<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 215658 ครั้ง)

ออฟไลน์ ghostreader

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้าน้อยขอคารวะผู้แต่ง อ่านลื่นมาก อยากทราบมีผลงานอื่นๆอีกป่าวครับ :pig4:

ออฟไลน์ _himura_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาให้กำลังใจคนแต่งคนเก่งค่ะ ติดตามอยู่ตลอดนะคะ สู้ตาย ฮึ่บบบ  o13

ออฟไลน์ real port

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เป็นกำลังใจครับ :pig4:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 68
«ตอบ #213 เมื่อ07-12-2014 00:57:21 »

บทที่ 68 อสูรร้าย

หลังจากทัพใหญ่ทั้งสองทัพได้รับชัยชนะกำลังคนของค่ายในป่าเขาก็ถูกโยกตามไปเป็นระลอก  สนามรบย้ายถัดเข้าไปทุกที  แน่นอนว่าหมอและเสบียงทัพก็ต้องโยกย้ายตามไป  ชีวิตในค่ายทหารไม่สุขสบาย  การขนย้ายที่เกิดขึ้นเรื่อยๆทำให้หมอในกองทัพมักเป็นหมอที่ยังมีเรี่ยวแรงเดินทางและสามารถทนทานความลำบาก  บรรดาหมอหลวงอายุมากต่างได้รับการงดเว้นไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้
หากบอกว่าเหล่าทหารหาญล้วนต่อสู้อยู่กับความเป็นความตาย  หมอประจำกองทัพก็ต้องต่อสู้กับความเป็นความตายในรูปแบบที่แตกต่างออกไป  คำว่า ‘ทำงานหนัก’ ดูจะน้อยเกินไปเมื่อใช้อธิบายสภาพของแต่ละคน  เมื่อเรี่ยวแรงทุกหยาดหยดต่างถูกเค้นออกมาใช้  คนเราถึงได้ทราบศักยภาพทั้งหมดที่ตัวเองมี 
หลายครั้งที่การดำรงอยู่เช่นนี้ขึงตึงเกินไป  และหลายครั้งที่การดำรงอยู่เช่นนี้...เป็นการดำรงอยู่อย่างมีคุณค่า

ในที่สุดก็ถึงรอบของเหลียนอันสุ่ยที่ต้องเดินทางตามไปสมทบ  ทุกอย่างในกองทัพเป็นระบบระเบียบและรวดเร็วฉับไวไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาเก็บของที่กะไว้ให้เพียงน้อยนิด  สองมือของเหลียนอันสุ่ยเก็บของใช้และเสื้อผ้า  ในใจทราบดีว่ากำลังจะก้าวเข้าใกล้บุรุษผู้นั้น  อันที่จริงสำหรับเหลียนอันสุ่ยพวกเขาไม่เคยอยู่ห่างกันมาก่อน  นี่มิใช่เพราะงานในค่ายวุ่นวายจนไม่มีเวลาอ้างว้าง  แต่เป็นเพราะเหลียนอันสุ่ยมักรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนอยู่ข้างกายเขาเสมอ 
เป็นครั้งแรกที่พบว่ากับความรักบางรูปแบบความคิดถึงกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นเลย  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ตรงนั้น  อยู่ตรงนั้นเสมอ  แนบสนิทอยู่ในเงาของเขา  ฝังลึกในกระดูกและวิญญาณ  ข่าวคราวของฉีเซี่ยงหยวนที่โอบคลุมอยู่รอบตัวเขา  ตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนแจ่มกระจ่างอยู่ในใจเขา  กลายเป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ที่ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ความรักทำให้คนอ่อนแอ  และหลายครั้งความรักก็ทำให้คนเข้มแข็งได้อย่างเหลือเชื่อ
---------------------
การสู้รบระหว่างแคว้นเป่ยชางกับแคว้นหนานเหมินผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่หลายครั้ง  เฮ่อสวินใช้ไปหลายกลอุบายก็ยังไม่อาจชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ  สุดท้ายตัดสินใจเลือกแผนการที่เด็ดขาดแผนหนึ่ง
ยิ่งบุกลึกเข้าเขตแดนศัตรู  ที่ยากเย็นคือการลำเลียงเสบียงทัพ...เฮ่อสวินตัดสินใจจะเล่นงานการลำเลียงเสบียงทัพของแคว้นเป่ยชาง
---------------------
เสียงล้อบดกับกรวดทรายดังต่อเนื่อง  รถลำเลียงเสบียงคันใหญ่บรรทุกกระสอบข้าวหนักอึ้ง  ม้าเทียมลาเทียมออกแรกเต็มกำลัง  เสบียงทัพคือหัวใจของการทำศึก  ไม่ว่าทัพจะยิ่งใหญ่แค่ไหน  ทหารจะห้าวหาญเพียงใด  หากปราศจากเสบียงทัพหล่อเลี้ยงก็ต้องพังทลายในเร็ววัน  ยิ่งทัพใหญ่จำนวนคนมากยิ่งพังทลายรวดเร็ว
เสียงโห่ร้องที่ดังมาจากทุกทิศทางทำให้เหลียนอันสุ่ยในรถม้าเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก  รถม้าคันนี้บรรทุกหมอประจำกองทัพรวมสี่คน  ทุกคนล้วนรู้สึกถึงเค้าลางของอันตราย  เหลียนอันสุ่ยเลิกม่านรถม้าก็ได้ยินเสียงต้วนจินรายงานว่า
“มีทัพซุ่ม”
หมอทั้งหลายฟังแล้วสีหน้าซีดเผือด  ทุกคนล้วนไม่คิดว่าการลำเลียงเสบียงครั้งนี้จะเกิดปัญหา  แม้การคุ้มกันขบวนเสบียงจะดำเนินการโดยรอบคอบเสมอมาเพราะต้าอ๋องให้ความสำคัญกับเสบียงทัพ  แต่แน่นอนว่าทหารคุ้มกันเสบียงย่อมไม่มีทางยันกับข้าศึกจำนวนมากโดยจะยังรักษาเสบียงเอาไว้ได้  ส่วนหมอที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองเช่นพวกเขาใยมิใช่มีสภาพถูกละทิ้งเช่นเดียวกับเสบียง
เหลียนอันสุ่ยกลับขบคิดกังวลถึงเรื่องอื่น  จุดสำคัญของการลำเลียงเสบียงอยู่ที่เส้นทางและช่วงเวลาต้องเป็นความลับ  แต่เหตุใดฝ่ายข้าศึกจึงสามารถจัดทัพซุ่มโดยกะนับเวลาได้แม่นยำเช่นนี้!
“พระมาตุลา  ข้าน้อยจะคุ้มกันท่านไปก่อน” เสียงหม่าหลงดังมาจากนอกรถม้า  ต้วนจินดึงเจ้าเหรียญทองที่เดิมทำหน้าที่แบกสัมภาระและหีบยามาเทียบ  กล่าวว่า
“เชิญพระมาตุลาขึ้นม้า” สำหรับพวกเขาสองคนหน้าที่อันดับแรกคือคุ้มกันเหลียนอันสุ่ยให้ปลอดภัย
หากเหลียนอันสุ่ยกลับกล่าวว่า
“ข้าได้ยินเสียงดาบ  ข้างนอกปะทะกันแล้วใช่หรือไม่  ขี่ม้าหลบหนีไปเช่นนี้เป็นจุดเด่นเกินไป”
เมื่อเหลียนอันสุ่ยกวาดสายตาไปโดยรอบก็พบว่าสภาพโดยรวมตกอยู่ในห้วงคับขัน  หลังธนูห่าใหญ่  ทหารหนานเหมินก็ตีกรอบเข้ามาทั้งสองด้าน  อาศัยความได้เปรียบของชัยภูมิกักพวกเขาไว้ทั้งหมด  เห็นได้ชัดว่ารถเสบียงอันอุ้ยอ้ายไม่มีทางฝ่าออกไปได้แน่แล้ว  ส่วนรถม้าของพวกเขาก็ประสบเข้ากับสถานการณ์เดียวกัน
---------------------
“กราบทูลต้าอ๋อง  หน่วยลำเลียงเสบียงของเราถูกโจมตีทั้งสองหน่วย  พวกกระหม่อมเกรงว่าหน่วยที่สามที่ออกเดินทางช้ากว่าก็น่าจะไม่รอดด้วยเช่นกัน”
มีเสียงทุบโต๊ะดัง ‘ปัง’
“พวกนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเราจะลำเลียงเสบียงวันนี้  ความลับที่สำคัญขนาดนี้รั่วไหลออกไปได้อย่างไร” ดวงตาคมกริบกวาดมองทหารทุกนายอย่างกดดัน
“ทัพหนานเหมินช่ำชองชัยภูมิ หูตาของพวกเขามีอยู่เต็มไปหมด  เกรงว่าในทัพเราเองก็คงมีสายภายในของพวกเขาอยู่” มู่ซางวิเคราะห์ช้าๆ  สายตากวาดไปตามแผนที่เส้นทางเดินทัพอย่างครุ่นคิด
“หลิวฉางเฟยรับคำสั่ง  ทัพม้าเจ็ดพันเร่งเดินทางไปช่วยโดยเร็วที่สุด  เสบียงรอบสุดท้ายนี้เราจะสูญเสียมันไปไม่ได้เป็นอันขาด” เสบียงทัพหลงเหลืออยู่เท่าใดฉีเซี่ยงหยวนทราบกระจ่างแก่ใจดี
หลิวฉางเฟยรับบัญชา  อดรู้สึกแปลกใจที่ฉีเซี่ยงหยวนยังคงสามารถสั่งการอย่างเยือกเย็น  ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเสบียงขบวนนนั้นคนที่เดินทางมายังมีเหลียนอันสุ่ยด้วย
“เสบียงรอบสุดท้ายออกเดินทางยามเหม่า(05.00-07.00น.)  เวลานี้สมควรอยู่ที่...นี่” สองนิ้วของมู่ซางวางลงบนจุดๆหนึ่ง  เงยหน้าขึ้นมากล่าวกับหลิวฉางเฟยว่า “ตำแหน่งนี้ลงมือสะดวกที่สุด  ทัพซุ่มของแคว้นหนานเหมินต้องเลือกซุ่มกำลังพลที่นี่แน่  อุดทั้งหัวท้าย  ต่อให้ปลาตัวเล็กที่สุดก็ไม่อาจหลุดรอดออกไป”
โดยไม่มีใครเห็นมือของฉีเซี่ยงหยวนรวบกำเป็นหมัดแน่น สภาพภายนอกที่สงบเยือกเย็น  ต่างกับความเดือดเนื้อร้อนใจที่เกิดขึ้นในใจเขาโดยสิ้นเชิง
---------------------
คำพูดจากปากมู่ซางกลับตรงกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจนน่าตกใจ  เสียงฟันดาบใกล้เข้ามา  บรรดาหมอในรถม้าเริ่มไม่อาจสงบสติอารมณ์  เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือเข้าไปในห่อสัมภาระดึงเอาคันธนูคันหนึ่งออกมา  มืออีกข้างล้วงหากระบอกลูกธนู  สายตาจับนิ่งอยู่ที่ร่างผึ่งผายของคนผู้หนึ่งนอกหน้าต่าง
กำลังของศัตรูแม้แยกตีเป็นหัวท้าย  แต่คนบัญชาการหลักกลับมีคนเดียว  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เสาะหาคนผู้นี้เจอแล้ว
แตกต่างกับความสงบนิ่งของเหลียนอันสุ่ย  หม่าหลงกับต้วนจินที่คุ้มกันอยู่รอบรถม้ากระวนกระวายจนใกล้เป็นบ้าแล้วเมื่อพบว่าเหลียนอันสุ่ยไม่มีท่าทีจะหลบหนีไป
ในเสียงดาบเสียดหู  เหลียนอันสุ่ยพาดธนูขึ้นสายอย่างเงียบเชียบ
นิ้วมือมั่นคงถึงเพียงนั้น  สายตาจรดนิ่งแน่วแน่  เสียงธนูแหวกอากาศไม่ดัง  แต่สิ่งที่ตามหลังมันกลับเป็นความโกลาหล
ธนูดอกนั้นเสียบทะลุเส้นเลือดใหญ่ที่คออย่างแม่นยำ  แม่ทัพที่กำลังยกอาวุธสั่งการกำลังพลยกอาวุธค้างอยู่กลางอากาศ  ร่างพลิกร่วงลงมาจากหลังม้า
เสียงศัตรูอุทานอย่างแตกตื่น  พยายามเข้าไปประคอง แต่ถูกเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดอาบย้อมจนเป็นสีแดงฉาน  สายธารแห่งชีวิตสุดท้ายก็แห้งขอด  ทหารหนานเหมินระส่ำระสายหนัก  ได้ยินเสียงรองแม่ทัพพยายามคุมสถานการณ์  แต่ไม่อาจสู้เสียงดังสับสนที่เกิดขึ้นรอบข้างได้  สภาพเป็นระบบระเบียบถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง

ทว่าสภาพคับขันจวนเจียนของเหลียนอันสุ่ยกลับไม่ดีขึ้น  เมื่อรอบรถม้ามีศัตรูเข้ามาถึงมากเกินไป  หม่าหลงกับต้วนจินชักจะรับมือไม่หมดแล้ว  ทหารอีกสามคนพยายามเข้ามาช่วยเหลือ  แต่ก็ช่วยไม่ได้มากเท่าใด  ลูกธนูในกระบอกของเหลียนอันสุ่ยจึงถูกใช้อย่างต่อเนื่อง  แต่ละดอกแม่นยำไม่ผิดพลาด  สอดใต้เกราะ  เสียบทะลุจุดตาย  พยุงสถานการณ์จนไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาใกล้  บรรดาหมอที่นั่งอยู่ด้วยกันมองเหลียนอันสุ่ยฆ่าคนด้วยสีหน้าอ้าปากตาค้าง  กระถดร่างหนีไปอีกมุมรถ

สภาพเช่นนี้ดำเนินอยู่นานทีเดียว  จนในที่สุดก็มีเสียงร้องตะโกน
“ทัพม้าเป่ยชางยกมาช่วยแล้ว  พวกเราถอย” ทหารหนานเหมินส่งเสียงรับไม่เป็นศัพท์
สำหรับทหารเป่ยชาง  ไม่มียามใดที่เสียงกีบเท้าม้ากระทบกรวดหินฟังดูไพเราะถึงเพียงนี้  เพราะมันคือเสียงแห่งความหวัง  บางทีพวกเขา...อาจไม่ตาย
ตอนเหลียนอันสุ่ยได้ยินคำสั่งถอยถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  ยิงธนูดอกสุดท้ายออกไป  มองทัพม้าของหลิวฉางเฟยที่เข้ามาคุมสถานการณ์  ทัพม้าของแคว้นเป่ยชางไม่เคยสร้างความผิดหวังให้ผู้คนเลย  วางคันธนูลงกับพื้นรถ  เหลียนอันสุ่ยก้มมองมือของตัวเอง  มือที่จับคันธนูอย่างมั่นคงเมื่อครู่ตอนนี้สั่นสะท้านไม่หยุด  เขาไม่ได้ใช้มือคู่นี้ฆ่าคนมานานแค่ไหนแล้วนะ

ทุกวันเหลียนอันสุ่ยจะต้องเจียดเวลาหนึ่งชั่วยามมาฝึกยิงธนู  การยิงธนูเป็นศิลปะของชนชั้นสูง  แต่สำหรับเหลียนอันสุ่ยการยิงธนูทำให้จิตใจของเขาสงบและทำให้มือของเขามั่นคง  ทว่าตอนที่เลือกจะติดตามมากับกองทัพ  นอกจากหีบยาและห่อเข็ม  เหลียนอันสุ่ยกลับหยิบคันธนูของเขามาด้วย  ไม่คิดจะหลอกตัวเองว่าวันเวลาในค่ายทหารจะผ่านไปโดยราบรื่น  เขาได้ตกลงใจไว้แล้ว  ตกลงใจที่จะฆ่าคน...เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องรอดกลับไป  ข้าจะไม่เป็นภาระให้กับท่าน
---------------------
หลังหลิวฉางเฟยควบคุมทุกอย่างจนสงบเรียบร้อยก็มีคำสั่งให้เร่งเดินทาง  เพราะไม่แน่ว่าศัตรูจะย้อนกลับมาอีก
“แล้ว...คนบาดเจ็บเล่า” เหลียนอันสุ่ยถาม  สายตากวาดมองสภาพสมรภูมิที่มีคนเจ็บคนตายทอดร่างอยู่กับพื้น
“บาดเจ็บน้อยให้ทยอยตามมา  แต่บาดเจ็บหนักเอาไปด้วยไม่ไหว”
เหลียนอันสุ่ยมองทหารที่พยายามคุ้มกันรถม้าเมื่อครู่จนบาดเจ็บสาหัสตัดสินใจกล่าวว่า
“พยุงคนเจ็บขึ้นรถม้าข้า  ระหว่างทางข้าจะรักษาเขาเอง”
แต่หลิวฉางเฟยกลับห้ามปรามไว้
“ระยะทางอีกยาวไกล  การเอาคนเจ็บขนาดนี้ไปด้วยมีแต่ทำให้ล่าช้า  พื้นที่แถวนี้ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเขตศัตรูล่าช้าไม่ได้แม้แต่น้อย  อีกอย่างการให้คนบาดเจ็บพยายามเดินทางรังแต่เป็นการทรมานพวกเขา”
“แต่คนพวกนี้ล้วนมีโอกาสรอด...” หรือท่านจะทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่นี่รอให้ผู้อื่นมาเชือดเฉือน
มีเสียงแผดร้องดังขัดจังหวะ  ทหารที่ถูกสั่งให้ตรวจดูจำนวนคนที่บาดเจ็บล้มตายคนหนึ่งถูกศัตรูที่บาดเจ็บแต่ยังไม่สิ้นใจแทงดาบทะลุชายโครง  หลังแผ่พิษสงศัตรูคนนั้นก็ถูกคนที่เขาทำร้ายเชือดศีรษะหลุดจากบ่า
“พระมาตุลา  ในสนามรบแห่งนี้ไม่ว่าใครก็มีโอกาสรอดและโอกาสตายทั้งนั้น  ที่ข้าทำได้คือทำให้มีคนตายน้อยที่สุด  ดังนั้นเราต้องเดินทางเดี๋ยวนี้ ถ้าเสบียงไม่อาจไปถึงจุดหมาย  นอกจากจะต้องมีคนถูกฆ่าตายเพิ่มขึ้นแล้ว  ยังจะมีคนต้องอดตายด้วย”
“ทหารที่ถูกแทงคนนั้น  ท่านก็จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ ? ” เหลียนอันสุ่ยถามถึงเจ้าของเสียงแผดร้องเมื่อครู่
หลิวฉางเฟยผงกศีรษะ
“ถึงเขาจะบาดเจ็บเพราะทำงานให้ข้า  แต่ถ้าขึ้นม้าไม่ไหวก็ต้องทิ้งไว้ที่นี่  พระมาตุลา เชิญขึ้นรถเถอะ”
เหลียนอันสุ่ยก้าวขึ้นรถม้า  ม่านหน้าต่างเลิกขึ้นจนสุด  รถเคลื่อนไปข้างหน้า  สายตาของเหลียนอันสุ่ยกลับทอดมองไปยังบรรดาลมหายใจร่อแร่รวยรินที่ถูกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง  แม้ทราบดีว่าหลิวฉางเฟยพูดไม่ผิด  แต่ซากศพเหล่านี้เมื่อชั่วยามก่อนยังเป็นคนมีชีวิต  คนบาดเจ็บเหล่านี้มีมากกว่าครึ่งที่พอจะช่วยได้  แต่ตัวเขากลับทำได้เพียงหันหลังแล้วเดินจากมา  ช่างเป็นรสชาติที่สุดจะทนทานรับได้
ทว่าทุกคนที่ขี่ม้าอยู่รอบขบวนเสบียงล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย  สงครามทำให้คนกลายเป็นอมนุษย์  ป่าเถื่อนโหดร้ายถึงขีดสุด  อำมหิตเฉยเมยเย็นชา  ปกติเหลียนอันสุ่ยทุ่มเทเวลาไปกับการช่วยคนบาดเจ็บในค่ายทหารให้กลับมามีชีวิต  ย่อมไม่มีทางคุ้นชินกับการปล่อยให้คนล้มตายเป็นเบือ  ไม่มีทางคุ้นชิน  และไม่ปรารถนาจะคุ้นชิน

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงช้าๆ  หัวใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง  ทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะติดอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป  ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เหลียนอันสุ่ยเข้าใจฉีเซี่ยงหยวนยิ่งกว่าช่วงเวลานี้  มิน่าเล่าทุกครั้งที่ทำศึกท่านจึงบอกว่าตัวเองมีความดำมืดที่สกปรกน่าชิงชัง  คิดจะยืนหยัดท่ามกลางสงครามมีแต่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นอสูรร้าย  มีแต่อสูรร้ายที่สามารถฆ่าคนเป็นเบือกับมือแล้วจะไม่รู้สึกรู้สา
---------------------
ในที่สุดหลิวฉางเฟยก็สามารถอารักขาเสบียงขบวนเดียวที่เหลืออยู่ให้รอดพ้นจนถึงที่ตั้งมั่นของกองทัพเป่ยชาง  สีหน้าทหารทุกคนตอนที่เปิดประตูเมืองต้อนรับขบวนเสบียงเป็นความปีติยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ  เพราะนั่นหมายถึงว่าในช่วงเดือนนี้พวกเขาจะยังไม่อดตาย
ตอนนี้ทัพใหญ่ของแคว้นเป่ยชางยึดครองเมืองของแคว้นหนานเหมินที่อยู่ติดกับด่านเหวินถง  สภาพภายในเมืองถูกควบคุมเอาไว้ได้ทั้งหมด  เสบียงถูกขนถ่ายไปเก็บ  อาวุธถูกแจกจ่ายแทนที่หอกดาบซึ่งหักบิ่นไป  หมอในรถม้าทยอยกันเดินลงมา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกเหมือนมีใครมองมาจากกำแพงเมือง  เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนเพ่งมองลงมาจากที่สูง
ดวงตาสองคู่ประสานสบกัน
‘ท่านยังปลอดภัย’
หัวใจของฉีเซี่ยงหยวนเต้นช้าลง  คิดลงไปหาแต่เหลียนอันสุ่ยหลังยิ้มให้เขาคราหนึ่งก็หันหลังหมุนตัวจากไป
---------------------
ห่อสัมภาระของเหลียนอันสุ่ยได้หม่าหลงจัดการเอาไปเก็บ ตัวเหลียนอันสุ่ยเองมาถึงก็ตรงดิ่งไปยังเรือนพักที่จัดเป็นโรงหมอชั่วคราว  คนบาดเจ็บเดิมมากมายอยู่แล้ว  รวมคนเจ็บที่มากับขบวนเสบียงจึงดูละลานตาไปหมด  แม้คนบาดเจ็บที่สามารถติดตามมาจะจัดเป็นพวกอาการไม่หนักหนา  และทหารส่วนใหญ่ก็บาดเจ็บบ่อยจนมีความสามารถที่จะปฐมพยาบาลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง  แต่งานของหมอที่มีรวมๆกันแล้วประมาณสิบกว่าคนก็ยังยุ่งวุ่นวายจนไม่มีใครว่างมือ
ไม่มีเวลาสำหรับหยุดพัก  เพราะพญามัจจุราชดูเหมือนจะไม่เคยหยุดทำงาน  ข้าหวังว่าพวกเขาจะรอดกับบ้านได้มากขึ้น  หวังจากใจจริง...
“หักโหมเกินไปแล้วกระมัง  ไม่รู้จักพักบ้างเกรงว่าพรุ่งนี้คงทำงานไม่ไหว  กลายเป็นตัวไร้ประโยชน์  เพิ่งเดินทางมาถึงมิใช่หรือ” เสียงไม่เป็นมิตรเสียงหนึ่งดังขึ้น  พร้อมกับผ้าห้ามเลือดที่ถูกดึงไปจากมือ
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นหย่งเผิง คู่กรณีประจำโรงหมอที่ชมชอบเสียดสีเขาทุกสถานการณ์
หย่งเผิงยังหนุ่มแน่น  ครั้งนี้อาสามาช่วยรักษาในกองทัพเอง  ทว่าคิดไม่ถึงเชื้อพระวงศ์ที่เขาเห็นขัดหูขัดตามาตลอด  ก็ยังตามมาขวางหูขวางตาถึงที่นี่!
เหลียนอันสุ่ยกวาดสามตาไปทั่วๆจึงพบว่าทั้งหมอทั้งคนที่ระดมมาช่วยหมอส่วนใหญ่ต่างหายไปหมดแล้ว  ที่แท้เขากลับทำงานจนลืมไปรับประทานมื้อเย็น
“ไปได้แล้ว  คนของแคว้นข้า  ข้ารักษาเองได้” คราวนี้หย่งเผิงออกปากไล่อย่างชัดเจน
ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับยิ้มบางๆ  กล่าวว่า
“ขอบคุณ”
เห็นรอยยิ้มกับวาจาเช่นนี้  หย่งเผิงถึงกับเลือดลมติดขัดกะทันหัน  แทบยกนิ้วชี้หน้า กล่าวว่า ‘เจ้าแน่มาก’  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยรับมือคำด่าของเขาด้วยท่าทีราวกับได้รับคำชื่นชมอวยพร  ซึ่งนั่นทำให้หย่งเผิงมีโทสะจนแทบอัดอกตาย  แต่พาลระบายออกมาไม่ได้  หมอนี่ต้องจงใจ...ต้องจงใจอย่างแน่นอน  คงหวังให้เขากระอักเลือดออกมาซักวันหนึ่ง

