เสือไบ:the series (ตอน 25)
ชีวิตผมตอนนี้ก็ตามเรื่องตามราวของข้าราชการหนุ่ม(เช้าชามเย็นชาม ศุกร์ เมา เสาร์นอน อาทิตย์ ถอนจันทร์ลา ถ้ามันแฮงค์หนักจริงๆ ก็อังคารอีกวันฮ่าฮ่า) เป็นมนุษย์เงินเดือนก็แบบนี้แหละ จะรวยก็ตอนต้นเดือน อดๆ อยากๆ ก็ตอนใกล้สิ้นเดือน แต่พวกผมก็ยังเที่ยวได้แทบทุกวัน ดีหน่อยก็ตามเธค แย่หน่อย ก็สโมสรตอนเย็น...เมาเสร็จก็กลับบ้านนอน ถ้าช่วงเงินเดือนออกวันแรกน่ะเหรอ อาบอบนวด หรือ ตามล้อบบี้โรงแรมแหละ เฮ้อ......
ถ้าถามเรื่องความรัก ผมก็ยังจีบผู้หญิงอยู่นะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็แห้วรับประทานเป็นประจำ เหตุผลง่ายๆ ที่เพื่อนๆ ผมบอกผมประจำว่าทำไมผมถึงแห้ว มาฟังกัน........
1.มันว่าผมไม่หล่อ,ไม่รวย,ไม่มีรถ
2. ผมหลีหญิงและเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง
3.ผมมักจะติดเพื่อน(ในวงเหล้า)และกีฬา(เทนนิส) มากกว่า
4. ผมจ๊ะจ๋ากับผู้หญิงได้ไม่เกิน5นาที ถ้าหลังจากนั้นผมก็มักจะขอตัวหรือไม่งั้นก็วางโทรศัพท์ไป
ฯลฯ
แต่พวกมันจะรู้บ้างเหรอเปล่านี่....เหตุผลจริงๆน่ะเพราะอะไร คนติดตามเรื่องของผมน่าจะรู้แล้ว.. เหตุผลจริงๆน่ะคือ ผม เป็น. (เซนเซอร์)...... แต่ผมก็ไม่เคยจีบผู้ชายนะครับ ยังทำใจไม่ได้น่ะ ที่จะต้องเริ่มให้ท่าผุ้ชายหรือที่จะต้องแกล้งทำผ้าเช็ดหน้าตกให้ผู้ชายเก็บ หรือ มากหน่อยก็ใส่สายเดี่ยว ในเธค เดินเข้าไป ชนเหล้ากับคนที่เล็งไว้ (ฮ่าฮ่า ล้อเล่นอยากจะทำเหมือนกันเดี่ยวโดนเตะกลับมาซะก่อน)
และแล้ววันหนึ่งผมก็โดนไอ้กามเทพแผลงศรรักเข้าให้แล้ว ฮ่าฮ่า โดนเข้าเต็มๆ เลยครับ ไม่ใช่ผู้หญิงนะ....แต่เป็นผู้ชาย ผมขอเรียกว่า นัมเบอร์วัน (No.1) ก็ล่ะกัน
ฮ่า ฮ่า ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอ ก็รุ่นพี่ในแก็งค์สามช่า(พี่ติ๊ก พี่พี พี่ตั้น)ของผมนี่แหละ หากินง่ายๆก่อนครับช่วงนี้ ... ลองเดาดูซิครับว่าเป็นใคร.....
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก
(โห เดาถูกกันเพียบ)
พี่พี ของผมน่ะเอง...ไม่รู้มันเกิดขึ้นกับผมได้ยังไง แต่ผมขอเรียกมันว่าทฤษฎีแห่งความใกล้ชิด.... ความใกล้ชิดมันทำให้ก่อเกิดความรัก (ประมาณหนังเรื่องเพื่อนสนิทเหรอเปล่านะ ผมไม่ได้ดูด้วยดิ) ไม่น่าเชื่อนะว่าจะเกิดระหว่างพี่พีกับผม ที่ไม่น่าเชื่อก็เพราะ พี่พีแกโคตรจะเก๊ก พูดน้อย ไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยว.... ผมน่ะไม่ค่อยรับรู้ความต้องการของแกเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าแกไม่พูดออกมา ส่วนนิสัยผมน่ะเหรอ ตรงข้ามกับแกทุกอย่าง...หน้ามือกับหลังมืออะไรแบบนั้น
ในบรรดารุ่นพี่แก๊งค์สามช่าถ้าเรียงจากความสนิทสนมแล้ว ก็น่าจะเริ่มจากพี่ติ๊ก พี่ตั้น และก็พี่พี อย่างที่บอกแหละครับ นิสัยผมกับแก ตรงข้ามกันหมด ผมจะเหมือนพี่ติ๊กกับพี่ตั้นซะมากกว่า ....
