❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 4 ✢ เงารักลวงใจ ตั้งแต่เมื่อวานที่ไปนำเสนองานที่บ้านของแฟรงค์มา ผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่เหมือนตัวเองเป็นสาเหตุให้แฟรงค์กับเพียวต้องผิดใจกัน ผมพอจะเดาได้ว่าเพียวโกรธแฟรงค์เรื่องอะไร แต่ที่ไม่ค่อยแน่ใจหรือไม่รู้เลยก็คือทำไมเพียวถึงโกรธมากจนถึงกับลุกหนีไป ผมกับแฟรงค์ก็เป็นแค่พี่น้องที่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นอะไรกับแฟรงค์มากไปกว่านั้นเสียหน่อย
แฟรงค์ก็ไม่ยอมโทรหาเพียว ผมไม่เข้าใจแฟรงค์เลยว่าทำไมถึงไม่ง้อแฟน แถมยังมาทำงานที่รีสอร์ทอีก ความจริงจ้างผมมาแล้วก็ไม่ต้องมาเลยก็ยังได้ ที่รีสอร์ทอื่นๆ คนที่เป็นเจ้าของแทบจะไม่เคยโผล่มาให้เห็นด้วยซ้ำ ลูกค้าที่ไปพักเห็นแค่คนที่จ้างมาช่วยดูแล
ตอนเช้าวุ่นๆ นิดหน่อยเพราะมีกลุ่มข้าราชการมาจัดงาน ผมต้องคอยช่วยดูแลเรื่องเบรก อาหารและอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ขอมา เนื่องจากติดต่อกับผู้จัดการคนเก่าไว้ จึงมีข้อมูลบางอย่างที่ผมยังไม่รับรู้ แต่พอสื่อสารกันชัดเจนแล้วก็ไม่มีปัญหา พอเข้าที่เข้าทางแล้วตอนบ่ายผมจึงค่อยวางมือและดูอยู่ห่างๆ
ตอนบ่ายๆ ผมออกมากินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารกลางน้ำกับแฟรงค์ เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เรื่องใหม่บ้าง เก่าบ้าง ดูแฟรงค์มีความสุขเหมือนกับไม่ทุกข์ร้อนเรื่องแฟนเลย ตอนเดินกลับเข้ามาทำงานด้วยกันผมจึงอดรนทนไม่ไหว
"แฟรงค์ ถ้านัทจำไม่ผิด เหมือนแฟรงค์จะเคยบอกนัทว่าจะนัดให้ทีมงานถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้งเข้ามาหาอาทิตย์นี้ใช่มั้ย"
แฟรงค์ดูอึ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็รีบยิ้มกลบเกลื่อนพร้อมกับพยักหน้า
"อืม...วันพฤหัสนี้แหละ กินกาแฟกันหน่อยไหม ไม่มีคนแล้ว"
ผมพยักหน้าตกลง แฟรงค์จึงเดินนำผมเข้าไปในร้านที่เราสองคนกำลังเดินผ่านมาพอดี หลังจากที่สั่งกาแฟที่ต้องการแล้ว ผมก็เป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาก่อน
"แฟรงค์ได้คุยกับเพียวมั่งหรือยัง"
สีหน้าแฟรงค์ดูเรียบๆ แต่ผมก็พอสังเกตเห็นแววกังวลอยู่ในตาคู่นั้น แฟรงค์ส่ายหน้าปฏิเสธและไม่พูดสักคำ
"ทำไมล่ะแฟรงค์"
แฟรงค์ถอนหายใจแล้วนั่งนิ่ง ก้มหน้าเหมือนกับไม่อยากพูด
"นัทขอโทษนะถ้านัทยุ่งเรื่องของแฟรงค์มากไป นัทก็แค่...เป็นห่วงแฟรงค์เท่านั้นแหละ"
ผมรีบออกตัวอย่างเกรงใจ นึกตำหนิตัวเองในใจที่ลืมคิดไปว่าเพิ่งกลับมาเจอกับแฟรงค์ได้ไม่กี่วัน คงไม่สนิทสนมมากพอที่จะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว
"ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก อย่าคิดมาก แฟรงค์แค่ไม่รู้จะอธิบายให้นัทฟังได้ยังไง"
ในที่สุดแฟรงค์ก็ยอมพูด ผมเอนหลังติดพนักเก้าอี้แล้วก็เอียงคอสงสัย
"เพียวเค้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ถึงแฟรงค์จะชอบเพียวเพราะเพียวชอบกินไอติมเหมือนนัทตอนเด็กๆ แต่จริงๆ มันก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกันเลย ก็แค่ความชอบส่วนตัวของแฟรงค์เฉยๆ อีกอย่าง...นัทกับแฟรงค์ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย"
ดูเหมือนแฟรงค์ชะงักหรือสะดุ้งหน่อยๆ ตรงประโยคท้ายๆ ที่ผมพูด
"นั่นน่ะสิ" เสียงแฟรงค์เบาจนเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม
"เพียวเค้าคงไม่ได้เข้าใจผิดว่านัทกับแฟรงค์...มีอะไรพิเศษกันใช่มั้ย"
แฟรงค์เหลือบตาขึ้นมองผม น่าแปลกใจเหมือนกันที่แฟรงค์เหมือนไม่ค่อยอยากสบตากับผมตรงๆ เท่าไหร่
"ไม่หรอกมั้ง" แฟรงค์ตอบด้วยสีหน้าที่ยังดูกังวลเหมือนเดิม
"จะให้นัทช่วยอธิบายกับเพียวให้มั้ย"
ผมไม่รู้ว่าดีหรือเปล่าที่ถามไปอย่างนั้น แต่ถ้าช่วยได้ผมก็อยากช่วย แม้ว่าจะดูเหมือนจุ้นจ้านไปหน่อยก็ตาม
"ไม่ต้องหรอกนัท เดี๋ยว...แฟรงค์จะโทรไปคุยกับเพียวเอง"
"ดีแล้ว แฟรงค์บอกเพียวนะว่าแฟรงค์กับนัทไม่ได้เป็นอะไรกัน เราสองคนก็แค่รู้จักกัน เคยคบกันเป็นพี่เป็นน้องเฉยๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่อย่างที่เพียวเข้าใจหรอก ขอโทษที่ทึกทักไปเองนะ ความจริงนัทก็ไม่รู้หรอกว่าเพียวเข้าใจผิดเรื่องอะไร นัทแค่เดาว่าเป็นเรื่องนี้เฉยๆ"
แฟรงค์ยิ้มจางๆ พร้อมกับขำเบาๆ จากนั้นก็ทำหน้าเครียดอีก
"นัท..."
แฟรงค์เรียกชื่อผมแล้วก็หยุดเว้นจังหวะรอความสนใจ
"ถ้าเกิดนัทเพิ่งรู้ตัวว่านัทชอบใครบางคนที่ไม่ใช่คนที่นัทกำลังคบอยู่ นัทจะทำยังไง"
ผมขยับนั่งตัวตรง รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กับสิ่งที่แฟรงค์พูดไม่น้อย ตั้งแต่เจอกัน แฟรงค์กับผมอยู่ใกล้ชิดกันและทำหลายๆ อย่างที่แตกต่างจากผู้ชายธรรมดาทั่วไป ผมก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันว่าแฟรงค์กำลังพยายามสื่อสารบางสิ่งบางอย่างให้ผมรู้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผมไม่อยากรู้และไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
"ไม่รู้สิ นัทน่ะ...ไม่อยากรักใครอีกแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไง" ผมพยายามตอบเลี่ยงๆ
"นัทจะไม่รักใครอีกแล้วจริงๆ เหรอ"
ผมเป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง โชคดีที่จังหวะนั้นกาแฟของเรามาเสิร์ฟพอดี ผมจึงยังพอมีเวลาเพิ่มคิดหาคำตอบได้อีกหน่อย เราหยิบถ้วยกาแฟมาจิบชิม พอเห็นว่ารสชาติถูกใจก็จิบอีกสองสามครั้ง ก่อนที่ผมจะตัดสินใจตอบคำถามนั้นของแฟรงค์
"แฟรงค์ก็รู้แล้วนี่ว่านัทเจออะไรมาบ้าง นัท...เกลียดการรอคอย เกลียดการหลอกลวง แต่ความรักของนัท...ก็มีแต่การรอคอยแล้วก็การหลอกลวงทั้งนั้น"
แฟรงค์ขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนจะสงสัยมากเสียด้วย
"นัท...นัทหมายถึงอะไร...หรือใคร"
นั่นสินะ นี่ผมหมายถึงอะไร...หรือใครกันแน่ อย่าว่าแต่แฟรงค์เลย ผมก็ยังสงสัยสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดไป ผมถอนหายใจแล้วก็มองออกไปข้างนอกตัวร้าน ช่วงนี้ลูกค้าน้อยจนแทบจะเหลือแต่พนักงานด้วยกันเอง แต่ก็ยังพอมีคนเดินเล่นและทำกิจกรรมทางน้ำที่ทะเลสาบอยู่บ้าง
ผมหันกลับมามองหน้าแฟรงค์อีกครั้งและครุ่นคิด ตั้งแต่ได้เจอกับแฟรงค์ ผมพบว่ามีบางเรื่องที่ผมต้องย้อนคิดทบทวนใหม่ให้แน่ใจอีกครั้ง บางทีอาจจะมีบางอย่างไม่เป็นอย่างที่ผมเคยรู้หรือเข้าใจก็ได้
"นัทไม่รู้จะอธิบายให้แฟรงค์เข้าใจได้ยังไง เอาเป็นว่า...นัทจะไม่รักใครอีก เพราะนัทไม่อยากรอ ไม่อยากถูกหลอก นัทเข็ด...แล้วก็เจ็บปวดมาก นับตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าใครจะพยายามแค่ไหน นัทก็บอกได้เลยว่าเสียเวลาเปล่า อย่ารักนัทเลย นัทไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว ชีวิตของนัท แค่มีแม่ มีพี่นิว แล้วก็...พี่แฟรงค์ ที่นัทรักเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ก็พอแล้วล่ะ"
"นัท..."