ทว่าในสายตาของเหลียนอันสุ่ยกลับเห็นเป็นว่าหย่งเผิงกำลังพยายามญาติดีกับเขา  ในใจที่หมองเศร้ากับเรื่องที่เกิดเบาสบายขึ้นมาบ้าง  ถึงแม้สงครามจะตีแผ่ด้านที่โหดร้ายของมนุษย์  แต่ก็ตีแผ่ด้านที่ดีงามด้วย  ล้างมือในอ่างน้ำจนสะอาดหมดจด  เดินออกมาพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้า  ทว่ากลับมีผ้าผืนหนึ่งยื่นออกมาซับเหงื่อให้เขาก่อน
เมื่อหันไปมอง  เหลียนอันสุ่ยจึงเห็นฉีเซี่ยงหยวน

เป่ยชางอ๋องผู้นี้ไม่ทราบมายืนอยู่ตามทางเดินแถวนี้ตั้งแต่เมื่อใด
“ให้ข้าเชือดมันให้ท่านดีหรือไม่  ได้ยินว่าชอบขวางทางท่านมาตั้งแต่อยู่ที่โรงหมอ”
เหลียนอันสุ่ยฟังวาจาอีกฝ่ายแล้วอึ้งไปครู่  จากนั้นก็หัวเราะ  โบกมือ  กล่าวว่า
“ไม่ต้องหรอก  ข้าเจอคนวาจาดีงามแต่ในใจเลวร้ายมาเยอะ  นานๆครั้งจะเจอประเภทปากเลวร้ายแต่ในใจไม่เลวทรามกับเขาบ้าง”
“อ้อ  ในใจไม่เลวทราม  แล้วที่มันวางแผนสารพัดจะขับท่านออกจากโรงหมอนี่เรียกว่าอะไร” สีหน้าและวาจาของฉีเซี่ยงหยวนไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
“หย่งเผิงใจแคบไปบ้าง  ดูถูกคนต่างแคว้นมากไปหน่อย  แต่ข้ายังไม่เคยเจอใครอุทิศตัวทำงานให้โรงหมอมากเท่ากับเขา”
ขณะกล่าววาจามือของเหลียนอันสุ่ยก็ถูกคว้ากุมไว้
“ได้ยินว่าวันนี้ท่านเป็นคนฆ่าแม่ทัพของฝ่ายศัตรู...เป็นอะไรหรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางสั่นศีรษะ
ฉีเซี่ยงหยวนกวาดตามองสภาพของคนตรงหน้า  กล่าวว่า
“ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสี่ยงอันตราย  และไม่อยากให้ท่านต้องลำบากเลย  ให้ข้าส่งท่านกลับไปดีหรือไม่” เมื่อครู่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นแล้วว่างานในกองทัพที่เหลียนอันสุ่ยทำอยู่หนักแค่ไหน อีกอย่างเขาไม่อยากให้มือคู่นี้ต้องเปื้อนเลือดอีก
“ข้ายังไม่อยากกลับไป  ไม่ใช่ตอนนี้  ต้าอ๋อง  ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  ท่านอย่าลืมว่าข้าเป็นหมอต่อให้อยู่ในกำมือคนพวกนั้นพวกเขาก็จะไม่ฆ่าข้า” หมอประจำกองทัพมีคุณค่าเสมอในห้วงอเวจีเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจความจริงข้อนี้ดี  ในห้วงอันตรายจึงยังสามารถสงบเยือกเย็น
“ท่านเป็นหมอที่มีความสามารถฆ่าคน  พวกเขาไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่”
“เซี่ยงหยวน  หมอทุกคนล้วนสามารถฆ่าคน พวกเราแค่ไม่ทำเท่านั้น” ในเมื่อเรียนรู้ที่จะช่วยชีวิต  ย่อมทราบกระจ่างว่าวิธีใดสามารถคร่าชีวิต  เหลียนอันสุ่ยแจกแจงความจริงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ท่านอยากอยู่ที่นี่จริงหรือ  ที่นี่มีแต่การฆ่าฟัน  มีแต่ความตาย”

“ข้าอยากเห็นในสิ่งที่ท่านเห็น  อยากเข้าใจในสิ่งที่ท่านเป็น  หัวเราะกับท่าน  ลำบากกับท่าน  อยู่ร่วมกันในชั่วขณะที่เราสามารถอยู่ร่วมกัน แคว้นเหลียนเป็นแคว้นของข้า  ในเมื่อตอนนี้แคว้นเหลียนเป็นของแคว้นเป่ยชาง  มีทหารชาวเหลียนจำนวนไม่น้อยที่ติดตามมาที่นี่  หรือข้าไม่มีสิทธิ์ทำเพื่อแผ่นดินของข้า  คนรักของข้าเป็นเป่ยชางอ๋อง  หรือข้าไม่มีสิทธิ์อยู่เคียงข้างเขา  ทำเรื่องที่ข้าทำได้เพื่อช่วยเหลือเขา”
ข้าไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราเป็นแค่ความคิดถึงในวันที่ข้ายังสามารถอยู่เคียงข้างท่านได้

ฉีเซี่ยงหยวนเก็บคำขอร้องให้กลับไปไว้แค่ในใจเขา  ขณะก้าวช้าๆไปเคียงกัน  เรื่องที่จะส่งตัวเหลียนอันสุ่ยกลับแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนมิได้เพิ่งมาคิดแค่วันเดียว  ทว่าภาพที่เหลียนอันสุ่ยช่วยคนเจ็บเมื่อครู่กลับทำให้เขาพูดไม่ออก  ขณะที่เขาต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับเฮ่อสวิน  เหลียนอันสุ่ยก็กำลังต่อสู้ในสมรภูมิที่แตกต่างออกไป  สนามรบที่เขาไม่อาจก้าวก่าย  แต่กลับมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  แล้วตัวเขาอาศัยอะไรไปตัดสินใจแทนคนที่ตัดสินใจแน่วแน่มาตั้งแต่แรก

==========
กว่าพิมพ์เสร็จล่วงเข้าวันถัดไปพอดี  เอาเป็นว่ามาช้าแต่พิมพ์ด้วยใจ  รักนะฮะ :mew1:


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อบอวลไปด้วยความรักจริงๆ

ออฟไลน์ BBnuna

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 299
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ชอบสำนวนและอะไรหลายๆอย่างของเรื่องนี้มากค่ะ  :katai3: จากที่เมื่อก่อนเม้นไม่ทันคงได้เม้นบ่อยๆเพราะเรื่องนี้สตอกหมดแล้วสิน่ะค่ะ ฮือออ รู้สึกอยากอ่านนนนนนน :ling1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
มาตามอ่านจ้า

เป็นกำลังใจให้จ้า

ออฟไลน์ ~มือวางอันดับ1~

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
คิดถึงท่านปิตุลามากๆๆ :man1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Wereena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
    • facebook
สองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไร รู้สึกมีความรักอบอวลอยู่รอบตัว อั้ยยะ หวานท่ามกลางสงคราม นี่สินะ หน้าที่คนรักของต้าอ๋อง :กอด1:

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
คือมันดี ดีงามม
รักเหลียนๆมากขึ้นอีก ชอบวิธีคิด มุมมอง และการเข้าใจกันนึกถึงกันของสองคนนี้จริงๆ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
มาตามอ่านอยู่จ้า

ยังอ่านไม่ทัน

เรื่องสนุกมากๆ

สู้ๆนะคนแต่ง

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ยังอ่านไม่ทัน

ขอตัวไปนอนก่อนจ้า

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เหลียนๆทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยน ชอบทุกอย่างที่เขาคิดและทำไปซะหมดเลยจริงๆ
เปยซางอ๋องก็เด็จเดี่ยวมั่นคง เท่มากๆ และความรักของทั้งคู่ก็ยลึกซึ้งมากๆ

โอ๊ยยยย ลุ้นว่าเรื่องจะเดินไปทางไหน

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
โอย เรื่องนี้แน่นมาก เข้มข้นมาก คนแต่งสู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ชอบเรื่องนี้มาก กรี๊ดกร๊าด จิกหมอนตลอด 5555

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ตามทันจนได้  สนุกมากๆเลย อ่านแล้วละมุนละไมไปหมด สู้ๆค่ะคุณคนเขียน :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Jeyibee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบบบบมากกก  ลงตัวมากก เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ในที่สุดก็อ่านจนทันแล้วค่ะ เป็นสองวันครึ่งที่ทั้งรู้สึกอึดอัด เศร้าใจ อบอุ่น และก็ยิ้มแก้มจะแตก แถมยังเก็บไปฝันด้วยค่ะ 555
ปกติียไม่อ่านแนวจีนโบราณเพราะเรื่องธรรมเนียมประเพณีค่ะ คือรุ้ว่ามันต้องดราม่าน้ำตาร่วงแน่นอน โดยเฉพาะถ้าพระเอกนายเอกมีใครสักคนเป็นอ๋อง มันจะเป็นอะไรที่อภิมหาโศกมาก
แต่สำหรับเรื่องนี้ ต้องบอกว่าโชคดีที่ได้หลงเข้ามาเลยค่ะ คือชอบบทบรรยายแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ชอบพระเอกร้ายหน่อยๆ นายเอกเข้มแข็ง ไม่ชอบอะไรที่มันเศร้าหรืออึดอัด แต่ช่วงที่เรื่องกำลังเข้ม ดราม่าจ๋า เราก็หยุดอ่านไม่ได้ไปแล้ว อ่านแล้วอินมาก รู้สึกเจ็บไปกะพระนายมาก โดยเฉพาะตอนช่วงสองอาทิตย์ก่อนจะจากกัน คุณคนเขียนทำให้เรารุ้สึกว่า ยังไงก็ต้องบ๊าบบายกันแน่ๆ แต่พอสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยยอมอยุ่ เรานี่แทบจะกรี๊ดลุกมากระโดดโลดเต้นเลยค่ะ  แล้วพออ่านมาเรื่อยๆจนถึงช่วงปฏิรูป เราก็เลยรู้สึกได้ว่าโชคดีแล้วที่เหลียนอันสุ่ยไม่ไป ถึงแม้จะมีคำครหา ก็สามารถจับมือฝ่าฟันไปด้วยกันได้ มีทุกข์บ้าง แต่ช่วงเวลาที่ได้มีกันและกันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก สุขทั้งพระนาย สุขทั้งคนอ่าน คือคู่นี้มุ้งมิ้งไม่บ่อย แต่คนอ่านรู้สึกอบอุ่นกิ๊วก๊าวเอามือจิกหมอนด้วยความอิจฉาเนืองๆ 555

