Because of you ซน ตอนที่ 20 action=reactionถ้านับจากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็อาทิตย์กว่าแล้วมั้งที่ผมกับน่านฟ้าไม่ได้ติดต่อกันเลย ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคืนนั้นตัวเองเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสภาพแบบไหน รู้แค่ว่าน้ำตาที่ไหลตั้งแต่ที่มันพูดจบแล้วเดินจากไปจนกระทั่งเช้าของอีกวันมันก็ยังไม่หยุด ผมนอนไม่หลับอยู่หลายคืน ในหัวเอาแต่คิดเรื่องไอ้น่านซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไมมันถึงทำแบบนั้น ปากบอกว่าชอบผมแล้วทำไมจู่ๆถึงมาทิ้งกันไปแบบนี้ ใครแม่งเคยบอกไว้วะว่าการที่เราชอบใครสักคนนึงขอแค่ให้ได้อยู่ข้างๆมองคนที่เราชอบมีความสุขก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมน่านฟ้ากลับทำให้ทฤษฎีนั้นมันพังไปหมด
หลายวันที่ผ่านมาผมพยายามทุกวิธีเพื่อติดต่อมัน แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ผลที่ได้กลับมาก็มีแต่เท่ากับศูนย์ น่านฟ้าไม่รับโทรศัพท์ ไม่อ่านไลน์ ไม่ตอบข้อความ หรือแม้แต่บ้านมันก็ยังไม่กลับ พอโทรถามไอ้วีมันก็ไม่รู้ว่าน่านฟ้าไปไหน ถ้าอยากเจอจริงๆก็คงต้องไปหามันที่มหาลัย ผมหน้าด้านใช่ไหมครับที่พอรู้ว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน ก็มาหามันที่นั่นทันที ทั้งๆที่โดนเขาไล่ขนาดนั้นแต่ก็ยังกล้ามายืนรอมันอยู่ตรงนี้
“อ่าวซน...” เสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง
“พี่แอล..”
“เออกูเอง มึง...มาทำไมวะ” พี่แอลว่าพลางวางของที่พะรุงพะรังไว้บนโต๊ะ วันนี้พี่เขาใส่ชุดธรรมดา บ่งบอกว่าเขามาทำธุระที่ไม่ได้เป็นทางการมากนัก อาจจะมาเตรียมของรับน้องเหมือนที่น่านฟ้าเคยบอก
“ผมมาหาน่านครับพี่” ผมบอกพี่แอลแล้วมองข้ามบ่าเขาเพื่อมองหาใครอีกคนที่คิดว่าอาจจะมาด้วย
“มันไม่ได้มาด้วยหรอก”
“แล้วพี่เขาไปไหนอ่ะครับ ผมไปหามันที่บ้านก็ไม่เจอ....โทรไปก็ไม่รับ”
“มันอยู่กับกู....”
“เหรอครับ” มั่นใจเลยว่าเสียงที่เปล่งออกไปมันเต็มไปด้วยความดีใจมากกว่า “งั้นผม...ขอไปเจอมันหน่อยได้ไหมพี่”
“มึงจะไปเจอมันทำไม ไอ้น่านมันไม่อยากเจอมึงหรอกนะซน” คำพูดพี่แอลทำให้ผมเงียบลง ความดีใจที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนถูกกลบทันทีด้วยคำพูดแค่ไม่กี่ของพี่แอล “มึงพอเถอะว่ะซน...มึงไม่สงสารมันบ้างเหรอวะ มึงจะเห็นแก้ตัวไปหรือเปล่าที่จะให้ไอ้น่านกลับไปหามึงทั้งๆที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว มึงจะใจร้ายกับไปไหม...”
“ผมไม่ได้อยากให้มันกลับมา...” เสียงพูดคล้ายจะพึมพำตัดพ้อกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับคนตรงหน้า
รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กที่ร้องขอกินขนมทั้งๆที่ปากบอกว่าไม่ชอบ
“โกหก”
“เปล่า...ผมก็แค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงบ้าง...ก็แค่..” อยากคุยกับมันก็เท่านั้น
“รู้แล้วไงเหรอ รู้...แล้วมึงก็จะดึงมันกลับไปอยู่ข้างๆในฐานะที่มันไม่ชัดเจนยังงั้นเหรอวะ ปล่อยมันไปไม่ได้หรือไง!!! กูไม่อยากเห็นมันเจ็บเพราะมึงอีกแล้ว!!!...”
“พี่จะรู้อะไรวะพี่แอล!!! พี่ไม่ใช่มันสักหน่อย บางทีมันอาจจะไม่ได้เจ็บขนาดนั้นก็ได้!!!” พอโดนขึ้นเสียงใส่ ผมเองก็ขึ้นเสียงบ้าง “ผมไม่เข้าใจว่าพี่แอลจะมายุ่งเรื่องของผมกับไอ้น่านทำไม ตัวเองเป็นแค่คนนอกแท้ๆ!!!”
“เหอะ...คนนอก...” พี่แอลพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เหมือนไม่ต้องการให้ผมเห็นความอ่อนแอของมัน “ใช่!!ในสายตาไอ้น่านกับมึงกูมันก็เป็นแค่คนนอก แต่คนนอกแบบกูนี่แหละที่ไม่เคยทำให้มันเจ็บเลยสักครั้ง...”
“พี่แอล...”
“ถ้ามึงยังไม่เคยรู้นะซน...ก็รู้ไว้ซะตอนนี้เลยว่ากู...ชอบมัน” ผมไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าพี่แอลรู้สึกแบบนั้นกับไอ้น่าน ทั้งๆที่ดูภายนอกมันก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนคนนึงแท้ๆ
“กูชอบมัน ชอบมาก่อนที่มึงจะเจอกับมันด้วยซ้ำ...มึงเชื่อไหมซน ตั้งแต่กูรู้จักกับมันมา กูไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้เลย....มันไม่เคยร้องไห้ขนาดนี้...ไม่เคยต้องมาเสียใจหรือวิ่งตามใครแบบนี้....คนอย่างน่านฟ้าไม่เคยต้องอ้อนวอนขอความรักจากใคร...เพราะคนแบบมันมีแต่คนวิ่งเข้าหา มีแต่คนอยากจะได้ความรักจากมันทั้งนั้น....แม้กระทั่งตัวกูเอง”
พี่แอลพูดเสียงสั่นจนคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า ผมเงียบอีกครั้ง ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะสิ่งที่พี่แอลพูดออกมามันทำให้ผมไปไม่เป็น ผมไม่รู้ว่าที่ผ่านมาพี่เขาทนมันอยู่ได้ยังไง คนที่เราแอบชอบยืนอยู่ข้างๆแท้ๆ ทำไมพี่เขาถึงทนไม่บอกความรู้สึกตัวเองให้ไอ้น่านรู้ หรือบางทีอาจจะบอกแต่น่านฟ้ามันไม่ได้รับรู้ความรู้สึกนั้น
แค่คิดว่าพี่แอลต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่....มันไม่ต่างกับการตกลงไปในทะเลที่อ้างว้างที่จะว่ายไปทางไหนก็ไม่ได้ ไม่เจอแผ่นดิน แถมยังรู้สึกเหมือนมีคนคอยดึงขาให้พาลจะจมลงก้นทะเลตลอด
“แต่พูดไปมึงจะเข้าใจอะไรวะ...ก็ในเมื่อมึงเป็นคนได้ความรักไป ไม่เหมือนกูที่รักมันมากแค่ไหน มันก็ให้ได้แค่เพื่อน...”
“ผม....”
“แต่ทั้งๆที่มึงได้ความรักจากมันมากมายขนาดนั้น แต่มึงกลับไม่เคยตอบแทนความรักที่มันให้มา”
จะให้ผมตอบแทนมันยังไงวะ เลิกกับน้องเอยแล้วหันมาหามันทั้งๆที่เอยไม่ผิดอะไรงั้นเหรอ นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากพูด แต่พูดออกไปมันก็เท่านั้น ไม่มีใครรับฟังเหตุผลของใคร ต่างคนก็ต่างเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูก “ถ้าไม่ชอบมันก็ถอยดิวะ จะยื้อให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาซน”
ไม่ชอบงั้นเหรอ เหอะ ผมพูดคำนั้นออกมาได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดหรอกนะว่าตัวเองรู้สึกอย่างไงกับมัน แต่ทันทีที่คิดว่าตัวเองชอบน่านฟ้า แว่บนึงที่เข้ามาในหัวคือน้องเอย ผมคิดแค่ว่าน้องเอยไม่ผิดอะไรสักนิด แค่ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ มันก็ผิดต่อน้องมากแล้ว....แล้วทำไมผมต้องเอาความรู้สึกชอบปันจากน้องเอยไปให้น่านฟ้าด้วย ทั้งๆที่คิดแบบนั้น ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีทางชอบ แต่ตอนนี้ก็เป็นผมอีกไม่ใช่เหรอที่วิ่งตามหามันอยู่ เป็นผมเองที่ดึงดันให้ไอ้ความผิดที่มีอยู่มันยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งๆที่น่านฟ้ามันกำลังทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทั้งๆที่มัน... กำลังทำทุกอย่างให้มันถูกต้องแท้ๆ
“ซน..กูขอล่ะวะ...ถ้ามึงไม่ได้รักมันจริงๆ...มึงปล่อยมันไปเถอะ...กูสัญญาว่ากูจะดูแลมันให้ดีที่สุด” พี่แอลพูดถูก..ผมควรจะปล่อยมันไปเจอคนที่ดีกว่า คนที่พร้อมจะรักมันได้มากกว่าผม คนที่พร้อมจะยืนข้างๆในฐานะคนรักไม่ใช่ในฐานะแอบรักแบบนี้ ดีแล้วแหละ ให้มันจบแบบนี้ก็ดีแล้วแหละ
ไม่เห็นต้องเสียใจเลย ก็มันเป็นสิ่งที่ผมต้องเลือก เลือกให้มันถูกต้อง จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บเพราะการกระทำผมอีก
“ครับ...ผมเข้าใจแล้ว...”
ผมเดินออกจากคณะไอ้น่านด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เดินมาขึ้นรถเมล์ นั่งรถไปเรื่อยๆ ผ่านในที่ๆผมกับมันเคยไปด้วยกัน ทั้งถ่ายรูปกินข้าว สถานที่ทุกที่ผุดขึ้นมาในหัวเหมือนดอกเห็ด ยิ่งพยายามห้ามมันก็ยิ่งนึกถึง
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่ผมกำลังเสียใจอยู่ตอนนี้มันเจ็บจนหายใจไม่ออก
แต่ความเจ็บที่เกิดขึ้นมันกลับทำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้ว ผมคงจะชอบไอ้น่านเข้าแล้วจริงๆ
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อความรักของผมต้องทำร้ายคนอีกตั้งหลายคน
ให้มันเป็นอย่างนี้...ก็ดีแล้ว
B e c a u s e o f y o u . . . ซ น
ตอนนี้ผมกำลังยืนมองตัวเองในกระจก เดือนครึ่งหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ไม่ได้ติดต่อไปหาไอ้น่านอีก ร่องรอยที่น่านฟ้าเคยทำสัญลักษณ์ไว้มันจางหายไปนานแล้ว แม้ว่าผมจะพยายามรักษาให้ร่องรอยสีกุหลาบมันอยู่ให้นานที่สุดแค่ไหนท้ายที่สุดมันก็ต้องจางหายไปตามกาลเวลา คงเหมือนกับความรู้สึกไอ้น่านที่ป่านนี้อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยชอบผม คงมีก็แต่ผมที่กลับรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ น่าสมเพช ปากบอกเองแท้ๆว่าไม่มีทางรักคนแบบมัน แต่สุดท้ายก็มีแต่ผมที่เอาแต่เพ้อหามันอยู่อย่างนี้
ส่วนน้องเอย น้องยังคงเป็นน้องเอยเหมือนเดิมที่ไม่รู้ว่าหัวใจผมตอนนี้มันถูกปันให้ใครอีกคนไปเกินครึ่ง เขายังคงร่าเริงสดใสแม้จริงๆแล้วตัวเขาเองก็คงสัมผัสได้ว่าผมเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ผมกับน้องไม่ได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนแต่ก่อน ถึงจะมีคุยโทรศัพท์กันบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็คุยกันแป๊บๆแล้วก็วาง ผมคิดว่าน้องเองก็คงอึดอัดแต่จะให้ผมทำยังไงล่ะ ผมไม่อยากไปเจอกับน้องทั้งๆที่สภาพจิตใจของตัวเองยังเอาแต่คิดถึงไอ้น่านทางที่ดีที่สุดที่ผมทำได้ตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นการถอยออกมาก่อน ถอย...ออกมาตั้งหลักเอาให้ความรู้สึกของตัวเองมันมั่นคงกว่านี้ แล้วค่อยกลับไปหาน้องเขา เพราะผมเองก็ไม่อยากดึงน้องเอยมารับรู้ความรู้สึกที่น้องไม่ควรจะรู้...
เพราะความรู้สึกที่โดนคนที่รักนอกใจ มันคงไม่ต่างอะไรกับการเอามีดมาทิ่มหัวใจกัน
ผมถอนหายใจออกมาอีกรอบก่อนจะจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่แล้วเดินลงมาข้างล่าง วันนี้เป็นวันสอบตรงเข้ามหาลัย ซึ่งผมไม่ควรจะมานั่งคิดมากถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว มหาลัยที่ผมจะไปสอบวันนี้เป็นมหาลัยที่ไอ้น่านสู้อุตส่าห์ไปสมัครมาให้ แม่งจริงๆแล้วผมน่ะหวังเล็กๆนะว่าตัวเองจะเข้าที่นี้ได้ เพราะอย่างน้อยก็อาจจะได้เห็นหน้ามันบ้าง
“พร้อมไหม” ไอ้ซูถามผมตอนที่มันเดินจูงมือไอ้แซนมาหน้าบ้าน
“พร้อมดิ กูไม่เคยรู้สึกว่าสมองตัวเองมีความรู้มากมายขนาดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ”ผมยักคิ้วส่งไปให้ไอ้ซูทีนึง มันหัวเราะแล้วโยกหัวผมเบาๆก่อนจะดันให้ผมขึ้นรถ ซูขับรถไปส่งไอ้แซนที่โรงเรียนก่อน แล้วค่อยขับมาส่งผมที่มหาลัย ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมมาเหยียบที่นี้ ครั้งแรกก็ตอนที่มาเจอพี่แอล แต่ครั้งนี้ผมมาสอบ มือผมเย็นไปหมด สั่นด้วย ในใจก็เต้นแปลกๆ คิดเพียงแต่ว่าที่ตื่นเต้นอยู่ตอนนี้คงเกิดจากการต้องสอบมากกว่าการเจอใครอีกคนในรอบสองเดือน
“ไหวไหมซน”
“ไหวดิ กูอ่านมาตั้งนาน มึงคิดว่ากูโง่เหรอซูกูพี่มึงนะ”
“ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น...” เราสองคนสบตากันถึงแม้ว่าไม่ได้พูดออกมาว่าหมายถึงเรื่องอะไรผมก็พอจะเดาออกว่าสิ่งที่ไอ้ซูถามมันแปลว่าอะไร
“ไหวดิ ไหวอยู่แล้ว” ว่าพลางหยิบกระเป๋าจากเบาะหลังมาสะพาย “ไม่ต้องมารับนะเดี๋ยวกลับเอง”
ผมขยี้หัวน้องชายตัวเองเบาๆแล้วเดินลงจากรถ ตึกคณะวิศวะบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของมัน สถาปัตยกรรมรูปเกียร์ถูกวางอยู่กลางลาน เด็กปวส.จากต่างที่กำลังนั่งอ่านหนังสือในมือกันอย่างตั้งอกตั้งใจ สำหรับผมมองว่าถ้าเราตั้งใจอ่านมาตั้งแต่แรกๆก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมานั่งท่องนั่งอ่านหน้าห้องให้เสียเวลา คิดแค่ว่าทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ก็คือไม่ได้
ผมเดินมานั่งรอหน้าห้องสอบ คนที่นั่งรอไม่เยอะมากเท่าไหร่ มีไอ้หัวเกรียนข้างๆที่ยักคิ้วทำหน้าตากวนตีนมาตรงที่ผมนั่งอยู่ พอผมหันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นว่าคนที่มันยักคิ้วให้จะเงยหน้ามองมันสักคน สรุปมันยักคิ้วให้ใครวะ
“มึงอ่ะแหละ”
“กูเหรอ” ผมเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นชี้ตัวเอง ส่วนไอ้คนที่ถามเมื่อกี้ก็หัวเราะชอบใจราวกับสิ่งที่ผมทำเมื่อกี้มันเป็นเรื่องตลก อะไรของมันวะ
“เออมึงนั่นแหละ กูชื่อจัน”
“จันไรอ่ะนะ”
“จันไรพ่องมึงสิ จันเฉยๆ ไม่มีไรส้นตีนอะไรทั้งนั้น กูคิดว่ามึงจะน่าคบซะอีก เห็นหน้าโง่ๆไม่คิดว่าจะกวนตีน” เอ้าไอ้นี้ด่ากูหน้าโง่ไม่ดูหน้าตัวเองเลย ผมขมวดคิ้วมองหน้าไอ้จัน(ไร) ส่วนมันพอด่าผมเสร็จก็โม้เรื่องวิทยาลัยตัวเองทันที ไอ้จันเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาผิวไม่ขาวมากหุ่นนักกีฬาสูงกว่าผมเกือบสิบเซ็น จันมาจากต่างจังหวัด บ้านมันอยู่โคราชเห็นพูดว่ามาเรียนต่อที่นี้เพราะแม่กลัวว่ามันจะเหลวไหลเลยส่งมันมาอยู่กับลูกพี่ลูกน้องที่เรียนที่ในกรุงเทพ มันเล่าประวัติศาสตร์ความจันไรซะยืดยาวโดยที่ไม่ได้ถามความเห็นผมสักนิด ว่าอยากรู้เรื่องมันหรือเปล่า เห็นมันเป็นแบบนี้แล้วอดนึกถึงพี่ป็อบไม่ได้ ถ้าได้เจอกันคงถูกพาเข้าโรงพยาบาลบ้าทั้งคู่ “แล้วสรุปมึงชื่ออะไรวะ”
“ซน”
“ชื่อมึงนี่กระโหลกกะลาว่ะ พ่อแม่มึงคงปวดหัวมากล่ะมั้งที่มีลูกดื้อๆซนๆเหมือนมึง” คือผมว่าผมก็ไม่เคยไปสร้างความแค้นอะไรให้ไอ้จันนะ ทำไมมันกวนตีนผมงี้วะ แต่ก็ช่างเหอะครับ จะว่าไปคุยกับมันก็ฮาดี เหมือนคลายความเครียดไปได้บ้าง
หลังจากที่ฟังมันโม้สักพัก เสียงอ๊อดเข้าห้องสอบก็ดังขึ้น ทั้งผมและมันหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อปิดเครื่อง แต่ก่อนที่ผมจะปิดมือถือเห็นน้องเอยไลน์มาบอกว่าอยากเจอ ผมเลยตอบตกลงไปเพราะนี้มันก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เจอกับน้องเขา ไม่รู้ว่าจะหนีไปทำไม เพราะหนีไปสุดท้ายก็ต้องเจอกันอยู่ดี
“เลขที่สอบมึงอะไรวะ”
“6789” ผมยื่นใบสมัครให้มันดู ไอ้จันเบ้ปากแล้วพูดพำพึมประมาณว่าของมันเลข 6788 แล้วก็มาบ่นเหมือนด่าลูกพี่ลูกน้องมันที่ซื้อใบสมัครให้
“เอาน่ามึงบ่นไปมึงก็ไม่ได้เลขใบสมัครกูหรอก ตอนนิ้อยู่ที่สมองแล้วว่ามึงจะพาตัวเองเข้ามาเรียนที่นี้ได้ไหม”
“อ่ะแน่นอน สมองระดับกูเข้าได้อยู่แล้ว มึงอย่าลอกกูล่ะกัน กูเคยได้ยินจากพี่กูว่าถ้าลอกกัน ทางมหาลัยจะแบนไม่ให้มาสอบอีก”
“เออๆกูไม่ลอกมึงหรอกน่า”
เวลาที่ใช้ในการสอบมีทั้งหมด 3 ชั่วโมง ไม่อยากเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ผมคิดว่าตัวเองทำได้เกือบทั้งหมด สูตรคำนวณที่ไอ้น่านเคยสอนให้ไม่เสียเปล่า รวมถึงข้อสอบที่มันเกร็งไว้ก็ออกมามากกว่าครึ่ง ถ้าผมสอบได้จริงๆคงต้องยกความดีความชอบให้ตัวเองก่อนเพราะมันเกิดจากความพยายามของผม ส่วนความดีความชอบต่อมาก็คือมันที่เที่ยวสอนเที่ยวเข็ญผมอยู่เรื่อยแถมยังเอาหนังสือกับข้อสอบเก่าๆใส่กระเป๋ามาให้ด้วยในคืนนั้น
“มึงไปไหนต่อวะ”
“สยาม ว่าจะไปหาแฟน”
“แฟน?? มึงมีแฟนด้วยเหรอวะ”
“เอ้าไอ้นี้หน้าหล่อแบบกูมึงคิดว่าจะอยู่เป็นโสดเหรอวะ”
“ฮ่า ฮ่า มึงนี่มันตลก มาๆเดี๋ยวกูไปส่ง กูเอามอไซค์มา” ไอ้จันลากผมมาทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรสักอย่าง
“เฮ้ยมึงกูไปเองได้ไม่เป็นไร”
“เอาน่าๆกูไปส่ง...มาเถอะ” สุดท้ายเพราะแรงลาก ผมก็เลยเออ ออเดินตามไอ้จันมาหลังคณะวิศวะ ที่ๆมันบอกว่ามันจอดรถไว้
“อีกไกลไหมเนี่ยจัน”
“ไม่หรอก นั่นไง รถกู” ไอ้จันชี้นิ้วไปที่ฟีโน่คันสีแดงที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถ ส่วนที่ห่างออกไปและจอดอยู่ไม่ไกลจากรถไอ้จันคือสิ่งที่ผมไม่คาดคิดและไม่คิดว่าจะเจอด้วยซ้ำ
รถไอ้น่านผมสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเป่าออกมาเบาๆเหมือนสิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พอจะคลายความรู้สึกอึดอัดไปได้บ้าง แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก เพราะตอนนี้มือผมสั่นไปหมด ยิ่งเห็นว่ามีใครอยู่ในรถด้วยแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกใจหวิวๆ ฟิล์มรถไอ้น่านไม่ได้มืดขนาดมองไม่เห็น แต่มันก็พอจะเดาได้ลางๆว่าคนในรถไม่ได้มีมันแค่คนเดียว และอีกคนนั้นก็เป็นคนที่ผมรู้จักดี สองเดือนที่ฝึกงานด้วยกันทำให้ผมจำลักษณะกายภาพของเขาได้
พี่แอลนั่งอยู่เบาะหน้าตรงที่ผมเคยนั่ง เขากำลังส่งยิ้ม หัวเราะให้กันอย่างมีความสุข ไอ้น่านไม่เหลือเค้าของคนที่เคยเสียใจเลยสักนิดแถมร่องรอยของความสุขมันเด่นชัดจนผมที่ยืนอยู่ไกลขนาดนี้ยังสัมผัสได้
ทั้งหมดทั้งมวลมันคงจะไม่ทำให้ผมรู้สึกแย่กว่านี้ถ้าผมไม่เห็นว่าเขาสองกำลังจูบกัน
“ซน...”
“........”
“มองอะไรวะ”
“เปล่าๆมึงจะไปส่งกูไม่ใช่เหรอ ไปดิ” แบบนั้นก็ดีแล้วแหละ เห็นมันมีความสุขผมว่ามันก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสียใจในสิ่งที่ผมไม่เคยเลือก ไม่จำเป็น...เลยสักนิด
ผมเดินมาร้านที่ผมกับน้องเอยนัดกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองแย่แค่ไหน แต่ทำได้มากสุดก็คือการฝืนยิ้มให้สาวน้อยที่ยังอยู่ตรงหน้า
“พี่ซน ทางนี้ค่ะ” ผมพยักหน้าให้น้องแล้วพยายามฝืนยิ้มที่คิดว่ากว้างที่สุด แต่ใครเลยจะไปรู้เท่าใจผมว่าจริงๆแล้วผมยิ้มมันไม่ออกเลยสักนิด ยิ่งพยายามมากแค่ไหนก็ดูเหมือนจะกลายเป็นฝืนเสียมากกว่า
“มานานแล้วเหรอคะ”
“ก็สักพักแล้วค่ะ คือ...เอยมีเรื่องจะคุยกับพี่ซน...” น้องยิ้มให้ผม ยังคงเป็นยิ้มที่สดใส่เหมือนเดิม “พี่ซนทานอะไรมาหรือยังคะ เดี๋ยวเอยสั่งให้”
“ยังค่ะ น้องเอยสั่งเลยนะ พี่ว่าจะไปเข้าห้องน้ำหน่อย” ผมขยี้หัวน้องเอยแล้วหลบตัวเองเข้ามาในห้องน้ำ มือสองข้างถูกยกขึ้นกวักน้ำจากก๊อกเพื่อล้างหน้า เหตุผลจริงๆก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ต้องการจะล้างหน้า แต่ต้องการปกปิดน้ำตาที่มันกำลังจะไหลตั้งหาก
ถ้าการเอาน้ำล้างหน้าแล้วมันจะช่วยพัดพาเอาความเสียใจนี้ไปได้หมดก็คงจะดี
“ซน...มึงห้ามร้องไห้ออกมาตอนนี้นะเว้ย” ผมตบแก้มตัวเองเบาๆแล้วพูดบอกคนที่อยู่ในกระจก ดวงตาแดงกร่ำบ่งบอกว่าน้ำตามันไหลออกไปแล้ว ผมยืนทำใจสักพัก บอกตัวเองเป็นรอบที่ล้านว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเอาใจไปผูกกับคนที่เดินจากไปแล้ว น่านฟ้าก็เป็นแค่คนที่เดินผ่านเข้ามา เป็นแค่คนๆนึงที่เคยรู้สึกดีต่อกัน
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นผมควรจะสนใจคนตรงหน้ามากกว่า น้องเอยยังรอผมอยู่
ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
“น้องเอยสั่งอะไรไปบ้างคะ” ว่าพลางนั่งลงแล้วยิ้มส่งไปให้คนตรงหน้า แต่ผลที่ได้กลับมาคือน้องไม่ได้ยิ้มตอบ
“พี่ซน” เสียงไม่หวานหูเหมือนแต่ก่อน ออกจะแข็งกระด้างไม่ต่างจากแววตาที่ส่งมาให้ มันทั้งแข็งกร้าว ไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยคำถาม
“น้องเอย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“พี่ซน พี่นอกใจเอยจริงๆสินะคะ” น้องไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น ซึ่งปกติน้องเอยก็เป็นคนแบบนี้ "พี่ซนบอกเอยสิคะว่าไม่ใช่"
ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นขีด ดวงตาสั่นระริกราวกลับมาวันจะแตก ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจก่อนจะก้มลงมองมือถือที่ถูกเปิดค้างไว้ ไม่ต้องเดาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ภาพทุกภาพ คลิปทุกคลิปของผมกับไอ้น่านถูกเก็บไว้ในนั้น ปกติน้องเอยไม่เคยยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัว ไม่เคยจับผิดเรื่องมือถือ เพราะงั้นผมถึงไม่เคยระแวงว่าน้องจะเปิดมือถือผมดู และผมก็ไม่เคยตั้งรหัสพาสเวิร์สอะไรด้วย
“บอกเอยได้ไหมคะว่ามันไม่จริง...ฮึก...เอยเชื่อพี่ซนคนเดียว...พี่ซนพูดคำเดียวว่าไม่ใช่...เอยจะเชื่อ...ที่ผ่านมาเอยแค่คิดไปเอง..รูปพวกนี้ก็แค่รูปที่ถ่ายเล่นกับพี่คนนั้น....ใช่ไหมคะพี่...บอกเอยนะ...ฮือ..ว่ามันไม่จริง...ฮึก...ฮือ” ผมสงสารน้อง เอยดูน่าสงสาร ผู้หญิงที่เคยแคร์ว่าคนอื่นภาพลักษณ์ที่มีต่อคนรอบข้าง ปล่อยเสียงโฮออกมาอย่างไม่อายใครทั้งนั้น
“พี่...” เสียงแห่บพร่าไม่ต่างไปจากความรู้สึกที่กำลังเจ็บปวด ผมไม่อยากโกหก และผมก็ไม่เคยโกหกน้องด้วย ที่ผ่านจะมีก็แค่พูดไม่หมด
“ฮึก....บอกเอยสิพี่ซน...มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมอ่ะ...ฮึก...ฮือ...พี่ซน...เอยเชื่อพี่ซนคนเดียวนะคะ...” จะให้ผมบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงได้ยังไง ทั้งๆที่ภาพที่อยู่ในมือถือมันก็เด่นชัดออกขนาดนั้น
“พี่ขอโทษ...”
>>>TBC<<<
Action=reaction ตามกฏของนิวตัน (ที่เคยเรียนไว้เมื่อนานมาแล้ว) บอกว่าแรงกิริยาเท่ากับแรงปฏิกิริยา เมื่อออกแรงผลักวัตถุ ก็จะมีแรงโต้ตอบจากวัตถุกลับมาเท่ากัน ถ้านำเอากฎข้อนี้ไปอธิบายเรื่องของสภาพจิตใจ เมื่อคนหนึ่งเป็นฝ่ายกระทำ ซึ่งถ้าหากคนถูกกระทำไม่โต้ตอบในระยะแรก นานไปสักระยะหนึ่งเมื่อถูกกระทำจนเกินขีดจำกัดความอดทนได้ การโต้ตอบมักจะรุนแรงมากกว่า (ล่ะมั้ง)
คนแต่ง #ทีมซน (สงสัยว่าน่าจะเป็นทีมทำร้ายซนมากกว่าแหละ)