“ท่านจักพาข้าไป ณ ที่ใดหรือ…ท่านกนธี” จันทรัชเอ่ยถามผู้ซึ่งกึ่งจูงกึ่งลากให้เดินตามหลัง ดวงตากลมโตเหลียวแลไปรอบข้างก็เห็นว่าตนและกนธีเดินออกห่างจากวิมานออกไปทุกที
“ข้าจักพาเจ้าไปเล่นซ่อนแอบกับข้า” กนธีตอบสั้นๆ ใจนั้นจดจ่อให้ทุกสิ่งไปตามแผนการ
“หยุดก่อนท่านกนธี เพียงเล่นซ่อนแอบใยจึงพาข้าออกมาจากวิมาน อีกประเดี๋ยวคนของท่านก็จักมารับท่านกลับมิใช่หรือ ข้าว่าเราเล่นกันที่วิมานน่าจะดีกว่า”
“เจ้าพูดออกมาเยี่ยงนี้ เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือไร ทั้งที่ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเจ้าเป็นเด็กใหม่ มิเคยมาเที่ยวเล่นบนสวรรค์จึงได้พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นนอกวิมานของเทพีณิชา” กนธีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ จุดประสงค์หาใช่ว่าจะพาจันทรัชมาเที่ยวสนุกแต่พามาเป็นเครื่องมือสร้างความสนุกต่างหากเล่า
“ข้าไว้ใจท่าน…ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเพียงเพราะคำพูดของข้าเลย ท่านกนธีข้าขอบน้ำใจท่านมากที่พาคนในป่าเยี่ยงข้าเที่ยวชมสวรรค์” จันทรัชรีบพูดแย้งกลัวว่าบุตรคนรองของเจ้าสมุทรจักรู้สึกไม่ดีขึ้นมาได้เพียงเพราะคำถามของตน
“เช่นนั้นเจ้าจงเงียบปากเสียแล้วยืนนิ่งๆ” จากที่ให้เดินตาม กนธีกลับสั่งให้จันทรัชหยุดเดิน จันทรัชเองก็ทำตามไม่คิดสงสัย โดยหารู้ไม่ว่าความอยากรู้อยากเห็นที่จะได้เที่ยวชมแดนสรวงกำลังจะนำภัยมาถึงตน
ฝ่ามือเล็กของกนธียกขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะร่ายมนต์ผ่านวาโยก่อให้เกิดฟองอากาศสีฟ้าหมุนวนและขยายใหญ่ที่ละนิด…ทีละนิด กนธีมองฟองอากาศในมือ ริมฝีปากกระตุกยิ้มจากนั้นจึงเป่าฟองอากาศนี้ให้ลอยไปทางจันทรัช
‘ฟึบ’ ฟองอากาศห่อหุ้มกายของจันทรัชเอาไว้ จันทราบุตรตกใจพยายามใช้กำปั้นทุบตี หากมันกับไม่แตกและยิ่งไปกว่านั้นฟองอากาศนี้กำลังลอยขึ้นไปเหนือพื้น
“ท่านกนธี!!! ท่านทำอันใดข้า!!!” จันทรัชรู้ตัวว่าโดนหลอกเสียแล้ว หากยังมิรู้ว่าผลของการอยู่ในฟองอากาศจะเป็นเช่นไร
“ข้าก็ช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าได้เที่ยวเล่น ณ สุราลัย ดั่งที่ใจเจ้าปรารถนา ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กนธีหัวเราะลั่น ตาก็มองไปยังเหยื่ออารมณ์ซึ่งกำลังหาทางหนี…‘เจ้าหน้าโง่ ฟองอากาศของข้ามันไม่แตกง่ายๆดอกนะ’...
“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้!!!” จันทรัชเอ่ยออกมาเสียงดัง หากกนธีกลีบทำเป็นหูทวนลม จันทรัชจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยการใช้มนตราที่ตนได้เรียนมาจากนางช้างเพียงมาใช้แต่มันก็มิอาจจะทำลายฟองอากาศได้…แม้เพียงนิดเดียวก็มิได้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียเวลาเปล่า…จันทรัช มนต์กระจอกเช่นนี้มิสามารถทำอันใดได้ดอก ข้าว่าเจ้าเก็บแรงเสียดีกว่าอีกไม่นานฟองอากาศจะพาเจ้าออกไปจากที่และไปหยุด….อืม…หยุด…หยุดที่ไหนดีเล่า ข้าเองก็เดาไม่ถูกแต่ถ้าให้ดีก็ขอให้ไปแล้ว ไปลับอย่าได้กลับมาให้ข้าชังน้ำหน้าอีก” พูดจบกนธีหายวับไป เหลือเพียงจันทรัชที่ล่องลอยออกไปอย่างไร้ทิศทาง
“ใจเย็นๆจันทรัช ประเดี๋ยวท่านพี่ใหญ่จักต้องมา ท่านพี่จักต้องตามหาข้าจนเจอแน่นอน” จันทรัชพึมพำกับตนเอง คำพูดปลอบใจที่กลั่นกรองมาจากจิตใจที่มองโลกในแง่ดี ถึงแม้จะกลัวว่าฟองอากาศจะแตกแล้วร่างของตนจะดิ่งลงสู่พื้นพสุธา
‘ฟึบ’ ศรอัคคีพุ่งตรงสู่กลางกระดานไม้ก่อนจะค่อยๆลุกลามเผาไหม้ ฝั่งตรงข้ามมีเทพคอยจ้องมองตาไม่กระพริบ และเมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วอายุอานามก็ราวๆ ๑๓-๑๔ ปียืนถือคันธนู ไม่ต้องเดาให้ยากเลยฝีมือการยิงธนูอันไร้เทียมทานนี้จะเป็นใครมิได้นอกเสียจาก ‘ศนิ’ เทพบุตรรูปงามผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งพระเสาร์ มิใช่เพียงการแผลงศรที่แม่นยำเท่านั้น ศาสตรวุธอื่นๆ ทั้งหอก พระขรรค์เองพระศนิก็เชี่ยวชาญทั้งสิ้น เพื่อให้สมกับการเป็นเทพนพเคราะห์ผู้แข่งแกร่งที่สุด ทุกๆวันพระศนิจักมาฝึกซ้อม ณ สวนกว้างหลังวิมานไพฑูรย์ของตน
“ท่านศนิ พระเสาร์ได้ฝากให้ข้านำความมาบอกกับท่าน” ขณะที่พระศนิกำลังเสกศรวารีเพื่อดับเพลิงบนกระดานไม้ ทหารก้านบัวได้ขัดคำสั่งเข้ามาในระหว่างที่ตนฝึกซ้อมจนพระศนิแทบจะแผลงทหารของตนแทนกระดานไม้ ทว่าคำพูดได้อ้างถึงนามของผู้เป็นบิดาพระศนิจึงระงับอารมณ์ได้ทันท่วงที
“เจ้ามีเรื่องอันใดจะแจ้งข้า รีบเอ่ยออกมาบัดเดี๋ยวนี้”
“พระเสาร์จะต้องไปปราบอสูรที่ยังหลบหนีเมื่อครั้งสงครามเทวาอสุรา จึงมีคำสั่งให้ท่านศนิดูแลวิมานรวมถึงปฏิบัติหน้าที่แทนในระหว่างนี้” สิ้นคำสั่งพระศนิได้ฟังก็ยกยิ้มขึ้นมา เทวาตนอื่นในวัยนี้คงมิอยากจะเที่ยวเล่นให้สำราญใจแต่มิใช่พระศนิผู้ชอบความท้าทาย ยิ่งได้รับภารกิจสำคัญย่อมทำให้ตื่นเต้นมิใช่น้อย
“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้” พระศนิไล่ทหารรับใช้ออกไปก่อนจะง้างคันธนูแผลงศรวารีเพื่อดับไฟ
…‘ผู้ใดบังอาจย่างกลายมายังวิมานด้วยใจที่คิดชั่ว จักต้องเจอดีกับข้า’…
ความคิดของพระศนิแลถ้าจะเป็นความจริง เงามืดขนาดใหญ่ได้กล้ำกลายเข้ามาเหนือเศียร คันธนูเปล่งรัศมีแล้วแปรเปลี่ยนเป็นหอกสีเงินยวง จักเรียกได้ว่าศัตรูคงจะคิดหยามหน้าตนน่าดู พอเห็นว่าบิดาของตนไม่อยู่จึงเข้าโจมตี
“ตายเสียเถอะ!!!”
“อย่า!!!”
ร้องห้ามเช่นไรก็คงไม่ทัน…พระศนิเบิกตากว้างด้วยความตกใจในความผิดพลาดที่ไม่มองดูให้ดีว่าเงาใหญ่ที่ลอยมาคือฟองอากาศหุ้มกายเด็กน้อยและยิ่งไปกว่านั้นหอกได้ถูกขว้างขึ้นไปเสียแล้ว
‘โพล๊ะ’ คมหอกแทงทะทะลุฟองอากาศ จันทรัชที่หลับตาปี๋ได้ตกลงมาทันที ทว่าก่อนกายาเล็กจะสัมผัสพื้นก็ได้มีสองแขน สองมือมารองรับไว้
“เจ้าเป็นอันใดบ้าง” เสียงทุ้มแฝงไปด้วยความดุดันเอ่ยถาม ทำให้จันทรัชโล่งใจที่ตนนั้นยังไม่สิ้นชีพ
“ข้ามิเป็นไร…ขะ…ขอบน้ำใจท่านมากที่ช่วยข้าไว้” จันทรัชเอ่ย พอลืมตาได้มองใบหน้าของพระศนิก็นึกกลัวอยู่ไม่น้อยจนทำให้พูดจาตะกุกตะกักผิดไปจากนิสัยช่างเจรจา
“ข้าช่วยเจ้าเสียที่ไหน อันที่จริงข้านั้นจักฆ่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ เอาเถิดบอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงเหาะเหินอยู่เหนืออาณาเขตของข้า” พระศนิวางกายของจันทรัชให้ยืนบนผืนดิน จากนั้นจึงซักถาม
“ข้ามีนามว่าจันทรัช ข้านั้นมิได้มีเจตนารมณ์เหาะเหินลุกล้ำมายังที่ของท่านแต่อย่างใด ข้าเพียงถูกกักขังในฟองอากาศจนล่องลอยออกมาจากวิมานของเทพีณิชา” จันทรัชตอบตามความเป็นจริงแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่ากนธีเป็นผู้ร่ายมนต์กักขัง พระศนิได้สดับฟังก็คิดตาม เมื่อพิจารณาแล้วคงจะเป็นจริงเพราะเด็กตัวเล็กคงไม่ได้ตั้งใจมาปองร้ายหรือทำลายวิมานเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงกลับไปยังวิมานของเทพีณิชาเสีย วิมานข้าไม่เหมาะให้เจ้าได้เดินชมนก ชมไม้ หรือวิ่งเล่น”
“เอ่อ…คือข้า…ข้าจำทางกลับวิมานของเทพีณิชาไม่ได้ ข้าขอร้องให้ท่านไปส่งข้าได้หรือไม่” จันทรัชขอความช่วยเหลือ
“ไม่!! ไม่มีทางที่ข้าจะพาเจ้าไปส่ง…ไม่มีทาง!!!”
. . .
“จันทรัช นั่งนิ่งๆสิ ประเดี๋ยวตกลงไปจักทำเช่นไร ข้ามิช่วยเจ้าดอกหนา” พระศนิเอ่ยกับร่างเล็กที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับหมู่ดาวนับล้านจนลืมไปเสียว่านั่งอยู่บนหลังพยัคฆา
“พี่ศนิ…ดาวดวงนั้นสีสวยจัง คล้ายกับมรกตยักษ์ลอยอยู่เลย” คำพูดของพระศนิคงจะไม่เข้าหูจันทรัชแม้แต่น้อย ทั้งยังกระตุกชายอาภรณ์ให้ดูดาวดวงโน้นที ดวงนั้นที ทั้งที่ตนเห็นมาจนเบื่อ
“ข้าพูดเจ้าได้ยินหรือไม่ อีกอย่างข้ามิใช่พี่ของเจ้า ข้าไม่มีน้อง” พอใช้น้ำเสียงดุ ทุกถ้อยคำดังก้องในโสตประสาท ริมฝีปากที่ยิ้มเมื่อครู่เริ่มเม้มทีละนิด อัสสุชลสีใสเริ่มคลอเบ้าตา
“หยุด!! ห้ามร้องไห้ ถ้าอยากให้ข้าไปส่งเจ้าและไม่ทิ้งเจ้าไว้ยังดาวดวงใดดวงหนึ่งแล้วไซร้ จงหยุดร้อง หยุดดื้อ หยุดซน เข้าใจหรือไม่” พระศนิขู่และประสบผลสำเร็จ มือเล็กยกขึ้นมาปาดน้ำตา กลั้นเสียงสะอื้น พระศนิไม่ชอบน้ำตาเอาเสียเลยเพราะมันคือสาเหตุที่ทำให้ตนต้องมาส่งจันทรัชกลับวิมานงาช้าง
“ครานี้จงนั่งนิ่งๆ จะดูโน่น ดูนี่ จะพูดจ้อสิ่งใดข้าไม่ว่า เพียงแต่อย่าขยับตัวไปมาเพราะข้ากอดกายเจ้าไว้ด้วยแขนข้างเดียวเห็นหรือไม่” จันทรัชพยักหน้าทันที พระศนิเองรู้ว่าจันทรัชเป็นเด็กฉลาดและเข้าใจในสิ่งที่พูด หากมีความดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนโดนตนดุถึงจะยอมนั่งนิ่ง
ไม่นานพยัคฆาสีรัติกาลก็มาถึงวิมานของเทพีณิชา พระศนิอุ้มจันทรัชลงมา สายตากวาดมองนางอัปสรตลอดจนทหารเทวาที่กำลังวิ่งวุ่นไปทั่ว พระศนิคิดในใจว่าคงจะเหตุการณ์บางอย่างเป็นแน่และจักต้องเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เมื่อตนสะดุดตากับเทพรุ่นราวคราวเดียวกัน สวมอาภรณ์สีน้ำผึ้ง ใบหน้านั้นเคร่งเครียดพอสมควร
“พี่ใหญ่!!!!” จันทรัชผละกายออกจากพระศนิแล้วตะโกนออกไปสุดเสียง ผู้ถูกเรียกขานหันมาทันทีก่อนจะวิ่งเข้ามาสวมกอดอนุชาตัวน้อย
“จันทรัช เจ้าหายไปไหนมา รู้หรือไม่พี่กับเทพีณิชาตามหาเจ้าจนวุ่นวายกันไปทั่ว แล้วเจ้าเป็นอันใดหรือไม่ มีใครทำอันตรายเจ้าบ้าง” พี่ใหญ่ของจันทรัชหรือ ‘กรวีร์’ บุตราแห่งพระพฤหัสได้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นว่าผู้ที่มากับน้องคือพระศนิแล้วไซร้ ตนจึงได้เน้นเสียงไปยังคำถามสุดท้าย
“คือข้าซุกซนจนหลงทาง…แต่ข้าได้พี่ศนิคอยช่วยเหลือพาข้ามาส่งกลับยังวิมาน” จันทรัชเอ่ย ทำให้พระกรวีร์โล่งใจ เว้นแต่ประโยคที่เรียกพระศนิว่า ‘พี่’ ทำให้คนหวงน้องไม่พอใจเสียเท่าไหร่
“ข้าขอบน้ำใจท่านมากที่มาส่งน้องข้าถึงที่นี่ หวังว่าน้องของข้าจักไม่รบกวนอันใจท่าน” พระกรวีร์อุ้มจันทรัชขึ้นมาก่อนจะเอ่ยกับพระศนิ
“มิเป็นไรดอก การมาส่งจันทรัชหาใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า ถึงจะดื้อจะซนบ้างแต่เพียงข้าอุ้ม ข้ากอดจันทรัชก็นั่งนิ่งเชื่อฟังข้า” พระศนิเอ่ย พลางมองพักตราของพระกรวีร์ที่ไม่ค่อยจะพอใจ พระศนิดูออกว่าบุตรแห่งพระพฤหัสผู้นี้หวงจันทรัชผู้เป็นน้องมากเพียงใดและคงไม่อยากให้จันทรัชมองใครสำคัญไปกว่าตนเอง พระศนิจึงแกล้งเหย้าแหย่ออกไป
“ขออภัยแทนจันทรัชที่ซุกซนจนอาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับท่าน แต่ข้าขอรับรองว่าจะไม่ให้จันทรัชไปรบกวนท่านอีก” ประโยคอาจจะฟังดูเรียบง่ายหากมีความนัยอีกอย่างนั่นคือ…‘ข้าจักไม่ให้จันทรัชเจอท่านอีกเป็นอันขาด…พระศนิ’...
“ไม่เอานะพี่ใหญ่!!! ข้าอยากเจอพี่ศนิอีก” จันทรัชยู่ปากไม่พอใจผู้เป็นเชษฐา จนทำให้พระศนิแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
“เจ้าถามพระศนิดูสิว่าจะเจอเจ้าหรือไม่” พระกรวีร์เอ่ย ในใจพอจะเดาคำตอบได้ว่าพระศนิจักต้อง…
“ได้สิ หากเจ้าอยากเจอข้าก็ให้พระกรวีร์พาเจ้ามายังวิมานของข้า” ผิดไปจากที่พระกรวีร์คาดไว้ พระศนิตกลงให้จันทรัชพบเจอ คราแรกพระศนิจะไม่อยากพบเจอเพราะนิสัยชอบความสงบ สันโดดแต่อีกใจอยากแกล้งพระกรวีร์ แน่นอนว่าคำตอบนี้สร้างรอยยิ้มให้กับจันทรัชและสร้างความไม่พอใจให้กับพระกรวีร์เพิ่มขึ้นไปทวีคูณ
“พี่ศนิอนุญาตแล้ว พี่ใหญ่ต้องพาขาไปหาพี่ศนินะ”
“ก่อนจักไปวิมานของพระศนิ พี่ว่าเจ้าจักต้องไปเจอเทพีณิชากับเทพีดารุณีเสียก่อน...พระศนิข้ากับน้องเห็นทีต้องลาท่านเสียตรงนี้และข้าขอบน้ำใจท่านอีกครั้งที่พาจันทรัชมาส่งยังอ้อมอกข้าอีกครั้ง” พระกรวีร์เอ่ยแล้วรีบอุ้มจันทรัชเข้าไปยังวิมาน ส่วนพระศนิก็ยืนมองสองพี่น้องที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา ก่อนจักฉุกคิดได้ว่าตนได้ชักนำความวุ่นวายเข้ามาในชีวิตเสียแล้ว
.............................
กลับมาแล้ว เย้!!!! พระศนิคือใคร ทายกันมา คิดว่าคงจะทายถูกกันเยอะ อ่อ อย่าว่าป๋ากนธีเลยค่ะ เพราะป๋าทำให้จันทรัชได้เจอพี่ชายอีกคน นั่นคือ พระศนิ อ่อมีตัวละครอีกตัว ที่ค่าตัวแพงออกมาเพียงนิดเดียวในเรื่องสาปรักฯ ตัวละครเจ้าของวลี 'ใหญ่ไม่ใหญ่ตัวท่านน่าจะรู้ดี' จนสร้างกระแสคู่จิ้นแบบงงๆ =_= ขึ้นมาได้
ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามแม้ท่านยุ่งจะอัพช้าก็ตามที จุ๊บ ขอบคุณค่ะ รักนะ คิดถึงด้วย