ขอบคุณมากเลยที่เอามาลงในนี้ ป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Wereena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
    • facebook
เข้ามาเจิมกด+ เปิดซิงที่เพิ่งกดได้ให้คนเขียนเรื่องนี้เลย บอกตง ข้าน้อยขอคาราวะ :pig4:

ออฟไลน์ beery25

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 808
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +130/-0
ชอบมากๆคนแต่งเก่งมากๆ อ่านแล้วได้แนวคิดหลายอย่างเลย ตามอ่านตั้งแต่ใน เด็กดี เป็นิีกเรื่องที่ตามอ่านมายาวนาน o13

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 69
«ตอบ #232 เมื่อ17-12-2014 18:56:19 »

บทที่ 69 ขาดเสบียง

ปัญหาเสบียงถูกปล้นชิงระหว่างการขนย้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  แม้มีการเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงเพื่อหลบเลี่ยงอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่ค่อยได้ผล  ราวกับทุกฝีก้าวย่ำอยู่ในสายตาของแคว้นหนานเหมิน
เสบียงเก่าร่อยหรอ  เสบียงใหม่ไม่มาเติม  ในที่สุดทัพหลักของแคว้นเป่ยชางก็ประสบกับปัญหาขาดแคลนเสบียงทัพ  เห็นได้ชัดว่าเฮ่อสวินคิดอาศัยวิธีนี้กดดันให้เป่ยชางอ๋องต้องถอนทัพกลับไป 

การขอเสบียงจุนเจือจากทัพหยงเซี่ยงเป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำ เพราะทัพหยงเซี่ยเองก็ต้องเลี้ยงทหารเรือนหมื่น  และไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าระหว่างการขนย้ายจะไม่ถูกปล้นชิงไปอีก
ทุกๆที่ที่ก้าวผ่านในแคว้นหนานเหมินล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามอย่างแท้จริง  สายในกองทัพต่อให้ขุดรากถอนโคนทิ้งไปได้  แต่ยังคงมีชาวบ้านตามรายทางมากมายที่ยินดีเป็นหูตาส่งข่าวถึงเฮ่อสวิน  ระบบส่งข่าวอันยอดเยี่ยมที่เกิดจากการชำนาญพื้นที่  ความภาคภูมิทุ่มเทอย่างลึกซึ้งที่ชาวหนานเหมินมอบให้แผ่นดินเกิด  ทำให้แม้เป็นชาวบ้านธรรมดาก็ยังมีพิษสงก่อกวนจนฉีเซี่ยงหยวนปวดหัวได้
แคว้นเช่นนี้ตีแตกยากเย็น  คิดปกครองยากเย็นยิ่งกว่า  บารมีของหนานเหมินอ๋องนับว่าหลอมสร้างแคว้นหนานเหมินจนเป็นปึกแผ่นน่าดูชม  คิดกลืนกินแคว้นหนานเหมินในตอนนี้ถือเป็นความเพ้อฝันขนานใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนทราบแล้วว่ามันยังไม่ถึงเวลา  ความมุ่งหมายหลักในตอนนี้คือกดดันให้หนานเหมินอ๋องยอมวางมือจากแคว้นโหยวเฉิง ถอยทัพกลับมา เพียงแต่แม้คิดช่วยผู้อื่นหากตัวเองยังจะยากจะเอาตัวรอดได้
ถ้าทุกอย่างยังดำเนินไปเช่นนี้พวกเขามีสิทธิ์จะอดตายทั้งกองทัพ !
---------------------
ห้องกว้างเปิดหน้าต่างบางส่วนให้อากาศถ่ายเท และให้แสงอาทิตย์ยามกลางวันลอดเข้ามา  มีเหล่าหมอในกองทัพทำงานกันอย่างขะมักเขม้น  ทุกครั้งที่เปิดศึกจะมีคนไข้ใหม่เข้ามา  ส่วนคนไข้เก่าก็ยังไม่หายดีค้างคาอยู่เต็มโรงหมอชั่วคราวแห่งนี้  เสียงพูดคุยจอแจ  ช่วงสองสามวันนี้คนไข้ใหม่ยังไม่มี  มีแต่คนไข้เก่าที่นอนพักฟื้นข้างกันมาสามสี่วันจนก่อเป็นความรู้จักมักคุ้น

เหลียนอันสุ่ยเดินดูร่องรอยการบาดเจ็บของทหารที่ได้รับแผลเหวอะหวะขนาดใหญ่  เพื่อตรวจดูว่ามีแผลเน่าหรือไม่ เมื่อพบว่าไม่มีก็พันกลับคืน  แต่หากพบว่ามีก็จำเป็นต้องล้างทำความสะอาด  นาบด้วยความร้อน  หรือคิดถึงการตัดขาทิ้ง  เสียงพูดคุยจากทหารบาดเจ็บนอนบนเสื่ออยู่ไม่ไกลดังมาให้ได้ยิน  ปกติเหลียนอันสุ่ยจะชมชอบฟังพวกเขาคุยกันเรื่องสถานการณ์ในกองทัพ  เพราะมันจะทำให้เขาทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร  ทว่าวันนี้สิ่งที่ได้ยินดูเหมือนจะมิใช่เรื่องธรรมดา

“จริงรึเปล่าที่ว่าทัพเราตกอยู่ในช่วงขาดแคลนเสบียง ? ”
“นี่เจ้าเสียงเบาๆหน่อย  ทราบหรือไม่ว่าปัญหาแบบนี้ห้ามพูดเพราะมันทำลายขวัญกำลังใจ”
“หา  อย่างนี้แสดงว่าเราจะอดตายกันจริงๆใช่หรือไม่  เรื่องเสบียงฝ่ายเราถูกปล้นชิงเป็นความจริงสินะ” เสียงอุทานดังไปหน่อย  คนรอบข้างจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจ  แม่ทัพที่สูญเสียขาไปข้างหนึ่งกวาดสายตาคมกริบมาด้านนี้  ทำให้คู่สนทนาหุบปากฉับ  หันหน้าไปคนละทาง  ทำราวเมื่อครู่มิได้เอ่ยสิ่งใด
“...ท่านหมอ ท่านหมอ  จะให้ข้าน้อยพลิกตัวเขาหรือไม่ ท่านี้ดูแผลลำบาก”
เหลียนอันสุ่ยดึงสติกลับมาเนื่องจากได้ยินเสียงเรียกดังกล่าว  พยักหน้าให้กับทหารที่อาสามาช่วยงานโรงหมอออกแรงพลิกตัวทหารที่บาดเจ็บไม่ได้สติ
เหลียนอันสุ่ยทำหน้าที่ในส่วนของเขาจนเสร็จ  ล้างมือให้สะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย  ก่อนจะเดินออกไปตักน้ำมาดื่ม  แต่ละวันเขาจะมีเวลาว่างเป็นช่วงดื่มน้ำสั้นๆที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ตัวเองคิดถึงเรื่องของฉีเซี่ยงหยวน

หลายวันมานี้ข่าวทำนองขาดแคลนเสบียงถูกพูดถึงบ่อยเหลือเกิน  ที่แท้แล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่

ปลายหางตาของเหลียนอันสุ่ยเหลือบเห็นเงาร่างคุ้นๆ  เดินไปที่เตียงของแม่ทัพที่เสียขาผู้นั้น  กลับเป็นเถี่ยเจิ้ง นายทัพจากแคว้นเหลียนที่เหลียนอันสุ่ยเคยสนับสนุนต่อฉีเซี่ยงหยวน  ...เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาจะได้รับทราบสถานการณ์ที่แท้จริงจากคนผู้นี้



“ที่แท้เถี่ยเจิ้งเป็นพวกใช้ไม่ได้  ความลับทางทหารที่สำคัญเขากลับเอามาเปิดเผยต่อท่านง่ายๆ” คำพูดนี้ดังขึ้นเมื่อเหลียนอันสุ่ยเดินผ่านปลายเตียงของแม่ทัพแซ่กู่ผู้สูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยชะงัก  ดูเหมือนการสนทนาที่เขาเข้าใจว่ามิดชิดดีแล้วยังคงมีคนบังเอิญเห็น  ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวต่อว่า
“ข้าน่ะ  อย่างอื่นก็ปกติธรรมดา  มีเพียงหูคู่นี้ที่ดีเป็นพิเศษ  ข้าสังเกตมานานแล้วว่าท่านดูเหมือนจะอยากทราบความเป็นไปของกองทัพเราเหลือเกิน  นับว่าเป็นหมอที่ใส่ใจสถานการณ์บ้านเมืองจนน่าชื่นชม”

“...ท่านสงสัยว่าข้าเป็นไส้ศึก ? ” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ  มองชายไว้เคราที่ยังดูหนุ่มฉกรรจ์ตรงหน้า
“ข้าอยากฟังว่าท่านมีข้อแก้ตัวอะไร” ยกสองมือขึ้นกอดอก  เพ่งมองกลับนิ่งๆ
“แม่ทัพกู่” เสียงแทรกกะทันหันดังมาพร้อมกับการประสานมือคารวะของหม่าหลง  ส่วนต้วนจินที่เดินตามมาด้วยหันไปถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“พระมาตุลา  มื้อเที่ยงข้าน้อยยกมาให้ท่านแล้ว  จะได้ไม่ต้องไปแย่งชิงกับผู้อื่น”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางกล่าว
“ขอบคุณ” ทราบว่าต้วนจินเห็นว่าเขามักไปแย่งชิงไม่ทันเพราะมัวแต่ทำงานไม่ค่อยสนใจเวลาอาหารจึงตักมาให้ก่อน
“ท่านคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน ? ” ชายไว้เคราบนเตียงถามขึ้นกะทันหัน
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า
“ความจริงท่านเรียกข้าเป็นท่านหมอแบบคนอื่นๆในโรงหมอก็ได้” กล่าวพลางทำท่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ปลายเตียง  ทว่าผู้ป่วยเจ้าของเตียงกลับเอ่ยปากห้าม
“ถ้าท่านเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็อย่านั่ง  เก้าอี้ปลายเตียงข้ารับรองเชื้อพระวงศ์ระดับนี้ไม่ไหวจริงๆ  และตัวข้าเองก็ป่วยเกินกว่าจะรับมือพายุหึงของใครได้”
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไป ส่วนหม่าหลงกับต้วนจินหันไปหัวเราะให้แก่กัน  เหลียนอันสุ่ยมองสายตาที่เพ่งพิจารณาเขาอย่างละเอียด  พลันทราบว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร  ใบหน้าจึงแดงซ่านขึ้นเล็กน้อย
“ข้าก็ว่าทำไมไม่เห็นพวกเจ้าอยู่ใกล้ๆต้าอ๋อง  ที่แท้มาทำงานเฝ้า ‘ของ’ อยู่แถวนี้เอง” ปกติเหลียนอันสุ่ยไม่ค่อยชอบความรู้สึกถูกเฝ้า  หม่าหลงกับต้วนจินจึงมักเฝ้าประจำการอยู่นอกโรงหมอแทน
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แม่ทัพกู่จึงเลิกซักไซ้เหลียนอันสุ่ยไป  ทว่าคนที่ยังมีเรื่องจะถามกลับเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียน
---------------------
ลมยามเย็นพัดอย่างหงอยเหงา  บุรุษที่ทุกผู้คนเรียกติดปากเป็นว่าแม่ทัพกู่ใช้ไม้ค้ำพาตัวเองมาถึงนอกโรงหมอ  ได้ยินเสียงสงบนุ่มนวลเสียงหนึ่งถามขึ้นว่า
“สถานการณ์เรื่องเสบียงหนักหนาสาหัสเช่นที่พวกเขาพูดกันจริงหรือ” เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากถามเพราะทราบว่าคนตรงหน้าเขาไม่แน่ว่าทราบเรื่องราวละเอียดกว่าเถี่ยเจิ้งอีก  แม่ทัพกู่เป็นผู้บังคับบัญชาของเถี่ยเจิ้ง  ตอนที่เขาถูกฟันจนขาเป็นแผลเหวอะหวะคนที่พยุงเขาเข้ามาคือฝงเป่า  และเป็นแม่ทัพที่ทำให้เป่ยชางอ๋องมาเยี่ยมไข้ด้วยตัวเอง  ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ตื้นเขินอย่างเด็ดขาด  และข่าวสารที่เขาทราบก็ต้องไม่ตื้นเขินอย่างแน่นอน