เหตุการณ์ครั้งแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งทฤษฎีแห่งความใกล้ชิดก็คือ วันหนึ่ง...ประมาณกลางๆ เดือนธันวาคม ผมจำไม่ได้แล้วว่าวันไหนแต่ไม่ใช่วันศุกร์แน่นอน.....
ประมาณ ห้าโมงเย็น ตอนนี้ผม อยู่ที่ทำงานสองคนกับพี่พี (ทุกคนกลับกันหมดแล้ว พี่ติ๊กกับพี่ตั้นคงขึ้นสโมสร) ผมนั่งเล่นเกมส์ พี่พีก็นั่งทำงาน (ตอนนี้ที่ทำงานได้คอมพิวเตอร์ใหม่มาแล้ว ประมาณใช้โปรแกรมวินโดว์แหละ) ผมนั่งเล่นเกมส์ได้สักแป๊บ บรรยากาศก็นะ เงียบๆ ได้ยินเสียงแอร์ เสียงเพลง...
"ไอ้นุ่ม มรึงยังไม่กลับอีกเหรอ" พี่พีเริ่มพูดก่อน
"ใกล้แล้วพี่ เกมส์โอเวอร์....เดี่ยวน้องกลับล่ะ... อ้าวแล้วพี่ล่ะ เอ วันเกิดพี่นี่....ไม่ไปไหนเหรอครับ สุขสันต์วันเกิดนะครับ" ผมร่ายยาว ก็ความจริงวันเกิด....ทั้งทีแกน่าจะไปฉลองกับแฟน..... หรือกับเพื่อน
"ขอบใจนะ ...รู้เปล่ากรูรอมรึงแหละ ว่างเปล่า ไปดูหนังกัน" โหอะไรนี่ชวนผมเลย ฮ่าฮ่าแล้วมีเหรอที่ผมจะปฎิเสธ มันธรรมเนียมรุ่นพี่รุ่นน้องอยู่แล้ว...ผมมักจะไม่ปฎิเสธรุ่นพี่เรื่องแบบนี้.... ถ้าไม่ติดธุระจริงๆ...
"ว่างครับ ดูที่ไหนล่ะพี่"หลังจากที่เก็บข้าวของ ปิดคอม ปิดไฟ ล๊อคประตูห้องแล้วเราสองคนเดินไปที่ท่าเรือ สายลมพัดเบาๆ ไม่หนาว เพราะนี่เข้าช่วงหน้าหนาว....หนาวได้วันสองวันก็หายหนาวแล้ว.....
เราสองคนขึ้นเรือไป..... เรือด่วนเจ้าพระยา ที่ทำงานผมอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือผ่าน ที่ต้องขึ้นเรือไปเพราะมันสะดวกดี อย่างที่รู้ๆ ช่วงเย็นๆ รถจะติดมาก
"ลงท่าปิ่นเกล้านะ ไอ้นุ่ม" เราจะไปดูหนังที่เมเจอร์ปิ่นเกล้ากันครับ หลังจากที่ขึ้นเรือด่วนแล้วเราก็จ่ายตังส์ แล้วก็ยืนช่วงเลิกงานแบบนี้ไม่มี่ให้นั่งหรอก...ขนาดที่ยืนยังต้องเบียดกันเลย.....
ตื๊ด ตี๊ด เสียงมือถือผมดัง (ตอนนี้ผมมีโทรศัพท์มือถือคนเดียวในที่ทำงาน)
ไอ้เรย์โทรมา .....ผมกดรับ
"มรึงอยู่ไหนวะ เย็นนี้ กรูพาเพื่อนไปกินเหล้าที่ห้องนะ รีบกลับมาด้วย"
"ได้ คงดึกๆ นะ พวกมรึงโซโล่กันไปก่อนเลยนะ...." กำลังพูดต่อ....พอดีมีเรือด่วนเจ้าพระยาอีกคันสวนมา คลื่นของอีกคันเลยซัดมาที่เรือที่ผมยืนอยู่ ผมที่กำลังยืนไม่ได้เกาะอะไร มันกเลย...ล้มทับใส่พี่พีเต็มๆ เลย หน้าผมกับหน้าแกแทบจะชนกัน (ประมาณ ละครไทย ช่วงที่นางเอกล้มทับพระเอก.....มันมีช่วงนิ่งที่พระนางมองหน้ากันแล้วส่งความรู้สึกซึ้งให้กัน ฮ่าอ่า) ผมรู้สึกว่าทังผมและแกหน้าแดง.....และผมกับพี่พีนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
"โป๊ก" เสียงดังฟังชัด...พี่พีเบิร์ดกระโหลกผมอีกแล้ว ผมตื่นจะภวังค์แล้ว
"ระวังหน่อยซิวะ เดี่ยวกรูกับมรึงก็ได้ลงไปว่ายน้ำกันหรอก โน่นโทรศัพท์มรึงอยู่โน่น" โหตอนนั้น ยังหน้าแตงอยู่ อายทั้งพี่พี อายทั้ง คนในเรือ ... ผมเก็บโทรศัพท์แล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย จนถึงท่าปิ่นเกล้า....เขินมากเลยผม..
พอขึ้นมาจากท่าเรือปั่นเกล้าแล้วพวกเราก็ต่อแท๊กซี่ไปอีกทีหนึ่ง... พอถึงที่พวกเราก็เดินไปดูโปรแกรมกันก่อน โหความเห็นไม่ลงลอยกันอีกแล้ว พี่พีแกอยากดูแอร์ฟอร์ทวัน ผมอยากดูหนังแนวกุ๊กกิ๊ก ฮ่าอ่า เวลาฉากซึ้งๆ จะได้ซบไหล่แก (ได้แค่คิดแหละผม) เถียงกันไปพอเป็นพิธีแกก็ให้เงินผมไปซื้อตั๋ว เป็นอันว่าผมก็เลยต้องดูแอร์ฟอร์ดวัน โหได้ดูตั้งสองทุ่ม.. ตอนนี้เวลาเหลือเพียบเลย...
"หาไรกินกันก่อนล่ะกัน" พี่พีแกชวน ไม่ชวนเปล่า....กอดคอผมด้วย
"ไม่ต้องกอดคอก็ได้พี่ ผมอึดอัด"
"ได้ไงมรึง ที่กรูกอดคอมรึง กลัวมรึงจะหลงน่ะ มรึงยิ่งเซ่อซ่าอยู่ คนเยอะแบบนี้..หลงไปกรูขี้เกียจตาม" เอาวะแกอยากกอดคอก็กอดไป
"กินไก่ล่ะกัน กรูไม่ได้กินมานานแล้ว" เราเดินเข้าไป ร้านเคเอฟซี พี่พีให้เงินมา.... แต่ผมบอกแกว่า
"น้องเลี้ยงพี่ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดนะครับ นานๆ จะได้เลี้ยงพี่ซักที" อานะ มีข้ออ้างในการเลี้ยงจริงๆ .... ส่วนใหญ่ที่นี่ไปไหนกันรุ่นพี่รุ่นพี่ก็มักจะจ่ายอยู่แล้ว รุ่นน้องกินฟรี....
"โหงั้นกรูไม่เกรงใจนะ เอาชุดนั้นกับชุดนั้น". โหได้ใจจริงๆนะไอ้คุณพี่พี่.....
"ได้พี่ กินให้หมดนะ เสียดายของ" ได้ของที่สั่งมาแล้วพวกเราก็มานั่งโซ๊ยกัน พี่พีกินอย่างเอร็ดอร่อย หมดเรียบไม่ว่าจะอก ปีก เฟรนไฟร์ มันบด โคลสลอร์ หรือเป็บซี่ ส่วนผมเหรอ ก็หมดเหมือนกัน เห็นพี่พีกินได้แบบนี้ค่อยดีหน่อย วันเกิดแกทั้งทีแกคงมีความสุข ไม่น่าเชื่อเราใช้เวลาในการจัดการกับเคเอฟซีถึงสองทุ่มพอดี
"หนังจะเข้าแล้วพี่ไปเถอะ ต้องเข้าห้องน้ำอีก". เราเดินออกไปจัดการธุระส่วนตัวก่อนเข้าโรงหนัง เสร็จแล้ว
"ไอ้นุ่ม กรูอยากกินป๊อบคอร์น กับเป็บซี่ เลี้ยงกรูหน่อย". โหได้ใจเลยนะไอ้พี่พี ยิ่งกลางเดือนอยู่ เอาวะเลี้ยงก็เลี้ยง หลังจากได้ปีอบคอร์นกับเป็บซี่ ผมเลือกชุดใหญ่ เราก็เดินเข้าโรงหนังเข้าไปหาหาที่นั่ง คนเยอะเหมือนกันแฮะ...เกือบเต็มโรง ช่วงแรก ระหว่างดูหนังตัวอย่างเราก็กินป๊อบคอร์นกับเป็บซี่....โดยผมเป็นคนถือ ถุงป๊อบคอร์น ส่วนเป็บซี่น่ะแก้วใครแก้วมัน.....ช่วงนั้นจะว่าสวีทก็คงไม่ใช่.... ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ....เพียงแค่จุดเริ่มต้น....
หนังเริ่มฉายแล้ว ป๊อบคอร์นหมดไปแล้ว อย่างว่าแหละ หนังท้องตึงหน้าตาก็หย่อน ยิ่งได้แอร์เย็นๆ ในโรงหนังด้วยแล้ว ช่วงแรกผมเผลอหลับไป เพลียมาทั้งวัน.... หลับไม่หลับเปล่า เผลอไปซบไหล่พี่พีด้วย ตื่นมาอีกที โดนพี่พีสะกิด.... โหน้ำลายผมย้อย.....
"เอ๊ย มีเชื้อบ้าเปล่าวะนี่".
"ขอโทษครับพี่ เดี่ยวผมเช็ดให้". ผมล้วงหยิบทิชชู่ ฮ่าฮ่า ได้มาจากเคเอฟซีเมื่อกี๊แหละมาเช็ดไหล่เสื้อแก เผลอย้อยได้ไงนี่ อายจริงๆ วันนี้มีแต่เรื่องอายๆ ทั้งนั้นเลย หนังก็สนุกดี ประมาณพระเอกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐโดนผู้ก่อการร้ายปล้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ทวัน โดยจับลูกเมียเป็นตัวประกัน เหลือตัวคนเดียวเลยต้องสู้กับเหล่าร้ายโดยมีรองประธานาธิบดี (เป็นผู้หญิง) คอยช่วยเหลืออยู่ข้างล่างภาคพื้นดิน...
หนังจบประมาณห้าทุ่ม ยังไม่ถึงดึกเท่าไหร่ พวกเราเดินออกจากโรงหนังสิ่งที่ทำโดยด่วนก่อนก็คือเข้าห้องน้ำ....ผมจะออกมาหลายครั้งแล้ว...แต่ติดที่คนเยอะและหนังสนุกด้วย ผมเลยต้องนั่งบิดนั่งทนอยู่ในโรงหนัง (ช่วงทรมานสุดๆก็ผมเล่นดื่มเป็บซี่ตั้งสองแก้ว)
"กลับเลยเหรอเปล่าพี่" ผมถาม
"มรึงรีบกลับเหรอเปล่าวะ... นั่งฟังเพลงกับกรูก่อนซิ ร้านนั้น กรูยังไม่อยากกลับ".พี่พีชี้ไปที่ร้านอาหารบ ร้านพรีวิว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังอยู่เหรอเปล่า เพราะผมไม่ได้ไปเมเจอร์ปิ่นเกล้านานแล้ว
"น้องไม่รีบครับ แล้วแต่พี่ล่ะกัน".ความจริงผมมีนัด แต่ถ้าเลือกตามสถานะการณ์แล้วผมอยากอยู่กับพี่พีมากกว่า พวกไอ้เรย์กินกับพวกมันแทบจะทุกวัน....ส่วนพี่พีวันนี้วันเกิดแกด้วยจะทิ้งให้แกอยู่คนเดียวก็กระไร
"สั่งดิ สั่งได้หมดแหละ เดี่ยวกรูเลี้ยง". พี่พียื่นเมนูมาให้ผม บรรยากาศร้านนี้ก็น่านั่งดี.. เป็นร้านสไตล์ผับมีดนตรีเล่นสด มองลงมาผ่านกระจกเห็นถนน เห็นคนเดินข้างล่างเห็นเซนทรัลปิ่นเกล้า คนในร้านก็เยอะ ประมาณดูหนังเสร็จคู่หนุ่มสาวก็จะมาสวีทกัน
"มรึงสั่งเบียร์ดิ สั่งเป็บซี่ให้กรูด้วย"
"ครับ". พี่พีแกไม่ดื่มแอลกอฮอล ครับ แต่ดื่มเป็บซี่เหตุผลก็อย่างที่ผมเคยเม้าท์ๆแกแหละ หลังจากที่ได้กลับแกล้มมาสองอย่างเบียร์หนึ่งเหยือก เป๊บซี่หนึ่งเหยือกเราก็นั่งคุยกัน ดนตรีที่นี่ก็เล่นดี เข้าบรรยากาศคู่รักมาสวีทกันดีออก...
"พี่ไม่ไปหาแฟนล่ะ" ฮ่าฮ่า ผมเริ่มก่อหวอด ได้เบียร์ไปแก้วสองแก้ว....
"ไม่มีเว๊ย ไม่งั้นจะมาแดกกับมรึงได้ไง" แกทำตาเศร้าๆ....
"โห ไรพี่ หน้าตาก็ดี ไม่น่าเชื่อ"
"มีมันมีได้....แต่จะเอาไหนเลี้ยงเค้าล่ะ เงินเดือนไม่เท่าไหร่ นี่ก็กำลังเรียนอยู่"ใช่ครับตอนนี้พี่พีเรียนต่อที่มหาลัยมหานครหนองจอก(เรียนตอนวันเสาร์อาทติย์ พวกผมเรียนจบมายังไม่ได้ปริญญาตรี ได้แค่ประกาศนียบัตร.......)
"มันก็จริง" ผมได้แต่นั่งเงียบไป
"มรึงล่ะตอนนี้มีแฟนใหม่เหรอยัง" ฮ่าฮ่า ผมดีใจที่พี่พีเค้ายังจำได้ว่าผมเคยร้องให้ให้ผู้หญิง....ยัยกระเหรี่ยงของผม
"ยังพี่" จะบอกไปว่าผมเปลี่ยนไปแล้วก็กะไร....เดี่ยวเบียร์กับเป๊บซี่จะไม่อร่อยเอา....
เราคุยกันหลายเรื่อง.... ส่วนใหญ่ก็จะเรื่องผม เรื่องแก เรื่องพี่พี่ติ๊ก และก็พี่ตั้น เรื่องงาน..ส่วน เรื่องสาวๆ ไม่ต้องพูดถึงไม่มีเฉียดกราย พอเที่ยงคืน ผมไอเดียบรรเจิด ผมเขียนขอเพลง เพลงที่ผมขอก็คือเพลงวันเกิด...
"ขอเพลงแอปปี้เบิร์ดเดย์ สำหรับคนเหงาๆสองคน....."
ได้ผลครับ ไม่กี่นาทีผมกับพี่พีและทั้งร้านก็ได้ฟังเพลงนี้ พี่พีเบิร์ดกระโหลกผมอีกแล้ว
"กรูไม่ได้เหงานะไอ้นุ่ม เข้าใจอะไรผิดเหรอเปล่า" พอเพลงจบ ผมกับพี่พีก็ปรบมือให้นักร้อง
"ไอ้นุ่มกรูขอบใจนะ ที่มากับกรูคืนนี้ "แกเอ๋ยปากบอกผม.....
"เห็นพี่มีความสุข น้องก็มีความสุข" ผมตอบแกไป นั่งกันได้อีกไม่นานผมกับแกก็กลับ ผมเริ่มจะเมาๆ แล้ว สองเหยือกแล้วพรุ่งนี้ต้องทำงานด้วย ผมกับแกกลับแท๊กซี่คันเดียวกัน.... พี่แกอยู่วงสว่างส่วนผมพงษ์เพชร.......
นี่คือทฤษฎีความใกล้ชิดที่ก่อให้เกิดความรัก บทแรกของผม ผมไม่รู้มันเข้ามาหาผมได้ไง และผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปคนเดียวหรือ เราคิดกันทั้งสองคน