เสวนาเจ็ด : แสงปลายทาง กระจ่างจ้า
ผมเล่าปัญหาของชมรมให้กับปอนด์ฟังผ่านแอ๊พพลิเคชั่นไลน์
เขาดูจะอดทนผมพอสมควร ทั้งที่ผมก็บ่นไปเรื่อย
ถ้าโทรศัพท์มือถือมันพูดได้ มันคงครวญครางด้วยความเหนื่อยล้า
เขาให้ผมอดทนแล้วนึกให้ดี ว่ามีอะไรที่เป็นทางออก
Line
ปอนด์ ช่างตัดผมสุดหล่อ
เดี๋ยวก็ผ่านไปได้หน่า นอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆ เบื่อแล้วเหรอ อืมไปนอนเหอะ ฝันดีครับ
เฮ้ย.. ม่ายช่ายยยยยยย ขี้น้อยจัยจุง เปล่า เห็นไปเที่ยวผับมา คงเหนื่อย
ก็ไม่ได้เต้น ไม่ได้เมานี่ กังวลจะตาย เรื่อง ????
ก็กลัว ไอ้วิทย์มันจะจู่โจมพี่กาย เด็กตัวเท่าลูกหมา
มันไม่ธรรมดาหรอก แถมแมร่ง หล่อด้วย เด็กเชี่ยยย อ้าว ไปด่าน้องเขาทำไม ปอนด์หล่อกว่าอีก
จริงป๊ะ ไม่ไปถามน้องฟางดูล่ะ
มั่วแร๊ะ เพื่อนกัน อยู่แก๊งแต่งรถด้วยกัน อืม
เชื่อหน่อยเหอะ ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ฟางสวยจะตาย ใครก็คงอยากจีบล่ะมั๊ง
อย่าบอกนะว่าพี่กายชอบฟาง แค่ชมว่าเขาสวยดี คนมองทั้งตลาด ไม่เห็นเหรอ
ไม่ทันดูครับ เป็นคนที่เวลาสนใจอะไร สนใจเป็นอย่างๆ ห่วงขนมปังปิ้งว่างั้น
ทำมาไขสือ เดี๋ยวจะนอนแล้วแหล่ะ
พี่กาย ครับ
ผมนึกคำพูดลูกค้ารายนึง พูดถึงเรื่อง เฟซบุ้ค ซื้อ อินสตาแกรม เมื่อห้าปีก่อน แล้ว ?
ตอนนั้นมีแต่คนคิดว่า คงเป็นคู่แข่งกันเพราะเป็นสื่อโซเชียลเหมือนกัน นั่นสิ
แต่ตอนนี้ มันพิสูจน์แล้วว่า มันเอื้อกัน เพิ่มประโยชน์ให้ทั้งคู่นะ ก็จริงเลย
ชมรมของพี่กาย มีพันธมิตรไหม คือ จะให้ชมรมหนังสือ เป็นแบบเฟซบุ้คเหรอ
เปล่า.. ชมรมหนังสือมันเล็กไปแล้ว สำหรับชมรมพี่คือ ไอจี พี่ก็ต้องหา เฟซบุ้คให้เจอ
ต้นทุนเดียวกัน แต่ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ใช่เลย โพสต์รูปครั้งเดียว แชร์ได้ทั้งสองสื่อ
แม้คนละกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ไปปรับเอาได้ พันธมิตรกัน หมดยุคคู่แข่งแล้ว ขอบคุณครับ.. ฝันดีนะ ปอนด์
เช้าตรู่ของวันใหม่ มีอะไรมากมายในหัวให้ต้องสะสาง ผมพยุงร่างที่ห่างจากการออกกำลังกายไปนาน เดินบนเฉลียงของตึกใหญ่ที่สุดของโรงเรียน เป็นอาคารรูปตัวแอลสี่ชั้น
