ตอนที่ 1 ยินดีที่ได้รู้จัก (2)
"งานที่ผมต้องการมีตามนี้ครับ" ฌอณยื่นแฟ้มเอกสารที่มีรายละเอียดงานทั้งหมดมาให้
จากวันที่เจอกันผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ที่ตอนนี้ ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านอาหารฟิวชั่นบนห้างสรรพสินค้าในวันหยุด โดยตอนที่พลมาถึงอาหารหลายอย่างก็วางเรียงรายบนโต๊ะเรียบร้อย
"จริงๆแล้ว คุณฌอณส่งข้อมูลทางอีเมล์มาก็ได้ ไม่เห็นต้องนัดข้างนอกเลย เสียเวลาคุณเปล่าๆ"
"ไม่เป็นไร ผมอยากเจอ..." ฌอณเห็นอาการคนตรงหน้าดูเหวอไปนิดเขาจึงอธิบายต่อ
"เผื่อคุณมีข้อสงสัยอะไรจะได้ถามตรงนี้ให้จบทีเดียว"
"ครับ" รับคำ พลเปิดแฟ้ม หยิบกระดาษขึ้นมากวาดตาอ่านข้อมูลคร่าวๆ เผื่อสงสัยอะไรจะได้ถามไปอย่างที่คุณฌอณแนะนำไปเมื่อครู่ แต่ทันใดนั้น จู่ๆ ฌอณยื่นมือไปบังกระดาษที่พลอ่าน เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างมีคำถาม
"กินก่อนเถอะ เดี๋ยวอาหารชืดพอดี" สองมือวางแฟ้มนั้นไว้ข้างตัว และเปลี่ยนมาจับช้อน ส้อมแทน โดยปกติพลจะเป็นคนเฟรนด์ลี่ จะคนแปลกหน้าหรือหรือสนิทสนมแค่ไหน พลสามารถชวนคุยจนบรรยากาศผ่อนคลายและสนุกสนานมากขึ้นได้ แต่กับคนนี้พลรู้สึกเกรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังไม่คุ้นเคยหรือเพราะความหน้านิ่งของอีกฝ่าย ถึงทำให้พลไม่กล้าปล่อยมุกหรือแซวเล่นด้วย
แต่เพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมันเงียบเกินไป พลจึงชวยคุยแต่เชิงเป็นงาน เป็นการมากกว่า
"คุณได้ดูๆเจ้าอื่นไว้บ้างหรือเปล่าครับ?"
"เปล่า ผมสนใจคุณคนเดียว" คำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้พลระแคะระคาย หรือเอะใจอะไร เพียงแต่พลสงสัยว่าการจะจ้างใครสักคนให้ทำงานให้ คุณจะไม่เช็คประวัติย้อนหลังสักหน่อยเลยหรือ?
"ทำไมคุณไว้ใจผม ทั้งๆที่ผลงานเก่าๆของผม คุณก็ไม่เคยเห็นมาก่อน" คำถามที่อยากรู้คำตอบจริงๆ เพราะการจ้างงานสเกลใหญ่ขนาดนี้ อีกฝ่ายย่อมรู้ดีว่าจำนวนเงินที่จ่ายย่อมสูง การเจอหน้ากันเพียงแค่สองครั้ง ครั้งแรกโดยบังเอิญและครั้งนี้ที่นัดมาคุยงาน
เหตุอันใดที่ทำให้คุณฌอณมั่นใจตัวพลขนาดนั้น
"ชื่อบริษัทที่คุณอยู่ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าการที่คุณเข้าทำงานที่นั่นได้ แสดงว่าคุณคงเก่งพอตัว"
เป็นคำชมที่พลฟังแล้วรู้สึกดี
"แล้วถ้าผมเรียกราคาสูงล่ะ คุณจะไหวหรอ?"
"ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี คงไม่คิดโก่งราคาสูงเกินไปหรอกใช่ไหมครับ นายพล?" ดวงตาคู่คมมองมาอย่างแฝงความหมายอะไรบางอย่าง และการจดจ้องไม่ละสายตาก็ชวนขนลุกแปลกๆ พลไม่ตอบแต่เบนสายตาหนีก้มหน้าจนคางแทบติดคอ
ทำไมรู้สึกว่าสายตาของคนตรงข้ามมันทำให้พลหวิวๆอย่างไม่มีเหตุผล
"คิดว่าจะส่งใบเสนอราคากลับมาเมื่อไหร่?" ฌอณถามต่อ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีทีท่าแปลกไป
"สองวันครับ"
"ถ้าผมดูแล้วพอใจในราคา คุณเริ่มงานได้เลยนะ"
"ครับ" จบบทสนทนาเรื่องงาน ต่างฝ่ายก็ตักอาหารกินไปอย่างเงียบๆ คุณฌอณเป็นคนแรกที่พลทำตัวไม่ถูก มือไม้ก็ดูสั่นเกร็งจะหยิบตักอะไรก็ดูเงอะๆงะๆไปซะหมด
พลไม่เข้าใจทำไมพลรู้สึกกลัวคนตรงหน้า ราวกับว่ามีรังสีอำมหิตซ่อนอยู่ ขนาดพี่ฆีน ซึ่งเป็นแฟนของเพื่อนก็ดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับคุณฌอณ แต่พลกลับแซวหรือคุยเล่นด้วยได้ ผิดกับคนนี้ที่รู้สึกไม่กล้าพูดเล่นหรือแซวอะไรด้วยเลย
ในขณะที่พลนั่งคิดเรื่องของคนตรงข้าม อีกฝั่งก็คิดเรื่องของพลเหมือนกัน ฟากฌอณชำเลืองมองหน้าพลที่ดูนิ่งผิดปกติ เขาพยายามสังเกตใบหน้าที่ขมวดคิ้วมุ่น มองพินิจพิจารณาอย่างละเอียด
ฌอณอยากถามอะไรบางอย่าง แต่เขาก็เลือกจะเงียบ ก่อนจะละสายตาแล้วก้มหน้าตักอาหารต่อ
ผ่านไปสักพักที่ทั้งสองจัดการอาหารตรงหน้าเรียบร้อย ก็เตรียมแยกย้ายกันกลับ จังหวะที่เดินออกมา พลยกมือไหว้ พร้อมลา คุณฌอณก็เอ่ยขึ้นมาว่าจะไปส่งที่บ้าน แค่รับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน พลยังอึดอัดขนาดนี้ ถ้าต้องอยู่กันสองต่อสองบนรถอีก พลไม่เอาดีกว่าจึงปฏิเสธไป
แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าไปไหน อีกฝ่ายวางมือบนไหล่ ส่งสายตาดุๆ จนพลกระพริบตาปริบๆมองคุณฌอณที่เน้นเสียงหนักว่าจะไปส่ง
พลเลยพยักหน้าส่งๆและเดินตามไปอย่างว่าง่าย ในบางครั้งพลก็เดาอารมณ์ของคุณฌอณไม่ได้เลยจริงๆ
ในระหว่างที่พลและฌอณเดินไปยังรถยนต์คู่ใจ เสียงโทรศัพท์ของฌอณก็ดังขึ้น เขาล้วงเข้าไปหยิบเครื่องมือสื่อสารและกดรับสาย
"ว่าไงครับ หนูน้อยของพี่" น้ำเสียงสดใสต่างจากที่คุยกับพลอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่คนพิเศษคงไม่พูดเสียงเล็ก เสียงน้อยแบบนี้ แถมสรรพนามที่ใช้เรียกกันช่างหวานหูชวนอ้วก
แฟนแน่ๆ!
"พี่ไม่สะดวกคุยตอนนี้ เดี๋ยวพี่โทรกลับนะครับ หนูน้อย"
คุยกับผู้หญิงนี่ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่แถมยังดูนุ่มนวลและอ่อนโยนเสียเหลือเกินเห็นแล้วมันหมั่นไส้
แวบหนึ่ง พลเบะปาก แต่คนข้างๆเห็นจึงเอ่ยถาม
"คุณเป็นอะไร?"
"ผมน่ะหรอ? เปล่านี่" จู่ๆ คนข้างกายก็หลุดหัวเราะเบาๆ ทำให้พลหันขวับไปมอง อาจเป็นเพราะตั้งแต่เจอกัน คนหน้านิ่งคนนี้ มีรอยยิ้มปรากฎแก่สายตานับครั้งได้ แถมจะให้หัวเราะน่ะหรอไม่มีทางได้เห็น
พลสบถในลำคอเหมือนขัดใจตัวเองเมื่อรู้ว่ากำลังใส่ใจรายละเอียดคุณฌอณมากเกินความจำเป็น
ไม่ต้องใส่ใจมากมายนักหรอก เพราะสถานะของทั้งสองตอนนี้ก็แค่ลูกจ้าง กับผู้ว่าจ้างที่ต้องร่วมงานกันก็เท่านั้น....
......................
