ตอบ ๖.๒
ไตติลาเผลอหลับไปจนสะดุ้งตื่นอีกทีตอนนาฬิกาบอกเวลาดึกสงัด ไม่มีเสียงรบกวนใดๆจากภายนอก แต่จะให้กลับไปนอนอีกที ก็คงจะไม่หลับแล้ว ไตติลาจึงตัดสินใจลุกขึ้นอ่านหนังสือทำการบ้านอย่างจริงจัง เขาเอื้อมมือไปหรี่ฮีตเตอร์ที่ปลายเตียงลงอีกนิด ก่อนจะคว้าแก้วน้ำใบโปรด เดินไปตามทางเดินในบ้านที่ปูด้วยพรมหยาบๆด้วยเท้าเปล่า ห้องติดๆกันนี้รูมเมตของเขาน่าจะหลับไปแล้ว หรืออาจจะยังไม่กลับจากการท่องราตรี แต่ไตติลาคิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า เจ้าของห้องเดินฝ่าความมืดตรงทางเดินออกไป ครัวที่เปิดโล่งติดกับห้องนั่งเล่น กลับมีแสงไฟสลัว เขานึกแปลกใจพลางรินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว เพราะสายตาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเป็นเพียงเงาตะคุ่มที่ยืนอยู่ข้างเคาท์เตอร์ครัว พลางดึงกระดาษเช็ดมืดออกจากม้วน
“โอ้ย ตกใจหมด!” ไตติลาที่ตกใจจนกระโดดเหยง แก้วน้ำไปทางหนึ่ง เจ้าของไปเสียอีกทางหนึ่ง ยกมือลูบอกตะครุบสร้อยพระแทบไม่ทัน
“คุณ เป็นคนไทยหรือ?” ร่างในเงามืดนั้นถาม ไตติลาพอเริ่มได้สติจึงถามบ้าง
“คุณนั่นแหล่ะ คนหรือผี?” หรือโจร...? สายตาเริ่มกวาดหาอาวุธใกล้มือ แก้วน้ำ? กา? กล่องคอนเฟลค อะไรก็ได้ใกล้ๆมือ
“ตอบคำถามผมก่อนสิครับ?” น้ำเสียงน้ำ กล่าวอย่างขบขันโดยไม่ปิดบัง
“คุณนั่นแหล่ะ ตอบผมก่อน” ไตติลายังทำเสียงแข็ง
“แต่ผมถามก่อน”
“เอางี้ งั้นเราจะเริ่มจากที่ผมเปิดไฟก่อน” ไตติลาพยายามหาทางหนีทีไล่ ที่ใต้สวิทช์ไฟมีถังใส่ข้าวสาร ยกทั้งถังเห็นจะไม่ไหว เอาฝาก็ยังดี
“ตกลง”ร่างเงานั้นตอบ น้ำเสียงยังเจือแววขบขันเช่นเคย มือนวลนั้นคลำเจอสวิทช์ไฟ เช่นเดียวกับที่อีกมือคลำเจอฝาถังข้าวสาร
แสงไฟจากหลอดนีออนกระพริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะส่องสว่าง ร่างนั้นไม่เป็นเพียงเงาอีกต่อไป กลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตารกรุงรังด้วยหนวดเครา ที่กำลังยิ้มยิงฟันผ่านเหล่าหนวดเครายุ่งเหยิงนั้น จมูกโด่งเป็นสัน รับกับคิ้วเข้ม และดวงตายาวที่มีขนตายาวรายล้อม แต่ที่ไตติลาเห็นแล้วขัดตาที่สุด เห็นจะเป็นประกายตายิบๆที่มองตรงมาอย่างมีเค้าล้อเลียน
“ผมเป็นคนไทยแล้วยังไง? คุณต้องการอะไร?” ไตติลาถามด้วยใจระทึก พลางจับของในมือไว้แน่น
“ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่ขโมย เพราะฉะนั้นช่วยวาง อะไรก็ตามที่คุณถืออยู่ลงก่อนเถอะครับ” เจ้าของห้องมองของในมือตัวเองที่จับยึดไว้แน่น