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม ซึ่งแบ่งเป็นห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์เวิ้งหนึ่ง แล้วก็ห้องรวบรวมสื่อการสอนที่รอซ่อมบำรุง และตกเบิกใช้ อีกเวิ้งหนึ่ง
ตรงกันข้าม เป็นห้องที่กั้นด้วยกระจกใสกับกรอบอลูมิเนียมดำ กินพื้นที่ขนาดใหญ่ แม้มีคนในนั้นไม่มากนัก แต่แอร์ที่เย็นฉ่ำจนผิวกระจกเกาะไอเย็นในจุดที่แรงลมจากเครื่องปรับอากาศพุ่งใส่ มันคงเย็นสบายน่าดู
ผมเห็นได้จากนักเรียนทั้งหลายที่ฟุบหน้าสลบอยู่กับโต๊ะที่เรียงราย บ้างก็นอนอยู่ตามมุมเสา แต่ก็ยังมีบางคนที่จับหนังสืออ่านอย่างตั้งใจ... ห้องสมุดคุณาการโรงเรียนศรีวิกลธร
“อ้าว น้องกาย ไปไหนมา”
“ผมมาหาพี่อ๊อดนี่แหล่ะครับ”
“เหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า มานั่งข้างในสิ ผมกำลังจะให้บรรณารักษ์น้อย แข่งกันเรียงหนังสือ อีกสักพักได้ไหม”
“ได้ๆๆ ถ้าไม่รบกวน ขอผมนั่งดูด้วยนะพี่อ๊อด”
“เอาสิแหม ห้องสมุดยิ่งร้างลาผู้คนอยู่ มาๆๆ นักเรียนพร้อมกันแล้ว นี่กำลังชิงตำแหน่ง บรรณารักษ์น้อยประจำห้องสมุดของปีนี้กัน”
“ฟังดูน่าสนุก พี่ตามสบายเลยครับ ผมนั่งดูห่างๆ”
พื้นห้องสมุดปูพรมสีน้ำเงินใหญ่โต มีชั้นเหล็กใหม่เอี่ยมเรียงรายซึ่งมาแทนชั้นไม้ที่ทรุมโทรม
มันช่างต่างกับที่ผมชินตา เอ..ผมไม่ได้ขึ้นมาห้องสมุดนี้นานเท่าไหร่นะ ก็น่าจะตั้งแต่ คนเลิกอ่านหนังสือกันแล้วนั่นแหล่ะ
เห็นจำนวนคนเข้าห้องสมุด ก็นึกสงสาร แต่ห้องสมุดก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นกับโรงเรียน มันคือหน้าตา และไม่มีใครกล้าล้มห้องสมุด งบค่าใช้จ่ายของห้องสมุด เต็มที่ก็อาจจะลดลาลงบ้าง งดซื้อหนังสือใหม่เข้าห้องบ้าง แต่อย่างน้อย เขาก็อยู่ของเขาได้
ไม่มีโรงเรียนไหนปราศจากห้องสมุด แม้กระทั่งการศึกษานอกโรงเรียน ห้องสมุดไม่เคยล้มหายตายไป
แต่มันคือ ลิปสติกบนใบหน้าผู้หญิง มันคือสิ่งจำเป็นของหน้าตาสถานศึกษา
ผมนั่งดู เด็กน้อยแข่งกันจัดหนังสือเข้าชั้นตามโจทย์ เด็กดูสนุกสนานผิดกับบุคลิกแสนเรียบร้อยของพวกเขา
กลุ่มเด็กพวกนี้ดูจะคล้ายคลึงกับเด็กในชมรมผมเป็นที่สุดแล้ว
เขามักนั่งหน้าห้องเรียน..
มักยกมือถามอาจารย์เป็นคนแรก..
มักถูกเลือกให้ถือสมุดเช็คชื่อ..