คนถูกถามเพ่งมองเหลียนอันสุ่ยอยู่ครู่หนึ่งก็ยินยอมอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้ฟัง  เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วใจหายวูบ  ทุกอย่างดูเหมือนจะคับขันกว่าที่เขาคิดเสียแล้ว
“ตอนอยู่ที่แคว้นเหลียนข้าเคยมีบุญคุณต่อเถี่ยเจิ้ง  เขาปฏิเสธไม่บอกข้าไม่ได้  ขอท่านอย่าถือสาเขา  ที่ข้าถามเขาเป็นเพราะข้า...เอ่อ...ข้า...”
ชายไว้เครามองสีหน้าคู่สนทนาแล้วหัวเราะ
“ท่านเป็นห่วงคนรักของท่านเป็นเรื่องที่เข้าใจได้  อีกอย่างข้าไหนเลยสามารถถือสาหาความเถี่ยเจิ้ง  ตอนนี้ข้าเป็นแบบนี้...งานในกองทัพได้แต่อาศัยเขารับช่วงต่อ” ก้มหน้ามองขาที่ถูกตัดทิ้งของตัวเอง  แค่นหัวเราะเบาๆ
ในเสียงหัวเราะนี้แฝงความเจ็บปวดไม่ยินยอมพร้อมใจ ทั้งๆที่บุรุษตรงหน้ายังหนุ่มแน่น  แต่อนาคตทางการทหารของเขาถูกพรากไปพร้อมกับขาข้างนี้แล้ว
ในความเจ็บปวดของบุรุษตรงหน้าเหลียนอันสุ่ยกลับมองเห็นความเจ็บปวดของฉีเซี่ยงหยวน  บัญชาครั้งนี้ของเขากลับทำลายอนาคตของสหายร่วมเป็นร่วมตายผู้นี้ตลอดกาล
ผู้ที่เข้าใจสงครามอย่างลึกซึ้งไม่มีผู้ใดปรารถนาจะก่อสงคราม  ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับสงครามมาเป็นเวลานาน  ไม่มีทางไม่ทราบรสชาติของความสูญเสีย  ทว่าสงครามครั้งนี้กลับไม่ก่อไม่ได้  หากปล่อยให้หนานเหมินอ๋องยึดแคว้นโหยวเฉิงไปตามใจชอบ  หลังจากนี้แคว้นเป่ยชางได้แต่นับเวลาถอยหลังรอคอยถูกกลืนกินสถานเดียว 

นับตามจำนวนคนแคว้นหนานเหมินใหญ่กว่าแคว้นเป่ยชางอยู่แล้ว  นับความเจริญแคว้นหนานเหมินก็เหนือล้ำกว่าแคว้นเป่ยชางมากนัก  นับเรื่องความเป็นปึกแผ่นแคว้นหนานเหมินแม้ด้อยกว่าแคว้นเป่ยชางแต่ในด้านอำนาจบารมีกลับเหนือกว่ามานานปี  หากฉีเซี่ยงหยวเคลื่อนทัพช้ากว่านี้นั่นคือความไม่ตระหนักรู้ตัว

การตัดสินใจของเป่ยชางอ๋องกอบกุมชะตาของแว่นแคว้นเอาไว้  ลิขิตชะตากรรมของผู้คนนับหมื่น  ผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด  แรงกดดันนี้ชวนให้ผู้คนเหนื่อยล้านัก  ที่น่าเจ็บปวดคือไม่ว่าจะตัดสินใจผิดพลาดหรือไม่สุดท้ายก็ต้องมีผู้สูญเสีย  และการสูญเสียบางประการแม้ยังมีชีวิต  แต่นั่นเป็นยิ่งกว่าการฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

เหลียนอันสุ่ยหาที่นั่งทรุดตัวลงช้าๆ
“ข้าจะไม่บอกว่ามันง่ายดาย  เพราะข้าไม่ได้ยืนอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับท่าน  แต่ข้าเคยเห็นคนไข้ขาพิการมากมาย  พวกเขาแม้สูญเสียความฝัน  แต่ก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณค่า  เพราะฝันในชีวิตคนเราไหนเลยจำกัดว่ามีได้เพียงหนึ่งเดียว  และข้าก็เคยเห็นคนที่พยายามจะทำตามความฝันนั้นต่อไปแม้จะต้องพยายามด้วยความยากลำบาก  สุดท้ายเขาก็สามารถทำตามความฝันนั้นของเขาได้จริงๆ  ท่านจะเหลือเชื่อถ้าท่านได้รู้ว่าคนพิการทำอะไรได้บ้าง  คนบางคนเกิดมาไม่มีแขนมีขา  แต่กลับสามารถลุกขึ้นยืนได้  ตีลังกาได้”
คนฟังส่งเสียงเหอะในลำคออย่างขมจัด พึมพำว่า
“บางทีพิการแต่กำเนิดอาจจะยังดีกว่า  อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องลิ้มรสของการได้มาแล้วสูญเสียไป” ซึ่งมันเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“จะไปดีกว่าได้อย่างไร  เพราะอย่างน้อยท่านก็ยังเคยได้มา  แต่ตั้งแต่เกิดมาเขากลับไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของการเป็นคนปกติ  ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนพิการ” เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  ระงับความรู้สึกหดหู่ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา  เหม่อมองออกไปไกลแสนไกลขณะพึมพำว่า “มีคนมากมายถูกกลบฝังอยู่ข้างนอกนั่น  อย่างน้อยท่านก็สมควรดีใจที่ท่านยังมีโอกาสได้กลับบ้าน  ในขณะที่พวกเขาไม่อาจมีแล้วชั่วนิรันดร์”
“...อย่างนั้นหรือ”
ตะวันของวันนี้ค่อยๆลับขอบฟ้าอย่างแช่มช้า 

เหลียนอันสุ่ยหวังว่าคำพูดของเขาจะพอช่วยอะไรได้บ้าง  ...ไม่ต้องให้คนผู้หนึ่งสิ้นหวังไปมากกว่านี้  ...และไม่ต้องให้คนอีกผู้หนึ่งรู้สึกผิดไปมากกว่านี้  อำนาจตัดสินเป็นตายของผู้อื่นหนักหนาเสมอ  วันที่เหลียนอันสุ่ยเกลียดที่สุดคือวันที่มีการปะทะกันในสมรภูมิ  เพราะในวันนั้นคนเจ็บจะมีมากมายเกินไป  ท่านเพียงสามารถเลือกช่วยได้แต่คนที่มีโอกาสรอดมากกว่า
 
การ ‘เลือก’ บางครั้งเจ็บปวดเหลือเกิน เพราะท่านรู้ดีว่าเมื่อท่านเลือกแล้วคนที่ไม่ถูกเลือกจะไม่มีโอกาสรอดอย่างเด็ดขาด

บางทีฉีเซี่ยงหยวนคงกำลัง ‘เลือก’ อยู่เช่นกัน  เลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป  ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าทางเลือกนั้นผิดพลาด  ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าทางออกนั้นไม่มีอยู่  ผู้รับผิดชอบคือชาวเป่ยชางทั้งแคว้น!

เหลียนอันสุ่ยเดินกลับเข้าไปในโรงหมอ  เริ่มต้นลงมือทำงานของเขา  แม้ใจเป็นห่วงเป็นอย่างมากแต่กลับทราบดีว่าหน้าที่ช่วยเหลือฉีเซี่ยงหยวนในการรบมิใช่ของเขา  การศึกมิใช่เรื่องของคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการนำทัพ แต่เป็นศาสตร์ที่มีรายละเอียดลึกล้ำกว้างขวางของมันเอง  เวลาที่เคยศึกษาส่งผลต่อความชำนาญ  หมอมีประสบการณ์ดูสีหน้าคนไข้ก็เดาอาการของโรคได้  แม่ทัพมีประสบการณ์ดูรอยฝุ่นทรายก็ทราบว่าทัพที่ยกมาเป็นทหารราบ  ทหารม้า  หรือรถศึก

ในมือฉีเซี่ยงหยวนมีคนมีความสามารถมากพออยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเขาเข้าไปอีกคนหนึ่ง  งานของเขาอยู่ที่นี่ต่างหาก  ส่วนหัวใจของเขา...อยู่กับอีกฝ่ายตลอดกาล
---------------------
เวลาใกล้พลบเป็นช่วงเวลารับแจกอาหาร  เหล่าทหารเดินเรียงแถวยื่นชามรับข้าวต้มที่ตักจากหม้อใหญ่ด้วยสีหน้ากังวลใจ  ข้าวต้มนับวันจะใสขึ้นทุกที  ใช้ช้อนควานจนทั่วชามช้อนได้เม็ดข้าวไม่กี่เม็ด

ข้างกระโจมใหญ่ นายกองสองคนที่เพิ่งเข้าไปประชุมรับมอบคำสั่ง  กำลังกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก  แม้ทางกองทัพจะพยายามหามันและผักที่ขึ้นในรัศมีรอบตัวเมืองมาชดเชยก็ยังไม่อาจทดแทนได้เพียงพอ  ทัพใหญ่ที่มีทหารหลายหมื่นอาหารการกินแต่ละมื้อสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
“ท่านว่าพวกเราต้องกินแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“จนกว่าเสบียงรอบต่อไปจะมา”

“หวังว่าเสบียงรอบนี้จะไม่ถูกปล้นอีก” คู่สนทนาพึมพำ  แต่พวกเขาทั้งสองต่างทราบดีว่านี่เป็นเรื่องยาก  รถเสบียงอุ้ยอ้ายเทอะทะเดินทางได้ช้าเป็นเป้าที่จู่โจมง่าย  ต่อให้ศัตรูไม่มีความสามารถเอาชนะทหารที่คุ้มกันเสบียงก็ยังคงมีความสามารถเผาเสบียงทิ้ง  พวกเขาต้องทนฟังข่าวอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องถูกเผาไปคันรถแล้วคันรถเล่าด้วยสีหน้าเจ็บแค้น

อีกคนฟังคำสหายร่วมรบแล้วถอนหายใจ  กล่าวว่า
“กลัวแต่ว่ากินเช่นนี้ทุกวัน  ทหารจะเอาแรงที่ไหนไปรบกับข้าศึก”
“ข้าว่าสวรรค์คงแก้เผ็ดที่อยู่ที่บ้านข้าชอบกินทิ้งกินขว้างเลยต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“บ้าน...เหอะ  พูดถึงบ้านแล้วพวกเราจะได้กลับไปรึเปล่าก็ยังไม่รู้” น้ำเสียงมีแววหวนคิดถึง
“ท่านมิใช่บอกว่าเมียที่บ้านตั้งแต่คลอดลูกก็ขี้หึงหวงจนน่ารำคาญมากหรือไร  ไฉนตอนนี้กลับมาทำสีหน้าเช่นนี้เล่า” คู่สนทนาสงสัย  เลยถูกผู้มากวัยกว่าตบกะโหลกไปหนึ่งที
“เจ้าเด็กนี่ชักจะลามปาม  ...แต่จะว่าไปนางบ่นอยู่ทุกวัน  หูชาอยู่ทุกวัน  ตอนนี้ไม่ได้ยิน...รู้สึกไม่คุ้นชินยังไงไม่รู้แฮะ”
“นั่นแน่  ที่แท้ท่านก็...โอ๊ย” ถูกถีบไปเต็มๆหนึ่งเท้าจึงจำต้องหยุดปากกะทันหัน
“ข้าคิดถึงบ้านโว้ย  มีใครไม่คิดถึงบ้านบ้าง”

