H • O • M • E
by ExecutioneR
บรรดาเพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน และนักเรียนของพ่อต่างก็กลับไปกันหมดแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมยืนอยู่ตามลำพังในบ้านที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา ผมยืนมองดูเก้าอี้โยกที่พ่อชอบนั่งประจำ บนโต๊ะไม้ข้างๆ มีรูปถ่ายของผมกับพ่อในกรอบรูปสีน้ำตาลเข้มวางเอาไว้อยู่ แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่เพียงรูปของเรา ผมเห็นพ่อที่กำลังเล่นวิ่งไล่จับกับผมที่สนามหลังบ้านตอนผมอายุราวๆ 7-8 ขวบ ผมเห็นพ่อต่อกรงนกขนาดใหญ่ด้วยตัวเองโดยมีผมคอยช่วยอีกแรงตอนผมอายุ 13 และเห็นแผ่นหลังของพ่อที่เดินนำผมอยู่ข้างหน้า เวลาที่ไม่ต้องไปสอนหนังสือ พ่อมักจะพาผมไปทำธุระในที่ต่างๆ กับพ่อตลอด มันจึงทำให้ผมเคยชินกับการพบเจอคนแปลกหน้า และมีความมั่นใจติดตัวมาตั้งแต่เด็ก พ่อสอนให้ผมเป็นคนกล้าแสดงออกด้วยการแนะนำให้ผมรู้จักกับคนทุกคน และสอนผมถึงเรื่องความสำคัญของการรู้จักพูดคุยกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือเพื่อนของตนเองก็ตาม ซึ่งเมื่อโตขึ้น ผมถึงเข้าใจว่านั่นคือหนึ่งในการสอนเพื่อให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง
พ่อของผมเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด แต่ก็สามารถสอนวิชาช่างได้อีกด้วย ดังนั้นผมจึงได้ความสามารถพิเศษด้านนี้มาตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นดี พอถึงอายุ 15 ผมก็สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ช่างไม้และช่างไฟฟ้าแทบทุกชนิดได้อย่างชำนาญ และเมื่อโตขึ้นอีกหน่อย ผมก็สานต่อความชอบของตัวเองและความฝันของพ่อด้วยการเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจในตัวผมเป็นครั้งแรก
พ่อมีบุคลิกความเป็นผู้นำที่อ่อนโยนอยู่ในตัว เสียงของพ่อหนักแน่นแต่ก็อบอุ่น เวลาที่ผมอ่อนแอหรือเสียใจ พ่อจะคอยปลอบโยนผม คำพูดแต่ละคำของพ่อพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ลูบหัวผมไปด้วยจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นทุกครั้ง แม้แต่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนตอนที่ผมโทรกลับมาหาพ่อและเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟัง เสียงของพ่อก็ยังคงช่วยเป็นกำลังใจและมอบความเข้มแข็งให้แก่ผมได้อยู่เสมอจริงๆ บางครั้ง ผมก็จะคิดถึงตอนที่ผมเริ่มแยกห้องนอนคนเดียวและมีพ่อมาคอยอ่านหนังสือหรือนิทานให้ฟัง รวมทั้งผมยังจำเสียงของพ่อกับแม่คุยกันแว่วๆ เบาๆ จากห้องข้างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนสามารถหลับลงไปเองได้จนถึงทุกวันนี้
พ่อเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดในความรู้สึกของผม ผมรักพ่อมาก และสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกเสียใจอยู่ ณ ตอนนี้คือการที่ผมไม่ได้กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อให้บ่อยกว่านี้หลังจากที่แม่จากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน
พ่อจากไปด้วยอายุ 65 ปี เพื่อนบ้านคนหนึ่งของเราเข้ามาพบพ่อกำลังนอนหลับจากไปอย่างสงบบนเก้าอี้ตัวที่ผมกำลังยืนมองมันอยู่นี้ โรคหัวใจของพ่อคงกำเริบขึ้นโดยที่พ่อไม่ทันได้ระวังตัว ตอนที่เพื่อนบ้านเข้ามาพบว่าพ่อจากไปแล้ว ทีวียังคงเปิดอยู่ และยาที่พ่อต้องกินประจำก็วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ รูปถ่ายของผมกับพ่อตรงนี้เอง ไอ้มอมแมม สุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เพื่อนเพียงตัวเดียวที่อยู่กับพ่อมาห้าปีก็นอนขดอยู่ที่ปลายเท้าของพ่อตามปกติ มันคงไม่รู้เลยว่านายอันเป็นที่รักของมันได้จากไปแล้ว และผมในตอนนี้ก็ไม่เหลือสมาชิกในครอบครัวอยู่อีกเลย นอกจากไอ้มอมแมมแค่เพียงตัวเดียว
หลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ มาตลอดเจ็ดปี เมื่อทราบข่าวนี้จากเพื่อนที่โรงเรียนของพ่อ ผมก็รีบขับรถนานกว่าหกชั่วโมงตรงกลับมาที่บ้านทันที ผมคุยกับอาไพศาล เพื่อนของพ่อที่เป็นทนาย เพื่อจัดการและรับทราบความประสงค์ของพ่อสำหรับงานศพ เราจะตั้งศพพ่อที่วัดแค่สามวันเพราะพ่อไม่อยากให้ผมและแขกเหรื่อต้องลำบาก
วันนี้ที่เป็นวันสวดวันแรก ผมรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันขึ้นมากที่เห็นเพื่อนๆ ของพ่อ นักเรียน เพื่อนบ้าน รวมทั้งเพื่อนสนิทของผมจำนวนหนึ่งที่มาร่วมไว้อาลัยกันมากมาย ทั้งๆที่ผมไม่ได้บอกข่าวนี้กับคนมากมายนัก เนื่องจากมันเป็นความต้องการของพ่อที่อยากให้จัดงานศพอย่างเงียบๆ และผมเองก็ไม่อยากให้ใครต้องเห็นความอ่อนแอของผมด้วย แต่ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาเคารพศพพ่อและเป็นกำลังใจให้แก่ผมนั้น ผมเห็นคนๆ หนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นเล็กน้อยได้ทันที เขาคนนั้นคือ เต้ เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กที่ผมสนิทที่สุดนั่นเอง
หลังจากยืนคุยกับอาจารย์ที่เคยสอนผมเมื่อสมัยมัธยมและเป็นเพื่อนของพ่อเสร็จ ผมก็ขอตัวเดินออกไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมก็เห็นเต้กำลังยืนรอผมอยู่
ผมรู้สึกว่าท้องไส้ของผมบิดมวนขึ้นทันทีที่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ เขา เขาคือคนๆ เดียวนอกจากพ่อกับแม่ที่ผมรู้สึกรักที่สุดยิ่งกว่าใครๆ เขายิ้มให้ผมน้อยๆ และกางแขนออกเพื่อรับผมเข้าไปกอด ทันทีที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของเขา น้ำตาที่ผมพยายามฝืนกลั้นเอาไว้มาตลอดก็เริ่มไหลออกมาทันที
“กูเสียใจด้วยจริงๆ นะเว้ย พี แต่พ่อมึงเค้าไปสบายแล้วนะ เค้ารักมึงและภูมิใจในตัวมึงมากนะเว้ย เพราะงั้นมึงต้องเข้มแข็งไว้นะ...”
“ไอ้เต้ กู... กู... ฮึกก...” ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
“กูขอโทษนะเว้ยที่ไม่ได้มาหามึงให้เร็วกว่านี้ ที่จริงกูน่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนมึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วแท้ๆ”
ผมส่ายหน้าและถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว “ไม่เป็นไรหรอก กูรู้ว่ามึงติดงาน และเมื่อวานกูก็ยุ่งๆ ด้วย” ผมใช้ปลายนิ้วชี้ปาดน้ำตาออก “แค่มึงมาวันนี้กูก็ดีใจมากแล้วว่ะ”
ผมมองหน้าเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมคบมานานแทบจะทั้งชีวิต เขาหล่อขึ้นกว่าตอนที่เราเจอกันเมื่อครั้งสุดท้ายในงานศพพ่อของเขามาก ซึ่งนั่นก็สักประมาณเกือบสี่ปีมาแล้ว ในตอนนี้ที่เราอายุเกือบจะ 30 ด้วยกันแล้วทั้งคู่ เต้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นขึ้น ดูตัวใหญ่ขึ้นจากกล้ามเนื้อ แต่ก็ยังคงมีโครงหน้าและแววตาขี้เล่นแบบเด็กๆ อยู่เหมือนเดิม
เขาดึงตัวของผมเข้าไปสวมกอดอีกครั้ง ครั้งนี้แนบแน่นกว่าเดิม เป็นอ้อมกอดที่ราวกับจะแสดงออกว่าเขายินดีต้อนรับผมกลับมาบ้าน และผมยังมีเขาอยู่ตรงนี้อีกคนเหมือนเมื่อตอนที่เราเติบโตมาด้วยกัน บ้านของเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของผม เขาย้ายมาที่นี่เมื่อตอนผมอายุเจ็ดขวบ และนับตั้งแต่นั้นเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอด จนกระทั่งเราต่างแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยและทำงาน ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ผมอยู่กรุงเทพฯ ส่วนเขาอยู่เชียงใหม่ ความห่างไกลทำให้เราติดต่อกันน้อยลง แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขากลับไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไปกันเถอะ พระจะเริ่มสวดแล้ว...” เขาดันตัวผมออก แล้วจากนั้นก็คอยประกบติดอยู่ข้างกายผมตลอด จนกระทั่งแขกทุกคนรวมถึงแม่ของเขากลับไปจนหมด เขาจึงขับรถกลับมาส่งผมที่บ้านหลังนี้
ผมหยิบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ดังนั้นผมจึงรีบวางมันกลับลงไปที่เดิมก่อนที่จะต้องเสียน้ำตาอีก ผมเดินขึ้นไปที่ห้องของพ่อบนชั้นสอง ที่ตู้เสื้อผ้า มีเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเก่งของพ่อแขวนเอาไว้อยู่ ผมหยิบมันออกมาจากไม้แขวนเสื้อและซุกหน้าลงบนเนื้อผ้า สูดกลิ่นของพ่อที่ผมคุ้นเคยตั้งแต่เด็กเข้าเต็มปอด ผมสวมมันทับลงบนเสื้อเชิ้ตสีดำของผม รู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกพ่อสวมกอดเอาไว้อีกครั้ง ผมกำลังจะร้องไห้ออกมาพอดีเมื่อตอนที่ผมได้ยินเสียงของเต้จากตรงประตูห้อง
“กูว่ามึงใส่เสื้อพ่อตัวนั้นได้พอดีเลยนะ เหมาะกับมึงดีด้วย”
ผมหันไปมองหน้าเขาและก้มลงมองดูเสื้อที่ตัวเองใส่ทับอยู่ “กูไม่รู้ว่ะ... จริงๆ แล้วกูไม่รู้ว่ากูจะกล้าเอามันมาใส่อีกรึเปล่าด้วยซ้ำ”
เขานิ่วหน้า “มึงกลัวเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ผมรีบส่ายหน้าพลางถอดเสื้อออก “แต่กูกลัวว่าจะทนคิดถึงเค้าไม่ได้ต่างหาก...” ผมพูดไปพลางก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ความทรงจำที่มีต่อพ่อเริ่มกลับมาฉายภาพอยู่ในหัวของผมอีกครั้ง “ทุกๆ อย่างที่อยู่ในห้องของพ่อนี่แทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อตอนกูยังเด็กเลยแม้แต่นิดเดียวว่ะ เต้”
เขาถอนหายใจเบาๆ และเดินเข้ามาหาผม “งั้นมึงก็เก็บเสื้อนั้นไว้เถอะ เก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี เก็บทุกอย่างเหล่านี้ไว้ให้เหมือนเดิม” เขารับเสื้อของพ่อไปถือไว้ในมือ จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด เขาที่สูงกว่าผมเกือบ 10 เซนติเมตรทำให้ผมรู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยไปเลย “มึงอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ไม่ต้องฝืน กูรู้ว่ากูบอกให้มึงเข้มแข็ง แต่การฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ก็ไม่ได้ทำให้มึงหลอกตัวเองว่ามึงเข้มแข็งได้จริงๆ หรอกนะเว้ย ตอนนี้เราอยู่กันตามลำพังแล้ว มึงร้องไปเถอะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
คำพูดของเขาทำให้ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ผมร้องไห้ลงบนอกของเขาอยู่นานจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่านานขนาดไหน ผมดีใจเหลือเกินที่มีเขาอยู่เคียงข้างแบบนี้ เพราะมันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมอย่างตอนนี้จริงๆ
เมื่อผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เต้ก็พาผมเดินไปที่ห้อง เขาช่วยผมถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว แล้วจากนั้นก็พาผมนอนลงที่เตียง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นราวกับความฝันที่พร่ามัว ผมอาจจะเหนื่อยจากการเดินทาง การอดนอน และความบอบช้ำทางจิตใจมาก จนทำให้สมองอ่อนล้าเกินกว่าจะจำรายละเอียดบางอย่างได้ แต่สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกอย่างชัดเจนก็คือความผ่อนคลายที่ได้เอนหลังนอนลงบนเตียง และความอบอุ่นจากร่างกายของเต้ที่สัมผัสโดนผิวหนังของผม แล้วจากนั้นผมจึงผล็อยหลับลงไปได้ในที่สุด