บ้างก็คอยถือกองชีทเดินตามอาจารย์ ถูกแกล้งบ้าง มีทั้งเรียนดี และก็รองบ๊วย
แต่พวกเขาเหมือนกับเด็กในชมรมผมอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ.. เขารักหนังสือ
ข้อความในไลน์ของปอนด์ยังเวียนอยู่ในหัวของผม แน่นอนว่า ห้องสมุดเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ
มันคงไม่ง่าย กับการจะมาขอร้องห้องที่เราไม่เคยมาสร้างคุณความดีให้แก่เขา
กลับแต่จะเคยเหยียดว่าพวกเขาล้าหลัง เชย ท่วมด้วยระเบียบวินัย
พวกเราสิ ฉลาด มานั่งวิพากษ์เล่มหนังสือกันอย่างสนุก ปล่อยให้พวกเขาขลุกกับตำราวิชาการ แล้วก็มองว่า พวกเขาไม่ใช่พวกเรา คนละกลุ่มกัน พวกเรามันเฉกเฉพาะกว่า มีสีสันกว่า ทันสมัยกว่า แล้วท้ายที่สุด เราก็คลานมาขอร้องเขา
“น้องกายว่า เวิ้งตรงนั้นพอไหมล่ะ เพราะฝั่งวัสดุเทป กับ ซีดีรอม แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว เวิ้งหลุบตรงนั้น ประมาณ สี่คูณแปดเมตร ก็กว้างเอาเรื่องนะ แต่น้องกายต้องหางบมากั้นกรอบกระจกเอา คร่อมแอร์ขนาดหนึ่งตันตัวนั้นพอดี”
“พอซะยิ่งกว่าพอครับพี่อ๊อด”
“อาจจะมีกฎที่ออกร่วมกันบ้าง เช่นเรื่องของเสียง เพราะชมรมน้องคงจะใช้เสียงตอนเถียง ตอนวิจารณ์กัน แต่ถ้ากั้นกระจกกับกรอบอลูมิเนียมจนสุดข้างบนนั้น คงจะเก็บเสียงได้ดี”
“เด็กผมปกติจะมีเวรเฝ้าหนังสือ ช่วงที่นอกเวลาเรียน เพราะชมรมไอที เขาคนเยอะมากครับ”
“ที่นี่มันมีเจ้าหน้าที่อยู่นะ เราก็ค่อยมาดูเด็กของเรากันเอง แต่วงจรปิดก็มี เจ้าหน้าที่อยู่ตรงทางออก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่หนังสืออ้างอิง ไม่ค่อยโดนขโมยหรอก กฎระเบียบโรงเรียนเรา ท่านผู้อำนวยการท่านก็ลงโทษหนักเอาเรื่องอยู่”
“นี่ถ้าพี่โอเค ผมก็จะรีบไปแจ้งเบื้องต้นกับท่าน แล้วรีบทำหนังสือมาขอกับพี่เป็นลายลักษณ์อักษรอีกที”
“อืม ของผมมันก็กว้างขวาง เหลือกินเหลือใช้ หนังสือก็พร่องลงทุกที แต่ก็ไม่ยักมีนักเรียนมาแตะเท่าไหร่นัก มันไม่ใช่ยุคของเราแล้วอาจารย์พงศกร.. เรากำลังถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย”
“ผมจะพยายามทำให้มันกลับมามีสีสันอีกครั้งครับ จะทำเท่าที่ทำได้”
“เป็นกำลังใจให้นะ เรามันคนรักหนังสือเหมือนกัน สู้ล่ะ อย่าเพิ่งท้อ”
ผมเบิ่งรถเก๋งเก่าแต่เก๋าในความรู้สึกมาจอดยังหน้าร้านของพี่เพชร หวังจะเข้ามาขอบคุณใครคนหนึ่ง ที่จุดประกายแนวคิด แถมยังเป็นต้นตอของการคลี่คลายปัญหาทั้งหมด ผมแทบน้ำตาไหลตอนท่านผู้อำนวยการเห็นดีด้วย แถมชมว่า เป็นวิธีที่ลงตัว เล่นเอาใบหน้าใครคนนี้ลอยขึ้นมาเลย