“คุณเป็นเพื่อนรูมเมตผมหรอ?”คนโดนถามทำท่าคิด
“ว่าไงล่ะ ฮวนหรือวิตโตลิโอ้”
“วิตโตลิโอ้ก็ได้เอา”
“เขาคงกลับดึก” ไตติลายอมวางของในมือกลับคืนที่ ก่อนจะเดินมาดึงกระดาษเช็ดมือ ใกล้ๆกับที่ชายหนุ่มผู้มีหนวดเครายืนอยู่ ดวงตาคม มองใบหน้าคมสันนั้นครู่หนึ่ง อดนึกชังริมฝีปากหยักสวยที่กำลังยิ้มขันไม่ได้
“ยิ้มอะไร!” ไตติลาดึงกระดาษเช็ดมือออกจากม้วนอย่างแค้นๆ ก่อนจะเช็ดน้ำที่หกบนพื้นแล้วโยนทิ้งไป
“เปล่าครับ เอ้า” คนตอบยังคงยิ้มกว้างขวาง ทั้งที่บอกว่าเปล่า ก่อนจะช่วยส่งทิชชูอีกชิ้นให้ คนรับมองหน้าก่อนทีหนึ่ง จึงรับไป
“นี่คุณ ชื่ออะไรหรือ?” ไตติลาเงยหน้าขึ้นมองคนถาม เมื่อสบดวงตายิบๆนั้นแล้วมันรู้สึกคันๆอย่างบอกไม่ถูก เจ้าของห้องเม้มปากอย่างที่มักทำโดยไม่รู้ตัว
“นี่คุณ ไม่ใช่พวกแขกอาหรับมาหลอกจับตัวเรียกค่าไถ่แน่นะ” คนฟังระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว
“นี่คุณเบาหน่อย เดี๋ยวห้องอื่นด่า!”
“ทำไมหรือ? ผมพูดภาษาไทยไม่ชัดอย่างนั้นเชียว หรือว่าหน้าตาผมมันน่ากลัวนัก” ไตติลาหลุบสายตาลงต่ำ
“ก็ทำนองนั้นละ”
“ตกลง คุณจะไม่ยอมบอกจริงๆหรือว่าคุณชื่ออะไร”
“ทำไมผมต้องบอก เราไม่เคยรู้จักกันสักหน่อย”
“ก็ผมกำลังพยายามรู้จักอยู่นี่ไง เอาน่า เร็วเข้า คุณชื่ออะไร?” คนอยากรู้พยายามทั้งปลุกทั้งปลอบ
“แล้วทำไมคุณไม่ยอมบอกชื่อตัวเองก่อน” คนโดนต้อนยังไม่ยอมจนมุม
“เอาเถอะๆ ผมชื่อกษิดิส คราวนี้จะบอกชื่อคุณได้หรือยัง?” ไตติลาเม้มปาก ดวงตาคมนั้นมองอย่างขัดใจ
“ไตติลา” เจ้าของชื่อบอกเสียงเบา
“เอาใหม่อีกทีสิ?”
“ไตติลา” คราวนี้เจ้าของชื่อแทบจะตะโกน
“คนอะไรชื่อไต” ไตติลามองตาเขียว
“ครับๆ” กษิดิสรีบหุบยิ้ม
“ไตติลา แปลว่าเทพเจ้า แม่เรียกติลา เพราะไม่อยากเรียกไต” ทั้งคู่เงียบเสียงลงต่างไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อไป
“คุณอยู่ที่นี่หรือ?” คนโดนถามกรอกตาเบาๆ
“แน่สิ” ไตติลาตอบก่อนจะรินน้ำใส่แก้ว แล้วดื่ม แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ กับสายตากระยิบๆ ที่จับจ้องตลอดเวลานั้น
“คุณก็รอไปแล้วกัน” ไตติลารินน้ำใส่แก้วอีกครั้ง ก่อนจะเดินถือแก้วนั้นออกจากห้องครัวกลับไปที่ห้องตน โดยตบสวิทช์ไฟในครัวให้มืดลงอย่างนึกอยากเอาคืน
“เดี๋ยวคุณ!…” ไตติลาไม่ฟัง เดินกลับเข้าห้องตัวเอง แถมล๊อคประตูอีกต่างหาก
“ราตรีสวัสดิ์ครับ ไตติลา” น้ำเสียงในความมืดนั้นกล่าว แผ่วเบาราวกับจะฝากฝังราตรีกาล
ไตติลาวางแก้วน้ำลงที่พรมข้างเตียง ก่อนจะกระโดดลงไปนอนคุลมโปงแทน ทั้งที่ความตั้งใจเดิมจะทำการบ้านอ่านหนังสือ เวลาค่อยล่วงเลยผ่านไปช้าๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว และไม่มีใครห้ามได้ ไม่นาน ไตติลาผู้มีแผนจะขยัน ก็กลับสู่ห้วงนิททราโดยไม่รู้ตัว
๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖
เช้าวันนี้ ไตติลาต้องวิ่งไปทำงานอาสาสมัครที่โรงพยาบาลก่อนจะบึ่งรถกลับมาเรียนในชั้นเรียนตอนเย็น แล้วเลิกเรียนตอนค่ำๆ แค่นี้ก็หมดเรี่ยวแรงเรียบร้อยแล้ว ไตติลาขับรถกลับมาบ้านหาววอดใหญ่ ก่อนจะล๊อครถตัวเองให้เรียบร้อย ข้อความถูกส่งเข้ามาที่มือถือ เมื่อไตติลาอ่านจบก็อดยิ้มไม่ได้ กับคำเชิญชวนให้ไปทานอาหารเย็นที่อพาร์ทเม้นต์พี
“มาแล้วหรือ? นึกว่าจะใช้เวลากว่านี้อีกสักหน่อย” คริษฐ์เปิดประตูรับหนุ่มน้อยไตติลาเข้าไปภายในห้อง
“ไข่เจียวหมูสับ” กลิ่นมันหอมยวนยั่วเสียขนาดนี้ ไตติลาจึงไม่พลาด
“ทานเลยสิ หิวใช่ไหมล่ะ” ไตติลายิ้มรับ คริษฐ์จัดแจงตักข้าวใส่จานให้
“น้ำท่วมหรือครับ?”
“หือม์”
“แฉะมาเลย” คนถามเอาส้อมเขี่ยข้าวในจาน
“เอาน่า มือใหม่หัดทำ” ไตติลาตัดชิมกับข้าวสองสามอย่างดู
“ปรกติซื้อเค้ากินตลอด ก็อย่างนี้” ไตติลาว่า พลางหัวเราะ
“แน่ะ แซวพี่”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง งานอาสาสมัครวันนี้?”
“ก็เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกดี”
“อืม ดีแล้ว”
ไตติลารวบรวมจานชามต่างๆไปล้างที่อ่างหลังจัดการอาหารของกุ๊กมือใหม่แล้วเรียบร้อย ทั้งที่เจ้าของห้องตอนแรกอิดออดไม่ยอมให้ทำ แต่สุดท้าย ไตติลาก็ได้ล้างจานจนได้ เพราะบ้านไตติลานั้น คนทำไม่ต้องเก็บ คนเก็บคือคนช่วยกิน จะได้แบ่งกันรับผิดชอบ ไตติลาล้างขัดถูจานชามต่างๆไป แขนแข็งแรงคู่หนึ่งเข้ามาโอบเอวจากด้านหลัง แผ่นหลังไตติลาอิงซบกับอก
“ล้างจานลำบากนะครับ” ไตติลาเงยหน้าขึ้นถามเจ้าของวงแขน
“ล้างเร็วๆสิ”
“ทำไมหรือครับ?” คริษฐ์ไม่ตอบ วงแขนนั้นคลายออก ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของร่างที่เคยอยู่ในวงแขนแทน
“คุณคริษฐ์! ห....หาอะไรครับ!” ไตติลาแทบจะทิ้งจาน ดวงหน้าซับสีเรื่อๆชวนมอง
“แล้วติลาว่าพี่หาอะไร” ลมหายใจอุ่นๆนั้นเป่ารดที่ริวหูจนไตติลาต้องย่นคอ
“ไม่รู้สิครับ”
“ไม่อยากเดาหรือ?”
“คงไม่ต้องมั้งครับ” ไตติลาตอน ก่อนจะเผยอริมฝีปากรับจุมพิตดื่มด่ำรุ่มร้อนจากใครอีกคนอย่างลืมตน
TBC
มาเเว้วววว