คำโวยวายที่ดังลอดเข้ามาในกระโจมทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงัน
...มีใครไม่คิดถึงบ้านบ้าง...
มือใหญ่กำแน่น  เขาควรตัดสินใจอย่างไรดี  เมื่อครู่มีข่าวสอบถามมาว่าจะให้เปลี่ยนเส้นทางการลำเลียงเสบียงอีกหรือไม่  และถ้าเป็นจะให้เปลี่ยนเป็นเส้นทางไหน  ตัวควรจะเลือกเส้นทางใดจึงจะไม่ลงเอยเช่นเดียวกับสองครั้งที่แล้ว  วินาทีนั้นฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าตัวเขาจะสามารถรู้อนาคตล่วงหน้า  หากรู้ว่าแต่ละทางเลือกจะให้ผลเช่นไร  คงไม่จำเป็นต้องมานั่งลังเลตัดสินใจไม่ถูกอยู่เช่นนี้
รสชาติอาหารวันนี้ทำให้เขานึกถึงประสบการณ์ที่ไกลแสนไกล  ประสบการณ์ที่เกือบจะอดตายตอนยกทัพไปปราบแดนเหนือ 

ความหวาดประหวั่นต่อความตาย 
การพยายามกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะกระเสือกกระสน
...ไร้เรี่ยวแรงจะเอาชนะความหิวโหยที่เกิดขึ้น

หลังจากครั้งนั้นฉีเซี่ยงหยวนบังคับให้ตัวเขารับประทานเช่นเดียวกับเหล่าทหาร ลิ้มรสชาติเช่นเดียวกับกองทัพของเขา  นี่มิใช่การสร้างภาพเพื่อให้เกิดความยอมรับนับถือ  แต่เป็นการให้ตัวเองรู้จักมองจากมุมของทหารเหล่านั้น  ความรู้สึกที่ได้จากข้าวแต่ละคำบอกอะไรมากมายและหนึ่งในนั้นคือความจริงในหัวใจที่ไม่มีใครสามารถตีแผ่ออกมาได้หมด

ข้าววันนี้ไม่อร่อยเลย  จางอย่างยิ่ง  และยากจะอยู่ท้อง

มีข้อเสนอเรื่องหนทางแก้ไขมามากมายหลายอย่าง  แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือถอยทัพแคว้นหนานเหมินเพียงต้องการให้พวกถอยทัพดังนั้นสมควรไม่ตามตอแย  แต่ถ้าหากถอยทัพกลับการยกทัพมาครั้งนี้จะเป็นการสูญเสียโดยสูญเปล่า แต่หากยืนหยัดต่อไปปัญหาเสบียงสมควรแก้ด้วยวิธีใดจึงจะเหมาะสม
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าที่เขายังลังเลตัดสินใจไม่ได้เป็นเพราะถูกความหวาดหวั่นครั้งเก่าก่อกวนจนไม่อาจสงบใจครุ่นคิด  ทางที่เขาหาได้ดูเหมือนจะยังมิใช่ทางแก้ที่ดีที่สุด 

กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
 
กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการส่งเหล่าคนที่เชื่อมั่นต่อเขาไปตายโดยไร้ค่า

เขาจะต้องหาทางเลือกที่ดีกว่านี้  เพียงแต่เมื่อคิดถึงปัจจัยที่ต้องคำนึงกลับรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเหม่อมองแผนที่ที่ระบุชัยภูมิต่างๆ  ในห้วงเหม่อลอยนั้นมีประโยคหนึ่งแทรกเข้ามา

‘หลายสิ่งหลายอย่างที่ยากเย็นท่านล้วนผ่านมันมาได้  ครั้งนี้ท่านย่อมต้องผ่านมันไปได้แน่นอน  ไม่มีทางตนสำหรับผู้ที่คิดหาหนทาง  ข้าไม่กลัวสิ่งอื่นใดเพียงกลัวท่านท้อแท้’ คำเหล่านี้เหลียนอันสุ่ยเคยกล่าวตอนที่เขานั่งปวดหัวกับราชกิจ
ใช่แล้ว  ครั้งที่แล้วเขาผ่านมันมาได้  ครั้งนี้เขาโตขึ้นมากมายย่อมต้องผ่านมันไปได้เช่นกัน  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนฉายประกายคมกล้า
อันที่จริงแล้วศัตรูของความสำเร็จมิใช่ความล้มเหลว  แต่คือความท้อแท้
---------------------
หลังประสบปัญหาขาดเสบียงอย่างหนัก  ในที่สุดกองทัพแคว้นเป่ยชางก็ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการบุกยึดเมืองที่เก็บเสบียงของแคว้นหนานเหมิน  ใช้เสบียงศัตรูจุนเจือกองทัพ!
นักรบแคว้นเป่ยชางทรหดอดทนที่สุดในหล้า ทัพม้าแคว้นเป่ยชางรวดเร็วยิ่งกว่าสายลม  ในขณะที่เฮ่อสวินเข้าใจว่าทหารเป่ยชางกำลังอดเสบียงจนกระปลกประเปลี้ยเมืองที่ยุ้งฉางใหญ่สามเมืองกลับถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว  ความจริงประจักษ์ชัด ต่อให้ระบบส่งข่าวของแคว้นหนานเหมินยอดเยี่ยมกว่านี้แต่หากไม่มีสายภายในก็ไม่มีปัญญาคาดการณ์การบุกตีของกองทัพม้าแคว้นเป่ยชางได้ทัน

ฉีเซี่ยงหยวนให้ทหารม้าใช้เกราะเบาทั้งหมด  พันธ์ม้าของแคว้นเป่ยชางปราดเปรียวจนเลื่องลือ  อาศัยความคาดไม่ถึงของศัตรูเป็นหลักกุมชัย
หลังแก้ปัญหาเรื่องขาดแคลนเสบียงได้ทัพเป่ยชางก็บุกตีติดต่อกัน  ยึดเอาเมืองไปได้หลายเมือง เฮ่อสวินแม้มีความสามารถตั้งรับได้ยอดเยี่ยม  แต่เฮ่อสวินมีเพียงคนเดียว  หัวเมืองของแคว้นหนานเหมินกลับมีมากเกินไป  ระวังป้องกันอย่างไรก็ยังคงระวังป้องกันได้ไม่หมด  อย่าว่าแต่ยังมีหยงเซี่ย  เฮ่อสวินตรึงฉีเซี่ยงหยวนไว้ได้  หยงเซี่ยก็เคลื่อนไหว  พอเฮ่อสวินหันไปจัดการหยงเซี่ย  ฉีเซี่ยงหยวนก็เคลื่อนไหว 
แม่ทัพใหญ่ของแคว้นหนานเหมินผู้นี้อาศัยการยินยอมปล่อยเมืองเล็กเมืองน้อยคุ้มกันเฉพาะเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเอาไว้  และอาศัยการทราบชัยภูมิเส้นทางหลบหลีกมากกว่า  พยุงสถานการณ์เอาไว้อย่างลำบากกินแรงยิ่ง 
เรียกได้ว่าหากแคว้นหนานเหมินไม่มีเฮ่อสวินคิดหาหนทางกัดฟังยันไว้  สภาพจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่านี้มากนัก

รุกไล่หาช่องทางที่ศัตรูเปราะบางบุกทะลวงเข้ามาโดยตลอด  ในที่สุดทัพเป่ยชางก็เจอเข้ากับปราการแข็งของเมืองหน้าด่านที่ระยะทิ้งห่างกับเมืองอื่นพอสมควร  ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจสั่งให้ตั้งค่าย  ส่วนหยงเซี่ยหยุดทัพไว้ในเมืองที่ห่างออกไป  รอคอยหนุนเสริมและตรึงให้บรรดาเมืองที่ยึดมาได้ไม่กล้าลุกฮือต่อต้าน

ในที่สุดจากสถานการณ์เสียเปรียบ  แคว้นเป่ยชางก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง


=========
เขียนตอนนี้จบแล้วรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่รักที่แปลกดี 
พวกเขาสามารถอยู่เคียงข้างกันโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน 
เหมือนกับที่คนอ่านอยู่เคียงข้างคนเขียนตลอดมา  ฮิ้วววว  :-[

เห็นตั้งใจคอมเมนท์กันมากมาย  ปลื้มปริ่ม ตอนต่อไปจะพยายามปั่นมาให้ในเร็วๆนี้ :katai4:


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีใจที่ผ่านวิกฤตเสบียงขาดแคลนไปได้
แต่ตอนนี้อยากได้ฉากหวานๆ แล้วอ่ะ ฮ่าๆ

ลาวาเนียน

  • บุคคลทั่วไป
 FC เหลียนอันสุ่ย :กอด1:

แต่งดีมากๆ เลยครับ  o13

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
แค่รู้ว่ายังมีกันอยู่ก็พอ ฮิ้ววววววว ไม่เจอหน้าแต่มีใจลอย แอบคิดถึงกันบ่อยๆ
คิดถึงตอนหวานๆ แต่ตอนเครียดงี้เราก็ชอบนะ  :hao7:

 :กอด1: คนเขียน


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 70
«ตอบ #236 เมื่อ21-12-2014 15:54:15 »

บทที่ 70 ผู้บุกรุก

จันทร์เต็มดวงเคลียเคล้ายอดเมฆ  เปล่งรัศมีนุ่มนวลเยือกเย็นแตะจุมพิตยอดไม้

หมู่กระโจมนับร้อยนับพันเบื้องหน้ามองดูคล้ายภาพผืนใหญ่ที่ซ้อนทับสลับกันกินอาณาเขตออกไปไม่สิ้นสุด  กระถางไฟใส่ถ่านคุแดงไม่เคยมอดดับตลอดทั้งคืน  ดุจหยาดเหงื่ออันระอุอุ่นของผู้ภักดี  ดุจหัวใจอันแกร่งกร้าวไม่ผันแปรของทหารหาญที่เสียสละเพื่อแผ่นดินเกิด

เหลียนอันสุ่ยเพิ่งออกไปอาบน้ำมา  ตลอดรายทางเดินกลับกระโจมกวาดมองบรรยากาศอันพิเศษเฉพาะรอบตัว  จะไม่พิเศษได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของทหารทุกคนที่เต้นอยู่ที่นี่ล้วนถูกตีขึ้นมาจากเหล็กกล้า  ผู้อื่นบอกว่าชาวเป่ยชางเป็นนักรบที่โหดเหี้ยม  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับมีความรู้สึกว่าคำว่าโหดเหี้ยมนี้บรรยายได้ไม่ครอบคลุมเอาเสียเลย  เพราะมันไม่อาจบรรยายถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่  การกัดฟันช่วยจับพยุงกันในวันที่ยากลำบากที่สุด  การติดตามมาในค่ายทหารครั้งนี้เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาได้อะไรหลายอย่าง  เข้าใจในสิ่งที่แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจ  เห็นในสิ่งที่แต่ก่อนไม่เคยนึกวาดภาพออก

นับถือในน้ำใจ  นับถือในฝีมือ  นับถือในความเชื่อมั่นไม่คลอนแคลน

ผู้คนบอกว่ากระดูกของชาวเป่ยชางสกัดมาจากหินผา  ข้อนี้เหลียนอันสุ่ยเห็นพ้องมากทีเดียว

เดินพลางครุ่นคิดพลางเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าเดินเข้ากระโจมตัวเองมาเสียแล้ว  ทว่า...มีบางอย่างแปลกๆ  เหลียนอันสุ่ยแน่ใจว่าก่อนออกไปเขาไม่ได้ดับไฟ  ตอนนี้สมควรมีตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดอยู่  หากเบื้องหน้าเขากลับมีเพียงความมืดสนิท