“อ้าวอาจารย์กาย นั่งก่อนๆๆ” พี่เพชรก็มีความเป็นกันเองแฝงอยู่ในที มิน่า เด็กวัยรุ่นถึงติดกันเกรียว
“พอดีผมแวะมาหาปอนด์ คงไม่กวนเวลาทำงานครับ กะแวะมาคุยแป๊บเดียว”
“อูยยยยย อยู่นานๆก็ได้ค่ะอาจารย์ ทำตัวตามสบาย นี่มันไปซื้อสเปรย์ฉีดสีผมที่ตลาด เดี๋ยวก็มาค่ะ”
“อ้าวเหรอครับ พอดีเห็นรถเครื่องของเขาจอดอยู่ ผมยังนึกว่าเขาอยู่ร้าน”
“อ๋อ พอดีน้องฟางมารับน่ะคะ เดี๋ยวก็มา”
รอยยิ้มของผมหุบลงในทันที เปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่ผลิตรอยยิ้มแบบเจื่อนเกลื่อนอยู่ข้างกระพุ้งแก้ม ผมเลยขอตัวเพื่อที่จะขอบคุณเขาทางข้อความแทน ถือโอกาสลาพี่เพชรเตรียมกับบ้าน
“รอหน่อยเหอะค่ะอาจารย์ น้องปอนด์เขาอยากเจออาจารย์แน่เลยค่ะ นี่ก็พร่ำถึงอาจารย์ไม่หยุด”
“ผมน่ะเหรอ”
“ใช่น่ะสิคะ นี่ถ้าเห็นอาจารย์เปลี่ยนข้างแสกอีก รับรองโดนดุ”
เออใช่ วันนี้ผมรีบออกจากบ้าน ก็กลับไปแสกที่ข้างซ้ายตามเดิม แม้ตอนนี้มันฟูพอง ไม่เรียบแปล้เหมือนเจ้าปอนด์ตัดให้ในตอนแรก แต่มันก็อุ่นใจกว่าแสกข้างขวาที่ไม่คุ้นเคยอยู่ดี เมื่อพี่เพชรอุตส่าห์รั้งผมไว้ ผมก็นั่งรอเขาอีกสักพักแล้วกัน
“นี่คืนนี้จะไปเวียนเทียนที่วัดไหนล่ะครับเสี่ย” ช่างตัดผมตรงโต๊ะหมายเลข 7 เอ่ยถามลูกค้าสูงอายุ ที่นั่งตัวตรงอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ ผมของเขาสีเทาเสมอกันทั้งศีรษะ ดูภูมิฐานและท่าทางใจดีไม่น้อย
“ก็ไปที่วัดเหนือนี่แหล่ะใกล้ดี”
“ปกติเห็นเสี่ยชอบไปวัดไกลๆ พวกวัดป่า”
“อืม เมื่อก่อนเราก็นึกไปว่า วัดป่า วัดไกลๆ จะปฏิบัติดี เฮ้อ.. มันก็เหมือนย้ายพระวัดบ้านไปอยู่ในที่ไกลหูไกลตาแทน”
“แต่พระดีๆ ก็ยังมีเยอะนะครับเสี่ย” ช่างตัดผมตัวผอมบาง เดินไปยืนข้างๆ เพื่อกันขอบผมทรงบ็อบของลูกค้า
“พระดีๆ ก็มี แต่ตอนนี้ผมล่ะไม่เห็นเลย.. เคยนับถือใคร เคยเข้าหาใคร ท้ายที่สุด ก็ไม่เป็นดั่งใจหวัง ต้องตัดที่ตัวเรานี่แหล่ะ ไปยึดติดในตัวพระสงฆ์มากเกินไป เอาคุณพระพุทธเข้าไว้จะดีกว่า”
“ผมเห็นพระนี่ เดี๋ยวนี้มีทีวีในห้อง มีโทรศัพท์มือถือ เล่นอินเทอร์เน็ต ไม่รู้อยู่ในที่ลับ ดูอะไรกันมั่งเนอะครับ”
“อย่าให้ผมได้พูดเลย ลูกชายเอามาเปิดให้ดู ในแอ๊พโทรศัพท์ เขาเรียกอะไรนะ ที่มันเป็นสีฟ้าๆ รูป นกน่ะ โอ้โหว ลมแทบจับ ไม่อยากจะดูต่อเลย”
“เลยทำให้วงการพระสงฆ์เสียไปด้วยเลยเนอะครับ เสียชื่อชาวพุทธหมด”
“มันก็มีทุกศาสนาแหล่ะนะ มาร เนี่ย แต่ถ้าเรายึดที่แก่นของธรรมะได้ จะศาสนาไหน ศาสนบริษัท ก็สำคัญรองลงมา แค่ช่วยกับพยุงให้ศาสนานั้นอยู่ต่อไป”