เมื่อรับงาน วิเคราะห์ดูแล้วว่าพลน่าจะจัดการได้ เขาก็รีบโทรหาพรรคพวกในแวดวงต่างๆ สอบถามราคาซัพพลายเออร์ ผลิตป้าย โครงสร้างต่างๆจนได้ข้อมูลมาครบ พลนั่งรวบรวมราคา บวกค่าเหนื่อยไปอีกนิดหน่อย ก็พิมพ์รายละเอียดเพื่อเตรียมส่งให้
หลังจากที่สรุปราคาค่าใช้จ่ายทั้งหมด วันถัดมาพลส่งใบเสนอราคาไปให้ทางอีเมล์ และไม่อยากจะเชื่อว่าพลส่งไปไม่ถึงชั่วโมง อีกฝ่ายตอบตกลงอย่างไม่มีอิดออด พร้อมทิ้งท้ายบอกให้พลเริ่มงานได้เลย
เจอลูกค้าว่าง่ายไม่เรื่องมากแบบนี้ก็ดี พลพร้อมทำงานเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาก็มีฝีมือเหมือนกัน
ทว่า ผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน พลเจอหัวหน้าเรียกไปพบด่วน คุยงานไม่นาน พลก็ออกจากห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะทั้งสัปดาห์พลต้องมีไปคุมงานเรื่องโครงสร้างด้วย
นอกเหนือจากการทำกราฟิก พลต้องทำหน้าที่ไปดูงานภาคสนาม ซึ่งปกติ การออกไปดูซัพพลายเออร์ทำงานพวกโครงสร้างอย่างพวก จัดบูธตามงานเอ็กซิบิชั่นหรือแม้กระทั่งจัดอีเวนท์เล็กๆที่ห้างสรรพสินค้า โดยส่วนใหญ่วันที่จัดแสดงงานจะไม่ค่อยติดกันนัก แต่เพราะช่วงนี้คงมีเอ็กซิบิชั่นหรืองานเปิดตัวสินค้าพร้อมๆกันพอดี เลยทำให้พลต้องทำหน้าที่จัดคิวไปดูทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุมงานเมื่อไหร่ การกลับบ้านดึกก็คงไม่ต้องพูดถึง
และแล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก...
หนึ่งสัปดาห์เต็มๆที่พลแทบไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน เพราะต้องดูงานของลูกค้าหลายรายติดกัน เขาทำงานหามรุ่ง หามค่ำ จนบางวันก็กินข้าวไม่ตรงเวลา หรือบางครั้งก็ลืมกินข้าว กินปลาไปเลยก็มี
ความเหนื่อยล้าจากการทำงานกับเจ็ดวันหฤหรรษ์ผ่านพ้นไป ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่บวกกับอาหารที่ลงกระเพาะก็น้อยนิด จึงไม่แปลกที่วันนี้พลจะป่วยจนลุกไปทำงานไม่ไหว
พลรีบโทรลากับหัวหน้าโดยตรง ซึ่งเขาไม่ได้ว่าอะไรกลับเป็นห่วงด้วยซ้ำไป เพราะเข้าใจว่างานที่พลทำมันหนักพอสมควร
หมดห่วงเรื่องการทำงาน พลหลับตา นอนตัวสั่น เขาดึงผ้าห่มผืนบางคลุมถึงศรีษะ
อยากลองลุกไปอาบน้ำก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตะเกียกตะกาย คิดว่า การนอนนิ่งๆแบบนี้ไปก่อนคงอาจทำให้ร่างกายดีขึ้นตามกาลเวลา
หลับตาได้ไม่ถึงสิบนาที โทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัวก็ดังขึ้น พลไม่มีกะจิตกะใจจะรับ เขาจึงปล่อยให้แผดเสียงร้องไปอย่างนั้น เดี๋ยวถ้าปลายสายรู้ว่าไม่มีคนรับ สักพักก็คงดับไปเอง
แต่มันไม่เป็นอย่างที่พลคิด เพราะพอดับลงไม่ถึงหนึ่งนาที เครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
พลหนวกหู จึงกดรับและกรอกเสียงลงไป
"สวัสดีครับ"[ผมนั่งรอดูงานคุณอยู่จะส่งอีเมล์มาเมื่อไหร่? ตามกำหนดคือเมื่อวานไม่ใช่หรือ? นี่มันเลยมาแล้วนะครับ]
ตายห่า!
ที่ผ่านมาทำงานประจำก็จะไม่มีเวลานอนอยู่แล้ว เลยทำให้กลับบ้านพลก็ทิ้งตัวลงนอน จนลืมไปว่ารับงานออกแบบของคุณฌอณเอาไว้ด้วย
พลเบิกตาโพลงพลางเด้งพรวดลุกขึ้นเพราะเสียงดุดันดังมาจากปลายสาย แต่เพราะลืมว่าตัวเองป่วย การลุกเร็วแบบนั้นยิ่งทำให้พลปวดหัวกว่าเดิม เขากุมขมับด้วยความทรมาน
"คุณฌอณครับ ผมขอโทษ ขอเลื่อนไปสองวันได้ไหม?""ไม่ได้ แค่นี้ คุณยังไม่ตรงต่อเวลา แล้วคุณจะไปทำมาหากินอะไรได้" ในตอนแรก พลอุตส่าห์พูดจานอบน้อม พอเขาได้ยินเสียงไม่พอใจและคำพูด คำจาที่ดูถูกกัน พลโมโหพอสมควร
"ถ้างั้น คุณไปจ้างคนอื่นเลย ผมไม่ทำงานให้คุณแล้ว ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา แค่กๆๆ" ตวาดใส่อย่างไม่พอใจ แต่เพราะร่างกายอ่อนแรง พลจึงเจ็บคอและเสียงแหบแห้ง ขาดห้วง
ความเงียบก่อตัวอยู่หลายนาที จากนั้น ฌอณก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าตอนแรก
"คุณไม่สบายหรือ?"
"คุณไม่จำเป็นต้องมาสนใจ ผมไม่ทำงานให้คุณแล้ว"
"นายพล!"!!
พลตัดสาย แล้วไถลตัวช้าๆเพื่อข่มตาหลับ
หากคุณฌอณจะโกรธ เกลียดกันก็ตามสบาย เวลานี้ พลจะตายอยู่แล้ว
พลนอนกระสับกระส่ายด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว อาการปวดหัวราวกับสมองจะระเบิด ไหนจะความร้อนภายในตัวที่แผดเผาเหมือนมีใครมาสุมไฟจนร่างกายทรมานแทบบ้า
น้ำใสเริ่มปริ่มดวงตา ไม่เอาแล้ว พลสัญญากับตัวเองว่า จากนี้เขาจะใส่ใจตัวเองให้มากกว่าเดิม และจะไม่บ้างานเกินความจำเป็นอีกแล้ว
ผ่านไปได้สักพักอาการตัวร้อนเริ่มร่วมกับความรู้สึกหนาว พลนอนขดตัวสั่นเทิ้ม ดูเหมือนว่าผ้าห่มก็เอาไม่อยู่
ไม่นานมากนัก ที่พลได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายที
พลก็อยากไปเปิด แต่การพยุงตัวเองขึ้นตอนนี้ คงต้องใช้เวลามาก
สิ้นเสียงการเคาะประตูที่ดังอยู่หลายสิบครั้ง มันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นแทนที่
พลกดรับสายยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร ก็มีเสียงแทรกเข้ามา
"ผมอยู่หน้าห้องคุณแล้ว มาเปิดประตูเดี๋ยวนี้"
[ผมลุก...ม..ไม่]
"นายพล คุณต้องมาเปิดประตู ไม่อย่างนั้น ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?" เสียงร้อนรนของอีกฝ่ายที่ส่งเสียงดังกึ่งโวยวาย ทำให้พลตัดรำคาญ เขาต่อสู้กับพิษไข้ของตัวเอง ค่อยๆลุกจากเตียง กระเสือกกระสนไปเปิดประตู
ปกติ สองนาทีก็เดินถึงหน้าประตูห้อง แต่เวลานี้ ห้านาทียังอยู่แค่โซฟา
พลค่อยๆใช้มือเกาะตามผนังบ้าง โต๊ะบ้างเพื่อหาหลักยึดกันตัวเองล้ม
ราวกับถึงเส้นชัย เมื่อพลเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง เขายืนโอนเอน มือหนาบิดลูกบิด เปิดออก พอพลเห็นหน้าคุณฌอณก็ไม่รีรอถามอย่างข้องใจ
"คุณรู้ได้ไงว่าผมพักห้องไหน?"
ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย แต่สิ่งที่พลได้รับคือ คุณฌอณเข้ามาประชิดและโอบกอด ราวกับรู้ว่าไม่กี่นาทีจากนี้ นายพลกำลังจะล้มลงเพราะหมดแรงจากพิษไข้
....................................
ขอบคุณจ้า[/color]