แฟรงค์เรียกเสียงเบาด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่เชื่อที่ผมบอก จะเป็นไปได้หรือที่คนวัยหนุ่มอย่างผมจะเข็ดกลัวความรักจนไม่อยากรักใครอีก เพิ่งผิดหวังเพียงครั้งเดียวไม่น่าคิดอย่างนี้ แต่ผมก็จะทำอย่างที่พูดจริงๆ
... ... ...
หลังจากที่คุยกันวันนั้น ผมเดาว่าแฟรงค์คงโทรไปคุยกับเพียวแล้ว พอถึงวันพฤหัสบดีที่แฟรงค์นัดทีมถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งไว้ ผมก็เห็นเพียวมาหาแฟรงค์ที่รีสอร์ทด้วย ไม่เห็นท่าทีบาดหมางหรือผิดใจกันเลย ที่ผมเดาไว้ก็น่าจะถูกแล้วล่ะ ก็ดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น ผมรู้ว่าการง้อผู้หญิงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของแฟรงค์หรอก ที่ผ่านมาแฟรงค์ก็คงทำบ่อยๆ
หนึ่งในทีมงานที่มาสามคนเป็นเพื่อนสมัยเรียนของแฟรงค์เอง เพราะแฟรงค์ชอบสนับสนุนธุรกิจของเพื่อน ด้วยเหตุผลว่าดีกว่าเอาเงินไปให้คนอื่น เพียวบอกให้ผมอยู่ช่วยเลือกแนวบรรยากาศหรือธีมด้วยกันด้วย มีหลายๆ คนจะได้ช่วยกันออกความคิดเห็น ผมก็เลยต้องนั่งร่วมอยู่ในนั้นอย่างเคอะเขินหน่อยๆ
มีแนวบรรยากาศให้เลือกหลายรูปแบบและหลายสถานที่ มีทั้งในกรุงเทพ ต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ ผมแอบคิดเล่นๆ ว่าถ้าผมเปิดบริษัทแบบนี้บ้าง ผมจะเพิ่มตัวเลือกแนวบรรยากาศบนดวงจันทร์เข้าไปด้วย เผลอๆ จะรวยไม่รู้เรื่องเพราะยังไม่มีใครทำ
ผมไม่ได้ออกความคิดเห็นช่วยสองคนนั้นมากหรอก ความชอบของผมไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ก็เลยได้แต่นั่งดู ปล่อยให้แฟรงค์กับเพียวตัดสินใจเลือกกันเอง
นั่งดูได้ไม่ถึงสิบนาทีผมก็ขอตัวออกไปทำงานข้างนอก แฟรงค์ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคงรู้ว่าผมไม่อยากโกงเวลาทำงาน อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้จัดการรีสอร์ทอย่างผมควรมีส่วนร่วมด้วย
ผมเดินมาดูความเรียบร้อยของห้องประชุมที่ข้าราชการกลุ่มนั้นมาขอเช่าใช้อยู่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ช่วงหลังๆ เริ่มเข้าที่จึงไม่ค่อยมีเรื่องที่ผมต้องจัดการมากเท่าไหร่ ดีหน่อยที่ไม่ได้เชิญคนใหญ่โตมาปิดงาน ผมจำได้ว่าเพื่อนที่ทำงานเก่าบ่นเป็นประจำว่ายุ่งยากจนชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์บางอย่างหาย ก็เป็นธรรมดา วัฒนธรรมการทำงานของข้าราชการเป็นแบบนี้ ผู้ให้บริการคงจะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ยังไงก็ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับลูกค้าจนได้
ตอนเที่ยงผมไม่ได้ไปกินข้าวกับแฟรงค์และเพียว ปล่อยให้สองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังกันดีกว่า คนเป็นแฟนกันคงไม่ค่อยอยากให้มีคนอื่นเข้าไปยุ่งหรอก ผมคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของกลุ่มข้าราชการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ที่นี่เป็นรีสอร์ทของครอบครัว ระบบไม่ซับซ้อน แต่ฟังก์ชันหลายๆ อย่างก็คล้ายโรงแรม คนที่ถูกจ้างมาจึงต้องทำแทบทุกอย่าง คอยดูทุกเรื่อง ผมก็ไม่คิดว่าเป็นปัญหาหรอกในเมื่อผมมาทำงานที่นี่เพื่อเรียนรู้การทำงานรีสอร์ท เวลาทำของตัวเองจะได้เอาประสบการณ์ที่นี่ไปใช้ต่อได้ จะว่าไปแฟรงค์นี่ก็แปลกเหมือนกัน แฟรงค์ให้งานผมทำทั้งๆ ที่รู้ว่าผมจะอยู่ที่นี่เพียงสองสามปีแล้วไปทำรีสอร์ทของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่จ้างผมแน่
จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ พอผมดูแลทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว จึงได้โผล่หน้าเข้าไปในห้องของแฟรงค์อีกครั้ง แฟรงค์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเพียวนั่งเล่นไอแพดอยู่เงียบๆ ที่โซฟา แปลกดีที่ต่างคนต่างไม่คุยกัน หรือไม่ก็คงคุยกันเบื่อจนไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว
"อ้าวนัท...เป็นไง เรียบร้อยดีมั้ย"
แฟรงค์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์มาถาม ส่วนเพียวหันมามองแล้วก็ยิ้ม
"เรียบร้อยดี นัทจะมาบอกแฟรงค์ว่า...เดี๋ยวเย็นนี้นัทจะกลับไปที่คอนโดนะ นัทว่าจะขนของที่เหลือมาให้หมด"
แฟรงค์เป็นคนบอกผมเองว่าให้ย้ายมาอยู่ที่นี่เลย ส่วนคอนโดก็เก็บไว้ก่อน หรือไม่ก็ปล่อยเช่าต่อ ดีกว่าไปๆ กลับๆ ไกลก็ไกล รถก็ติด เสียเวลาและเสียสุขภาพจิตด้วย
"แล้วจะไปยังไง ให้แฟรงค์ไปส่งมั้ย"
"ไม่ต้องหรอก" ผมรีบร้องบอก
"เดี๋ยวนัทนั่งแท็กซี่ไป ขามานัทจะขับรถมาเอง พอจำทางได้อยู่ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ใช้เนวิเกเตอร์ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้จะออกไปข้างนอกกับเพียวไม่ใช่เหรอ ไปกับแฟนเหอะ"
ผมหันไปยิ้มกับเพียวตรงประโยคท้ายๆ
"เอางั้นเหรอ" แฟรงค์ถามเหมือนไม่แน่ใจ
"อืม...เดี๋ยวอีกชั่วโมงนัทก็จะออกไปแล้ว ไม่ต้องห่วงงานนะ นัทจัดการให้หมดแล้ว"
"พี่ไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก พี่รู้ว่านัทรับผิดชอบงานได้ดีอยู่แล้ว"
ผมเลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อยที่แฟรงค์เรียกแทนตัวว่า "พี่" กับผมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปกติแฟรงค์จะเรียกตัวเองอย่างนั้นในตอนที่มีบางอย่างพิเศษเท่านั้น ไม่ค่อยพูดในการทำงานหรือพูดคุยทั่วไป ดูเหมือนเพียวก็คงสงสัยเหมือนผม เธอเงยหน้าจากไอแพดมามองแวบหนึ่งแล้วก็หันไปสนใจไอแพดของเธอต่อ
แฟรงค์ลุกจากเก้าอี้ทำงานมาหาผม แตะไหล่ผมเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
"ถ้ามีอะไร...ก็โทรหาพี่นะ ไม่ว่านัทจะอยู่ที่ไหน พี่จะไปหานัททุกเวลาที่นัทต้องการ"
เอาอีกแล้วนะแฟรงค์ เพิ่งจะปรับความเข้าใจกับเพียวได้หยกๆ แท้ๆ พูดแบบนี้เดี๋ยวก็จะมีปัญหากันอีกหรอก
"อืมๆ แค่ขนของนิดหน่อยนัทไม่มีปัญหาหรอก ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวนัทขอตัวก่อนนะ นัทไปก่อนนะเพียว ขอให้สนุกนะ"
ผมไม่ลืมที่จะร่ำลาเพียวด้วย แม้ว่าเธอจะยิ้มและพูดตอบบางอย่างกลับมา แต่ก็เดายากว่าเธอกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ ผมไม่ค่อยชอบเลยถ้าต้องมีส่วนทำให้คู่รักมีปัญหากัน ได้แต่หวังว่าแฟรงค์กับเพียวคงจะไม่ทะเลาะกันอีกหลังจากที่ผมเดินออกไปจากห้องนี้
... ... ...
"ไอ้ปอนด์ กูได้งานที่นี่แล้วนะเว้ย ขอบใจมึงมากที่มึงแนะนำให้กูมาที่นี่"
ผมเกือบจะลืมโทรไปบอกเพื่อนเลยเพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับงานใหม่ พอสบโอกาสตอนที่นั่งแท็กซี่ออกมาจึงโทรไปหามันเสียหน่อย
"จริงเหรอวะนัท กูดีใจด้วย แต่มึงไม่ลืมสัญญาใช่มั้ย"
"ไอ้นี่ กูไม่ลืมหรอก นัดเพื่อนๆ คนอื่นๆ ให้กูด้วยละกัน จะได้รียูเนี่ยนกันหน่อย" ผมว่าเพื่อนอย่างขำๆ ที่มันทวงเรื่องนั้นขึ้นมา
"ได้ๆ เดี๋ยวกูนัดมาให้หมดเลย มึงหมดตัวแน่งานนี้" ไอ้ปอนด์สัพยอกแล้วก็ถามต่อ
"ทำไมมึงได้งานไวจังวะ เพิ่งไปสมัครไม่กี่วันนี่เองไม่ใช่เหรอ"
"กูเด็กเส้นเว้ย" ผมตอบพลางหัวเราะชอบใจ
"เด็กเส้นอะไรของมึงวะ มึงรู้จักคนในนั้นเหรอ"
"เออดิ"
"ใครวะ"
"เจ้าของรีสอร์ทไง"
"จริงเหรอวะ!"
"เออดิ เป็นพี่ที่กูรู้จักตั้งแต่เด็กๆ ที่เขาค้อ โตมาด้วยกัน ขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน"
"จริงเหรอวะไอ้นัท มึงนี่โชคดีจังเลยว่ะ ว่าแต่...พี่คนนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ ถ้าเค้าเป็นผู้หญิงแล้วยังโสดนะเว้ย มึงก็จีบเลย จะได้เป็นผัวเจ้าของรีสอร์ทไง คราวนี้สบายไปทั้งชาติ"
ปอนด์หัวเราะเสียงดังชอบใจใหญ่
"ผู้ชายเว้ย แล้วนี่มึงอยู่ไหนวะ หัวเราะซะเสียงดังเลย ไม่กลัวชาวบ้านเค้าเอาอะไรปาเหรอ"
"เพิ่งกลับถึงบ้าน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ แล้วมึง...จะให้กูนัดเพื่อนๆ มาวันไหนวะ กำหนดวันมาเลยสิ ไม่งั้นมึงจะให้กูโทรไปบอกพวกมันว่ายังไง"
"ห่วงจริงนะมึงเรื่องนี้"
"เออสิวะ หรือมึงไม่อยาก"
ผมหัวเราะที่เพื่อนรู้ทัน
"เอางี้ สิ้นเดือนเลยละกัน มาตอนที่เงินเพิ่งออกนี่แหละดี พวกมันจะได้มีกำลังใจมา มึงหาร้านไว้ด้วยละกัน แถวๆ นี้ก็ได้ กูว่ามึงน่าจะรู้จักหลายที่อยู่ เปลี่ยนบรรยากาศมาแถวนี้ก็ดีนะเว้ย ให้พวกมันมาสัมผัสบรรยากาศลานเบียร์กลางท้องทุ่งมั่ง"
"เออๆ เอาอย่างงั้นก็ได้ ว่าแต่...อีกตั้งสองอาทิตย์เลยเหรอวะ"
ปอนด์ทำเสียงเหมือนคนบ่นๆ ตอนท้าย
"ถ้ามึงจะลงแดงก็โทรหากูก็ได้ เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน จะได้ถือโอกาสไปดูสถานที่ด้วยไง ดีมั้ย"
ผมเสนอไปอย่างขำๆ แต่ปอนด์ก็ดันเห็นดีด้วย
"เออๆ ก็ดีเหมือนกัน กูก็เซ็งๆ ว่ะ เบื่อเจ้านายชิบหายเลย สงสัยกูก็จะลาออกเหมือนมึงอีกคนแล้วเนี่ย กูไปทำงานที่รีสอร์ทกับมึงได้ปะวะ มึงขอพี่คนนั้นให้กูหน่อยดิ"
"ใจเย็นๆ ดิ ไม่ต้องทำเหมือนกูทุกอย่างก็ได้"
ผมสัพยอกบ้าง ปอนด์ทำงานที่ส่วนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สำนักงานเขตหนองจอกมาได้หลายปีแล้ว ผมเพิ่งได้กลับมาติดต่อกับมันช่วงไม่ถึงเดือนนี่เอง แต่ก็ได้ยินมันบ่นเรื่องที่ทำงานให้ฟังบ่อยๆ
"เออๆ กูก็พูดไปอย่างงั้นแหละ ก็คงต้องทนๆ กันไป ว่าแต่มึงห้ามลืมนะเว้ย"
"เออน่า"
ผมบอกแล้วก็หัวเราะ คุยต่อกับปอนด์อีกสักพักผมจึงวางสายไปแล้วก็นั่งคิดในรถเงียบๆ พอพี่คนขับเห็นผมวางสายไปแล้วก็ชวนคุยบ้าง ผมก็เออๆ ออๆ ไปตามเรื่อง ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะมีเรื่องที่ผมยังวนเวียนคิดไม่จบ เผลอหรือว่างเมื่อไหร่เป็นต้องคิดเรื่องนี้บ่อยๆ
ผมมาถึงที่คอนโดก็สามทุ่มแล้ว ก่อนจะขึ้นมาก็แวะกินข้าวที่ร้านข้าวแกงใกล้ๆ คอนโดให้เรียบร้อย ขึ้นมาถึงห้องผมก็ยกกระเป๋าเดินทางลงมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วเอามาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าและของใช้สำคัญๆ ต่างๆ มากองไว้ข้างๆ พื่อเตรียมจัดใส่กระเป๋า
จู่ๆ ผมก็นึกอยากเดินไปดูที่ถังขยะใบเล็กที่ผมมีไว้สำหรับทิ้งของที่ไม่เหม็นในห้อง ความรู้สึกมันมากจนห้ามตัวเองไม่ไหว ผมวางเสื้อผ้าลงแล้วก็ปล่อยให้ขาพาตัวเองไปตรงนั้นอย่างช้าๆ พอถึงแล้วผมก็ก้มดู มีรูปใบหนึ่งที่ผมฉีกทิ้งอยู่ปนๆ กับขยะอย่างอื่นในนั้นด้วย
ถ้าจะถามว่ารูปอะไร มันก็เป็นรูปที่ผมถ่ายคู่กับต้องตานั่นแหละ ผมเพิ่งฉีกมันทิ้งก่อนที่จะไปสมัครงานที่รีสอร์ทได้ไม่กี่วัน จู่ๆ ก็อยากจะหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้งเสียอย่างนั้น ผมจึงค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วหยิบเศษรูปที่ขาดตรงส่วนที่มีใบหน้าของต้องตาขึ้นมาดู เหตุการณ์เก่าที่ติดอยู่ในใจก็พลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิดของผม
"นัท...พี่ล่ะกลั๊วกลัว วันหนึ่งถ้านัทไปเจอสาวๆ สวยๆ กว่าพี่ นัทจะทิ้งพี่หรือเปล่า"
"ไม่หรอกพี่ตา ผมรักพี่ตาคนเดียวนะ"
ว่าแล้วผมก็ซุกตัวเองลงกับอ้อมอกของเธอบนเตียงนอนของเราเพื่อเอาใจ รู้สึกดีและอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ทำอย่างนี้กับคนที่ผมรัก
"ให้มันจริงเถอะ นัทนี่ก็แปลกนะ ทำไมมาชอบคนแก่ๆ อย่างพี่ได้"
ต้องตาลูมผมของผมเบาๆ พลางหัวเราะ ผมช้อนตาขึ้นมองแล้วก็ยิ้มให้เธอ
"พี่ตาก็ พี่ไม่ได้แก่ขนาดนั้นซะหน่อย อายุมากกว่าผมแค่เดือนสองเดือนเอง" ผมรีบแก้ตัวแทน
"ก็นั่นแหละ ปกติ...ไม่ค่อยมีผู้ชายที่ไหนชอบผู้หญิงที่อายุเยอะกว่าหรอก เห็นแต่ชอบเด็กๆ สาวๆ เอ๊าะๆ น่ารักๆ กันทั้งนั้น"
"แต่ผมไม่ชอบนี่ครับ ผมว่าผู้หญิงพวกนั้นน่าเบื่อจะตาย ง้องแง้งๆ ไม่มีสาระอะไรเลย ผมชอบผู้หญิงอย่างพี่ตามากกว่า ยังไงๆ พี่ตาก็สวยน่ารักสำหรับผมเสมอ ที่สำคัญ...อบอุ่นด้วย เอาใจก็เก่ง ถ้าผมมีแฟนเป็นเด็กๆ ผมก็ต้องไปเอาใจเค้า คงปวดหัวน่าดู"
ต้องตาหัวเราะกิ๊ก คงจะชอบใจที่ผมพูดมากเลยล่ะ
"ปากหวานนะเราน่ะ พี่จะคอยดูละกัน แล้วก็ชอบเรียกพี่อยู่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกพี่ จำไม่ได้เหรอ"
ปากก็ห้ามไปอยางนั้น เพราะต้องตาเรียกแทนตัวเองกับผมว่าพี่จนติดปากไปแล้ว
"โธ่...ก็ผมชอบนี่ครับ ให้ผมเรียกพี่ตาว่าพี่นะครับ ผมชอบเรียกแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม"
"ตามใจๆ จะเรียกพี่ว่าอะไรก็เรียกไปเถอะ เอาที่นัทสบายใจละกัน"ผมค่อยๆ วางเศษรูปใบนั้นทิ้งลงตะกร้าเหมือนเดิมพร้อมกับหยุดคิดถึงเหตุการณ์นั้น ทรุดตัวลงนั่งตรงนั้นอย่างช้าๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้ พอมองไปที่เตียงนอนของตัวเอง ภาพเก่าๆ ที่ผมเคยหยอกล้อและแสดงบทรักกับเธอก็ปรากฎขึ้นรางๆ ในห้องนี้เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายที่ผมกับต้องตามีร่วมกัน แม้ว่าจะไม่ใช่รักจริง แต่ตอนที่ไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกนั้นผมก็ทุ่มเทความรักให้เธอมากเหลือเกิน มากจนผมก็ยังเคยสงสัยตัวเองว่าทำไม
ผมกอดเข่าแล้วก็ซบหน้าลงร้องไห้หนักขึ้น นึกตำหนิตัวเองในใจที่กลับมาที่นี่คนเดียวแล้วก็ต้องมานั่งร้องไห้อย่างนี้อีก ก่อนหน้านี้ผมเครียดมาก มากจนต้องออกไปกินเหล้ากับเพื่อน ถึงไม่มีเพื่อนก็กินคนเดียว จนดึกดื่นค่อนคืนถึงได้กลับมานอน ไม่อย่างนั้นแล้วผมก็คงบ้าตายจากการคิดฟุ้งซ่าน
ผมเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วมองไปที่เตียงอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่ผมจะเห็นภาพของผมกับต้องตาเหมือนเดิม ผมกลับเห็นภาพของตัวเองนอนอยู่บนตักของใครอีกคนแทน สักพักก็สลับมาเป็นภาพของผมกับต้องตา แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นภาพของใครอีกคน สลับกันไปสลับกันมาจนหัวผมแทบระเบิด
ทำไมผมถึงเห็นเหมือนว่าต้องตากับแฟรงค์มีเงาซ้อนทับกันอยู่ แนบชิดเสียจนผมแทบจะแยกไม่ออก แล้วผมก็พลันนึกถึงวันที่ตัวเองขี่จักรยานไปบ้านเก่าของแฟรงค์เป็นวันสุดท้าย ตอนนั้นผมอยู่มอหนึ่งแล้ว วัยนั้นเป็นวัยที่พอจะเข้าใจความรู้สึกบางอย่างที่ตอนเด็กๆ ไม่สนใจได้ ผมยืนมองบ้านหลังนั้นเนิ่นนาน รู้สึกเศร้าจนอยากจะร้องไห้ ยิ่งนึกถึงความผูกพันของผมกับแฟรงค์ ก็ยิ่งใจหายเมื่อรู้ว่าวันคืนเก่าๆ จะไม่กลับมาอีกแล้ว
ปีเศษๆ แล้วที่ผมยังมาที่บ้านหลังนี้ไม่เคยขาด มาทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงก็คงไม่ได้เจอแฟรงค์อยู่ดี ความรู้สึกอะไรกันหนอที่ทำให้ผมยังมาที่นี่ ผมเคยคิดว่าผมสนิทกับแฟรงค์อย่างเพื่อนและพี่ชายมาตลอด แต่วันนั้น...ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างไป ความรู้สึกที่ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยมีเลย
ตกลงผมรักใครก่อนใครกันแน่!?
ภาพของแฟรงค์กับต้องตาวิ่งวนสลับกันไปมาในความคิดผม รู้สึกสับสนจนผมอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ถ้าไม่ติดว่าต้องเกรงใจข้างห้อง สุดท้ายผมก็เลือกที่จะซบหน้าลงกับหัวเข่าตัวเองอีกครั้ง จนกระทั่งภาพเหล่านั้นค่อยๆ หายไป แต่เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาแทน เสียงที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนที่ผมเฝ้าเรียกหา เสียงเดียวที่ไม่เปลี่ยนเป็นเสียงของใครอีกเลย
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกพี่ จำไม่ได้เหรอ"
"พี่ไม่รำคาญนัทหรอก นัทไม่ต้องกลัวนะ พี่มาอยู่กับนัทแล้ว พี่จะไม่ทิ้งนัทไปไหนอีก"
"นัท...น้องพี่"
"พี่ขอโทษนะนัท นัทอย่าโกรธพี่นะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ"
"พี่คิดถึงนัทไง...ก็เลยมาหา"
"เริ่มต้นใหม่นะนัท นัทมาอยู่กับพี่แล้ว พี่จะไม่ให้ใครมาหลอกน้องของพี่อีก ถ้าใครมาทำนัทนะ ได้เห็นดีกับพี่แน่ คอยดูสิ"
"ถ้ามีอะไร...ก็โทรหาพี่นะ ไม่ว่านัทจะอยู่ที่ไหน พี่จะไปหานัททุกเวลาที่นัทต้องการ"พอมาถึงประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ผมก็ร้องเรียกชื่อคนๆ นั้นออกมาทั้งๆ ที่ยังซบหน้าอยู่ คนๆ นี้ที่ผมอยากให้มาหาเสียตอนนี้เลย
"พี่แฟรงค์"
ก่อนที่ผมจะปล่อยโฮอีกคำรบ จู่ๆ เสียงกริ่งห้องผมก็ดังขึ้น หวังว่าคงจะไม่ใช่ต้องตา แต่เธอก็ไม่น่าจะมาได้เพราะไม่มีคีย์การ์ดแล้ว หรือว่าเจ้าหน้าที่ของคอนโดจะมาหา แต่ปกติก็มักจะโทรขึ้นมาหาและบอกให้ลงไปมากกว่าที่จะขึ้นมาหาที่ห้องเอง
ใครกันที่จะมาที่นี่ในเวลานี้ คนที่ไม่มีคีย์การ์ดคงเข้ามาเองไม่ได้ ยกเว้นว่าจะอาศัยจังหวะทีเผลอเวลาคนในคอนโดเปิดประตูเข้าออก เสี่ยงพอสมควรแต่ก็มีคนทำอยู่บ่อยๆ
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเดินไปที่ประตูห้อง จากนั้นจึงส่องผ่านตาแมวออกไป พอเห็นว่าใครยืนอยู่ผมก็ตกใจ มือไม้สั่นรีบเปิดประตูแทบจะทันที ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะกลับมาล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยไปเปิด
"พี่แฟรงค์"
"นัท"
แฟรงค์เดินเข้ามาในห้อง สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย พอปิดประตูแล้วก็กอดผมแน่นเพื่อปลอบโยนคนที่เสียขวัญให้สงบลง สัมผัสที่แสนคุ้นเคยนี้ทำให้ผมหมดแรงต้านทานขัดขืน ทำได้เพียงปล่อยให้กระแสความอบอุ่นนั้นไหลผ่านเข้ามาสู่ร่างกายและส่งผ่านไปจนถึงหัวใจ
"ไม่เป็นไรนะนัท พี่มาหานัทแล้ว นัทอย่าร้องไห้นะ"
แฟรงค์มาถึงนี่ราวกับสัมผัสได้เองว่าใครบางคนกำลังต้องการแฟรงค์อยู่
"พี่แฟรงค์ ฮือๆ"
ผมเป็นอย่างนี้อีกแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นแฟรงค์อยู่ใกล้ๆ ทีไรผมก็กลับเป็นอย่างนี้ไปได้ ไม่ใช่อ่อนแอเพราะเป็นคนอ่อนแอโดยนิสัย แต่เป็นความอ่อนแอเพราะอยากอ่อนแอเสียมากกว่า
"น้องพี่...ถึงใครไม่รักนัท แต่พี่ก็รักนัทนะ นัทอย่าเสียใจให้คนที่เค้าไม่รักนัทอีกเลย อย่าร้องไห้นะคนดีของพี่"
ผมกอดกระชับลำตัวของแฟรงค์แน่นขึ้นแทนการพูดตอบโดยตรง น้ำเสียงและสัมผัสของพี่ชายคนนี้ช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเหลือเกิน ผมจึงปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นต่อไปสักพัก จนกระทั่งอาการเศร้าเสียใจค่อยๆ หายไปในเวลาเพียงไม่นาน
แฟรงค์จับมือจูงผมเดินมาที่เตียงนอน พอเห็นผมกองเสื้อผ้าทิ้งไว้ยังไม่ได้เก็บก็หันมาบอก
"เดี๋ยวพี่ช่วยนัทเก็บนะ เราจะไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด ต่อไป พี่จะไม่ให้นัทกลับมาที่ห้องนี้คนเดียวอีก"
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ยิ้มบางๆ ให้กับแฟรงค์แล้วก็เอ่ยถาม
"ทำไมพี่แฟรงค์ไม่ไปกับเพียวล่ะ"
"ก็พี่เป็นห่วงนัทไง"
แฟรงค์ยิ้มตอบกลับมา ไม่รู้ทำไม ผมชอบรอยยิ้มนี้ของแฟรงค์มากทีเดียว
"พี่กลัวว่าพอนัทเห็นอะไรเก่าๆ นัทก็จะเสียใจอีก พี่ก็เลยไปส่งเพียวแล้วก็รีบตามนัทมาเลย"
"ทำไมพี่แฟรงค์ทำอย่างงั้นล่ะ ไม่กลัวเพียวเสียใจเหรอ"
แฟรงค์หยุดชะงัก ที่ยิ้มอยู่ก็ค่อยๆ หุบยิ้มไป
"พี่กลัวนัทไม่มีใครมากกว่า จำไม่ได้เหรอ พี่บอกนัทแล้วไงว่านัทน่ะ...สำคัญที่หนึ่งสำหรับพี่ พี่เคยทิ้งให้นัทรอเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยกลับไปหา นัทรู้ไหมว่าพี่เสียใจ เสียใจมาตลอดเลย พี่อยากขอบคุณใครซักคนมากที่ทำให้นัทกลับมาหาพี่ พี่รู้สึกเหมือนพี่ได้ของที่รักมากๆ กลับคืนมา เพราะฉะนั้น ต่อไป...พี่จะไม่ให้นัทต้องรอคอยพี่อีก ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พี่รู้ว่านัทต้องการพี่ พี่จะมาหานัททันที ไม่ว่าพี่จะอยู่ไกลแค่ไหน จำไว้นะนัท"
คำพูดประโยคสุดท้ายคล้ายกับมีหินก้อนใหญ่กระแทกเข้าไปที่หัวใจของผมอย่างจัง หรือว่าอาจจะไม่ใช่แค่หัวใจ อาจจะเป็นจิตใต้สำนึกที่อยู่ลึกกว่านั้นด้วยก็ได้ เหมือนมีคลื่นสองคลื่นที่มีความถี่เดียวกันเดินทางมาเจอกันในความคิดของผม จากนั้นก็ซ้อนทับกันจนสนิทและขยายตัวเป็นคลื่นที่ใหญ่ขึ้น คงมีบางอย่างในคำพูดนี้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงอย่างนั้นได้
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มองแฟรงค์ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าผมกำลังสับสนและไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่างมากแค่ไหน
"พี่แฟรงค์!"TBC