“พระรวยกว่าผมอีกนะตอนนี้ กฐินที นี่แย่งกันไปอยู่วัดที่แบ่งกองกันเหลือใช้”
“ผมล่ะ เอาไปให้โรงพยาบาล ไปให้มูลนิธิก็เยอะ ปัญหามันก็เยอะพอกันนั่นแหล่ะ จะทำบุญทำกุศล ก็ต้องมีสติ”
“เฮ้อ.. เป็นช่างตัดผมไม่รวยเสียที สงสัยผมต้องไปบวชดีกว่าครับ”
รถฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ขับมาเทียบที่ริมฟุตบาทหน้าร้าน ปอนด์เปิดประตูฝั่งซ้ายลงมา พร้อมถุงพลาสติกที่มีของอัดอยู่เต็ม ก่อนจะโบกมือลาคนขับสาวสวยผ่านประตูฝั่งซ้าย ซึ่งถูกลดกระจกลงจนสุด เผยให้เห็นรอยยิ้มแสนหวานของฟาง
“อ้าว พี่กาย ทำไมเลิกสอนเร็วจัง”
“ก็กะว่า จะแวะมาขอบคุณ”
“ขอบคุณผมเนี่ยนะ”
“อืม”
ปอนด์ยังคงทำหน้างวยงง ก่อนจะเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาคาด กับหน้ากากอนามัยเตรียมจะสวม
“ปอนด์ ไปพักสักแป๊บนึงก็ได้ พาอาจารย์ไปลองเค้กมะพร้าวร้านเจ๊นกเล็กสิ อร่อยมากเลยค่ะอาจารย์”
“ขอบคุณครับเจ๊ รักเจ๊นะ” ปอนด์เดินไปหยิกแก้มก้นของพี่เพชร จนพี่เพชรเขิน ต้องเอาหวีแปรงอันใหญ่มาฟาดไปที่ไหล่ดัง “พลั๊ว” ปอนด์ร้องโอดโอย ก่อนจะเดินนำผมออกมาจากร้าน
ร้านกาแฟเบเกอรี่แสนน่ารัก มีต้นไม้โดยรอบจนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ริมถนนใหญ่ แถมอยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้ออีกต่างหาก
“น่ารักไหมพี่กาย”
“อืม ร้านน่ารักมากเลย”
“ผมหมายถึงตัวผม”
“.....”
“ชมกันหน่อยดิ”
“ชมเรื่อง..?”
“เรื่องอะไรก็ได้ ที่พี่อุตส่าห์หอบสังขารมาหาผมเนี่ย” ปอนด์เอื้อมไปหยิบ ม็อคค่าเย็นที่บริกรเดินมาเสิร์ฟ ส่งมาทางผม วางบนที่รองแก้วซึ่งทำจากยางตัดเป็นสี่เหลี่ยมสีดำ พิมพ์ลาย “นกเล็กเบเกอรี่” อักษรสีชมพู ส่วนของปอนด์ก็คว้าชาเขียวปั่นไปไว้บนที่รองแก้วของตัวเอง
“ก็กะจะมาขอบคุณ”
“ปัญหาจบแล้วเหรอ”
“น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี เหลือแค่ ล่ารายชื่อเด็กให้ครบ ห้าสิบคน กับ หาทุนกั้นห้องกระจก น่าจะแค่ สี่หมื่นกว่า เพราะกระจกมันใหญ่ แต่ว่า ห้องก็ค่อยๆ แต่งกันไป เดี๋ยวหาวิธีหาทุนเอา แต่เอาเป็นว่า ไม่น่าจะโดนยุบแล้ว”
“ดีจัง”
“ก็เลยมาขอบคุณ เพราะคำที่พูด เลยคิดได้”
“อยากรู้จังกว่า พี่กายแก้ปัญหายังไง”
“ไว้จะพาไปดู ให้เห็นกับตาเลย”
“โหว เป็นเกียรติ”
“นี่ถ้าตั้งชื่อห้องได้ จะตั้งว่าปอนด์เลย ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ”
“ไม่ต้องขนาดนั้น แค่ เสวนา เฮมิงเวย์ ให้เยอะ”
“ห๋า”
“อ้าว หน้าอย่างผม ก็อ่านหนังสือเป็นนะครับ”
“รู้จักเฮมิงเวย์ด้วย”
“คนโปรดของผม เจ้าของผลงาน แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“หน้าผมดูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอพี่กาย ผมไม่ได้อ่านฉบับภาษาอังกฤษสักหน่อย เดอะซัน ออโซ ไรซ์ อะไรกันนั่นน่ะ”
“หูยย ทึ่งเลย”
“ผมก็ไม่ได้รู้ลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น แต่น่าเสียดาย ถ้าเด็กรุ่นใหม่จะไม่ได้พูดถึงมัน”
“ได้ๆๆๆ วันไหนจัดสัมมนา The Sun Also Rises จะขอให้ไปเป็นแขกรับเชิญเลยนะ”
“ตังผมเหลือไม่เยอะเดือนนี้ แต่งรถหมด ผมช่วยบริจาคสักพันนึงนะ”
“เฮ้ย จะดีเหรอ เก็บไว้เหอะ เดี๋ยวจะรวมตัวประชุมกัน มีวิธีหาเงิน คงทัน สิ้นเดือนนี้”
“ผมอยากช่วย อยากมีส่วนร่วม เคยแต่อ่านหนังสือ แต่ไอ้เสวนาหนังสือนี่ มันคงน่าสนุก”
“ไปนะไว้ว่างแล้วแวะไป”
“ได้ครับ”
“ขอเลี้ยงมื้อนี้นะ กินอะไรสั่งๆๆ”
“เพิ่งทานมา”
“อ่อ ลืมไป” ผมหยุดชะงักไปเพราะนึกขึ้นได้ว่า เขาเพิ่งกลับมากับฟาง คงแวะทานอะไรกันมาแล้ว
“ไม่งอนสิ”
“เฮ้ยเปล่า งั้นไว้หาโอกาสเลี้ยงใหม่นะครับ”
“ได้สิครับ”
“งั้นเดี๋ยวเตรียมไปทำงานเหอะ ผมจะแวะไปว่ายน้ำ แล้วก็กลับเลย”
“ไม่งอนนะ”
“สาบานเลย”
“สาบานกับอะไรดีนะ”
“สาบานต่อหน้าห้องชมรมหนังสือในอนาคตเลย”
ผมเรียกเช็คบิล แล้วรีบตักเค้กมะพร้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ไม่ถึงกับอร่อยอะไรขนาดนั้น แต่เชื่อว่า เป็นอุบายพี่เพชร ที่อยากให้ผมได้มีเวลาคุยกับปอนด์
พี่เพชรก็ดูน่ารักดีนะครับ เข้าอกเข้าใจ แม้ผมจะไม่ชอบสิ่งที่เขาทำยามค่ำคืน แต่ผมก็ไม่มีสิทธิอะไรไปละเมิดชีวิตส่วนตัวของเขา แค่คิดว่า อยากให้เขาขยับอายุแขกที่มาเยี่ยมยามค่ำคืนเพิ่มอีกสักหน่อย สักที่นิติภาวะได้บรรลุแล้ว
ผมกับเขาเดินกลับมายังทางเข้าร้าน ก่อนจะโบกมือผ่านกระจกประตูบานเลื่อนซึ่งปิดอยู่เป็นการล่ำลาพี่เพชร เจ้าของร้านหันมาผงกหัวล่ำลากลับ แล้วปอนด์ก็เดินมาส่งผมขึ้นรถแทน ผมเลยรีบขึ้นรถเพื่อไม่ให้เขาเสียเวลาทำงานไปมากว่านี้
ผมลดกระจกด้านซ้ายลง เหมือนที่ฟางทำ ล่ำลาเขาแล้วบอกว่าจะโทรหา
ปอนด์เอื้อมตัวสูงโย่งที่ยืนอยู่ริมฟุตบาท โผล่ตัวเข้ามาผ่านหน้าต่างรถ ซึ่งกระจกถูกเลื่อนลงจนสุด
เขาพูดใส่หูข้างซ้ายของผมด้วยเสียงแผ่ว แต่ได้ยินชัดเจนไปถึงขั้วหัวใจ
“ผมกับฟางเป็นแค่เพื่อนกันนะครับ”
“ครับ”
“สาบานเลย”
“สาบานกับอะไรดีนะ”
“สาบานกับอะไรที่มันศักดิ์สิทธิ์.. สาบานกับเฮมิงเวย์”