ร่างสูงโปร่งหมุนกายหมายจะหลบออกไปตามคนเข้ามาดู  ทว่ามีแรงๆหนึ่งกระชากตัวเขาจากด้านหลัง  ฝ่ามือหยาบกร้านข้างหนึ่งตะปบปิดปากเขาไว้แน่นไม่เปิดโอกาสให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ  เหลียนอันสุ่ยปล่อยห่อเสื้อผ้าหลุดจากมือ  ถองไปด้านหลังเต็มแรงหมายสลัดให้หลุด  ศอกกระทบถูกถนัดถนี่จนคนที่รวบตัวเขาเอาไว้ต้องงอตัวออกห่าง  แต่มือที่ปิดปากเขาเอาไว้กลับยังปิดปากเขาไว้แน่น

เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปที่สายรัดเอวคิดดึงมีดที่เขาพกติดตัวไว้ออกมา  ทุกช่วงเวลาในกองทัพไม่อาจประมาทแม้ชั่วขณะเดียว  ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงไม่เคยไปไหนมาไหนโดยไม่มีมีดเล่มนี้  คราวนี้ผู้บุกรุกตัวใหญ่กว่าเขามากจำเป็นต้องใช้ของมีคม  แต่ยังไม่ทันกระชากมีดออกจากฝัก  ร่างก็ถูกกดให้คว่ำหน้าลงกับพื้น

อีกฝ่ายอาศัยช่วงที่เขาถูกการเปลี่ยนแปลงทำให้ตั้งตัวไม่ทันค้นร่างกายเขาอย่างละเอียด  ยึดเอาอาวุธเพียงหนึ่งเดียวไป  ทุกอย่างรวบรัดในไม่กี่อึดใจบ่งบอกถึงความชำนาญ  ดูเหมือนผู้บุกรุกของเขาคนนี้ต่อให้เป็นสายลับก็ต้องเป็นสายลับที่มีความสามารถในการป้องกันตัว

เหลียนอันสุ่ยบอกให้ตัวเองเยือกเย็นพลางใช้สติปัญญาคำนวณหาทางรอด

ผู้บุกรุกยามวิกาลหลังใช้ร่างกดเขาไว้กับพื้นก็โน้มตัวลงมา  เหลียนอันสุ่ยเดาว่าอีกฝ่ายคงคิดจะใช้วาจาข่มขู่  จริงดังคาดริมฝีปากของคนผู้นั้นเคลื่อนเข้าใกล้ใบหูเขา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้จากลมหายใจร้อนที่รดอยู่ที่ต้นคอ  และรู้สึกได้ว่ามีที่ปิดปากเขาหลวมคลายขึ้นเล็กน้อย  ขณะกำลังจะร้องตะโกนออกไปกลับชะงักกึกเมื่อพบว่าผู้บุกรุกฉวยโอกาสกดริมฝีปากลงที่ตำแหน่งหลังใบหูเขา!  คนผู้นี้ถึงกับ...ถึงกับกล้าลวนลาม...  แผ่นหลังแนบสนิทกับแผ่นอก  กลิ่นอายของอีกฝ่ายครอบคลุมลงมา  หัวสมองของเหลียนอันสุ่ยพลันแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า 

ขณะที่หัวสมองว่างเปล่าร่างก็ถูกพลิกกลับมา  ปากที่ถูกมือใหญ่ปิดไว้ถูกผู้บุกรุกปิดแทนด้วยริมฝีปากอย่างอุกอาจ
ประโยคแรกที่เหลียนอันสุ่ยกล่าวออกมาหลังพยายามหันหน้าหนีจนพ้นจุมพิตคือคำถามที่ว่า

“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“มาหาท่าน” คำตอบรวบรัดชัดเจน
“ทำไมมาแบบนี้  ข้าเกือบทำร้ายท่าน” ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบด้วยคำพูดที่เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

ผู้บุกรุกยามวิกาลไม่ตอบคำแต่เลื่อนมือไปโอบเอวเพรียว  เหลียนอันสุ่ยจึงเพิ่งรู้สึกว่าที่แท้ตัวเองถูกกดลงบนพรมขนสัตว์หนานุ่มผืนหนึ่ง  ริมฝีปากร้อนจัดเลื่อนไปตามเปลือกตา  ผิวแก้ม  และปลายคาง

เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  กึ่งๆเคลิบเคลิ้มกึ่งๆอ่อนใจ ทราบว่าอีกฝ่ายดับตะเกียงเพราะไม่ต้องการให้คนนอกกระโจมมองเห็นเงาสองเงาในกระโจม  ...มิน่าเล่าเมื่อครู่เขาถึงเหมือนเห็นหลิวฉางเฟยอยู่แถวนี้
 
แม้รู้แน่แก่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังละเมิดวินัยทัพ  แต่หลังจากออกแรงผลักไปคราหนึ่งแล้วพบว่าร่างหนาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือก็ไม่ได้ขัดขืนอีก  กล่าวตามความเป็นจริงคือเขาเป็นห่วง  และกล่าวตามความเป็นจริงก็คือเขาอยากได้ช่วงเวลาซักชั่วครู่ยามเพื่อที่จะอยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้ 

ฝ่ามือของเหลียนอันสุ่ยเลื่อนจากบ่าหนาขึ้นไปยังเสี้ยวหน้าคมสัน  วาดปลายนิ้วไปตามเส้นสายบนใบหน้า  เค้าโครงหน้าอีกฝ่ายก็กระจ่างขึ้นมาในใจ  รู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามเอียงหน้าเพื่อที่จะจูบเบาๆลงบนสันข้อมือ  มือใหญ่กุมแขนเขาเอาไว้หลวมๆขณะที่รอยจูบเคลื่อนผ่านใจกลางฝ่ามือไปยังปลายนิ้ว  ในความมืดที่ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า  ความรู้สึกขณะที่ลิ้นกับฟันของอีกฝ่ายขบเบาๆลงมาเด่นชัดเป็นพิเศษ  ทีละนิ้ว  ทีละนิ้ว...

เหลียนอันสุ่ยคิดชักมือกลับมาแต่อีกฝ่ายออกแรงยึดไว้  ความรู้สึกเสียววาบแล่นขึ้นมาตามปลายนิ้วเมื่อรู้สึกได้ว่าเรียวลิ้นของอีกฝ่ายลากวนอย่างอ้อยอิ่ง  หลังทรมานเขาอยู่ครู่ใหญ่มือสากที่ยึดข้อมือเขาเอาไว้ก็คลายออกเล็กน้อยเพื่อที่จะเลื่อนขึ้นมาตามเรียวแขน  ปลายนิ้วโป้งสากคล้ายจงใจใช้ด้านที่สากเสียดสีกับท้องแขนของเขา  เหลียนอันสุ่ยพยายามควบคุมลมหายใจตัวเองให้สม่ำเสมอ  ต้องการจะดูว่าอีกฝ่ายจะอดทนอ้อยอิ่งไปได้อีกนานแค่ไหน  คนผู้นี้ชมชอบกลั่นแกล้งเขา และก็ชอบรังแกเขา  ขอเพียงให้เขาหอบหายใจหน้าแดงตาพร่าไปด้วยความปรารถนาได้ก็จะถือว่าประสบความสำเร็จ

มือของคนในความมืดเคลื่อนขึ้นมาตามท่อนแขน  เลิกชายแขนเสื้อขึ้นมาตลอดทาง  เชื่องช้ายิ่ง  จนจังหวะที่ถึงหัวไหล่มนทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
 
มือข้างหนึ่งโอบเอาข้างหนึ่งจับไหล่ดึงรั้งร่างของเขาเข้าไปในอ้อมกอด  กอดไว้แนบแน่นราวต้องการให้วิญญาณสองดวงแนบสนิทหนึ่งเดียว  ในเสียงถอนหายใจมีความคิดถึงที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด  เหลียนอันสุ่ยอึ้งงันไปเมื่อพบว่าจู่ๆอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นมีท่าทีเช่นนี้  หลังความอึ้งงันเรียวแขนของเหลียนอันสุ่ยก็ค่อยๆกอดตอบ  คิดถึงช่วงเวลาที่ฉีเซี่ยงหยวนกลั่นแกล้งเขา  และคิดถึงช่วงเวลาที่ฉีเซี่ยงหยวนรักใคร่เขา  ขอบตากลับร้อนผ่าวขึ้นมา  บางครั้งเรื่องอะไรก็ไม่ดีไปกว่าการพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ปกติสุข

มีเพียงเหลียนอันสุ่ยที่รู้ว่าแม้ตัวเขาจะวางท่าทีเยือกเย็น  แต่ทุกครั้งที่คนผู้นั้นนำทัพออกรบ  ทุกครั้งที่พยาบาลคนบาดเจ็บ  ทุกครั้งจะภาวนาขออย่าให้คนตรงหน้าเป็นฉีเซี่ยงหยวนเลย

พวกเขาต่างเป็นคนเข้มแข็ง  แต่ในชั่วขณะนี้พวกเขาอ่อนแอแล้ว  เพราะเขาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เขารักและไว้วางใจด้วยทั้งหมดของชีวิต

ริมฝีปากของบุคคลในความมืดจูบซ้ำๆลงบนผิวแก้มเนียน  ส่วนเหลียนอันสุ่ยจูบเบาๆลงบนผิวแก้มสาก  ฝังใบหน้าเข้าหากันอย่างคิดถึง  กอดรัดแนบชิดสนิทแน่น  ดังนั้นเมื่อฉีเซี่ยงหยวนพลิกกายหงายร่างลงบนพื้นเหลียนอันสุ่ยจึงสลับไปทาบทับอยู่ด้านบนร่างแกร่ง  ริมฝีปากของพวกเขาบดเบียดเข้าหากันในอากัปกิริยาเช่นนี้  ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า...  เรียวปากกับปลายลิ้นพัวพันแผ่วเบา ผิวเผิน และลึกซึ้ง

เป็นห่วงเหลือเกิน  รักเหลือเกิน 
ปรารถนาท่าน  คะนึงหาท่าน

ฝ่ามือหยาบกร้านสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังโปร่ง  ตั้งแต่แนวกระดูกสันหลังมาจบลงที่บ่า  แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งเขี่ยขอบเสื้อผู้อื่น พึมพำว่า
“ถอดมันออก”
ในความเงียบที่กระทั่งเสียงลมหายใจยังได้ยิน  เสียงจากนอกกระโจมดังลอดเข้ามาย้ำเตือนว่าผ้ากระโจมผืนนี้กั้นขวางอยู่ระหว่างอะไร  เหลียนอันสุ่ยถอดเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งสวมได้ไม่นานออกจากร่าง  ความมืดปิดบังอำพรางทุกอย่างไว้  ทว่าเหลียนอันสุ่ยยังคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง  ในความมืดฝ่ามือร้อนผ่าวคู่หนึ่งยื่นออกมาควานหาร่างเขาจนเจอ

รู้สึกตัวอีกทีเป็นตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับผืนพรมอ่อนนุ่ม  ขณะที่ผิวกายถูกประทับจูบไล่ลงมาตั้งแต่ซอกคอลากต่อไปยัง แผ่นอก  ลำตัว  ช่วงเอว  ต่ำลงไปจนถึงเรียวขาและข้อเท้า  จุมพิตละเอียดลออไม่ว่าจะเลื่อนไปที่ไหนผ่ามือร้อนผ่าวก็จะเลื่อนไปสอดประคองอยู่ใต้ส่วนนั้น  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเปลือยเปล่าเท่านี้มาก่อน  ทั้งๆอยู่ในความมืดอีกฝ่ายกลับทำให้เขารู้สึกเปลือยเปล่าได้อย่างน่าอัศจรรย์  ผิวกายคล้ายกับถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ร้อนผ่าวชั้นหนึ่งที่เรียกว่าจุมพิต  มันคงเป็นอาภรณ์ที่นุ่มนวลที่สุด  วาบหวามที่สุดเพราะมันคือจุมพิตของคนรัก

การมองไม่เห็นมีแต่ทำให้ทุกสัมผัสชัดเจนขึ้น  ในหัวของเหลียนอันสุ่ยว่างเปล่าราวกับนอกกระโจมก็เปลี่ยนเป็นเงียบสนิทไปด้วย  ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเองกับเสียงลมหายใจหนักหน่วงของบุรุษที่อยู่บนร่างเขา มือใหญ่ที่จับค้างอยู่ที่ข้อเท้าคลึงเบาๆขณะดึงเรียวขาไปเกี่ยวไว้กับสะโพกสอบ  ในขณะที่มืออีกข้างสอดใต้เอวเพื่อดึงร่างของสูงโปร่งเข้ามาใกล้  การกระถดเข้าใกล้ของสะโพกทำให้เรียวขาเนียนงอพับขึ้น

เหลียนอันสุ่ยพยายามไม่นึกว่าขณะนี้พวกเขาอยู่ในท่วงท่าแบบไหน  เพียงวางฝ่ามือลงบนหัวไหล่บึกบึนเพื่อยันไม่ให้ร่างถูกดึงให้บดเบียดเข้าใกล้มากไปกว่านี้  ปลายนิ้วพอดีป่ายโดนสะเก็ดแผลเก่า  ฝ่ามือจึงเลื่อนไปตามรอยแผลแต่ละรอยอย่างเผลอไผล  อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยจดจำทุกรอยแผลได้ขึ้นใจ  รอยธนูบนต้นแขนสะกิดความทรงจำหวานปนขมขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยดีใจที่ฝ่ามือของเขายังสามารถสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่นอยู่ใต้ผิวกายแข็งแกร่ง  เด็ดเดี่ยวและทรงพลัง  ที่สำคัญคือมันย้ำกระชั้นขึ้นเพราะเขา  พระมาตุลาแคว้นเหลียนยิ้มบางๆขณะขยับฝ่ามือไปยังหน้าท้องแข็งที่เกร็งขึ้นมาเมื่อถูกเขาสัมผัส
ผ่ามือของเหลียนอันสุ่ยไม่เรียบร้อย  ฝ่ามือของฉีเซี่ยงหยวนไม่เรียบร้อยยิ่งกว่า  ลูบไล้ซอกซอนไปทั่ว  ผิวของเหลียนอันสุ่ยสะอาด  ละเอียดเนียนมือตามสายเลือดของชาวเหลียน  แต่ที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนพึงพอใจคือร่างสูงโปร่งตอบสนองสัมผัสของเขาอย่างร้อนแรง  ทุกส่วนสัดล้วนปรารถนาการแตะต้องลูบไล้จากฝ่ามือของเขา

เหลียนอันสุ่ยสะท้านเยือก  ตอนที่อีกฝ่ายกดสะโพกลงมาเสียดสีกับเรือนกายเขาในตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง  สะโพกเพรียวบิดโค้งอย่างไม่อาจทานทนไหว

มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อพบว่าอีกฝ่ายกลับให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้  มือใหญ่ยึดบั้นเอวเพรียว  ขณะที่เรือนกายค่อยๆเบียดแทรกเข้าไปในอารมณ์รักอันลึกล้ำ  ที่ๆเหลียนอันสุ่ยอยากให้เขาสัมผัสที่สุดเห็นจะเป็นตรงนี้

ถลำลึกลงในความปรารถนา  สะโพกเนียนถูกกดให้บดเบียดกับผืนพรมครั้งแล้วครั้งเล่า  ฉีเซี่ยงหยวนถูกความโหยหาอันเชี่ยวกรากพัดพาจนยากจะควบคุมบังคับ  ได้แต่ยินยอมให้ตัวเองถลำลึกลงไปเรื่อยๆ  พยายามจะอ่อนโยนแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ค่อยสำเร็จ
ในความรวดร้าวหวามไหว  การถูกเติมเต็มเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก 
ราวกับเป็นการระบายออกของความคิดถึง 
การระบายออกของความเครียด ความเป็นห่วง  และความกดดัน 

แน่นอนมันเป็นการระบายออกของความรักและความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
---------------------
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายจุมพิตซอกคอเขาอย่างหยอกล้อ  พยายามจะหลบคนขี้แกล้งที่รู้ทั้งรู้ว่าตอหนวดตัวเองระคายผิวเขา  แต่กลับถูกทับไว้จนไม่มีปัญญาหลบไปไหน  ทั้งๆที่คนทางเหนือนิยมไว้เคราแต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่ชอบไว้เครา  มักบอกว่ามันทำความสะอาดยากแล้วก็หาเรื่องโกนออก

“ฉีเซี่ยงหยวน นี่ข้าพูดจริงๆนะ  ถ้าคราวหน้าท่านมาแบบนี้อีก  ข้าอาจจะฆ่าท่านตายไปแล้ว”
คนฟังควานหามีดมายัดใส่มือคนพูด กล่าวว่า
“คืนมีดให้ท่าน  ข้าแค่อยากจะรู้ว่าท่านจะรับมือกับผู้บุกรุกยังไง  เลยเล่นจนเลยเถิดไปหน่อย  ท่านเล่นศอกมาซะเต็มแรงดีที่ข้าร่างกายแข็งแรงจึงยังพอกัดฟันทนรับไว้ได้”
...ไหนจะเพียงแค่กัดฟันทนรับไว้ได้เท่านั้น  เรี่ยวแรงเมื่อครู่มิใช่หลงเหลือมากมายหรอกหรือ 
แต่สิ่งที่เหลียนอันสุ่ยกล่าวออกไปกลับเป็นข้อความจริงจังที่ว่า

“ท่านอย่าทำเป็นเรื่องล้อเล่น  ถึงแม้ฝีมือและเรี่ยวแรงข้าจะสู้ท่านไม่ได้  แต่ตอนท่านได้มีดไปแล้วไม่ใช้มันกับข้า ข้าก็รู้แล้วว่าท่านไม่ได้มีจุดประสงค์จะฆ่าข้า  ท่านไม่ฆ่าข้า  แต่ข้ามีจุดประสงค์จะฆ่าท่าน  ดังนั้นท่านต้องตายแน่นอน  ยังดีที่ข้าจดจำได้ว่าเป็นท่านก่อน”
“...แค่บุกรุกเข้ากระโจมท่านนี่จะเล่นถึงตายเชียวหรือ”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  บอกกล่าวตามตรง
“แรงข้าสู้ท่านไม่ได้  นอกจากฆ่าท่านให้ตายแล้วไม่มีทางรอดอื่น  ผู้ใดใช้ให้ท่านทำตัวเหมือนศัตรูเล่า”

“ดูเหมือนข้าจะต้องขอบคุณสถานะองค์ชายสี่ของตัวเอง  ไม่เช่นนั้นปีนขึ้นเตียงท่านบ่อยปานนั้นคงถูกท่านฆ่าตายเข้าซักวัน”
“...” คนผู้นี้...คนผู้นี้...พูดจาสำรวมหน่อยไม่เป็นหรือไร  รู้สึกจนปัญญาจะจัดการ  ปกติเหลียนอันสุ่ยไม่ชอบฆ่าคนพร่ำเพรื่อ  แต่สภาพเมื่อครู่คับขันเกินไป  และเขาไม่ต้องการจะถูกจับตัวไปหรือเสี่ยงกับเรื่องอื่น  ...เพราะข้าไม่อยากเป็นภาระให้ท่าน
“ข้าดีใจที่ท่านเป็นห่วงตัวเองมากขึ้นเพราะข้า” เสียงพึมพำมาพร้อมกับจุมพิตที่ข้างแก้ม

น่าแปลกที่ความเครียดสะสมและความด้านชาลึกล้ำอันมีต่อการฆ่าฟันละลายหายไปเมื่อเขาได้ใช้เวลาร่วมกับเหลียนอันสุ่ย  คนผู้นี้เป็นมุมๆหนึ่งซึ่งงดงามและเป็นสุขที่สุดในชีวิตของเขา  ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางสนามรบที่ลุกเป็นไฟแต่กลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกถึงโลกที่สงบสันติ  มือของเหลียนอันสุ่ยแม้สามารถฆ่าคนแต่กลับเลือกที่จะช่วยคนและให้อภัยมาโดยตลอด 

มันอาจมิใช่มือที่สวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่ใช่มือที่นุ่มนิ่มแบบคนไม่เคยทำงานหนัก  แต่เป็นมือเรียวยาวได้สัดส่วนที่มีความหมายต่อเขาเหลือเกิน  เพราะเหลียนอันสุ่ยใช้มือคู่นี้ฉุดดึงเขาขึ้นมาจากความเจ็บปวดเหนื่อยล้าครั้งแล้วครั้งเล่า

หลายครั้งที่เหลียนอันสุ่ยทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีเลือดเนื้อมิใช่มารร้ายที่ไร้หัวใจ

หลังเหลียนอันสุ่ยออกปากไล่อยู่หลายครั้ง  คนที่อิดออดอ้อยอิ่งจึงยอมขยับตัวสวมเสื้อผ้า  มีเสียงพึมพำดังสลับกับเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าเหมือนจะเป็นคำว่า
“คิดถูกจริงๆที่ยืนกรานให้ท่านอยู่กระโจมแยก” เหลียนอันสุ่ยได้ยินไม่ถนัดนัก  แต่คิดว่าคำบางคำอย่าได้ยินถนัดชัดเจนจะดีกว่า
ก่อนจะออกไปฉีเซี่ยงหยวนกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“ท่านจุดตะเกียงเถอะ  เดี๋ยวข้าจะให้ต้วนจินยกถังน้ำเข้ามาให้เช็ดตัว  จะได้ไม่ต้องออกไปอาบน้ำใหม่ข้างนอก”

หลังฉีเซี่ยงหยวนจากไป  ไฟในกระโจมเล็กก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง

จันทร์เต็มดวงลอยอยู่เหนือยอดกระโจมนับพัน  เปล่งรัศมีนุ่มนวลราวกับสัมผัสอันละเอียดอ่อนของคนรัก

=================

อันที่จริงต้องขอสารภาพว่าที่ช่วงการทหารมันยาวขนาดนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอยากเขียนฉากในกระโจมฉากนี้ฉากเดียว 
และก็เพราะดันมีฉากนี้เลยเล่าเรื่องคร่าวไปไม่ได้ไม่งั้นจะดูแปลกๆ(ลงรายละเอียดอยู่ฉากเดียว)
ประเด็นอื่นก็เลยตามกันมาเป็นพรวนอย่างที่เห็น555 :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2014 20:58:12 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ชุ่มชื่นหัวใจจัง

อร๊าง  :o8: :-[ :impress2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ขอแบบนี้บ่อยๆ ได้ไหม ฮ่าๆ

ออฟไลน์ GUNPLAPLASTIC

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
อ่านตามทันเเล้วค่ะ จะเเวปไปที่เด็กดีต่อเลยนะเเต่ขอมาเม้นท์ก่อน
คุณคนเเต่งรู้ไหมค่ะ? นี้เป็นนิยายสำนวนจีนๆเรื่องเเรกที่เราอ่านเลย
เราเลี่ยงไม่อ่านนิยายพวกนี้มาตลอด เพราะไม่ชอบจำชื่อจีนที่มันยาก
เเต่เรื่องนี้เเบบ สุดยอดจริงๆ อ่านๆไปเราต้องไปหาสามก๊ก.pdf อ่านต่ออ่ะ กรีดร้อง
คุณคนเเต่งทำได้ยังไงค่ะ?เเต่งออกมาเเบบนี้จะไม่ให้เราหยุดอ่านได้ยังไง ฮื้อออ
ถามได้ไหมคุณคนเเต่งเรียนอยู่คณะอะไร ทำไมถึงใช้สำนวนได้เลิศเลอขนาดนี้
เราหลงรักเรื่องนี้เลยอ่ะ ที่สุด ตอนนี้เราคงต้องมองนิยายสำนวนจีนๆไหมเเล้ว
มาต่อเร็วๆนะค่ะ เรารออยู่น้า นี้เเอบเชียร์องค์รัชทายาทกับจิ้นเต๋อนะ น่ารัก 55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด