่อหุ้มร่างไร้วิญญาณเอาไว้เสียเกือบจะมิดชิดถูกลากมาวางเอาไว้ที่ชายน้ำ ส่วนของข้อมือที่นิ้วมือหงิกงอแข็งค้างโผล่พ้นปากกระสอบซึ่งใช้เชือกเส้นเล็ก ๆ มัดไว้แบบลวก ๆ จวนเจียนจะหลุดมิหลุดแหล่ นายตำรวจหนุ่มเดินเข้าไปหาหลักฐานชิ้นสำคัญก่อนจะบรรจงแกะปลายเชือกที่มัดปากกระสอบออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะเลื่อนปากกระสอบลงไป จนเผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ เขาค่อย ๆ เลื่อนกระสอบป่านลงไปอีกจนถึงบริเวณหน้าอกขาวซีด ผู้หมวดนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อมองเห็นรอยพาดผ่านสีม่วงอมแดง ที่รอบลำคอ ดวงตาไร้แววสีซีดเบิกโพลงแทบถลนออกมานอกเบ้าปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ขาวปราศจากสีเลือด ลำตัวเปลือยเปล่ามีรอยฟกช้ำจ้ำแดงเล็ก ๆ ให้เห็นแค่ประปรายบนหน้าอก ลำคอ และแผ่นหลัง แต่ไม่มีร่องรอยจากการโดนทำร้ายด้วยของมีคมอันจะก่อให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์จนทำให้ถึงขั้นต้องเสียชีวิต ผู้หมวดหนุ่มเดินผละออกมาจากหลักฐานชิ้นสำคัญของเขาก่อนจะเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก
   
   หน่องอมยิ้มแก้มแทบปริขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้อ่านข้อความที่อเล็กซ์ส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงแม้ว่าหน่องจะกดโทรศัพท์อ่านมันมาแล้วเป็นสิบรอบตลอดทั้งวัน หน่องเองก็พยายามกดโทรศัพท์ติดต่อหาเจ้าของข้อความที่ถูกแบ่งเป็นข้อความย่อย ๆ หลายอันส่งมาถึงเขา ข้อความที่ทำให้หน่องอารมณ์ดียิ้มได้ทั้งวัน และทุกครั้งที่อ่าน ข้อความที่ว่า
   'ตอนที่หรั่งส่งข้อความนี้...หน่องคงนอนหลับอุตุไปแล้ว... แต่หรั่งก็อยากส่งความคิดถึงไปหาหน่องอยู่ดีหน่องคงกำลังหลับฝันดี... หรั่งขอแค่ในฝันของหน่องมีหรั่งอยู่ในฝันด้วยสักนิด... หรั่งก็พอใจแล้ว'
   'จริงใจหรั่งอยากไปหาอยากอยู่ใกล้ ๆ กับหน่องเสมอ... แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้... งานยุ่งมาก... หน่องนอนเผื่อหรั่งด้วยนะ อิจฉาคนได้นอนจัง'
   'ไว้ว่างเมื่อไหร่ จะรีบไปหาให้ถึงที่เลย... จะไปอยู่ใกล้ ๆ จะไปเฝ้าดูแลไม่ให้คลาดสายตาเลยดีไหม อย่าเพิ่งเบื่อหรั่งก่อนก็แล้วกันนะ'
   'หน่องอย่าลืมสัญญานะ หรั่งเองก็จะไม่ลืมสัญญาของเราเหมือนกัน สัญญานะหน่องว่าเราจะไม่มีวันลืมกัน... รักหน่องเสมอแม้จะหมดลมหายใจ... หรั่ง'


--------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ 6 "ของขวัญ"
   เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่อยู่ในมือดังขึ้น อ๊อบขมวดคิ้วด้วยไม่คุ้นกับเลขหมายที่แสดงอยู่บนหน้าจอก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
   "สวัสดีครับ ผม ร.ต.ท.พชร พงษ์ภิญโญ ขอเรียนสายกับคุณอำนาจครับ"
   "สวัสดีจ้า อำนาจกำลังพูดอยู่จ้ะ ไม่ทราบว่าคุณตำรวจมีอะไรเหรอจ๊ะ" อ๊อบตอบรับพร้อมกับถามอย่างสงสัย   
   "ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมขอคุยเรื่องสำคัญสักครู่ครับ คุณเป็นผู้จัดการของคุณเอกวิน นรลักษณ์ ใช่ไหมครับ" ผู้หมวดหนุ่มพยายามบอกกล่าวความเป็นไปอย่างช้า ๆ
   "ใช่ครับ อ๊อบเป็นผู้จัดการของอเล็กซ์ ว่าแต่อเล็กซ์เป็นอะไรไปเหรอค่ะ" อ๊อบตอบรับพลางเอามือทาบอกนึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ตำรวจโทรมาหาตน
   "คุณอ๊อบใจเย็น ๆ นะครับ ตอนนี้คุณเอกวิน นรลักษณ์เสียชีวิตแล้ว" ร.ต.ท.พชร บอกประเด็นสำคัญในที่สุด
   "พระเจ้า! อเล็กซ์ตายแล้ว...เมื่อไหร่คะคุณตำรวจ แล้วตายได้ยังไง? ตอนนี้..." อ๊อบเข้าอ่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้นวมบุหนังหนานุ่มนึกใจหายพร้อมกับหวนคิดไปถึง นิว พระเอกดังในสังกัดของตนเมื่อปีก่อนที่เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ และคนที่นั่งไปด้วยก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงนิทรามาจนถึงวันนี้
   "เวลาที่เสียชีวิตกับสาเหตุการตาย ผมยังคงระบุชัดเจนไม่ได้ แต่ผมอยากให้คุณอ๊อบมายืนยันศพที่นิติเวชก่อนครับ แล้วคุณอ๊อบติดต่อครอบครัวคุณเอกวินได้รึเปล่าครับ" ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยขอให้อ๊อบไปพบที่นิติเวช
   "อเล็กซ์เป็นเด็กกำพร้า แต่ว่าเค้ามีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง เดี๋ยวอ๊อบจะโทรตามให้เค้าไปหาแล้วกันคุณตำรวจ  อีกสักไม่เกินสองชั่วโมงอ๊อบน่าจะไปถึง" อ๊อบบอกพลางนัดแนะเวลา
   "ครับ ผมจะรอที่นิติเวชครับ แล้วพบกันครับ" หมวดพชร บอกก่อนจะตัดสายไป

   โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อส่งเสียงดังเมื่อมีสายเรียกเข้าทำลายความเงียบเมื่อหน่องกำลังคุยงานอยู่กับ บ.ก. หน่องหยิบออกมาพลางส่งยิ้มแหย ๆ ไปให้คนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปาก
   "ขอโทษนะครับ หน่องขอรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ บ.ก." หน่องบอกขอ ก่อนที่คนตรงหน้าจะผงกหัวเชิงอนุญาตกลับมา
   "สวัสดีครับ หน่องพูดสายครับ" หน่องกดรับก่อนจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูพร้อมกับเอ่ยทักคนปลายสาย
   "สวัสดีจ้าน้องหน่อง นี่พี่อ๊อบนะ พี่เป็นผู้จัดการของอเล็กซ์ น้องหน่องจำได้ไหมจ๊ะ" อ๊อบกล่าวทักพร้อมแนะนำตัว
   "จำได้ครับพี่อ๊อบ พี่อ๊อบมีอะไรให้หน่องทำเหรอครับ" หน่องตอบพร้อมกับถามถึงเรื่องที่อีกฝ่ายโทรมาหา
   "น้องหน่องใจเย็น ๆ นะคะ... คือ... คือว่า... ตอนนี้... อเล็กซ์เค้า..."  อ๊อบบอกตะกุกตะกัก
   "หรั่งเป็นอะไรเหรอครับ หน่องพยายามโทรหาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า เค้าก็ไม่เปิดเครื่อง... หน่องติดต่อไม่ได้เลยครับ" หน่องบอกร้อนรน
   "คือน้องหน่องคะ น้องหน่องใจเย็น ๆ นะคะ คือว่า... ตอนนี้อเล็กซ์เค้าเสียแล้วค่ะ" อ๊อบพยายามบอก
   "น้องหน่องมาเจอพี่ที่นิติเวชนะคะ เป็นเรื่องด่วนมากเลย ฮัลโหล น้องหน่องได้ยินพี่พูดไหมคะ"
   "หรั่งตายแล้ว!" หน่องเผลอปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือตกมาอยู่ที่โต๊ะหน้า บ.ก. ใบหนาของหน่องขาวซีดด้วยความตกใจ บ.ก. จึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาคุยต่อเสียเองจนจบแล้วจึงวางสายไป

   ประตูสวิงบานใหญ่ดูเหมือนว่าจะหนาและหนักในความรู้สึกของหน่อง ฝามือขาวที่มีนิ้วเรียวยาวผลักมันเข้าไปอย่างช้า ๆ ด้วยความพยายาม จนอ๊อบที่รั้งอยู่ข้างหลังต้องยกมือขึ้นมาแตะหัวไหล่ของหน่องอย่างให้กำลังใจ
ทั้งสองเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงกลางห้องขนาดไม่ใหญ่นัก ที่กลางห้องมีเจ้าหน้าที่พร้อมกับร่างที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนใหญ่เสียจนมิดชิด
   "พร้อมนะครับ.. ผมอยากให้คุณสองคนช่วยยืนยันว่านี่คือร่างของคุณเอกวิน นรลักษณ์จริง ๆ ไม่ผิดตัวนะครับ" เสียงของนายตำรวจหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบในห้อง
   "พร้อมครับ" อ๊อบบอกก่อนจะหันไปมองหน่องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ที่ได้แต่เพียงผงกหัวโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
   "เชิญครับ" นายตำรวจหนุ่มบอกพร้อมกับพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่ข้างเตียงเข็น
   เมื่อเจ้าหน้าที่ตลบผ้าขาวที่คลุมเอาไว้ออกแค่อกเผยให้เห็นร่างที่นอนหมดลมหายใจอย่างชัดเจน เรือนร่างที่ขาวซีดปราศจากสีเลือด ละอองไอเย็นเกาะพราวตามร่าง หน่องเดินเข้าไปจนชิดพร้อมกับเอามือปิดปาก หยาดน้ำตาไหลรินออกมาราวกับไม่สามารถจะหยุดได้ ริมฝีปากขบเม้นเหมือนกับไม่อยากให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมา หน่วยตาแดงก่ำ หน่องค่อย ๆ เอื้อมมือของเขาส่งไปสัมผัสกับมือเย็นเยียบของร่างที่มีผ้าขาวคลุมเอาไว้แค่อก ก่อนจะโผเข้ากอดร่างแน่นิ่งของผู้ที่เป็นเพื่อนรักเอาไว้พร้อมหลุดส่งเสียงที่พยายามเก็บกลั้นเอาไว้ออกมาในที่สุด เสียงสะอื้นร่ำไห้พร้อมหยาดน้ำตาพร่างพราว อ๊อบที่เดินตามเข้าไปได้แต่เพียงพยามยามลูบหลังลูบไหล่เพื่อปลอบโยนให้หน่องคลายโศกเศร้าก่อนจะเอ่ยออกมา

   "นี่คือเอกวิน นรลักษณ์จริง ๆ ไม่ผิดตัวแน่" อ๊อบบอกด้วยเสียงเบาหวิวก่อนจะนิ่งค้างไป
   นายตำรวจหนุ่มได้แต่เดินไปหาคนตัวเล็กที่กอดศพเพื่อนพร้อมกับพยายามดึงมือออก แต่คนตัวเล็กก็ไม่ยอมปล่อยมือยังคงร้องไห้และสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของนายตำรวจหนุ่ม ความพยายามของนายตำรวจจบลงที่คนร่างเล็กซุกหน้าร้องไห้เสียงดังอยู่ในอ้อมอกของผู้หมวดหนุ่มก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
   
   "แล้วอ๊อบจะรับศพออกไปได้เมื่อไหร่... คุณตำรวจ" อ๊อบถามเมื่อเดินตามผู้หมวดที่อุ้มหน่องออกมาจากในห้อง
   "อย่างเร็วก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้าครับ ตอนนี้คงต้องปล่อยให้นิติเวชทำงานในส่วนของเขานะครับ" นายตำรวจบอกพร้อมกับนำร่างของคนในวงแขนค่อย ๆ วางลงบนเก้าอี้หน้าห้อง พร้อมกับเอาสมุดเล่มเล็กในมือส่งให้อ๊อบคอยโบกพัดให้ ส่วนตัวเอาพยายามแกะกระดุมและเข็มขัดของหน่องออกพอหลวมและพยายามบีบนวดจนหน่องได้สติ
   "แล้วนี่อ๊อบต้องจัดงานแถลงข่าวก่อนไหมนี่" อ๊อบพูดพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
   "ผมขอดูผลชันสูตรพรุ่งนี้ก่อนแล้วกันครับคุณอ๊อบ ผมว่ามันแปลก ๆ " ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยขอออกมา
   "แปลกยังไงเหรอครับคุณตำรวจ" หน่องถามด้วยความสงสัย พลางส่งสายตาจ้องมองไปทางหมวดหนุ่มอย่างงุนงง
   "ก็ตามร่างกายไม่มีบาดแผลใหญ่ ๆ เลยไม่รู้ว่าเขาตายยังไงนะสิ ตอนนี้พวกคุณอย่าเพิ่งแจ้งนักข่าวเลยครับ" ผู้หมวดหนุ่มบอก ก่อนจะขอร้องให้ปิดข่าว
   "เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาว่ากันอีกทีแล้วกันนะ" อ๊อบบอกก่อนจะหันไปสบตากับหน่อง
   "วันนี้เชิญพวกคุณกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะครับ นี่นามบัตรของผมครับ" นายตำรวจหนุ่มบอกพลางยื่นส่งนามบัตรไปให้กับทั้งสองคนคนละใบ
   อ๊อบกับหน่องตอบขอบคุณแล้วจึงยื่นส่งนามบัตรของตนกลับไปให้อีกฝ่ายเช่นกัน ก่อนที่อ๊อบกับหน่องจะขอตัวลากลับไป ร.ต.ท.พชร มองไปที่นามบัตรทั้งสองในมือ นิวัตร แก่นกำภู ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์... "นักข่าวเหรอนี่"

   ระหว่างที่ทั้งอ๊อบกับหน่องเดินออกไปที่จอดรถ
   "หน่องกลับยังไง เดี๋ยวให้พี่ไปส่งไหม บ้านอยู่ไหนล่ะหน่อง" อ๊อบถามพลางหันมาหยุดมองคนที่เดินตามหลังมาอย่างช้า ๆ
   "ไม่เป็นไรพี่ บ้านหน่องอยู่นนนะพี่ เดี๋ยวหน่องนั่งแท็กซี่กลับเองได้ ขอบคุณครับ" หน่องบอกกกกกอย่างเกรงใจอีกฝ่าย
   "ไม่เป็นไรหน่อง พี่ไปส่งได้ทางผ่านบ้านพี่อยู่แล้ว เออ... พี่มีของจะให้เราด้วยอยู่ในรถน่ะ" อ๊อบบอกพร้อมกับเดินนำไปที่รถ
   
   "ขึ้นรถเลยหน่อง" อ๊อบบอกพร้อมกับเอี้ยวตัวไปหยิบกล่องของขวัญเล็ก ๆ ที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีม่วงเหลือบลาสวยมีการ์ดใบน้อยใส่ซองสีโทนเดียวกันจ่าหน้าซองถึงหน่องแปะติดเอาไว้ตรงเบาะด้านหลังกลับมาส่งให้อีกฝ่าย
   "อะไรเหรอพี่" หน่องรับมาถือไว้พร้อมกับถามอย่างงงๆ
   "พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่เจอมันในคอนโดของอเล็กซ์ เห็นจ่าหน้าซองถึงหน่อง พี่ก็เลยเอามาให้ด้วย" อ๊อบบอกพร้อมกับหันมายิ้มให้คนข้าง ๆ ก่อนจะขับพาหนะออกจากที่ลานจอด
   "หน่องอยากรู้ก็แกะดูเลยซิ พี่ก้อยากรู้เหมือนกัน"
   หน่องแกะริบบิ้นสีสวยออกมาก่อนจะแกะกระดาษห่อของขวัญออกอย่างบรรจง กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบเล็กเป็นปราการกางกั้นสิ่งที่อยู่ภายในเอาไว้อีกชั้น หน่องขมวดคิ้วงุนงงก่อนจะค่อย ๆ เปิดฝาออกมา สร้อยคอเส้นเล็ก ๆ สะท้อนแสงสีเงินเป็นประกาย ตรงกลางห้องเพชรเม็ดเล็ก ๆ สีชมพูสดในตัวเรือนวัสดุเดียวกันกับสร้อยคอ
หน่องหยิบมันออกมาด้วยมือที่สั่นเทา เขาวางมันลงไปไว้ในกล่องอีกครั้งก่อนจะไปให้ความสนใจกับข้อความในการ์ดใบเล็กที่ถูกเขียนด้วยลายมือขยุกขยิก อ่านใจความได้ว่า

   ของขวัญชิ้นแรกหลังจากที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
                                     รักหน่องเสมอ
                                 หรั่ง
   
   เสียงเฮฮาพูดคุยหยอกเย้าเสียงดังท่ามกลางบรรยากาศของวงเหล้าที่ครื้นเครง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำกว่าห้าคนนั่งล้อมวงดื่มกินอย่างสนุกสนานบนสนามหญ้าหลังบ้านขนาดใหญ่ สายลมพัดไอเย็นเข้ามาแผ่ว ๆ อากาศเย็นสบายด้วยฝนซึ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน โต๊ะไม้ใต้ชายคามีอาหารเลิศรสที่พร่องไปมากหลายจาน พร้อมสุราฉลากดำตัวหนังสือสีทองในขวดแก้วหูหิ้วที่เจ้าของบ้านใจดีอภินันทาการ สำหรับลูกน้องคนสนิดใกล้ชิด เป็นสินน้ำใจตอบแทนพร้อมกับที่ได้วันหยุดพักเพิ่มในวันพรุ่งนี้ เสียงสรวลเสเฮฮาชักจะดังหนาหูขึ้นทุกที
   "เฮ้ย! เบา ๆ หน่อยพวกมึง ชักจะดังกันเกินไปแล้ว เดี๋ยวนายท่านก็ลงมาว๊ากเอาหรอก" ชายที่ดูเหมืนจะเป็นหัวหน้าของทุกคนเปิดประตูหลังบ้านออกมานั่งร่วงวงพร้อมกับบ่น
   "นายไม่ได้ยินหรอกพี่เสก ป่านนี้ถึงไหนต่อไหนไปแล้ว เห็นนายแบบคนนั้นมาหาตั้งแต่เย็น พอกินข้าวเสร็จก็พากันหายเข้าห้องไปเลยนี่พี่" ลูกไล่ร้องบอกพลางหัวเราะร่า
   "เออ อย่าเสือกปากมาก แดก ๆ เข้าไปเลยมึงไอ้ว่าน ไหนเอามากินสักแก้วสิพวกมึง" เสกบอกปรามพร้อมร่ำร้องหาเครื่องดื่ม ก่อนที่ชายอีกคนจะยกแก้วที่มีเหล้าพร้อมโซดาน้ำแข็งมาวางให้ตรงหน้า
   "ข่าวดีพี่... แก้วสุดท้ายพอดีเลยพี่เสก" เขาบอกลูกพี่
   "อะไรของพวกมึงว่ะ... กูเพิ่งจะหย่อนตูดยังไม่ทันได้กินเลย... หมดแล้วเหรอวะ ไอ้ว่านมึงขี่รถออกไปซื้อมาเลยนะมึง" เสกบ่อนพร้อมกับหันไปไล่ว่านให้ออกไปซื้อมาเพิ่มอีก
   "โฮ พี่เสก อะไรก็ไอ้ว่าน อะไรก็ว่าน ตลอดอ่ะ" ว่านบ่นกระปอดกระแปด
   "แล้วมึงจะไปซื้อให้กูไหม ไอ้ว่าน" เสกถามพร้อมกับยกเท้าขึ้นมาหมายจะยันไอ้คนข้าง ๆ
   "ไปสิพี่ ไปแล้ว" ว่านที่กระโดดหนีร้องบอกพลางวิ่งไปทางมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ด้านข้าง

   ว่านขึ้นขี่แล้วขับออกไปจากบ้านหลังงามบนเนื้อทีกว่าห้าไร่ มุ่งตรงออกทางท้ายหมู่บ้านไปตามถนนก่อนจะตัดเลี้ยวเลาะออกไปยังทางเล็ก ๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่ใบดกหนาแผ่กิ่งก้านตระหง่านมืดดำทั้งสองข้างของถนนลูกรังสายเล็ก ๆ ที่ทอดยาวจะไปตัดออกถนนใหญ่ข้างหน้าที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ ฟากหนึ่งของถนนเป็นบึงน้ำกว้างใหญ่ ผิวน้ำดำมืด ดอกบัวกลีบซ้อนบานแข่งเงาสะท้อนของพระจันทร์ดวงโตกลม กลิ่นหอมของดอกบัวล่องลอยไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน ผิวน้ำไหวระรอกริ้วเงาสะท้อนจากโพยมเพ็ญไหววูบวิบวับ ว่านขับรถมาด้วยความเร็วแสงไฟหน้ารถสาดตรงไปตามทางมืดเพราะความร่มครึ้มของต้นไม้สองข้างทาง ทันใดนั้นเงาดำขนาดใหญ่ก็วูบผ่านหน้ารถอย่างกระชั้นชิด เขาเบรกรถจนตัวโก่งก่อนจะหักหลบเงาดำแล้วเสียหลักล้มกลิ้งลงข้างทางตัวเขากระเด็นตกลงไปที่ริมบึง ส่วนรถที่ขี่มาก็กลิ้งล้มอยู่บนถนนนั่นเอง เขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ขาขวาที่บิดเบี้ยวผิดรูปกระดูกสีขาวที่หักทิ่มทะลุเนื้อบริเวณหน้าแข้งทำให้เขาขยับตัวหรือลุกขึ้นไปไหนไม่ได้ ทำได้แต่นอนร้องโอดโอยอยู่อย่างนั้น
   ก่อนที่เสียงอันน่าเวทนาจะหยุดลง ขนบริเวณท้ายทอยของเขาก็ลุกตั้งชัน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุ เขาพยายามสอดส่ายสายตาเพ่งฝ่าความมืดดำของผิวน้ำในบึง ท่ามกลางดอกบัวกลีบซ้อนและระลอกพลิ้วเต้นของเงาสะท้อนของดวงจันทร์ เงาดำที่มืดยิ่งกว่าผิวน้ำค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาอย่างช้า ๆ มุ่งตรงมาทางที่เขานอนแผ่อยู่ ภาพที่เห็นแทบทำให้เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ  เงาดำมืดที่เริ่มก่อเป็นรูปเป็นร่างคล้ายกับคนขึ้นทุกที ๆ ใบหน้าที่โผล่พ้นน้ำขาวซีดเสียยิ่งกว่าอะไรที่พบเจอ ขาวจนเห็นเส้นเลือดสีดำบนใบหน้าได้ชัดเจน ดวงตาสีขาวขุ่นฟ้ามัวไร้เงาสะท้อน ริมฝีปากดำที่ยกยิ้มกว้างจนเห็นซี่ฟันขาวได้ถนัดแม้จะมืดมิด เงาร่างในอาภรณ์สีดำนั้นค่อย ๆ คืบคลานมาคล่อมทับร่างของว่านที่นอนนิ่งอยู่ ใบหน้าชวนสยองก้มลงมองในระยะประชิด เส้นผมสีอ่อนแนบลู่ไปกับหนังศีรษะ หยดน้ำจากใบหน้าชวนสยองหยดติ๋ง ๆ ลงบนแก้มของว่านความเย็นเยียบของหยดน้ำที่ตกกระทบส่งความหนาวเหน็บซึมผ่านผิวหน้าเข้าไปสะท้านเยือกแทบจะทำให้โลหิตในกายแข็งเป็นน้ำแข็งตามไปด้วย ความกลัวเข้าไปกัดกินในหัวใจ
   ว่านที่พอจะมีสติหลงเหลืออยู่เล็กน้อยได้แต่เพียรพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนกระถดถอยหนี เขาพยายามพลิกตัวนอนคว่ำลงแล้วเริ่มใช้สองมือตะกุยดินข้างตัวเพื่อพาร่างของเขาไปให้พ้นจากสิ่งสยองขวัญที่กำลังสั่นประสาทอยู่ตรงหน้า เศษดินและเศษหญ้าฝังเข้าไปในเล็บมือทั้งสองข้างแต่ความพยายามของเขาก็ไร้เปล่า เมื่ออมนุษย์ที่หยุดนิ่งมองดูความทุรนทุรายของเหยื่อพร้อมกับแสยะยิ้มชวนสะอิดสะเอียนเพียงครู่ ก่อนจะคลานตามมาช้า ๆ  ติด ๆ  ว่านที่กำลังหาทางรอดเหลียวหันมามองพร้อมกับร้องตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง "ช่วยด้วย!!!!!" พร้อมกับสองมือที่ตะกุยดินพยายามจะให้เร็วยิ่งกว่าเดิมส่งผลให้เล็บจากนิ้วมือฉีกขาด โลหิตสีเข้มไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ขาและที่ปลายนิ้ว เลือดไหลนองเป็นทางยาวตามที่เขาดิ้นรน
   อมนุษย์ที่ตามมาจนทันใช้อุ้งมือขาวซีดและเย็นจัดจับเข้าที่ข้อเท้าขาข้างที่หักของว่าน ก่อนจะออกแรงลากเพื่อมุ่งย้อนกลับไปตามทางเก่า    
   "อ้า!!!!!!!!!!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของว่าน และการพยายามขัดขืนโดยการเพียรจิกนิ้วมือของตนลงไปในดินเพื่อชะลอแรงของอมนุษย์จนสุดกำลังแต่ก็ไร้ผล ทิ้งเพียงรอยครูดและรอยเลือดเป็นทางยาว เมื่อร่างของว่านถูกลากย้อนกลับตามทางที่มุ่งลงไปในบึงอย่างช้า ๆ  ลึกลงไป ๆ ทุกที
   "ช่วยด้วย... ช่วยด้วย... ช่วย..."" ผิวน้ำดำมืดกลืนร่างของว่านพร้อมกับเก็บกักเสียงสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะและวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:05:52 โดย จงกลนี »

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 7 "ฝัน"
   แสงอาทิตย์แผดแรงทะลุม่านโปร่งเบาที่ปลิ้วไหวเพยิบตามแรงลม คนที่นอนหลับไม่ยอมตื่นต้องกระเถิบถอยหนีความร้อนที่รุกไล่พลางตวัดผ้าห่มมาคลุมหัวหูเสียจนมิดทั้งที่อากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาบนผิวหน้า แต่เจ้าตัวก็ยังอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยด้วยรู้ดีว่าวันนี้เขาไม่ต้องรีบลุกตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานเพราะเป็นวันหยุดพักผ่อนของเขา ประกอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นเล่นเอาหน่องกว่าจะได้หลับก็ค่อนคืนไปนานโข   
   "ก็อก ๆ" เสียงเคาะประตูหน้าห้องนอนดังขึ้นและหยุดไปก่อนที่เสียงสัญญาณสายเรียกเข้าจะดังขึ้นตามมาไล่เลี่ย
   "ตรื๊ด ๆ  ตรื๊ด ๆ ตรื๊ด ๆ"
   "ตื่นแล้วครับแม่ ประตูไม่ได้ล็อคครับ" หน่องตอบด้วยรู้ดีว่าจะคนที่มาเคาะเรียกคือมารดาของตน ก่อนจะหันไปหยิบเครื่องมือสื่อสารมากดรับแล้วยกขึ้นข้างหู
   "สวัสดีครับ หน่องครับ" หน่องกรอกเสียงลงไปตามสาย
   ประตูห้องนอนเปิดขึ้นพร้อมกับร่างของแม่ที่เดิมมาหยุดนั่งลงริมที่นอนหนา พร้อมกับสายตาสงสัยใคร่รู้เมื่อสบดวงตาของลูกชายที่แดงก่ำช้ำบวม หล่อนเอานิ้วมือกรีดไล่คราบชื้นของน้ำบนหางตาทั้งสองข้างของลูกชายก่อนจะเอามือไปลูบเรือนผมนิ่มที่กระเซอะกระเซิงจับลูบให้เข้าที่เข้าทาง
   "พี่จะชวนหน่องไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย หมวดเค้าอยากจะถามอะไรเพิ่มด้วย... อีกอย่างหมวดเค้าบอกว่าผลนิติเวชออกแล้ว..." อ๊อบแจ้งความประสงค์มาตามสาย
   "ได้ครับพี่อ๊อบ วันนี้หน่องหยุดไม่ต้องไปทำงาน เดี๋ยวหน่องไปหา จะให้หน่องไปเจอพี่อ๊อบที่ไหนครับ" หน่องบอกรัวเร็ว
   "ไม่ต้องเดี๋ยวพี่ไปรับเอง หน่องแต่งตัวรอเถอะ พี่จวนจะถึงแล้ว ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเจอกันนะหน่อง" อ๊อบบอกก่อนวางสาย
   
   "หน่องเป็นอะไรไปลูก เมื่อคืนก็กลับมาเสียดึกเลยนี่ แล้วร้องไห้จนตาบวมเลยนะครับ" คุณสุมาลีถามพลางลูบศีรษะของหน่องอย่างแผ่วเบา
   "หรั่งตายแล้วครับแม่ เดี๋ยวพี่อ๊อบจะมารับหน่องไปข้างนอกนะครับ" หน่องบอกพลางซุกหน้าลงบนอกแม่
   "ตายเมื่อไหร่ แล้วตายได้ยังไง" คุณสุมาลีถามอย่างตกใจ พลางกอดหน่องเข้ามาแนบอกขึ้นอีก
   "รายละเอียดยังไม่ทราบครับ หน่องไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ" หน่องผละออกจากอ้อมอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปหอมแก้มมารดา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับภารกิจส่วนตัวแล้วลงไปรออ๊อบที่หน้าบ้าน

   รถเลี้ยวเข้าจอดที่ลานจอดรถหน้าสถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ หลังจากจอดรถก็พากันเดินขึ้นไปบนสถานี แต่ทั้งสองก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนายตำรวจหนุ่มที่นัดกันไว้ อ๊อบถามไถ่จากตำรวจนายอื่นแถวนั้นก่อนจะพาหน่องไปนั่งรอที่หน้าโต๊ะทำงานของหมวดพชร
   "อีกเดี๋ยวหมวดคงจะมา นั่งรอสักครู่นะครับ วันนี้แกไปทำคดีตั้งแต่เช้าแล้วครับ" นายดาบสูงวัยเอ่ยบอกกับทั้งสอง
   "ขอบคุณมากครับ" หน่องตอบพลางผงกหัว
   "อ้อ.. มาพอดีเลยครับ" ดาบบอกพลางหันไปทางประตูทางเข้า ทำให้หน่องต้องชำเลืองตามองตามไปด้วย
   "ขอโทษที่มาช้านะครับ" ร.ต.ท.พชร เดินส่งยิ้มมาให้แต่ไกลก่อนจะเอ่ยปากบอก
   "ไม่เป็นไรหมวด อ๊อบกับหน่องก็เพิ่งจะมาถึงได้สักครู่นี่เอง" อ๊อบบอกแทนเพื่ออีกคนพร้อมรอยยิ้มเซียว ๆ
   "ผมเพิ่งได้รายงานชัณสูตรก่อนจะโทรหาคุณอำนาจ คือจริง ๆ แล้ว..." ผู้หมวดพชร เอ่ยบอกรายละเอียดคร่าว ๆ ก่อนจะถามคำถามที่สงสัยบางข้อกับทั้งสอง
   "หมวดหมายความว่า อเล็กซ์ตายเพราะโดนถ่วงน้ำ..." อ๊อบหลุดพูดเสียงสูงพร้อมยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะแผ่วเสียงเบาลงในตอนท้าย
   "ใครทำ?" หน่องหลุดถามออกมา
   "คำตอบนั้นผมก็อยากรู้เหมือนกัน เค้าเคยมีศัตรูหรือขัดแย้งกับใครรึเปล่า?" หมวดหนุ่มตอบพลางหันไปสบตากับหน่อง ก่อนจะเอ่ยถาม
   "ไม่มีนะหมวด อเล็กซ์เพิ่งจะเข้าวงการได้ไม่นาน งานก็กำลังไปได้สวย แล้วหมวดเจออย่างอื่นอีกไหมในรายงานของหมวด" อ๊อบบอกพร้อมกับความงุนงงสงสัย
   "ก็เจอยาหลายเม็ดที่ในกระเพาะอาหารกับหลอดลม เป็นพวกมีฤทธิ์กล่อมประสาท กับ..." หมวดพชร บอกก่อนจะกลืนประโยคท้ายเอาไว้
   "หรั่งเล่นยาด้วยเหรอ แล้วอะไรอีกละหมวด" หน่องถามพลางหันไปมองทางอ๊อบ ก่อนจะหันกลับมาสบตานิ่งของนายตำรวจหนุ่ม
   "ร่องรอยฉีกขาดของเนื้อเยื่อทางทวารหนัก กับสารคัดหลั่งจำนวนมากคาดว่าน่าจะมีเกินสองคน" หมวดหนุ่มเอ่ยบอกเสียงเรียบพร้อมใบหน้านิ่ง
   "ฮะ! หมวดจะบอกว่าอเล็กซ์โดนข่มขืนเหรอ... พระเจ้า... โอ้..." อ๊อบตกใจแทบจะลุกเต้นผาง ดีที่หน่องหันไปคว้าแขนให้นั่งลงได้เสียก่อน
   "ไม่น่าจะใช่ เพราะหากโดนขมขืนบาดแผลคงจะฉีกขาดมากกว่านี้อีกหลายเท่า แล้วตามตัวไม่มีร่องรอยการโดนทำร้ายสักแห่ง มีแค่รอยฟันกับรอยเม้มเท่านั้นเอง" หมวดหนุ่มยังคงตีสีหน้านิ่งในขณะที่พูด
   "แล้วต้องทำยังไงต่อล่ะนี่ทีนี้ เฮ้อ..." อ๊อบบอกพลางถอนหายใจยาว
   "ผมขอให้คุณปิดข่าวเอาไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบสืบต่อ ยังไงถ้าพวกคุณเจอหรือนึกอะไรขึ้นได้ก็โทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ ผมจะรีบหาตัวคนผิดให้ได้เร็ว ๆ" หมวดหนุ่มบอกย้ำอีกครั้ง ทั้งสามใช้เวลาพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่หน่องและอ๊อบจะขอตัวแยกกลับไป
   "หมวดครับท่านผู้กำกับขอเชิญที่ห้องครับ" นายดาบเดินมาบอกหลังจากที่อ๊อบกับหน่องคล้อยหลังจากไปแล้ว
   "ขอบคุณครับดาบ ผมจะไปเดี๋ยวนี้" หมวดพชรบอกขอบคุณ
   
   "ก๊อก ๆ ขออนุญาตครับท่าน" หมวดพชร ยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนเอ่ยขออนุญาตกับคนในห้อง
   "เชิญเข้ามาเลยหมวด" เสียคนในห้องเอ่ยเชิญ
   "พอดีผมเพิ่งจะวางสายจากผู้ใหญ่เมื่อกี้นี่เอง ท่านขอให้ผมช่วยพูดกับคุณให้หน่อย จริง ๆ แล้วผมก็อึดอัดใจนะ แต่คนที่โทรมานะ ระดับ รองผอบอเชียวนะ เฮ้อ..." ท่านผู้กำกับเอ่ยบอกด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก
   "เรื่องอะไรครับท่าน" หมวดหนุ่มถามอย่างสงสัย
   "ก็คดีที่คุณทำอยู่นะสิ ดาราที่มีคนพบศพในบึงนั่นแหละ เค้าบอกว่าให้คุณรีบ ๆ ปิดคดีสรุปสำนวนง่าย ๆ เร็ว ๆ ไม่ต้องสืบให้ลึกไปกว่านี้แล้ว ผมเข้าใจดีว่าคุณเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน" ผู้กำกับบอกพร้อมสีหน้ากระอักกระอ่วน
   "ครับ ผมเข้าใจท่านดี ถ้างั้นผมจะรีบทำคดีให้เสร็จเร็ว ๆ แล้วกันครับท่าน ผมขอตัวก่อนครับ" ผู้หมวดหนุ่มกล่าวเสียงเรียบพลางเดินออกมาจากห้อง ทั้ง ๆ ที่ภายในใจกลับร้อนรุ่ม 'ทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนี้... ถึงกับต้องให้รองผอบอโทรมา... แล้วไอ้ความถูกต้องกับความเป็นธรรม... คนตายจะไปเรียกร้องหาเอาจากที่ไหนได้ กฎหมายจะมีเอาไว้เพื่ออะไร'

   ท้องฟ้าตอนบ่ายที่มืดสลัวราวกับเย็นค่ำ เมฆดำที่ลอยคล้อยต่ำ ลมกรรโชกพัดแรงกิ่งไม้ไหวเอนใบร่วงเกลื่อนกล่น บางส่วนปลิวตามลมเข้าไปในตัวบ้านทางประตูที่เปิดอ้าค้างเอาไว้ เสียงฟ้าคำรามลั่นมาเป็นระยะ  ๆ  ก่อนน้ำจากฟ้าจะกระหน่ำซัดสาดลงมาอย่างมากมาย
   "ปัง!" เสียงประตูไม้ที่เปิดทิ้งเอาไว้กระแทกปิดเสียงดังสนั่น ทำลายความเงียบในอณาเขตของบ้านหลังใหญ่
   "เปรี้ยง! โครม!" อสนีบาตฟาดผ่าลงบนกิ่งของต้นมะม่วงใหญ่ที่ปลูกมานานลำต้นใหญ่หนาที่ยืนต้นตระหง่านสูงกว่าต้นไม้อื่นในสวนหลังบ้าน เปลวเพลิงไหวเต้นระริกวูบวาบอยู่บนส่วนแขนงที่ฉีกขาดของกิ่งที่มีขนาดใหญ่ตามอายุของต้นก่อนจะจนร่วงหล่นลงมา เปลวไฟลุกโชนลามเลียตามกิ่งและใบด้วยเชื้อปะทุชั้นดีตามธรรมชาติยางไม้แห้งสีน้ำตาลแข็งที่เกาะอยู่รอบ ๆ กิ่งที่ร่วงลงมาพาดคาอยู่ระหว่างพื้นและรถจักรยานยนต์ซึ่งล้มคว่ำตะแคงพื้นที่ใต้ต้นด้วยน้ำหนักของกิ่ง น้ำมันจากในถังเชื้อเพลิงไหลนองกระจายวงไปรอบ ๆ ไฟจากกิ่งมะม่วงค่อย ๆ ลามเลียไปยังส่วนเบาะที่ทำจากหนังเทียมหุ้มฟองน้ำ ความร้อนจากเปลวเพลิงทำให้เกิดควันสีดำส่งกลิ่นเหม็นไหม้ลอยคลุ้งขึ้นสูง
   "ฉิบหาย!" เสียงสบถหลุดร้องออกมาจากปากซึ่งประดับด้วยเรียวหนวดเมื่อร่างกำยำที่อุดมด้วยมัดกล้ามหนาเปิดประตูหลังบ้านแล้ววิ่งออกมาด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวพันเอวเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ เขาวิ่งไปที่รถพลางกระชากเอากิ่งที่เป็นเชื้อไฟนั้นออก ก่อนจะหันไปฉวยหยิบเอากิ่งไม้ใบหนาใกล้ ๆ เอามาฟาดลงไปยังรถที่เปลวไฟกำลังเริ่มลุกโชนขึ้น ด้วยหวังเพียงแต่จะดับไฟให้มอดลงโดยที่ไม่รู้ว่ากิ่งไม้ในมือนั้นถูกอาบเอาไว้ด้วยน้ำมันเบนซินเสียจนชุ่ม ตอนที่เขาเงื้อขึ้นสูงละอองน้ำมันไหลหยดกระเด็นเปรอะเปื้อนเนื้อตัวและหัวหู
   "เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจ พร้อมกับเปลวเพลิงที่รถจักรยานยนต์มอดดับลง เขาพยายามยกรถที่ล้มตะแคงอยู่นั้นขึ้นมา
   "โอ๊ย!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมือของเขาคว้าจับไปโดนส่วนที่ไฟเพิ่งจะมอดดับลง ก่อนจะปล่อยมือสะบัดเร่า ๆ
   "ร้อนฉิบหาย" เขาสบถบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะกลับไปใช้ความพยายามก้มลงไปยกรถขึ้นมาอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
   ทันใดนั้นสายฝนก็กระหน่ำหนาหนักราวกับฟ้าถล่ม ก่อนสายฟ้าจะฟาดผ่าขึ้นอีกครั้งตรงกิ่งไม้ที่ใหญ่กว่าเดิม เปลวเพลิงลุกไหม้โชนก่อนจะร่วงหล่นลงมาใส่ศีรษะของคนข้างล่าง
   "โอ๊ย! อ้า..." เปลวเพลิงลามเลียลุกไหม้ตั้งแต่ผมบนศีรษะและเนื้อตัวบริเวณที่เปรอะเปื้อนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งกลิ่นเนื้อเหม็นไหม้คละคลุ้ง สองมือพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอดแต่น้ำหนักของกิ่งไม้ใหญ่กดทับให้ร่างหนานอนก้มหน้าจนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายหนีไปไหนได้ ร่างกำยำทำได้เพียงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สองแขนที่เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ยื่นยกสูงออกไปสองมือพยายามไขว่คว้าจับได้เพียงอากาศธาตุ
   "โอ๊ย.. ช่วยด้วย... ช่วยด้วย..." เสียงโหยหวนสั่นประสาทกรีดร้องดังก้อง แต่ก็ไม่มีใครสักคนสามารถที่จะได้ยินเพราะเสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมาดังกลบเสียงร้องของเขาเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่รอบ ๆ บ้านมีเวรยามคอยตรวจตราอยู่หลายคนในยามปรกติ แต่วันนี้บางส่วนไปอยู่เสียที่วัดเพราะเป็นงานตั้งสวดพระอภิธรรมศพของว่านเป็นคืนแรก และบางส่วนก็พากันหลบไปหาที่กำบังจากสายฝน บรรยากาศโดยรอบจึงแทบจะปราศจากผู้คน เสียงโอดโอยยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมกลิ่นของเนื้อคนไหม้ไฟ และเปลวเพลิงที่ลุกโหมแรงขึ้น
   "ช่วยด้วย... โอ๊ย... อ้า........................"  เสียงคร่ำครวญน่าเวทนาหยุดลงพร้อมกับร่างที่นอนแน่นิ่งและเปลวเพลิงที่กำลังลุกท่วมร่าง เสียงปริแตกของกิ่งไม้ปะทุด้วยความร้อนแรงจากเปลวไฟที่ลุกโชน
   ร่างโปร่งแลทะลุผ่านในอาภรณ์สีดำที่ห้อยหัวลงมาจากต้นมะม่วงสูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านใบดกหนาจนบดบังแรงฝนใต้ต้นเอาไว้เสียมิด ทั้งที่รอบข้างพ้นใต้ร่มครึ้มดกหนาสายฝนกำลังกระหน่ำจนชุ่มโชกเจิ่งนอง  ใบหน้าสยองขาวซีด มีเพียงแสงไฟวูบวาบและร่างลุกไหม้สะท้อนออกมาจากหน่วยตาขาวขุ่นฝ้ามัว ที่แสยะยิ้มส่งให้อย่างพึงใจก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป

   สายลมพัดกรูเกลียว ละอองน้ำเย็นของสายฝนที่กระหน่ำปลิวกระเด็นผ่านเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน
อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จากที่เคยร้อนอ้าวกลับเย็นยะเยือกราวกับอากาศในฤดูหนาว หน่องที่นอนกอดตุ๊กตาหมีโพลาสีขาวเอาไว้แนบอกเสียแน่น เสื้อยืดย้วย ๆ มอซอที่เจ้าตัวสวมใส่ คอกว้างไหลตกจากลาดไหล่ของร่างบางเผยให้เห็นลำคอที่สวมสายสร้อยเอาไว้ แสงสะท้อนแวมวาวของจี้เพชรสีชมพู ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนที่แสนเหน็บหนาว หน่องคว้ามือป่ายปะก่อนจะตวัดผ้าห่มนวมที่เจ้าตัวเผลอถีบพ้นออกจากร่างเมื่อหัวค่ำขึ้นมาห่อหัวหูจนมิดโพล่พ้นเพียงแค่ส่วนของวงหน้าขาวแสนหวานราวกับหนอนผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังกลายเป็นดักแด้รอตื่นขึ้นมาโบยบินด้วยปีกกว้างใหญ่ที่สวยงามของตน
   
   มือที่ใหญ่กว่ากางสายสร้อยที่ห้อยจี้เพชรสีชมพูเอาไว้ตรงหน้าก่อนจะยกลงแนบลำคอขาวของตนแล้วจึงติดตะขอสวมให้ที่ด้านหลัง ก่อนจะเอามือสองข้างนั้นโอบเอวกอดไว้พร้อมกับเอาคางมาเกยเอาไว้ที่ไหล่ของเขา
   "หน่องชอบไหม หรั่งเลือกเองกับมือเลยนะ" เสียงจากคนที่อยู่ด้านหลังพูดกระซิบลงข้างหูของตน
   "ชอบสิ แต่มันไม่แพงไปเหรอ...หน่องเกรงใจ..." เสียงยินดีที่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มสวยก่อนจะแผ่วลงในตอนท้ายของประโยค
   "ตอนนี้หรั่งมีทุกอย่างที่อยากจะมีแล้ว ทั้งชื่อเสียงเงินทองที่กำลังไหลมาเทมา ไม่มีอะไรแพงเกินไปสำหรับของขวัญที่หรั่งอยากจะให้หน่องหรอก" เสียงนุ่มแผ่วเบาอีกครั้งที่ข้างหูซึ่งกำลังแดงระเรื่อ ก่อนจะจับคนตัวเล็กกว่าหมุนกลับมาสบตาหวานฉ่ำของตน
   "หรั่งก็... ถ้ามีแล้วก็เก็บ ๆ เอาไว้สิจะได้มีเยอะ ๆ ไง" หน่องตอบพลางเหลือบตาลงตำ ไม่กล้าจ้องมองสบตากับคนตรงหน้าเท่าไหร่
   "หรั่งก็เก็บเอาไว้ให้หน่องแหละดีไหม" หรั่งพูดพร้อมยกยิ้มกว้างอย่างพึงใจเมื่อเห็นใบหน้าขาวของคนตรงหน้าขึ้นซับสีระเรื่อ ก่อนจะสวมกอดเอาไว้อีกครั้งในอ้อมอกหนาของตน
   "หรั่งก็มีหน่องคนเดียว หรั่งจะคอยเป็นกำลังใจ และจะคอยดูแลหน่องอยู่ข้าง ๆ ไม่หนีไปไหนดีไหม" เสียงนุ่มดังฟังชัดทุกคำ ทำเอาคนที่ซุกอยู่กับอกแทบจะมุดแทรกหน้าที่แดงกว่าเดิมพร้อมรอยยิ้มจนตามิดมุดเข้าไปซ่อนไว้ภายในอกแกร่งแน่นนั้น วงแขนยกขึ้นไปโอบเอวสวมกอดตอบแทนอ้อมกอดจากไออกอุ่นที่ได้รับ
   "ก็ตามใจสิ ถ้าหรั่งไม่เบื่อไปเสียก่อนนะ.." เสียงกระซิบจากคนในอ้อมอกหนาแผ่วเบาแต่ได้ยินแจ่มชัด
   "ก็หรั่งรักหน่องนี่นา จะให้รีบเบื่อเร็ว ๆ ไปได้ยังไง" หรั่งตอบพร้อมกับเอามือผลักหน่องให้ออกห่างจากอกก่อนจะใช้มือเชยคางของหน่องขึ้นมาพร้อมกับยื่นปลายจมูกโด่งสัมผัสผิวแก้มใสของหน่องแล้วสูดดมความหอมจากแก้มขาวนวล ก่อนจะรวบตัวไปกอดเอาไว้เสียแน่นอีกครั้ง
   "หรั่งสัญญาว่าจะอยู่กับหน่องและจะไม่ทิ้งหน่องไปไหน จนกว่าหน่องจะไม่ต้องการหรั่งอีกแล้ว หรั่งสัญญา" เสียงนุ่มทุ้มที่แฝงความหนักแน่นอยู่ในที กระซิบลงที่ข้างหูของหน่องอีกครั้งพร้อมปลายจมูกที่ยื่นมาสูดดมความหอมจากแก้มนวลอย่างพึงพอใจ
===============================================================

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:08:04 โดย จงกลนี »

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 8 "บุญบาป"
   หน่องลุกขึ้นมาแต่เช้าฟ้ายังไม่ทันจะสางดี เรียกได้ว่าตื่นก่อนไก่โห่เสียด้วยซ้ำ หน่องลงไปในครัวทำกับข้าวอย่างง่าย ๆ แต่ด้วยความตั้งใจ หมูทอดกระเทียมพริกไทกับผัดผักรวมใส่กุ้ง ถูกตักใส่ถุงพลาสติกมัดเอาไว้ด้วยหนังยางอย่างเรียบร้อยในถาดอลูมิเนียมใบใหญ่บนโต๊ะกินข้าวกลางครัวเล็ก ๆ กับข้าวถูกจัดเอาไว้อย่างละห้าถุง หน่องหันกลับไปคดข้าวที่ไอน้ำร้อนพลุ่งออกจากหม้อทันทีที่เปิดฝาออก ขาวเมล็ดสวยยาวเรียวส่งกลิ่นของข้าวสุกกระจายไปทั่ว
"หน่องตื่นมาทำกับข้าวแต่เช้าเลยหรือลูก กลิ่นหอมยั่วน้ำลายดีจัง" คุณสุมาลีที่เดินลงมาจากชั้นบนเอ่ยถามก่อนจะกล่าวชม
"หน่องจะใส่บาตรให้หรั่งครับแม่" หน่องตอบพร้อมรอยยิ้มเศร้า ๆ
"ดีแล้วลูก เดี๋ยวแม่ไปใส่บาตรกับหน่องด้วยนะจ๊ะ เอ๊ะยังขาดของหวานนี่หน่อง" คุณสุมาลีบอกก่อนจะทักถามด้วยสังเกตเห็นในสิ่งที่ขาดหายไป
"ไม่เป็นไรมั้งครับแม่แค่นี้ก็คงพอแล้วละครับ" หน่องตอบ
"พอดีเลยป้านีข้างบ้านเอาเค้กกล้วยหอมก้อนใหญ่มาให้เมื่อว่านตอนบ่าย ยังไม่มีใครได้กิน เราเอามาหั่นใส่ถุงเอาก็ได้" คุณสุมาลีบอกพลางหันเดินไปเปิดตู้กับข้าวก่อนจะหยิบขนมออกมาจัดการตามที่ว่า

   โต๊ะพับเล็ก ๆ ที่หน่องยกไปกางปูผ้าลายดอกไม้สีสวยเอาไว้อย่างเรียบร้อยบริเวณหน้ารั้วบ้าน บนโต๊ะมีถาดที่บรรจุถุงอาหารคาวหวานวางเอาไว้เคียงคู่กับขันอลูมิเนียมลายไทยที่บรรจุข้าวสวยพร้อมทัพพีตักข้าวลายเข้าคู่กันอย่างสวยงาม พระภิกษุสามรูปเดินแถวมาช้า ๆ  อย่างเป็นระเบียบและสำรวม ชายจีวรสีเหลืองไหวน้อย ๆ ขณะย่างก้าว มองเห็นได้ชัดมาแต่ไกล ด้วยเป็นเวลาเช้าและถนนในซอยตัดเป็นเส้นตรง บางคราท่านก็แวะรับภัตตาหารคาวหวานที่มีบางบ้านนิมนต์ให้รับบาตรตามรายทางก่อนพระสงฆ์ทั้งสามรูปจะเดินมาจนถึงหน้าบ้านที่หน่องและคุณสุมาลีคอยท่าอยู่
"นิมนต์รับบาตรด้วยเจ้าค่ะหลวงพ่อ" คุณสุมาลีเอ่ยเชื้อเชิญ พร้อมยกมือพนมไหว้ 
พระสงฆ์ทั้งสามรูปเปิดฝาบาตรออกเพื่อรับข้าวที่หน่องตักถวาย ก่อนที่คุณสุมาลีจะหยิบกับข้าวในถุงใส่ลงไปในบาตรแล้วจึงตามด้วยขนมที่จัดไว้เป็นอันดับสุดท้าย  พระสงฆ์ปิดฝาบาตรก่อนจะเอ่ยให้พร แล้วจึงเดินจากไปด้วยกิริยาสำรวม
"แม่ครับ พระมาบิณฑบาตแค่สามรูปเองเหรอครับ" หน่องถามอย่างสงสัย
"ปรกติแม่ใส่บาตรเฉพาะวันพระ แม่ก็เห็นท่านเข้ามาบิณฑบาตในซอยบ้านเราแค่สามรูปนี้เท่านั้นแหละจ้ะ เอ๊ะ!" คุณสุมาลีบอกก่อนสายตาจะสังเกตเห็น จีวรสีกลักที่โผล่พ้นจากหัวมุมของซอยย่อยเบื้องหน้า
"หน่อง พระมาอีกสองรูปแน่ะ" คุณสุมาลีบอกพลางระบายยิ้มบาง หน่องจึงหันกลับไปมองตามสายตาของผู้เป็นแม่
"ครบห้าองค์...ดีจังเลยนะครับ" หน่องบอกอย่างพึงใจ
"นมัสการพระคุณเจ้า นิมนต์รับบาตรด้วยครับท่าน" หน่องเอ่ยอย่างสุภาพ ด้วยสังเกตเห็นภิกษุสูงวัย ที่เดินนำอีกองค์ที่ยังดูหนุ่มกว่าหลายปี ด้วยท่าทางที่น่าเลื่อมใสศรัทธา ผิดแผกแตกต่างไปกว่า พระรูปอื่นที่พานพบมา
ทั้งสองหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหน่องและคุณสุมาลี ก่อนจะเปลื้องฝาบาตรเพื่อรับภัตตาหารที่ค่อย ๆ ลำเลียงใส่ลงไปด้วยมือของหน่องและคุณสุมาลี ทั้งสองรูปปิดฝา กล่าวให้พร ในขณะที่หน่องและคุณสุมาลีย่อตัวลงก้มหน้ายกมือพนมไหว้
"เกิดแก่เจ็บตายไม่มีใครหลีกหนีได้พ้นหรอกนะโยม ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง การจากเป็นทุกก็จริง แต่ไม่มีใครหลีกหนีกรรมที่ตัวเองก่อเอาไว้ได้พ้นแม้สักคน บุญกับบาปไม่อาจสามารถหักล้างกันหรือทำแทนกันได้ กรรมย่อมตามทันผู้ประพฤติกรรมเสมอ แม้วันนี้อาจไม่เห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่คนที่ยังอยู่พึงมีสตินะโยม" เสียงกังวาลฟังชัดแม้นจะแหบพร่าไปบ้างตามวัย เอ่ยบอกพร้อมกับมองตรงมาที่หน่องด้วยความเมตตา
"อะไรที่เป็นห่วงคอยผูกมัดก็ควรปล่อยวาง อย่ายึดมั่นถือมั่นกันอีกเลย" น้ำเสียงรื่นหูจากภิกษุหนุ่มเอ่ยเพียงเบา ๆ
"อาตมาทั้งสองเพียงผ่านทางมา เลยมาขอบิณฑบาต อย่าจองเวรต่อกันไปอีกเลย ในเมื่ออยู่กันคนละภพภูมิเสียแล้ว" ภิกษุชราเอ่ยบอกอย่างเมตตา พลางหันมองผ่านไปยังริมกำแพงรั้วเบื้องหลังของหน่อง
"โชคดีมีสุข บุญรักษานะโยม" ประโยคอวยพรเพียงสั้น ๆ ประโยคเดียวที่หน่องและคุณสุมาลีได้ยินและสัมผัสความเมตตาได้จากน้ำเสียงของภิกษุชรา รอยยิ้มอิ่มเอมอย่างเป็นสุขถูกจุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมกัน "สาธุ"  เมื่อหน่องและคุณสุมาลีเงยหน้าขึ้นมากลับพบเพียงแค่ความว่างเปล่าภิกษุทั้งสองที่เคยอยู่ตรงหน้ากลับหายไปทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

"หน่องเดี๋ยวอย่าลืมกรวดน้ำด้วยนะลูก" คุณสุมาลีเอ่ยบอกขณะที่ช่วยหน่องถือภาชนะเข้ามาเก็บในบ้าน
"ครับแม่" หน่องตอบรับก่อนจะวางโต๊ะพับแอบไว้ที่มุมหนึ่งในห้องครัว

"หลวงลุงครับ ดูท่าว่าเรื่องคงยังไม่จบลงง่าย ๆ เพียงเท่านี้นะครับ" ฐานวโรเอ่ยกับภิกษุผู้สูงวัยกว่า
"เราทำได้เพียงแค่นี้แหละฐานวโร อันที่จริงมันก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่แรกแล้ว กรรมของใคร ไม่มีใครไปตัดกรรมนั้นแทนได้ เราคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของแต่ละคนเถิด" ภิกษุชราเอ่ยตอบ

น้ำในแก้วใสไหลรินรดยังโคนต้นไม้ใหญ่ด้วยมือของหน่อง ก่อนจะซึมหายลงไปในดินจนหมด
"หน่องทำบุญใส่บาตรไปให้แล้วนะหรั่ง ขอให้บุญที่หน่องทำไปถึงหรั่งด้วยนะ  หน่องจะหาตัวคนที่ทำกับหรั่งให้ได้ เขาจะต้องชดใช้ความผิดที่ทำกับหรั่ง กฎหมายจะลงโทษพวกมันเอง" หน่องบอกพร้อมกับเอาแก้วน้ำไปเก็บ แล้วจึงรีบออกจากบ้านเพื่อไปทำงานโดยที่หน่องไม่ได้ยินเสียงขอบใจเบา ๆ ของเพื่อนผู้จากไป เสียงแผ่นเบาราวกับเสียงกระซิบฝากผ่านสายลมที่โชยพัดมาเอื่อย ๆ

 



"เฮ้ย!" พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ตัวใหญ่หรา ทำให้ร้อยตำรวจโทพชร เผลอร้องเสียงดังและกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนจนสุดความสูง จากที่เขาเพิ่งจะเดินเข้ามาคลี่หนังสือพิมพ์กรอบบ่ายซึ่งเพิ่งจะฝากเด็กร้านข้าวข้างล่างซื้อเข้ามาให้อ่าน  จนเพื่อนตำรวจนายอื่น หันกลับมามองที่เขาเป็นตาเดียวกัน
"ขอโทษครับ ไม่มีอะไรครับ"  ผู้หมวดหนุ่มแก้ตัวพร้อมส่งยิ้มเก้อเขินไปทั่ว ๆ  ก่อนจะลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานอีกครัง พลางครุ่นคิด 'ก็บอกให้ช่วยกันปิดข่าวไว้ก่อน ไหงเล่นออกสื่อขนาดนี้... ฝีมือนายตัวเล็กแน่ ๆ เลย เห็นเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ ดื้อเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ' แล้วอ่านข่าวด้านในโดยละเอียด

"สวัสดีครับ" หน่องยกหูโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขาขึ้นรับสาย หลังจากที่ปล่อยให้มันส่งเสียงเรียกอยู่นาน
"สวัสดีครับ ขอสายคุณนิวัฒน์  แก่นกำภูครับ"
"กำลังพูดครับ ไม่ทราบว่าใครกำลังพูดสายอยู่ครับ" หน่องตอบรับเสียงคนปลายสาย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย
"ผมร้อยตำรวจโท พชร พงษ์ภิญโญครับ จะโทรมาถามเรื่องข่าววันนี้..." ผู้หมวดหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ
"อ๋อ ข่าวขอหรั่ง ผมเขียนเองแหละครับหมวด" หน่องพูดสวนกลับไป
"ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นฝีมือคุณ ก็ไหนผมบอกว่าให้ช่วยปิดข่าวไว้ก่อน ทำไมคุณถึงทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นมาขนาดนี้" ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มกลับมา
"ผมก็ทำตามหน้าที่ของผม เหมือนกับที่หมวดก็ต้องทำตามหน้าที่ของหมวด ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ คุณจะมาห้ามไม่ให้ผมนำเสนอข่าวไม่ได้เสียด้วย" หน่องตอบยียวนใส่
"ผมไม่ได้ห้ามคุณเขียนข่าว แต่ผมขอความร่วมมือปิดเรื่องสาเหตุการตายเอาไว้ก่อน แต่คุณเองเขียนข่าวจนคนเค้ารู้ไปทั่วแล้วว่าดาราถูกฆ่าถ่วงน้ำ" หมวดหนุ่มยังคงต่อว่าเสียงแข็ง
"ก็มันจริงนี่ แต่ผมก็ยังไม่ได้เขียนในส่วนที่อยู่ในรายงานของคุณเลยนะหมวด หมวดว่างให้ผมสัมภาษณ์ไหมล่ะ ผมจะได้เขียนข่าวฉบับพรุ่งนี้เสียเลย" หน่องเถียงกลับพร้อมกับยิ้มสะใจที่ได้กวนคนขี้โมโหที่อยู่ปลายสาย
"ผมไม่บอกอะไรกับคุณแล้ว... คุณนี่มัน... ดื้อจริง ๆ ดื้อเสียจน...  ถ้าอยู่ใกล้ ๆ ผมจะเอาไม้เรียวไปฟาดให้ก้นลายเลยเชียว" ผู้หมวดหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกก่อนจะวางสายไป

   เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องสายสี่ชิ้นแว่วกังวานขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมาร่วมงานมงคลสมรสสุดหรู บนดาดฟ้าเรือลำใหญ่ที่ตกแต่งด้วยดวงไฟขนาดเล็กกระพริบแข่งกับแสงของดวงดาวบนฟ้ากว้าง
ลิลลี่และกุหลาบสีขาว แซมด้วยริบบิ้นผ้าสีเงินยวง ประดับเอาไว้ทั่วส่งกลิ่นหอมกรุ่น สายลมตามธรรมชาติจากลำน้ำเจ้าพระยาพัดนำความเย็นสบายมาให้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ เจ้าบ่าวในทักซิโด้สีขาวและเจ้าสาวยืนคล้องแขนคอยทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้ม  ชุดยาวเกาะอกสีงาช้างช่วยขัดผิวสีน้ำผึ้งของเจ้าสาวให้นวลเนียน แหวนเพชรเจ็ดกะรัตที่นิ้วนางข้างซ้ายส่องประกายพราวล้อแสงไฟ เรือลำหรูแล่นออกจากท่าเมื่อแขกสองร้อยคนที่เชิญไว้ทยอยขึ้นเรือจนครบตามรายชื่อ ขวดแก้วคริสตัลเนื้อดีเจียระไนเหลี่ยมสะท้อนแสงไฟระยิบบรรจุน้ำหอมกลิ่นหวานนุ่มในถุงผ้าไหมสีกลีบบัวซึ่งปักชื่อคู่บ่าวสาวเอาไว้ด้วยไหมสีทองรับกับเกลียวไหมที่ปากถุง คือของชำร่วยที่ผู้มาร่วมงานได้รับหลังจากลงนามอวยพรบ่าวสาวในสมุดประสาทพร

   พิธีกรกล่าวเชิญให้แขกนั่งประจำที่ซึ่งมีป้ายชื่อกำกับเอาไว้เด่นชัด ก่อนจะกล่าวเชิญบ่าวสาวขึ้นไปบนเวที ขั้นตอนของพิธีการดำเนินไปอย่างเรียบร้อยก่อนที่บ่าวสาวจะกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงาน บริกรนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟตามลำดับจนจบด้วยเมนคอร์ส บ่าวสาวจึงขึ้นมาทำการตัดเค้กฉลองสมรสเจ็ดชั้นที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงที่เร็วขึ้นจังหวะสนุกสนาน บางคนออกมาเต้นรำบนฟอร์ลด้านหน้า ไวน์แดงชั้นดีราคาแพงถูกบริกรนำเสิร์ฟอยู่ตลอดราวกับว่าเป็นน้ำเปล่าเพื่อตอกย้ำสถาณภาพทางการเงินของบ่าวสาว
"ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ดื่มเข้าไปเยอะเกิน" เจ้าบ่าวกระซิบบอกที่ข้างหูของเจ้าสาว
"เดี๋ยวชั้นรออยู่ตรงนี้แล้วกัน ไหวไหมล่ะคะคุณ เมารึเปล่า" สาวเจ้าตอบเพียงให้ได้ยินกันสองคน
"เมา แต่ผมไหวน่า ไม่ต้องห่วง คุณรอตรงนี้เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวผมมา" เจ้าบ่าวบอกพร้อมดวงตาหวานเยิ้มก่อนจะเดินหนีไปทำธุระส่วนตัว
   ร่างของเจ้าบ่าวในชุดสูทสากลสีขาวเดินมุ่งไปทางท้ายเรือตามความยาวของลำเรือใหญ่ เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นเพียงเบา ก่อนจะดังขึ้นเมื่อเขาก้าวลงไปตามขั้นบันใดที่ทำจากเหล็ก เพื่อเดินไปจักการกับธุระส่วนตัวของเขา ฝ่ามือหนาผลักบานสวิงไม้ของประตูห้องน้ำออกก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม พื้นกระเบื้องดินเผาเคลือบด้านสีน้ำตาลแดง อัจกลับแบบโบราณลวดลายอ่อนช้อยแต่แทนที่จะจุดด้วยเปลวไฟแบบสมัยเก่ากลับใช้หลอดไฟสีส้มนวนใส่เอาไว้แทนที่ แสงสลัวเย็นตา ส่องกระทบกระจกเงาบานใหญ่ในกรอบไม้สลักเสลาลายเคลือวัลย์ปิดทองประดับกระจกสีแวววาม เงาดำพาดผ่านไปทั่วขณะที่เขาเคลื่อไหว ชายหนุ่มเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าโถปัสสาวะกระเบื้องเคลือบสีนวนริมในสุดของห้องสุขาแล้วรูดซิบจัดการปลดเปลื้องความอัดแน่นเจ็บหน่วงในกระเพาะปัสสาวะของตน อันเป็นผลมาจากเครื่องดื่มที่กินเข้าไปมาก จนเมื่อรู้สึกโล่งสบาย จึงเก็บเข้าที่แล้วหันกายเดินไปที่อ่างล้างหน้าซึ่งทำจากไม้มะค่าโมงลวดลายสวยงามตามธรรมชาติหน้ากระจกเงาบานใหญ่ เขาเปิดก็อกเอาอุ้งมือรองน้ำไว้แล้วจึงก้มลงไปล้างหน้าเพียงหวังจะใช้น้ำเย็นขับไล่ฤิทธิ์ของแอลกอฮอล์ในร่างให้เบาบางลง เขาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเช็ดหน้าด้านข้างขึ้นมาซับน้ำบนใบหน้า  เหลือบแลไปเห็นสิ่งผิดแปลกออกไปผ่านทางหางตา ด้วยความสงสัยใคร่รู้เขาหมุนตัวหันกลับไปมอง พลันพบกับความว่างเปล่า
   'เมาจนตาลายเลยกู' เขาเดินออกไปอย่างช้า ๆ  มือหนาจับยึดราวบันใดเหล็กเอาไว้มั่นเพื่อช่วยพยุงส่งตัวเองให้เดินขึ้นไปยังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง เสียงรองเท้าหนังดังกุกกัก เมื่อกระทบกับขั้นบันใดที่เดินผ่าน ลมเย็นกรรโชกแรงพัดร่างของเขาจนเซนิด ๆ ก่อนที่สายเปลือยสื่อนำไฟฟ้าที่ขาดร่วงหล่นลงมาเฉียดร่างตกไปอยู่บนพื้นตรงที่ร่างของเขาเซออกมาจากจุดเดิม เขาเผลอระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
   "ปัง... ฟิ้ว... พึบ...พึบ..." เสียงพลุดังขึ้นฟ้าก่อนจะไปแตกกระจายบนม่านดำของรัตติกาล ก่อให้เกิดประกายแสงสว่างไสวไปทั่วดาดฟ้าของเรือสำราญลำใหญ่ที่แล่นเอื่อยไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ทุกคนต่างหันไปให้ความสนใจต่อสิ่งสวยงามบนฟากฟ้า จนไม่มีใครพอที่จะให้ความสนใจกับเจ้าบ่าวที่กำลังเดินโซเซ ขึ้นบันใดที่ทางท้ายเรือ ท่ามกลางความมืด ไฟที่ส่องให้แสงสว่างบริเวณท้ายเรือกับดับลง  สายของดวงไฟกระพริบที่ประดับตกแต่งเอาไว้ กลับขาดร่วงลงมาใส่เจ้าบ่าวที่ยืนโงนเงนสั่นไหว เพราะสายเปลือยของสื่อนำไฟฟ้าชั้นดี ตกมาค้างคาอยู่ที่ลำคอก่อนสายเส้นอื่น ๆ ที่เจ้าตัวกระเสือกกระสนหมุนร่างพานม้วนเอาไว้ด้วยลำคอขอตนจนแน่นขึ้นแน่นขึ้น เขากระเสือกกระสนพยายามดิ้นรนให้ร่างหลุดรอดจากพันธนาการ แต่ยิ่งดิ้นกลับยิ่งรัดแน่นขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลงลิ้นจุกออกมานอกริมฝีปากที่ค่อย ๆ เขียวคล้ำขึ้น ร่างสั่นเทิ้มเริ่มกระตุกน้อยลงพร้อม ๆ กับลมหายใจ ที่ค่อย ๆ แผ่วลง  ก่อนที่ร่างของเขาจะหมุนเป็นครั้งสุดท้ายปะทะเข้ากับราวกั้นตรงกราบเรือแล้วร่วงหล่นลงจากเรือสำราญหรู สู่ผืนน้ำดำมืด ด้วยแรงดูดมหาศาลจากใต้ท้องเรือที่กำลังแล่นดูดกลืนร่างของเขาลงไป สายน้ำพัดร่างของเขาไปยังส่วนท้ายเรือ ซึ่งมีใบจักรที่กำลังหมุนตัดสายน้ำเต็มกำลัง ใบจักรเหล็กขนาดใหญ่หมุนฟาดเข้าใส่ร่างเจ้าบ่าวหมาด ๆ จนชุดสากลสีขาวที่สวมใส่ถูกย้อมอาบไปด้วยสีแดงฉาน ส่วนของลำคอหลุดออกจากร่างพร้อมกับลมหายใจ ร่างไร้หัวที่ถูกสายไฟพันม้วนลากลอยผลุบโผล่อยู่ในน้ำตามหลังเรือลำหรูไปติด ๆ ทิ้งไว้เพียงใบหน้าสยองขาวซีดที่กำลังแสยะยิ้มน่ากลัวอย่างพึงใจราวกับเด็กที่ได้ของเล่น โดยมีส่วนศีรษะของเจ้าบ่าวหนุ่มรูปหล่อซึ่งอยู่ในอุ้งมือของอมนุษย์ที่ยืนอยู่บนผืนน้ำท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:09:10 โดย จงกลนี »

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 9  "อ้อมกอด"
"หมวดมาพอดีเลย มีคนมานั่งรอพบหมวดอยู่ที่โต๊ะนะครับ" จ่ามืดบอกเมื่อสวนกับหมดพชรที่บันใดทางขึ้นชั้นสองของสถานีตำรวจ
""ขอบคุณนะครับจ่ามืด" 'ใคร!' ร้อยตำรวจโทพชร กล่าวขอบคุณ ก่อนจะสงสัยว่าใครมานั่งรอเขาอยู่
"ไอ้ตัวแสบ มาทำไมว่ะเนี่ย" เสียงบ่นอุบอิบออกมาแทบจะทันที่ที่เห็นว่าร่างเล็กนั่งรอเขาอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เมื่อเดินผ่านเข้าไปพ้นปาติชั่น ซึ่งกั้นโต๊ะทำงานแต่ละโต๊ะออกเป็นสัดส่วนของตำรวจแต่ละคน
"ตำรวจที่นี่เค้าทักทายประชาชนที่มาพบกันแบบนี้เหรอครับหมวด" หน่องสวนกลับทันทีที่ร่างสูงผ่านเข้ามาและได้ยินเสียงบ่นแผ่ว ๆ นั้นอย่างชัดเจน
"เอ่อ... สวัสดียามเช้าคุณนักข่าว" หมวดพชร กัดฟันทักทายคนตรงหน้า พร้อมกับทำหน้าบึ้ง ๆ ส่งไปให้ 'กวนใช้ได้เลยคนเรา...'
"สวัสดีครับหมวด ดูท่าทางหมวดไม่ค่อยจะยินดีให้ผมมาหาสักเท่าไหร่นะครับ" หน่องตอบพลางหันมายิ้มยั่วใส่
"จริง ๆ ผมไม่ค่อยอยากจะเจอคุณสักเท่าไหร่หรอกคุณนักข่าว" หมวดหนุ่มบอกตามตรงด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งเกือบจะบึ้งตึง พลางแอบคิดอยู่ในใจ 'จริง ๆ เวลายิ้มก็ดูน่ารักดีนี่'
"แต่ผมอยากเจอหมวดนี่ มีเรื่องอยากจะถามหมวดสักหน่อย" หน่องบอกพร้อมส่งรอยยิ้มประจบชัดเจน ก่อนจะกลบมานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะอีกครั้ง เมื่อเจ้าของโต๊ะเดินเข้าไปนั่งประจำที่ของตน
"จะมาหาข่าวอีกหรือคุณ ผมไม่มีข่าวให้คุณแล้วล่ะ" ผู้หมวดหนุ่มหันมาแยกเขี้ยวเข้าใส่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
"ไม่ใช่ ผมแค่จะมาถามเรื่องเพื่อนของผมเท่านั้นครับหมวด" หน่องตอบก่อนจะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
"อยากจะรู้อะไรอีกละคุณ ผมก็บอกเท่าที่จะบอกได้ไปหมดแล้วนี่" ร้อยตำรวจโทพชร ถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าใส่หน่องที่นั่งตรงข้าม
"ผมอยากรู้ว่าเพื่อผมตายได้ยังไง กับใครเป็นคนฆ่าเพื่อนผม" หน่องสบตานิ่งก่อนจะเอ่ยบอกคนตรงหน้า
"ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันกับคุณนั่นแหละ ผมกำลังสืบอยู่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนแล้วกัน" ผู้หมวดหนุ่มบอกก่อนจะขยับกายลุกขึ้นจากที่นั่ง
"เดี๋ยวหมวด ถ้าผมจะบอกว่าผมจะช่วยหมวดสืบเรื่องนี้ล่ะ" หน่องบอกระล่ำระลักพลางคว้าจับเข้าที่ข้อมือหนาของคนตรงหน้าเพื่อรั้งเอาไว้
"อะไรนะ! คุณจะช่วยผมให้ยุ่งนะสิ อย่าเลยผมยังไม่อยากหัวหงอกก่อนวัย" หมวดพชรบอกก่อนจะเหลืบสายตาขุ่นขวางไปที่มือของหน่องซึ่งกำลังจับข้อมือของเขาอยู่ก่อนจะใช่มือของเขาจับออก แล้วผละเดินหนีจากไปช้า ๆ
"น่านะหมวด ให้ผมช่วยเถอะ ผมอยากช่วยจริง ๆ นะ โธ่โว้ย!" หน่องตะโกนไล่หลังไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกวิ่งตามหลังหมวดพชรไป
"อยู่เฉย ๆ น่ะดีแล้ว มีอะไรผมจะบอกคุณเองดีไหม" ร้อยตำรวจโทพชร พูดเสียงดังเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นตามมาข้างหลังขณะที่ตัวเองกำลังก้าวเดินลงบันใดต่อไปอย่างช้า ๆ
"เดี๋ยวหมวด หยุดคุยกันก่อนสิ" หน่องหยุดยืนพูดอยู่ตรงขั้นบนสุด ก่อนจะซอยเท้าตามลงไปอีกครั้ง
"อุ๊บ... โอ๊ย!" ร่างของหน่องปะทะเข้ากับอกของหมวดเพชรที่หยุดหันหลังกลับมาอย่างกะทันหัน ผู้หมวดหนุ่มคว้าเอาหน่องเข้ามากอดไว้แนบกับอกของตนก่อนที่ทั้งสองจะกลิ้งหลุน ๆ จากชานพักบันใดลงมานอนกอดเกยกันอยู่บนเชิงบันใดขั้นสุดท้ายโดยมีหน่องขึ้นไปนอนคว่ำหลับตาปี๊ซุกแนบอกของหมวดเพชรพร้อมกอดเอาไว้เสียแน่น
เสียงหัวใจเต้นราวกับตีกลองประชันดังก้องและได้ยินชัดเจนกันทั้งสองคน หน่องคลายวงแขนที่โอบรอบคอของหมวดพชรออกแล้วมาจับเข้าที่แผ่นอกหนาแทนเพื่อหวังจะพยุงตัวลุกขึ้น ก่อนจะหลุบตามองไปที่อกของนายตำรวจพร้อมกับใบหน้าที่แดงเรื่อลามไปถึงใบหูด้วยความอาย แต่ก็ต้องฟุบกลับลงไปซุกที่อกอีกครั้งเมื่อคนข้างล่างออกแรงรัดรั้งกลับไปอีกครั้ง
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า" ร้อยตำรวจโทพชร ถามเสียงอ่อนโยนด้วยเป็นห่วงคนในอ้อมอก ก่อนจะแอบสูดหายใจเอาจากเรือนผมของหน่อง  'ผมนิ่ม หอมจัง'
"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณหมวดมาก" หน่องตอบอุบอิบสะเทิ้นอาย 'จะกอดไว้ทำไมเล่า ปล่อยได้แล้วมั้ง แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว'
"เป็นอะไรกันมากไหมครับหมวด ผมเห็นตอนกำลังกลิ้งลงมาพอดี" จ่ามืดที่เดินกลับมาจะขึ้นไปชั้นบนเอ่ยทักถาม
"ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน" เสียงตอบพร้อมเพรียง ก่อนที่หน่องจะรีบผละออกจากอกอุ่นและรีบลุกขึ้นมายืนพร้อมอีกคนก่อนจะต่างคนต่างปัดเศษฝุ่นเศษดินออกจากเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเร็วรี่แก้เก้อเขิน
"แต่ผมว่าหมวดกลับไปเปลี่ยนกางเกงก่อนดีกว่า เป้ากางเกงแตกครับหมวด" จ่ามืดกระซิบบอกเบา ๆ กะจะให้รู้แค่สองคน แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คนข้าง ๆ ได้ยินไปด้วย ผู้หมวดหนุ่มหันหลังกะจะชะโงกดูให้ชัด ๆ แต่กลับเป็นการหันส่วนที่ขาดเข้าหาอีกคนแทน ซึ่งอีกคนก็ได้แต่รีบก้มหน้ามองส่วนเท้าของตัวเองด้วยความเขิน อายแทนคนตัวใหญ่ข้าง ๆ ที่ไม่รู้สึกรู้สมกับเรื่องน่าอายเช่นนี้สักเท่าไหร่
"ขอบคุณครับจ่า เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนกางเกงที่บ้านพักก่อนนะครับ" ร้อยตำรวจโทพชร บอกก่อนจะคว้าข้อมือของหน่องให้เดินตามไปขึ้นรถด้วยกัน
"คุณก็ต้องไปด้วยกันกับผม ดูสิเลือดไหลออกขนาดนี้ ไปทำแผลที่บ้านพักผมก่อนก็แล้วกัน" ผู้หมวดหนุ่มบอกพลางหมุนแขนให้หน่องดูแผลที่ข้อศอกก่อนจะเปิดประตูยัดร่างของหน่องเข้าไปไว้ในรถแล้วตัวเองก็วิ่งกลับไปขึ้นด้านฝั่งคนขับ ก่อนพารถกระบะตราโล่เคลื่อนออกไป

   แสงไฟกระพริบไหววูบวาบสอดคล้องตามกับจังหวะท่วงทำนองกระชั้นถี่ เสียงเบสหนัก ๆ จากเครื่องขยายเสียงกำลังขับสูง ร่างแน่นของหนุ่มหล่อหน้าคมยักย้ายอยู่บนฟลอร์ท่ามกลางเพศเดียวกันที่เต้นสีเบียดเสียดร่างกายเข้าใกล้เพื่อพยายามแนบชิด เรือนร่างในเสื้อเชิร์ตสีม่วงอ่อนผ้ามันเงาที่ปลดกระดุมโชว์กล้ามอกแน่นน่ากัดเอาไว้เสียสามเม็ด และกางเกงเดฟสีดำรัด ๆ อวดเรือนร่างล่อตาล่อใจ เม็ดเหงื่อผุดพรายบนผิวหน้าและผิวเนื้อที่หน้าอกขาว ๆ ยั่วตะเข้ตะโขงอย่างจงใจ สักครู่เสียงดนตรีเปลี่ยนจังหวะกลับมาเนินช้า คนที่เต้นอยู่รอบ ๆ บางตาลงไปกว่าเดิม แต่เขาก็ยังคงเต้นอยู่ต่อไปราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และดูโดเด่นท่ามกลางแสงสลัวรอบกาย
   ชายวัยกลางคนบนโซฟาหนานุ่ม ที่นั่งหลบมุมแอบมองดูอยู่นาน หันไปพยักพเยิดให้กับลูกน้องในชุดสากลสีดำที่ยืนอยู่ข้างกาย พลางชี้นิ้วไปทางชายหนุ่มหน้าคมตรงหน้า ก่อนที่ลูกน้องจะค้อมกายจากไป
   แก้วไวน์ทรงสูงถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่มหน้าคม ซึ่งเจ้าตัวถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบตามตามแขนขึ้นไปมองคนตรงหน้าตรง ๆ
"เจ้านายพี่สนใจน้อง ไปดื่มกับท่านที่โต๊ะหน่อยสิ" ชายในชุดดำเอ่ยดัง ๆ ที่ข้างหูของเขาเพื่อแข่งกับเสียงเพลง
"แล้วเจ้านายพี่อยู่ไหนล่ะ" เขาถามกลับที่ข้างหู เขาหันไปมองตามมือที่ชายชุดดำชี้บอก พร้อมกับยกแก้วไวน์ส่งไปข้างหน้า แล้วยกขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว ก่อนจะออกเดินตามหลังชายชุดดำไป

   เสียงหัวร่อต่อกระซิก ดังแว่วออกมาจากหลังประตูไม้หนา ที่มีชายในชุดดำยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าถึงสองคน
อากาศภายในห้องเย็นเยียบจนหนาว แต่สองร่างที่กำลังโรมรันกลับชุ่มโชกไปด้วยหยดเหงื่อ แรงพิศวาสกลับทำให้ทั้งสองร้อนระอุ  กล้ามเนื้อบนร่างหดเกร็งเขม็งเมื่อไปถึงขีดสุดตามครรลองแห่งอารมปรารถนา หยาดหยดร้อนวาบฉีดพ่นเข้าไปภายในพร้อมกับเสียงครางประหนึ่งใจจะขาดของชายที่สูงวัยกว่า  ก่อนเจ้าตัวจะหยุดหอบหายใจแล้วฟุบลงไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่มีรอยขบกัดฟอนเฟ้นแดงเป็นจ้ำ ๆ กระจายไปทั่ว เขานอนพักเพียงครู่ก่อนจะโดนจับผลิกกลับคล่อมทับด้วยเด็กหนุ่มหน้าคม เด็กหนุ่มตามลงไปประกบปากด้วยปาก แล้วจึงใช้ลิ้นชื้น ๆ ตวัดเลื่อนไปซอกไซ้บนร่างของชายสูงวัยกว่า จูบกัดขบเม้มบนร่างอวบหนาอุดมไปด้วยไขมัน ก่อนจะพูดว่า
"ทีนี้ตาผมบ้างนะป๋า เดี๋ยวผมขอทำอะไรที่มันกว่านี้อีกนิดนึงนะครับ" เขาบอกพร้อมกับควานมือไปหยิบผ้าแพรยาวโปร่งเบาจากใต้หมอนออกมามัดมือของร่างเจ้าเนื้อทั้งสองข้างเอาไว้กับหัวเตียง ก่อนจะเอาชายผ้าที่เหลือพันรอบลำคอหนาแล้วรั้งให้หงายปล่อยชายยาวรั้งโยงเอาไว้กับหัวเตียงอีกครั้ง คนที่โดนพันธนาการเบิ่งตากว้างก่อนจะส่งยิ้มกลับมาให้อย่างพึงใจ พร้อมกับส่วนกลางลำตัวที่กลับมาตื่นตัวชูชันขึ้นมาอีกครั้งในทันที
ชายหนุ่มหน้าคมยกขาของคนข้างล่างข้างหนึ่งขึ้นมาพาดบนบ่าปล่อยอีกข้างให้เหยียดยาว เขาค่อย ๆ ชำแรกเบิกช่องทางด้วยปลายนิ้วก่อนขยับหมุมวนคว้านไปรอบ ๆ ร่างหนาได้แต่ส่งเสียงครางอย่างพึงใจพร้อมกับบิดกายอย่างสุขสม ส่วนที่ใหญ่กว่านิ้วถูกส่งเข้าไปแทนที่ในทันทีเติมเต็มคับแน่นร่องหลืบจนปริแยกโลหิตสีเข้มไหลซึม ด้วยขนาดที่เกินพอดีไปมาก  แต่คนที่รองรับอยู่กลับยกยิ้มด้วยถูกใจ และเผลอร้องคราง
"แรง ๆ เลย ป๋าชอบ"
"ป๋าโด๊ปหน่อยไหมจะได้นาน ๆ ทน ๆ" เด็กหนุ่มควานไปใต้หมอนอีกครั้งก่อนจะหยิบซองซิปพลาสติกสีขุ่น มาเปิดออกแล้วหยิบยาออกมาใส่ปากตัวเองก่อนจะบีบปากคนข้างใต้ร่างให้อ้าออกแล้วเทกรอกยาลงไปเสียหลายเม็ด
"โอ๊ย ๆ ๆ เอาอีก ป๋าใกล้แล้ว" เสียงกระเส่าแหบพร่าสั่งการ ก่อนจะเกรงขาจิกทั้งผ้าปูที่นอนแล้วปลดปล่อยไอรักของตัวเองพวยพุ่งออกมามากมายเนืองนองบนหน้าท้องโดยไม่ถูกสัมผัสหรือแตะต้องแต่อย่างใด อาการหอบหายใจ เหน็ดเหนื่อย พยายามสูดโกยอากาศเข้าปอดเพื่อบรรเทา แต่ก็ติดขัดด้วยแพรบางที่พันเอาไว้รอบ ๆ ลำคอ  เด็กหนุมกลับตะโบมฟอนเฟ้นกระแทกกระทั้นสุดตัวด้วยความแรงที่เพิ่ม มากขึ้น มากขึ้น เขม็งเกร็งร่างกระตุกฝังกายแนบแน่นและปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเอาไว้ภายในของร่างเจ้าเนื้อ ที่ยังคงนอนหลับตาหอบหายใจรวยริน ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาพบกับความน่าสะพรึงตรงหน้า จากเด็กหนุ่มหน้าคมที่เพิ่งจะนำพาความกระสันอิ่มเอมมาให้ กลับแปรเปลี่ยนไปจกที่เห็นแต่เดิม ท่ามกลางความสลัวเลือนรางของแสงไฟสีส้มที่ข้างหัวเตียง ใบหน้าสยองขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดสีดำยุบยับ ดวงตาขุ่นขาวมัวเบิกโพลงถลน ริมฝีปากดำคล้ำเผยอยกยิ้มแสยะแยกเขี้ยวขาว มือขาวเย็นยะเยือกคว้ากุมเข้าที่รอบลำคอก่อนจะผละออกบีบกรามให้อ้าปากออก แล้วเทยาเม็ดในซองพลาสติกใส่ลงไปเสียทั้งหมด แล้วใช้มือปิดปากของเหยื่อเอาไว้จนแน่น ร่างเปลือยเปล่าเจ้าเนื้อพยายามบิดกายขืนสู้ แต่ติดที่ถูกพันธนาการเอาไว้ แพรแดงไหลรูดบีบรัดลำคอหนาแน่นเข้าไปอีก
ใบหน้ากลมใหญ่แดงก่ำ พยายามหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ดวงตาเบิกโพลงหวาดกลัวต่อสิ่งที่ปรากฏ
อมนุษย์ตรงหน้าในอาภรณ์สีดำยาวรุ่ยร่ายเปียกชื้นเคลื่อนกายคร่อมทับ ใบหน้าสยองผมสีซีดแนบลู่ติดกับหนังหัวห่างจากหน้าแดง ๆ ของเหยื่อเพียงแค่นิ้วมือกั้น หยดน้ำเย็นจัดหล่นกระทบใส่ร่างอวบอ้วนข้างใต้จนเปียกปอน ความหนาวเย็นแล่นลู่ เส้นผมบริเวณท้ายทอยลุกชัน ร่างอวบหนาวสะท้านสุดขั้วหัวใจ แรงพยายามดิ้นหนีเฮือกสุดท้าย ทำได้เพียงสะบัดหน้าหนี ก่อนที่ผ้าแพรจะรัดแน่นจนสุดแรงลิ้นปลิ้นจุกปากหนาอูมดวงตาเบิกกว้างและลมหายใจที่ขาดหายไป ทิ้งไว้เพียงร่างอวบหนาเปล่าเปลือยซึ่งถูกพันธนาการมัดโยงด้วยแถบแพรสีแดงสดเอาไว้ รอยยิ้มสยองจากริมฝีปากดำคล้าที่ประดับบนใบหน้าขาวซีดของอมนุษย์ที่คร่อมทับร่างก่อนจะเงยหน้าหัวเราะเปล่งเสียงสั่นประสาทดังก้อง ก่อนจะค่อย ๆ จางเลือนหายไปพร้อมกับหลอดไฟฟ้าที่แตกกระจายทีละหลอด จนห้องชุดทั้งห้องมืดมิด และร่างของการ์ดหน้าประตูที่วูบหมดสติล้มคว่ำลงกับพื้นพรมหนา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:10:32 โดย จงกลนี »

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 10  บ่วงกรรม
   ภายในห้องนอนขนาดใหญ่บนชั้นสองของคฤหาสน์ลังงามท่ามกลางความมืดมิด อากาศเย็นเยือกจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ร่างของชายสูงวัยที่ใคร ๆ ต่างเรียกขานแทนชื่อว่าท่าน กำลังนอนหลับข้างกายมีชายหนุ่มดาราวัยรุ่นชื่อดังที่กำลังมีผลงานเผยแพร่ ร่วมเรียงเคียงหมอนบนที่นอนขนาดใหญ่ เรือนร่างของทั้งสองคนเปลือยเปล่าแนบชิดภายใต้ผ้าห่มนวมหนานุ่ม ไออุ่นของร่างกายช่วยคลายความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศได้เป็นอย่างดี ตัวเลขเรืองแสงสีแดงจากนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะข้างเตียงบ่งบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรุ่งเช้าแล้ว ร่างหนานอนกระสับกระส่ายพลิกกายไปมาเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นเต็มหน้า ไหลย้อยไปตามลำคอ เสียงหายใจดังฟืดฟาด
   ท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นรอบกาย เขาเดินโดดเดี่ยวเพียงลำพัง เสียงหัวเราะของใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้คอยตามหลอกหลอนเป็นระยะ ๆ เขาเดินต่อไปเรื่อย ๆ พยายามหันเดินไปตามที่มาของเสียงหัวเราะเยียบเย็นนั้น แต่ดูเหมือนว่าเสียงนั้น ผลันหายไปทันทีที่เขาเดินเข้าไปจนใกล้ แล้วกลับไปโผล่อีกที่หนึ่ง ถึงแม้ใครคนนั้นจะไม่เข้ามาลงมือทำร้ายแก่ตัวเขา แต่เสียงหัวเราะสั่นประสาทก็ยังคงดำเนินอยู่แบบเดิมเรื่อย ๆ ท่ามกลางความมืดที่เพียงแค่ยกฝ่ามือของตนเองขึ้นมามองดู ก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ ไม่เห็นแม้เพียงเงาสลัวเลือนราง แต่เสียงนั้นก็คอยตามติดชวนให้ขวัญผวาดังชัดเจนอยู่ร่ำไป เขาหยุดยืนและพยายามกวาดสายตาฝ่าความมืดไปรอบ ๆ แล้วตะโกนถามกลับไป
   "นั่นใคร?"  แต่เสียงที่ได้ยินตอบกลับมายังคงเป็นเพียงเสียงหัวเราะซึ่งเจาะจงยั่วประสาทดังขึ้นมาจากทางด้านหลังใกล้ ๆ จนเขาต้องหันตัวกลับไปทางที่ได้ยินและพยายามไขว่คว้าแต่ก็สัมผัสได้เพียงอากาศรอบ ๆ ตัวเท่านั้น
   "ใคร?" เขาเปล่งเสียงถามออกไปอย่างแผ่วเบา ความกลัวเขาเกาะกินหัวใจของเขาเสียแล้ว เขาหวาดผวากับสิ่งที่มองไม่เห็น ก่อนจะหันไปทางด้านซ้ายมือ ตามความรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เขามาหาเขาอย่างช้า ๆ เขารับรู้ได้จากการเคลื่อนที่ของอากาศวูบวาบผ่านตัวของเขาไป แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ด้วยการสัมผัส เขาหมุนตัวกลับไปทางด้านหลังอีกครั้ง เมื่อเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ได้ยินดังขึ้น พร้อมกับลมที่พัดผ่านต้นคอของเขาแผ่ว ๆ ราวกับว่ามีใครกำลังหายใจรดใส่ต้นคอด้านหลังอยู่ สองมือที่เพียรพยายามคว้าจับ สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า และเสียงหัวเราที่ดังก้องขึ้นมาอีกครั้งจากที่ไกลออกไป
   "มึงเป็นใคร? มึงต้องการอะไร? บอกมาสิ มึงจะเอาอะไรจากกูวะ" เขาตะโกนกลับไปอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้ก็ยังเป็นเพียงเสียงหัวเราะอยู่เช่นเดิม
   "เฮ้ย!" เขาตะโกนเสียงดังก้อง พร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลโซมร่างเปลือยเปล่าจนชุ่ม
   "ท่าน เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ" เด็กหนุ่มคราวลูกที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งพลางเขย่าตัวเพื่อปลุกให้ตื่นก่อนถามไถ่
   "ไม่มีอะไรหรอก นอนต่อเถอะ" เขาบอกก่อนจะลุกเดินหายลับเข้าประตูห้องน้ำไป

   "หวัดดีครับหมวด ผัดกะเพรารวมมิตรน่ากินจัง" หน่องที่เดินไปหยุดยืนตรงหน้าเอ่ยทักทายพร้อมยิ้มทะเล้นใส่ ทำเอาอีกคนที่นั่งอยู่และกำลังยกช้อนตักข้าวจะส่งเข้าปากต้องอ้าปากค้างเมื่อมองขึ้นไปเห็นหน้าคนตัวเล็กก่อนจะลดมือลงวางช้อนไว้ในจานข้าวของตัวเอง
   "นี่คุณจะมาป่วนอะไรแต่เช้าอีกล่ะนี่วันนี้ ไม่มีการมีงานทำเหรอ" ผู้หมวดหนุ่มบ่นกลับพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดแทบจะชนกัน
   "ก็มาทำงานไงครับหมวด" หน่องบอกก่อนจะลงนั่งที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม
   "แล้วหมวดไม่คิดจะชวนผมกินด้วยเหรอครับ" หน่องถามพร้อมยักคิ้วข้างเดียวส่งไปให้
   "งั้นกินก่อนเรื่องงานเอาไว้ทีหลัง ผมกลัวอาหารจะหมดอร่อยและพาลจะไม่ย่อยเอา" หมวดพชรบอกพลางหันไปกวักมือเรียกจ้อยลูกแม่ค้าอาหารตามสั่งที่กำลังปรุงอาหารอยู่หน้าเตาให้เดิมมาหา
   "คุณนักข่าวจะกินอะไรก็สั่งเอาเลยนะ เจ้จงเค้าทำกับข้าวอร่อยทุกอย่าง ผมเอาหัวเป็นประกันเลย" ร้อยตำรวจโทพชรบอกก่อนจะก้มลงตักอาหารของตนเองใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
   "พี่เอาเหมือนของหมวดจานนึงนะน้อง แต่ขอมะนาวสักซีกด้วยนะ แล้วก็...โอเลี้ยงแก้วนึง" หน่องสั่งอาหารแบบเดียวกับคนตรงหน้าพร้อมเครื่องดื่ม
   "มะนาวเอามาทำไม" หมวดหนุ่มนึกแปลกใจกับของที่หน่องสั่งมาจนอดถามขึ้นมาตรง ๆ ไม่ได้
   "เดี๋ยวหมวดก็รู้ รอไม่นานหรอก" หน่องบอกด้วยท่าทียียวน รอเพียงไม่นานนักอาหารและเครื่องดื่มที่สั่งก็มาส่งถึงโต๊ะ
   "ทำแบบนี้ไงหมวด อร่อยขึ้นอีกนะ ลองชิมดูสิ" หน่องบอกพร้อมกับบีบมะนาวซีกเล็ก ๆ โรยน้ำมะนาวเล็กน้อยลงไปบนผัดกระเพราที่ราดหน้าข้าวบนจาน ก่อนจะตักเข้าปากแล้วยิ้มพร้อมกับเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
   "อร่อยจริงเหรอ" หมวดพชร ถามแบบสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง จนหน่องเองต้องตักข้าวในจานของตนไปวางไว้ในจานที่เกือบจะว่างเปล่าของคนตรงหน้า พลางพยักพเยิดให้ลองกินดู
   "ก็อร่อย แปลกดีนี่" หมวดหนุ่มบอกหลังจากตักเข้าปากชิมตามคำเชิญชวน
   "ก็มันหอมกลิ่นมะนาวดีออกใช่ไหมล่ะ" หน่องบอกพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้
   "อืม..." หมวดหนุ่มขานรับพลางส่งยิ้มกลับและมองสบตาคนตรงหน้านิ่ง ๆ
   
   "หมวด! หมวด! หมวด! นี่หมวดไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ" หน่องบอกด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นแก้มพอง ๆ ด้วยลมในปาก ก่อนจะเอาสันมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนตรงหน้า
   "ฮา ๆ ๆ " หมวดหนุ่มเผลอหลุดเสียงหัวเราะ เมื่อได้เห็นหน้าของคนตรงข้าม
   "แล้วคุณว่าอะไรละครับ ผมไม่ทันได้ฟังจริง ๆ"
   "หมวดนี่นะ ชอบกวนให้อารมณ์เสียเรื่อยเลย" หน่องบ่นออกมาเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะบอกอีกครั้ง
   "ผมจะชวนหมวดให้ไปกับผมหน่อยเย็นนี้ ผมไม่กล้าไปคนเดียวเสียด้วยสิ" หน่องบอกชวนเชิญ
   "ไปไหนเหรอคุณ ถึงไม่กล้าไปคนเดียว" หมวดพชรเอ่ยถาม
   "บาร์เดอะบัตเตอร์ฟลายบอยนะสิหมวด" หน่องบอกพลางระบายลมหายใจออกมาเสียยาวเหยียด
   "เดอะบัตเตอร์ฟลายบอย" ร้อยตำรวจโทพชรเอ่ยทวนชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง

   หนุ่มใหญ่หน้าตาดีในชุดสูทสีเทาตัดเย็บประณีตเดิมนำแขกต่างชาติชมผลิตภัณฑ์ในโชว์รูมกระจกใสติดเครื่องปรับอากาศ เขาหยิบม้วนแผ่นหนังขนาดใหญ่ที่มีลายสวยงามตามธรรมชาติของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ออกมาสะบัดคลี่ให้กางออก หนังของมันผ่านการฟอกย้อมจนนุ่มน่าสัมผัส ปราศจากเกล็ดแข็งปราการกั้นภัยตามธรรมชาติของมัน คุณภาพของแผ่นหนังชั้นเลิศที่หลายคนอยากจับจองเป็นเจ้าของสำหรับผู้นิยม
   "หนังจระเข้จากฟาร์มของผม พวกคุณลองสัมผัสดูสิ" เขาเอ่ยบอกเป็นภาษาอังกฤษภาษาสื่อกลางในการเจรจาครั้งนี้ก่อนจะส่งชิ้นส่วนแผ่นหนังในมือไปให้
   "สวยมาก แล้วทางคุณสามารถฟอกย้อมให้เป็นสีที่เราต้องการได้รึเปล่า" หนึ่งเสียงของชายหนุ่มคู่เจรจาทางการค้าเอ่ยถาม
   "เรามีโรงฟอกย้อมของเราเอง เราย้อมได้ทุกสีตามที่คุณออเดอร์มาแน่นอน" เขาตอบพลางส่งยิ้มการค้าไปให้
   "แล้วคุณรับประกันว่าจะส่งของให้เราได้ทันตามกำหนด" สาวผมทองสวมแว่นเอ่ยถามพลางขยับแว่นสายตาออกจ้องมองแผ่นหนังจระเข้ในมือพร้อมลูบคลำ
   "ไม่มีปัญหาครับ หนังจระเข้สีชมพูอมม่วงขนาดใหญ่พิเศษ ล็อตแรกวันที่ 15 ในอีกสองเดือนข้างหน้าจำนวนสามร้อยชิ้น และอีกสี่ร้อยชิ้น วันที่ 15 ในเดือนถัดไปไม่พลาดครับ แล้วนี่คือตัวอย่างที่ทางคุณขอมาเมื่ออาทิตย์ก่อน"  เขาบอกก่อนจะหันไปรับม้วนหนังสีม่วงอมชมพู จากมือของพนักงานด้านหลัง ออกมากางแผ่ออก
มันเป็นรูปทรงที่ได้จากการชำแหละออกจากสัตว์เลื้อยคลานทั้งตัวฟอกย้อมเป็นสีชมพูอมม่วงสวยงามมันเงา แต่สัมผัสได้ถึงความนุ่นลื่นในชิ้นหนังได้เป็นอย่างดี ถึงแม้มูลค่าราคาของมันจะสูงมากแล้วก็ตามที แต่หากถูกนำไปแปรรูปเป็นกระเป๋าใบสวยติดโลโก้ยี่ห้อหรู ๆ ราคาของมันจะถีบตัวสูงขึ้นอีกตามแบรนด์นั้น
   "ไม่ทราบว่าสีนี้เป็นที่ถูกใจของพวกคุณไหม" เขาถามความคิดเห็นจากลูกค้าต่างชาติอีกครั้ง
   "มันสวยมาก สีชมพูตรงตามที่ทางเราต้องการเลย" แหม่มผมทองใส่แว่นบอกแก่เขา
   "ขอบคุณที่พวกคุณชื่นชอบมัน นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ผมขอเชิญพวกคุณที่ห้องอาหาร เชิญตามผมมาทางนี้" เขาบอก ก่อนจะหันไปชักชวนให้แขกต่างชาติเดินตามไปร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน

   ความงามของแสงสุดท้ายของวันสิ้นสุดลง ความมืดเริ่มครอบคลุม แสงดาวเริ่มส่องระยิบวิววับในม่านดำของรัตติกาล มองเห็นได้ผ่านหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่ โต๊ะอาหารค่ำถูกปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตาด้านบนมีเชิงเทียนที่มีเทียนสีม่วงอ่อนจุดเอาไว้ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ  ดอกไม้หลากสีในโทนม่วงชมพูอ่อนแก่ไล่สีสอดสลับ ประดับเอาไว้รายรอบเชิงเทียนอย่างสวยงาม บรรยากาศโดยรอบชวนให้น่าอภิรมย์เสียยิ่งนัก   แสงสีส้มแดงที่อาบย้อมผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนบางส่วนที่แสงส่องกระทบกลายเป็นสีม่วงแดง ผู้ร่วมรับประทานอาหารต่างพากันนั่งลงบนเก้าอี้ที่ติดป้ายชื่อของตนเอาไว้ พนักงานเริ่มเสิร์ฟไวน์แดงในแก้วทรงสูงอย่างทั่วถึง
   "ผมขอดื่มให้กับความสำเร็จของข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกันของเรา" ชายในชุดสูทสีเทาทำหน้าที่เจ้าภาพลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยเชิญทุกคนร่วมดื่มด้วยการชูแก้วไวน์ขึ้นสูงไปเบื้องหน้าก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วยกแก้วไวน์แดงในมือของตนขึ้นดื่ม
   "ขอให้ทุกคนอร่อยกับอาหารเมนูพิเศษในค่ำคืนนี้" เขาเอ่ยออกมาอีกครั้งหลังจากนั่งลงกับที่ พนักงานเสิร์ฟเริ่มลำเลียงทยอยออเดิร์ฟเริ่มจากคอกเทลกุ้งในผลอะโวคาโดลูกโต แล้วตามด้วยสลัดผักแนมกับหมูทอดชิ้นใหญ่ ซุปปูน้ำข้นหอมมันเคียงกับดินเนอร์โรลเนื้อนิ่ม ก่อนจะตามด้วยเมนคอร์สสเต็กเนื้อจระเข้ที่ย่างมาจนส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายให้สอ

   ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ไม่มีใครรู้สึกถึงความอบอ้าวของอากาศภายนอก เมฆดำเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกลจนในที่สุดก็บดบังแสงระยิบระยับบนฟ้าของดาวดวงน้อยเอาไว้ทั้งหมด อากาศภายนอกเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว สายลมพัดกรูเกรียวกรรโชกแรงกิ่งไม้ไหวเอนโอนไปตามลม ก่อนที่หยาดพิรุนจากฟากฟ้าจะเริ่มหล่นตกกระทบกระจกดังเปาะแปะเบา ๆ ลำแสงสว่างวาบเพียงครู่ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสนั่นลั่นเปรี้ยงของสายฟ้าผ่าลงตรงกิ่งไม้ใหญ่หน้ากระจกจนเนื้อไม้ปริขาดร่วงหล่นลงมากระแทกกระจกใสจนแตกเสียงกระจกแตกดังเพล้งก่อนเศษเล็กเศษน้อยชิ้นส่วนของกระจกใสจะกระจายเกลื่อนกล่นเต็มพื้น สายลมพัดผ่านเข้ามาให้ห้องอาหาร เปลวเทียนเล่มน้อยเต้นไหวก่อนจะดับวูบลม ลมแรงพัดเอาข้าวของเครื่องใช้ในห้องปลิวกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
   "เรากลับเข้าไปรอให้ฝนหยุดที่ออฟฟิศด้านในของฟาร์มกันเถอะ" หนุ่มใหญ่ในชุดสูทสีเทาเอ่ยชวนก่อนจะก้าวนำคู่ค้าออกไปจากห้องอาหาร เขาพาชาวต่างชาดลัดเลาะไปตามทางเดินที่มุงหลังคาผ่านจุดที่ให้คนนั่งชมการแสดงจากคนและสัตว์เลื้อยคลานสี่ขาขนาดใหญ่ เขาหยุดยืนรอแขกเพียงครู่ก่อนจะนำออกวิ่งฝ่าสายฝนที่ซัดกระหน่ำถึงแม้จะมีหลังคาคุ้มอยู่ แต่ที่พื้นไม้ของทางเดินยกสูงจากพื้นที่ทอดยาวกลับเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
ผมเผ้าและเสื้อผ้าของทุกคนเปียกปอนจากน้ำฝนที่กระเซ็นมาโดน
   "พระเจ้า" แหม่มผมทองหลุดร้องตกใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจเสียยาว ด้วยเพราะชายชุดสูสีเทาหันกลับเอามือมารั้งแขนของเธอเอาไว้ได้ทันไม่เสียหลักลื่นล้มลงไปได้เสียก่อน
   "ไม่เป็นไรนะคุณ" เขาเอ่ยถามพลางหันไปมองคนอื่นรอบ ๆ ทีมาหยุดยืนออรอดูอยู่
   "ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมาก เรารีบไปต่อกันเถอะ" หล่อนตอบก่อนจะเอ่ยชักชวนให้ไปต่อ
เขาออกวิ่งนำอีกครั้ง ระดับน้ำในบ่อพักจระเข้เริ่มสูงขึ้น สายฝนที่กระหน่ำหนักลงมาอีกโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ด้วยความเร่งรีบเขาเองไม่ทันสังเกตน้ำที่เจิ่งนองทำให้เขาเสียหลักกลิ้งไปจนสุดทางเดินแต่ก่อนที่เขาจะพลัดตกลงไป ฝ่ามือหนาก็คว้าจับเหนี่ยวยึดแผ่นไม้ใกล้มือเอาไว้ได้เสียก่อน ร่างของเขาจึงห้อยโตงเตงมีเพียงสองมือที่พยายามเหนี่ยวรั้งร่างของตัวเองเอาไว้อย่าเหนียวแน่น สองมือออกแรงจับยึดและพยายามดึงร่างของตัวเองขึ้นไป ส่วนอกเกือบจะโพล่พ้นพื้นไม้ขึ้นมาแล้ว ชาวต่างชาติทั้งกลุ่มพยายามวิ่งเข้ามาหวังจะช่วยเอาตัวเขาขึ้นมา
ทันได้นั้นแสงสว่างวาบเจิดจ้าก็เกิดขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจะพื้นชานกว้างที่พวกเข้ายืนอยู่สั่นจนรู้สึกได้ สายฟ้าที่ฟาดเข้ากับกิ่งไม้ที่ระชายคาอยู่ส่งผลให้เกิดเปลวเพลิงขนาดย่อมสว่างไสวจนเห็นอะไรได้ชัดเจน ในขณะที่เขาพยายามหาทางช่วยเหลือตัวเองอยู่นั้น ที่เบื้องล่างในน้ำ จระเข้ขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 6 เมตร กำลังว่ายน้ำใกล้เข้ามาช้า ๆ ด้วยจุดที่มีคนพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่นั้น เป็นที่จัดแสดงวิธีการให้อาหารจระเข้ สัญชาติญาณนของมัน จึงรู้เพียงว่ามีคนกำลังจะให้อาหารมันอยู่  ร่างของคนที่พยายามกระเสือกกระสนสั่นไหวล่อตาล่อใจสัตว์เลื้อยคลานให้รีบเร่งว่ายเร็วขึ้นอีกก่อนจะกระโจนขึ้นไปในอากาศคาบงับเอาขาส่วนขาของร่างนั้นให้ร่วงลงมาด้วยแรงมหาศาลจนน้ำในบ่อแตกกระจายเป็นวงกว้างก่อนจะสะบัดงับเข้ากลางลำตัวอีกครั้ง แล้วหมุนตัวฉีกร่างเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังก้องเป็นระยะก่อนจะเงียบหายไป ที่ด้านบนเสียงกรีดร้องเสียขวัญและเสียงเอะอะอึกกะทึกดังก้องเสียงร้องขอความช่วยเหลือดูวุ่นวายสับสนท่ามกลางเสียงฝนฟ้าคะนอง ทุกคนมัวแต่ตกในกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนไม่มีใครสังเกตเห็น ส่วนหนึ่งของใบหน้าชวนสยองขาวซีดซึ่งส่งยิ้มสยองแสยะอย่างพึงใจที่โผล่พ้นน้ำมาแค่ส่วนหัวเท่านั้นราวกับว่าความตายของคนตรงหน้าเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ ก่อนจะจางหายไปราวกับอากาศธาตุ
...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2011 22:12:57 โดย จงกลนี »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด