-9-
“คน ๆ นี้เชื่อได้แค่ไหน?” เซินเฟยมองเอกสารที่ได้มาพลางพินิจพิเคราะห์ เรื่องนี้เขาเพิ่งสั่งไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วแต่ข้อมูลที่ส่งมาอย่างจำเพาะเจาะจงสถานที่แน่นอนอย่างนี้ไม่น่าจะหามาได้เร็วขนาดนี้ ขนาดคนของเขายังทำได้เพียงแค่รวบรวมรายชื่อทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เซินเฟยเริ่มจะสงสัยว่าสิ่งที่ได้มาเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ และเริ่มสงสัยเกี่ยวกับคนที่หวางซิงติดต่อด้วย
“สารวัตรหรงยืนยันว่าเชื่อถือได้ครับ” หวางซิงกล่าว “เอ่อ....เป็นเพราะคุณเซินไม่พอใจคุณมู่ สารวัตรหรงเลยโอนเรื่องนี้ไปให้อีกคนหนึ่ง แต่ว่าคุณมู่ได้หาข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาก็เลยโอนเรื่องทั้งหมดไปให้ด้วยน่ะครับ” ว่าไป หวางซิงก็ขยับแว่นเพื่อจะได้มองสายตาของอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เวลาที่เขาต้องโกหกอย่างนี้หัวใจมักจะเต้นแรงด้วยเกรงว่าเซินเฟยจะจับได้
เซินเฟยไว้ใจเขามากและไม่เคยถามว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไหน เรื่องดำเนินการในบริษัทเกือบทั้งหมดก็สั่งผ่านเขาและหลาย ๆ เรื่องก็วางใจให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง หวางซิงไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเซินเฟยรู้ว่าเขาแอบไปหามู่อี้จิงจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่นั้น....
หากรู้ว่ามู่อี้จิงทำลงไปเพื่อทดสอบการตัดสินใจ.....เซินเฟยคงโกรธมากแน่ ๆ
ระยะนี้ยาแก้อาการไมเกรนพร่องหายไปเร็วมาก หวางซิงที่ทำหน้าที่จัดยาให้รู้ได้โดยไม่ต้องนับเม็ดให้เสียเวลา
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเฉพาะเรื่องของเฉียนหยุนก็มีผลกระทบถึงขนาดนี้ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะคนในองค์กรและผู้บริหารหลายคนถือหางชายแก่คนนั้น และการที่เซินเฟยปลดเฉียนหยุนออกทำให้เกิดการแข็งข้อ เขาเคยได้ยินบางคนพูดกันว่าเซินเฟยเอาแต่ใจตัวเองเกินไป และที่ทำเพราะกลัวเฉียนหยุนจะเข้ามาควบคุมแทน ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่เซินเฟยก็ไม่เคยออกหน้าแก้ต่างให้ตัวเอง สิ่งที่เซินเฟยทำคือการยืดอกรับคำครหาอย่างเยือกเย็นและพยายามหาหลักฐานมาล้มล้างความเข้าใจผิด
จูเชว่สองรุ่นก่อนก็เคยปลดผู้บริหารออกเป็นจำนวนมากเพื่อปรับโครงสร้างในองค์กร
จูเชว่รุ่นที่แล้วเองก็เคยลดขั้นพวกหัวหน้าที่ขัดขวางการแต่งงานกับนายหญิงคนปัจจุบัน
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ทั้งสองก็ไม่เคยถูกนินทาลับหลัง ทุก ๆ คนยังคงยำเกรงและเคารพยกย่องเสมือนนายเหนือชีวิต ทว่า...เมื่อเหตุการณ์เดียวกันถูกดำเนินการด้วยจูเชว่ที่เป็นเพียงลูกบุญธรรม ผลกระทบกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
จะว่าไปแล้ว....ระยะนี้พวกสายรองตระกูลเซินก็ชอบเข้ามาเสนอหน้าในบริษัทมากขึ้น ทำอวดเบ่งบ้าง พูดจาอวดดีบ้าง ทำให้เครดิตของเซินเฟยยิ่งลดน้อยถอยลงเพราะไม่อาจควบคุมกระทั่งญาติของตนเองได้
ทางบอร์ดบริหารก็บีบคั้นเซินเฟยทุกทางเพียงแต่ตอนนี้ธุรกิจของเครือยังดำเนินไปด้วยดีและยอดกำไรก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทางบอร์ดบริหารทำอะไรไม่ได้มากนัก กลับกัน พวกหัวหน้ามาเฟียที่ดูแลถิ่นต่าง ๆ เริ่มจะไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างออกหน้าออกตา จากแต่เดิมที่คิดจะเชือดเฉียนหยุนให้คนอื่นได้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง กลับถูกอิทธิพลและบารมีเก่าที่มากกว่าของเฉียนหยุนรัดคอเสียเอง
“เป็นอะไรไป?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นหวางซิงนิ่งไป
“เอ่อ...ผมกำลังคิดว่า....คุณฉู่ทำไมถึงยังไม่มาทำงานน่ะครับ ทั้งที่แผลก็หายเกือบสนิทแล้ว” หวางซิงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง แต่ไหนแต่ไรมา เซินเฟยมักจะอ่านสีหน้าของผู้อื่นได้เก่ง เขาจำต้องพยายามกลบเกลื่อนความกังวลของตัวเองเสีย
“เพราะผมไม่อยากเห็นหน้า” เซินเฟยตอบตรงไปตรงมาแล้วก้มลงอ่านเอกสารต่อ
หลังจากวันที่หวางซิงไปหามู่อี้จิง ความสัมพันธ์ระหว่างเซินเฟยกับฉู่เหวินจือดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมทั้งที่ปกติก็แทบจะติดลบอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งสองคล้ายจะทำสงครามเย็น หรือถ้าพูดให้ถูก เซินเฟยกำลังจงใจทำสงครามเย็นกับฉู่เหวินจือ
เวลาอยู่ที่บ้าน เซินเฟยจะไม่ยอมอยู่ร่วมห้องเดียวกับฉู่เหวินจือเลย เวลามีอะไรก็จะสั่งให้คนรับใช้ไปบอกแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉู่เหวินจือทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องนั่งเล่นตอนที่เซินเฟยกำลังอ่านหนังสือ เจ้าตัวถึงกับสั่งให้ฉู่เหวินจือออกไปนอนตากน้ำค้างเสียค่อนคืน ตอนเช้าชายหนุ่มจึงเป็นหวัดอย่างช่วยไม่ได้
นอกจากนั้น ในเวลาทำงาน เซินเฟยจะไม่ให้ฉู่เหวินจือตามมาที่บริษัทอย่างเด็ดขาด แต่จะส่งงานไปให้ทำที่บ้านด้วยปริมาณที่เหมือนจงใจให้ทำจนหัวแตกตายไปข้างหนึ่ง
หวางซิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน แต่สงครามเย็นของเซินเฟยทำให้คนทั้งบ้านอกสั่นขวัญแขวนไปกันหมด ปู่ของเขาถึงกับรำพันว่าตนเองทำหน้าที่ไม่ดี นายน้อยจึงอารมณ์เสีย
“มีอะไรก็พูดออกมาสิ” ราวกับเซินเฟยอ่านความคิดของเขาออก คำถามนั้นทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือก
“ผม...คิดว่าคุณเซินน่าจะพักผ่อนบ้างนะครับ นายหญิงก็เป็นห่วงคุณเซินมาก” หวางซิงหยิบเอาซากุระมาเป็นข้ออ้าง เพราะเรื่องใดที่มีชื่อหญิงสาวคนนี้เซินเฟยจะยินยอมรับฟังมากกว่าเรื่องอื่น ๆ
“งั้นหรือ....” เสียงของเซินเฟยอ่อนลงดังคาด
“ถ้ายังไงวันนี้กลับเร็วหน่อยดีไหมครับ?”
“ไม่ได้” ถึงอย่างนั้นคำตอบที่ได้กลับมาก็ยังเป็นการปฏิเสธ “ผมอยากตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจก่อน แล้วพรุ่งนี้จะได้ลงมือเลย”
“มันจะไม่กะทันหันไปหรือครับ?” หวางซิงนึกกังวลขึ้นมา
“ผมอยากจะจบเรื่องนี้เสียที” เซินเฟยตอบกลับ สีหน้าของเด็กหนุ่มมีความเหน็ดเหนื่อยแสดงออกมาแทบจะชัดเจน ในเวลาที่อยู่ตามลำพังอย่างนี้ หวางซิงจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อก้าวออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน เซินเฟยกลับแสดงตัวเป็นนักธุรกิจที่สมบูรณ์พร้อมได้อย่างดีเยี่ยม เซินเฟยเป็นแค่เด็กอายุ 18 ปีเท่านั้น....และเขาเองก็ได้เลี้ยงดูมาพร้อมกับนายหญิงซากุระ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็ไม่อาจทำใจปล่อยมือและทิ้งคน ๆ นี้ให้ดิ้นรนต่อไปตามลำพังได้เลย
“คุณเซิน.....รับน้ำเย็น ๆ หน่อยไหมครับ?” หวางซิงคลายรอยยิ้มออกมา ในเมื่อห้ามปรามไม่ได้ผลก็คงทำได้แค่ตามไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น หากเพียงแต่เรื่องนี้จบไปเสีย เซินเฟยคงจะสบายขึ้นอีกมากและพวกที่กดดันอยู่ในขณะนี้คงยอมรามือไปสักระยะหนึ่ง
“ถ้าได้ก็ดี ขอบคุณอาซิง”
หวางซิงโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เขาได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงจะผ่านไปได้โดยไว แต่ทำไมกันนะ....เขาถึงรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย....
--------------------->
อากาศยามค่ำในฤดูหนาวยังคงโหดร้ายทารุณสำหรับคนทั่วไป แม้ว่าฮ่องกงจะอยู่ในเขตอบอุ่นแต่เพราะเป็นเกาะขนาดเล็กจึงได้รับอิทธิพลจากลมทะเลที่พัดเข้ามาในเกาะ เซินเฟยนั่งอยู่ในรถคันสีดำสนิทกลืนไปกับความมืดยามราตรี ซุกตัวเองไว้ภายใต้เสื้อขนสัตว์หนานุ่มขณะมองออกไปข้างนอกผ่านฟ้าขาวบนกระจก รอบ ๆ ของเขามีรถสีดำสนิทอีกหลายคันจอดอยู่ ทุกคันดับเครื่องเงียบสนิท
ห่างออกไปเล็กน้อยเป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงสูง ด้านหน้ามียามเฝ้า กล้องวงจรปิดส่ายไปมาเหนือกำแพงที่กั้นระหว่างภายในกับภายนอก
สมกับเป็นที่ซ่อนตัว....
การรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์หลังนี้เข้มงวดเกินกว่าจะพูดได้ว่าเป็นคฤหาสน์ของนักธุรกิจผู้ร่ำรวยทั่วไป เซินเฟยมองลอดผ่านรั้วประตูที่เป็นเหล็ดดัดลายสวยงามเข้าไป เขาเห็นเงาสุนัขสีดำตัวเขื่องหลายตัวเดินไปเดินมาโดยมีคนจูงเอาไว้
“กี่โมงแล้ว?”
“ตอนนี้ก็....”
“ฉันไม่ได้ถามนาย” เซินเฟยเอ่ยเสียงเย็นเมื่อฉู่เหวินจือเปิดปากตอบ “อาซิง กี่โมงแล้ว”
“ตอนนี้ก็จะ 2 ทุ่มแล้วครับ” หวางซิงตอบแล้วหันไปมองฉู่เหวินจือด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาไม่รู้ว่าทั้งสองมีปัญหาอะไรกัน แต่เซินเฟยดูเย็นชากับฉู่เหวินจืออย่างเห็นได้ชัด กระทั่งวันนี้ หากอีกฝ่ายไม่ออกปากขอมาด้วยแล้วรั้นดึงดันขึ้นมานั่งบนรถ เซินเฟยก็คงปล่อยให้อีกฝ่ายนอนแกร่วอยู่ที่บ้านเป็นแน่
“2 ทุ่ม....” เซินเฟยทวนคำเพ่งมองท้องฟ้า
ฤดูหนาวเป็นช่วงฤดูที่ฟ้าจะมืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เวลาเพียง 2 ทุ่ม แต่ท้องฟ้ากลับมืดมิดและเต็มไปด้วยแสงดาว
ผู้ชายคนหนึ่งเคาะประตูรถ เซินเฟยจึงเลื่อนกระจกลงให้คน ๆ นั้นยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ ๆ
“ลงมือเลยไหมครับ?”
“แน่ใจหรือว่าจัดการได้?” เซินเฟยถามเพื่อความแน่ใจ ในตอนที่เขามั่นใจว่าใครซ่อนตัวเฉียนหยุนเอาไว้ เขาก็สั่งให้ค้นหาแปลนก่อสร้างของคฤหาสน์ที่เป็นเป้าหมายทันที ด้วยอำนาจมืด การจะได้โครงสร้างของอาคารหลังใดมาอยู่ในมือไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ทำให้ล่าช้าไปจากกำหนดการเดิมถึง 3 วัน เฉียนหยุนอาจจะเริ่มระแคะระคายแล้วก็เป็นได้จึงมีเวรยามหนาแน่นถึงเพียงนี้ แต่บางที....ด้วยนิสัยขี้ระแวงของเฉียนหยุน เวรยามพวกนี้อาจจะเข้มงวดแบบนี้มาแต่แรกแล้วก็เป็นไปได้เหมือนกัน
เขาอยากให้เป็นข้อหลังมากกว่า....
“แบบแปลนที่ท่านให้มาผมส่งคนเข้าไปตรวจสอบภายนอกแล้วไม่ผิดพลาดแน่นอนครับ”
“อย่าพลาดก็แล้วกัน” คำพูดนั้นแม้จะพูดออกมาด้วยเสียงเรียบเรื่อย แต่ผู้ฟังก็รู้ว่านั่นคือประกาศิต
“ไม่ต้องห่วงครับ ถึงจะต้องตายผมก็จะ...”
“เจ้าโง่” ไม่ทันที่ชายชุดดำจะพูดจบ เซินเฟยก็ขัดเสียก่อน “ฉันไม่อยากได้ผีไปรอรับใช้ในนรกหรอกนะ อีกอย่าง ซากศพมันใช้ทำงานไม่ได้ เข้าใจไหม?”
“....ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“ลากคอมันออกมาแล้วไปเจอกันที่โกดังท่าเรือ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็จับเป็น ถ้าเอาไม่อยู่ก็จับตาย ใครขวางก็จัดการซะ ฉันคิดว่าในคฤหาสน์นั้นคงไม่มีเด็กกับผู้หญิงให้พะว้าพะวงหรอก” เซินเฟยกล่าว หากเขาคาดเดาไม่ผิด ในคฤหาสน์คงเต็มไปด้วยพลพรรคเก่าของเฉียนหยุนกับพวกบอดี้การ์ดที่จ้างมาเพื่อป้องกันตัวโดยเฉพาะ ถ้ามีเพียงแค่นั้นคนของเขาก็สบายมืออยู่ กระนั้นเขาก็ยังอยากจะให้ระวังเหตุไม่คาดฝันด้วย เพราะสุนัขที่ถูกต้อนให้จนตรอกนั้น....มันอาจจะทำอะไรก็ได้
“ท่านโปรดระวังตัวด้วยนะครับ แล้วพวกผมจะรีบตามไป”
เซินเฟยพยักหน้ารับความหวังดีตามหน้าที่นั้นก่อนจะสั่งให้คนขับออกรถ เครื่องยนต์ของรถกระหึ่มอย่างเงียบงันก่อนที่มันจะค่อย ๆ เคลื่อนหายไปในความมืดเพื่อล่วงหน้าไปรอฟังผล กลุ่มชายในชุดดำที่เหลือมองหน้ากัน พวกเขาเป็นมือสังหารที่ถูกฝึกฝนเพื่อรับใช้จูเชว่ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีคำว่าพลาด มิเช่นนั้นแม้ที่ซุกหัวก็อาจจะไม่เหลือให้คิดถึง
“ลงมือ”
-------------------->
อากาศเย็นมักส่งผลเสียต่อเซินเฟยอยู่เสมอ ประสาทสัมผัสของเขาด้านชา ปลายนิ้วเย็นเฉียบ กระทั่งสมองยังเหมือนจะโดยแช่แข็งจนทื่อ หวางซิงที่รู้ใจเจ้านายดีจึงสั่งให้คนรถลดระดับความแรงของเครื่องปรับอากาศลง เมื่อห้องโดยสารอุ่นขึ้น เซินเฟยจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วซุกตัวเข้าไปในเสื้อขนสัตว์
“คือว่า....”
“ถ้านายพูดออกมาสักคำเดียว ฉันจะโยนนายออกไปข้างนอก” เซินเฟยขู่เสียงเรียบเรื่อย ตอนนี้เขากำลังอยู่ในภาวะกดดัน ดังนั้นอะไรที่ทำให้อารมณ์เสียจึงควรอยู่ห่าง ๆ เขาเสียหน่อย แต่ห้องโดยสารของรถส่วนตัวไม่ได้กว้างขวางนัก เซินเฟยจึงต้องทำเป็นว่ามองไม่เห็นฉู่เหวินจือไปเสีย แม้แต่เสียงก็ไม่อนุญาตให้เปล่งออกมา
ฉู่เหวินจือรู้สึกว่างอย่างมากเขาจึงเลือกที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง เวลาที่ทำให้เซินเฟยโกรธดูจะลดความสนุกลงไปโข เพราะเขาไม่อาจพูดอะไรให้อีกฝ่ายโมโหจนหน้าดำหน้าแดงได้เลย
ทิวทัศน์ภายนอกค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามระยะทาง ไม่นานนัก ภาพชุมชนแออัดและรถราที่คลาคล่ำก็เปลี่ยนเป็นสถานที่โล่งกว้างก่อนจะเข้าสู่เขตที่มีตู้คอนเทนเนอร์โลหะวางเรียงซ้อนกันเป็นจำนวนมาก สองข้างทางที่รถเคลื่อนผ่านมีรั้วเหล็กกั้นอยู่ มองเข้าไปข้างในเป็นลานสำหรับพักสินค้าที่จะส่งขึ้นเรือหรือนำลงจากเรือ ในลานมีเส้นแบ่งคั่นส่วนอยู่ บางส่วนก็มีตู้คอนเทนเนอร์วางเอาไว้และปิดเรียบร้อย บางส่วนก็มีตู้ที่เปิดรอสินค้าเติมเต็มอยู่ และบางตู้ก็ไม่ได้ใช้เก็บสินค้าแต่เป็นตู้นอนสำหรับคนงานที่ทำหน้าที่จัดการสินค้าเหล่านั้น
เลยจากลานพักสินค้าไปก็เข้าสู่เขตของท่าเรือ พื้นน้ำกว้างใหญ่ปรากฏตรงหน้าและเรือลำใหญ่ที่จอดเรียงรายเฝ้ารอการเดินทางข้ามผืนน้ำไปสู่อีกฟากฝั่งของทะเล เครนสำหรับยกของขึ้นเรือรวมถึงรถโฟล์คลิฟต์จอดนิ่งสนิทอยู่ในที่ของมัน
รถสีดำสนิทแล่นเข้าเทียบโกดังสินค้าหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากฝั่งมาเล็กน้อย บริเวณนั้นไม่มีใครผ่านไปมาในยามวิกาลทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสำเร็จโทษใครสักคนโดยที่ไม่ทำให้ใครแตกตื่นตกใจ จริงอยู่ว่าตระกูลเซินมีสถานที่ลับสำหรับลงโทษหรือกระทั่งสำเร็จโทษอยู่มากมาย แต่เซินเฟยก็ไม่นิยมใช้งานสถานที่เหล่านั้นนักเพราะอยู่ในที่ชุมชน
ท่าเรือเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากการรู้เห็นของผู้คน เมื่อจัดการเสร็จแล้วก็กำจัดศพได้ง่ายอีกด้วย แค่หล่อหินปูนแล้วถ่วงลงน้ำไปเสีย ไม่นานปลาก็จะมาตอดกินเนื้อจนเหลือแต่โครงกระดูกที่จะค่อย ๆ ผุพังไปตามกาลเวลา รอบเกาะฮ่องกงไม่มีโบราณสถานใต้น้ำใด ๆ ให้นักโบราณคดีสำรวจ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวเลยว่าศพจะถูกพบตราบใดที่มันไม่ลอยขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรม
หวางซิงยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง การจะบุกทะลวงเข้าไปในคฤหาสน์ที่รักษาความปลอดภัยอย่างดีและไม่รู้สถานที่อยู่ของเป้าหมายแน่ชัดย่อมต้องใช้เวลามากเป็นเรื่องปกติธรรมดา และเซินเฟยก็กำลังนั่งรออย่างใจเย็น
คนรถดับเครื่องเพื่อไม่ให้รถยนต์เป็นที่สังเกตของเวรยามท่าเรือ ความมืดของสถานที่ช่วยซ่อนการมีอยู่ของพวกเขาได้ดีในระดับหนึ่ง
เซินเฟยเลื่อนกระจกรถลง ลมเย็นของชายฝั่งพัดวูบเข้ามาในรถทำให้เขาต้องกระชับเสื้อขนสัตว์ให้แน่นหนาขึ้น เสียงคลื่นแว่วอยู่ไกล ๆ เป็นเพราะอากาศหนาวเสียงจึงเบากว่าที่ควรจะเป็นแต่มันก็ยังชัดเจนพอที่จะรู้ว่าชายฝั่งอยู่ไกลออกไปแค่ไหน
“จะพักก่อนไหมครับ?” หวางซิงช่วยกระชับเสื้อให้อีกชั้นหนึ่ง “คงอีกราว ๆ 2 ชั่วโมงพวกเขาถึงมากัน”
หลายคืนที่ผ่านมา เซินเฟยแทบจะไม่ได้หลับเต็มตาเลย ความเครียดทำให้ประสาทเกร็งกว่าปกติ แม้จะรู้สึกง่วงแค่ไหน แต่หลับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา หรือไม่ก็ไม่ได้หลับเลยตลอดคืน เรื่องนี้ยังไม่ถึงหูหมอจือเพราะเซินเฟยห้ามหวางซิงรายงาน และเพราะยังไม่ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำเดือน จือหยินจึงไม่ได้แวะเวียนมาที่บ้านตระกูลเซินเลยสักครั้งเดียว
“2 ชั่วโมงเลยหรือ....” เซินเฟยพูดพลางหรี่ตาลง ลมหนาวทำให้เขารู้สึกง่วงและอยากจะหลับ หวางซิงจึงขยับให้เซินเฟยนั่งกึ่งนอน เลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นไปให้เหลือช่องเปิดเพียงเล็กน้อยสำหรับอากาศถ่ายเท เขาวางผ้าห่มหนานุ่มทับบนอกอีกชั้นหนึ่ง ไม่นานนักเซินเฟยจึงหลับตาลง
หวางซิงส่งสัญญาณให้ฉู่เหวินจือลงจากรถไปพร้อมกับเขา ตอนนี้ทั้งสองจึงกำลังยืนโต้ลมทะเลอยู่ด้วยกันโดยคนหนึ่งกำลังพิงรถจุดบุหรี่สูบ อีกคนถอดแว่นออกเช็ดฝ้าที่ทำให้มองข้างหน้าไม่ถนัด
“คุณอยากถามใช่ไหมว่าผมกับคุณเซินมีเรื่องอะไรกัน” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่ออัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกหนึ่ง ควันสีขาวของละอองน้ำผสมกับควันสีเทาของบุหรี่ลอยขึ้นไปในอากาศตามจังหวะการพูด
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะถามไหม” หวางซิงตอบตามตรง เพราะในหน้าที่ของเลขาไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องรู้เรื่องของเจ้านายไปทุกเรื่อง
“อืม....ผมมีงานอดิเรกคือการถ่ายรูป” แม้หวางซิงจะไม่ได้ตอบชัดเจนแต่ฉู่เหวินจือก็เริ่มเล่าออกมา
“คุณเซินก็ไม่ได้เกลียดการถ่ายรูปนะครับ”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “แต่ว่าบางทีที่ผมไม่ได้พกกล้องผมก็จะใช้มือถือถ่าย แล้ว....บังเอิญผมถ่ายรูปนี้ได้ตอนกำลังจะไปดูสถานที่สร้างโรงแรม” ว่าไป ฉู่เหวินจือก็กดหารูปในมือถือก่อนจะคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วส่งให้หวางซิงดู
หวางซิงใช้เวลาเพ่งผ่านฝ้าขาวบนแว่นที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างแล้วชี้ไปยังรูปบนจอโทรศัพท์มือถือ
“อย่าบอกนะว่า....คุณเอารูปนี้ให้คุณเซินดู”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ก็นี่หมอจือไม่ใช่หรือ?” ฉู่เหวินจือยังทำหน้าพาซื่อ
“ก็ใช่อยู่หรอกครับ” หวางซิงกุมขมับ เขาไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่เซินเฟยมีความรู้สึกดี ๆ ให้จือหยินได้จึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “ว่าแต่....ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ นี่เป็นคนรักหรือครับ?”
“อาจจะเป็นน้องสาวก็ได้ใครจะรู้” ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋า “ว่าแต่.....วันนี้หนาวจริง ๆ เลยนะ”
“คงเพราะอยู่ใกล้ทะเลด้วยมั้งครับ” หวางซิงตอบกลับแล้วอดที่จะมองลอดเข้าไปในรถไม่ได้ เมื่อเห็นเซินเฟยยังหลับดีอยู่จึงคลี่ยิ้มออกมา “แต่บรรยากาศเงียบ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินหวางซิงพูดอย่างนั้น ฉู่เหวินจือจึงเลิกคิ้วแล้วหันกลับมามองที่รถบ้าง จะว่าไปเขาก็ไม่เคยเห็นภาพตอนเซินเฟยหลับเลยสักครั้ง เพราะเขตที่ห้องนอนของเซินเฟยตั้งอยู่เขาถูกห้ามเข้าไปเด็ดขาด ทำได้เพียงอยู่ในห้องของตัวเองและลงมาเดินในสวนและห้องทำงานข้างล่างเท่านั้น
ฉู่เหวินจือเปิดประตูรถโดยไม่ฟังคำทัดทานของหวางซิงที่เกรงเซินเฟยจะรู้สึกตัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังไม่วายหันมาจุ๊ย์ปากให้หวางซิงช่วยเก็บเรื่องนี้เห็นความลับด้วย หวางซิงที่ตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดถึงกับกุมขมับ หากเซินเฟยรู้เข้าเขาต้องโดนด่าไปด้วยแน่ ๆ
-------------------->
ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเท่าไหร่ แต่มีใครคนหนึ่งเขย่าตัวปลุกจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
“คุณเซิน พวกเขามาแล้วครับ ตอนนี้รออยู่ข้างใน” หวางซิงรายงานแล้วพยุงเซินเฟยออกมาจากรถ เด็กหนุ่มจำต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อสลัดความง่วงงุนออกไป ไม่นานนักเขาก็ตาสว่างพอที่จะจัดการเรื่องให้เรียบร้อย
“ไปกันเถอะ” คำสั่งสั้น ๆ ถ่ายทอดออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวนำเข้าไปในโกดังตรงหน้า