ตอนที่ 5 มังกร
วันนี้ผมไม่สบาย ปวดหัวมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ สาเหตุอาจเป็นเพราะโดนละอองฝน มีฝนหยดลงบนหัวแค่ไม่กี่หยด แต่กลับเป็นไข้เสียได้ เช้าวันนี้ผมก็เลยหยุดเรียนแล้วไปหาหมอรับยาและขอใบรับรองแพทย์มาด้วย ดีที่หมอให้หยุดได้ 3 วัน ก็เลยไม่ห่วงอะไรมาก พวกการบ้านและงานอื่นๆ ก็ฝากเพื่อนส่งและเก็บชีทเรียนไว้ให้แล้ว
ผมลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูระเบียงเปิดและปิด ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร มีแค่คุณเขาคนเดียวเท่านั้นแหละที่เข้าออกทางระเบียงห้องผมน่ะ
“นายเป็นอะไร”
“ไม่สบาย คุณหยิบแมสก์ตรงนั้นมาใส่ก่อน เดี๋ยวติดหวัดผม” ผมชี้ไปที่โต๊ะหนังสือ ซึ่งวางยาและหน้ากากอนามัยเอาไว้ก่อนจะหันกลับมาใส่แมสก์ให้ตัวเองด้วย ก็ไม่อยากให้คุณเขามาติดหวัดผมก็เลยซื้อมาเผื่อเอาไว้
“ไปทำอะไรมาถึงได้เป็นหวัด”
“ตากฝนนิดหน่อยน่ะ วันนี้...ทำไม่ได้นะ”
“รู้แล้วน่า” เขาย่นจมูกใส่ก่อนจะจับผมขึ้นทัดหูแล้วใส่แมสก์ เราสบตากันเล็กน้อยก่อนจะต่างคนต่างเงียบเพราะไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรกัน ปกติเขามาห้องผมก็เพื่อนทำเรื่องอย่างว่านี่นะ แต่วันนี้มันทำไม่ได้นี่นา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ใครมา?”
“อ๋อ เพื่อนผมมั้ง ผมวานให้มันมาเอางานของพรุ่งนี้ไปส่งให้ คุณไปเปิดประตูให้หน่อยได้มั้ย?”
“ไม่ได้!”
เขากระซิบเสียงเบาแต่หน้าตาท่าทางดูตื่นตะหนกเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังทำท่าจะพุ่งไปที่ระเบียงจนผมต้องรีบลุกขึ้นมาห้ามเขา
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ”
“ไม่เอา เดี๋ยวมันเป็นเรื่องอีก”
พูดแล้วก็กระโดดออกไป เขาน่ะยิ่งกว่านินจาเสียอีก ตัวเบา เท้าเบา กระโดดไปขนาดนั้นผมยังไม่เห็นว่าต้นไม้มันจะสั่นอะไรเลย
ผมเดินไปเปิดประตูห้องให้เพื่อน จัดการฝากงานที่จะส่งในวันพรุ่งนี้และพูดคุย ถามไถ่อาการกันไม่กี่นาทีมันก็กลับไป ผมหันไปมองที่ระเบียงอีกครั้งก็เห็นว่าคุณเขากำลังแง้มม่านมองมาทางผม
“มาเถอะคุณ เพื่อนผมกลับไปหมดแล้ว”
เขาค่อยๆ เปิดม่านมองมาจนแน่ใจว่าเพื่อนๆ ผมออกจากห้องไปหมดแล้วเขาถึงจะยอมข้ามมาหา
“อย่าให้เพื่อนมาห้องตอนที่ฉันอยู่สิ เพื่อนของนายบางคนก็รู้เรื่องของฉันนะ ถ้าคนอื่นรู้ว่าเรามาสุงสิงกันแบบนี้นายอาจจะโดนแบนตามฉัน นาย...นายจะไม่มีคนคบ หรือไม่สบายก็จะไม่มีใครช่วยส่งงานหรือเก็บชีทเรียนไว้ให้...”
เขาทำท่าทีร้อนใจพูดรัวจนหายใจแทบไม่ทัน ผมเข้าใจสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขากลัว และท่าทางของเขาทำให้ผมรู้สึกเห็นใจและอยากปลอบ ผมกดมือลงบนศีรษะของเขาแล้วโยกไปมา ทำเหมือนปลอบใจแต่ก็แกล้งอยู่ในที
“อย่ามาลามปามนะ!”
เขานิ่งไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะปัดมือผมออกทันที แถมหันมาแยกเขี้ยวขู่อีกตังหาก ท่าทางเขามันน่าตลก แต่พอเห็นว่าผมหัวเราะเขาก็ยิ่งโวยวาย ทั้งตีทั้งต่อยไหล่ผมจนเจ็บไปหมด
“เห็นตัวเล็กๆ นี่มือหนักเหมือนกันนะคุณ”
“หนักได้กว่านี้อีกถ้านายยังลามปามไม่เลิก แล้วนี้ไข้ขึ้นเหรอ มือร้อนเชียว”
“อืม ปวดหัวนิดหน่อย”
ผมยกมือนวดขมับตัวเองเล็กน้อย เดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบเจลลดไข้แผ่นใหม่ขึ้นมา คุณเขาก็เดินมาแย่งไป พอผมเลิดคิ้วเป็นเชิงถาม เขาก็จิ๊ปากทำหน้าตาเบื่อหน่ายใส่ผม
“ด...เดี๋ยวฉันช่วย นายไปนอนที่เตียงสิ”
ผมเดินไปนอนที่เตียง มองดูคุณเขาที่ลอกแผ่นเจลด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมแปะเลยหน้าผากผมไปตั้งครึ่งแผ่น
“แปะอะไรของคุณเนี่ย เลยขึ้นไปบนหัวเกือบครึ่ง”
“อะไรเล่า แปะให้แล้วยังจะมาบ่นอีก ก็คนไม่เคยใช้นี่”
คุณเขาบ่นมุบมิบแล้วค่อยๆ ลอกแผ่นเจลออกจากเส้นผม แล้วแปะลงไปไหม่ให้ตรงหน้าผาก ผมผงกหัวเพื่อขอบคุณ
“คุณกลับเลยก็ได้นะ อยู่นานเดี๋ยวติดหวัดผม”
เขาพยักหน้าแต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม พอผมเลิกคิ้วเขาก็ถามถึงเรื่องอื่นอย่างกินข้าวรึยัง แน่นอนว่าผมกินเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ไปคลีนิคเมื่อเช้าผมตุนโจ๊กซองไว้เป็นแพคเลยแหละ ถึงจะไม่สบายแต่ผมก็ดูแลตัวเองได้หายห่วง
“นายดูคล่องแคล่วดีนะ เวลาฉันไม่สบายก็นอนอยู่บนเตียงจนกว่าจะหายเองนั่นแหละ”
“อาจเป็นเพราะมีพี่น้องเยอะล่ะมั้ง ก็เลยรู้ว่าควรทำยังไงเวลาตัวเองหรือคนอื่นป่วย”
“พี่น้องเยอะเหรอ...ดีจัง คงไม่เหงาเลยอ่ะดิ”
นั่นไง ผมเริ่มจับสังเกตได้อย่างหนึ่งแล้วล่ะ คุณเขาเป็นคนขี้เหงา
“มีพี่น้องห้าคนน่ะ รวมผมด้วย พี่สาวผม แล้วก็น้องๆ อีกสามคน”
“เหรอ ดีจัง”
เขายิ้ม เห็นเขาดูมีความสุขเมื่อได้ฟังเรื่องครอบครัว ผมก็เลยเล่าให้เขาฟังไปหลายเรื่องเลยทีเดียว
“พี่สาวผมชื่อชมพู่ ส่วนน้องๆ ก็เป็นผู้ชายหมดเลย ชื่อมะพร้าว ลูกตาล และมะม่วง ไม่ต้องบอกก็คงเดาออกว่าที่บ้านปลูกต้นอะไรบ้าง”
“555 น่ารักดี แต่ชื่อเป็นผลไม้หมดเลยนี่นา ทำไมนายชื่อกรอยู่คนเดียวล่ะ มาจากผลไม้ชนิดไหน”
“ความจริงแล้วผมชื่อมังกรนะ”
“อ๋อ เอ๊ะ! มันก็ไม่ใช่ผลไม้อยู่ดีอ่ะ”
“แล้วถ้า ‘แก้วมังกร’ ล่ะ เป็นผลไม้ได้รึยัง?”
“...55555 ชื่อเก๋ดีนี่” เขาหัวเราะเสียงดัง ยิ้มจนตาหยี ทุบตักทุบเตียงอย่างถูกอกถูกใจ ผมรู้นะว่าชื่อผมมันแปลกเลยไม่ค่อยเล่าให้ใครฟัง แต่เห็นว่าคุณเขาชอบเลยยอมบอกนะเนี่ย
“แก้วมังกรมันยาวไป ตอนอนุบาลต้องเขียนชื่อติดรองเท้าพ่อเลยย่อเหลือแค่มังกร พอโตมาเรื่อยๆ ผมกลัวโดนล้อก็เลยบอกคนอื่นแค่ว่าตัวเองชื่อกร”
“มังกร...เป็นชื่อที่เหมาะกับนายดี”
มิวยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมเกือบไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่อถึงอะไรจนเห็นสายตาวิบวับมองต่ำมาที่หว่างขาของผมก็รู้เลยว่าคุณเขาหมายถึงอะไร
“หึหึ คุณนี่นะ”
ผมส่ายหน้าแล้วหลับตาลง ยาแก้ไข้ที่กินไปคงออกฤทธิ์เต็มที่ ผมไม่ปวดหัวแล้วแต่กลับมีอาการง่วงและหนังตาหนักเข้ามาแทนที่
“ปวดหัวเหรอ เดี๋ยวฉันกลับก่อนดีกว่า”
“เห็นนั่งอยู่ตั้งนาน ผมนึกว่าคุณจะดันทุรังบังคับผมทำเสียอีก ใจดีเหมือนกันนะคุณอ่ะ”
“นี่นาย! ฉันไม่ทรมานคนป่วยหรอกน่า” เขาแหวกลับแทบจะทันทีที่ผมพูดหยอก
“เหรอ...แต่ถ้าหากมีคนมาช่วยรีดพิษอาจทำให้ผมหายเร็วขึ้นได้” ผมแกล้งยักคิ้วหลิ่วตา หลุบตาลงมองเป้าตัวเองซึ่งเขาก็เข้าใจว่ารีดพิษอะไร มิวทำท่าจะเถียงแต่สีหน้าก็ดูลังเล เห็นท่าทางเขาแบบนั้นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกไปจนเขาจับได้ว่าโดนผมแกล้งอยู่
“นาย เดี๋ยวเถอะนะ!”
โวยวายไม่พอ ลงไม้ลงมือกับคนป่วยอีกตังหาก ผมก็ยกหมอนมาบังเอาไว้ พอคุณเขาทำอะไรผมไม่ได้ ก็เลยคว้าหมอนอีกใบมาปาใส่หน้าแล้วลุกออกจากเตียง สีหน้านี่ดูหงุดหงิดได้ที่เชียวล่ะเห็นแล้วมันน่าแหย่ให้โวยวายเพิ่ม
“แล้วพรุ่งนี้คุณจะมามั้ย”
“จะมาทำไมให้เสียเวลาเล่า แบร่!” เขาถอดแมสก์ออกแล้วแลบลิ้นใส่ เดินตึงตังทำหน้าคว่ำไปที่ระเบียง ใบหน้าแดงก่ำแต่ครั้งนี้อาจไม่ใช่เพราะเขินอายอะไรหรอกคงจะโมโหผมมากกว่า ผมเห็นแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้จริงๆ ได้ยั่วโมโหคุณเขาแบบนี้บ้างแล้วก็สนุกดี
วันถัดมา อาการไข้หวัดผมดีขึ้น แต่ยังต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง และยาแก้ไข้นั้นมันทำให้ง่วงมาก หลังจากกินมื้อกลางวันเรียบร้อยผมก็นอนต่อ มารู้สึกตัวก็ตอนที่มีฝ่ามือเย็นมานาบไปตามใบหน้า ผมคงคิดว่าคงโดนผีอำ หากไม่ได้ยินเสียงของเขาเสียก่อน
ผมนอนหลับตานิ่งๆ ฟังเสียงคุณเขาที่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แสดงว่าวันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับเขาแน่เลย สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว เพราะอยากจะรู้ว่าคุณเขาทำหน้าตาแบบไหนอยู่
“น นาย...ตื่นอยู่เหรอ?”
“ไหนว่าจะไม่มาไงคุณ”
ผมมองไปทางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำสีหน้าเลิ่กลั่ก ในมือก็ลอกแผ่นเจลลดไข้ค้างเอาไว้อยู่ พอผมมอง เขาก็แปะมันลงบนหน้าผากของผมจนได้ยินเสียงเพี๊ยะ จากนั้นก็ขยับตัวออกไปพูดเสียงดังใส่ผมอีก
“ก...ก็กลัวนายช็อกไข้ตาย เลยมาดูเสียหน่อย...เอ้า! ซื้อมาให้”
“หืม เจลลี่? ทำไมต้องเจลลี่”
“ก็กินเจลลี่ตอนป่วยแล้วมันอร่อยดี ทำให้รู้สึกดีขึ้น”
“5555 นั่นคือเหตุผลเหรอ”
“ถ้ามันไร้สาระนักก็ไม่ต้องกิน”
พอได้ฟังเหตุผลของเขาแล้วผมก็หัวเราะออกไป ผมไม่ได้คิดว่ามันไม่ดีนะ แค่คุณเขาน่ะไปหงุดหงิดอะไรมาไม่รู้ ทั้งที่ก่อนหน้านี่ยังอารมณ์ดีอยู่เลย ผมหัวเราะแค่หน่อยเดียวเขาก็ทำหน้าบึ้งแล้วดึงถุงเยลลี่กลับไป
“เดี๋ยวสิคุณ ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าไร้สาระ ผมก็แค่คิดว่าเหตุผลของคุณมัน...น่ารักดี อย่าทำหน้าบึ้งใส่คนป่วยแบบนั้นสิ”
“แล้วจะกินมั้ย?”
“กินครับกิน”
เขาบุ้ยปาก คิ้วเรียวยังคงขมวดใส่ผมอยู่เหมือนเดิม แต่ก็แกะฝาถ้วยเจลลี่ออกแถมยังเสียบช้อนแล้วส่งมาให้ ผมมองเยลลี่พร้อมทานตรงหน้าแล้วก็หันไปมองเขาที่กำลังแกะอีกถ้วยอยู่ ผมคิดว่าเขาจะแกะให้ผมอีกก็เลยจะออกปากว่าไม่ต้อง แต่ที่ไหนได้ เขาดันตักเจลลี่ถ้วยนั้นเข้าปากตัวเองแล้วหันมาเลิกคิ้วมองผม
“ไม่กินเหรอ? กินสิ หวานชื่นใจดีนะ”
พูดแล้วก็ตักเข้าปากตัวเองคำโต ผมมองแล้วก็อมยิ้ม เตรียมส่วนของตัวเองมาเสียด้วย 55555
“ขอบคุณนะครับที่ซื้อมาให้”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเพราะเลย” เขามุบมิบพูดเสียงเบา เห็นปากยื่นๆ แก้มป่องๆ แล้วมันก็รู้สึกมันเขี้ยวอยากจะจับบีบให้แก้มย้วย แต่ผมก็ต้องยั้งมือเอาไว้เพราะกลัวว่าจะโดนคุณเขาโวยใส่อีก
พอกินเยลลี่หมดผมก็ลุกขึ้น เดินไปหยิบผ้าขนหนู ตั้งใจว่าจะเข้าไปอาบน้ำเสียหน่อย ผมไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อวาน เหงื่อออกเหนียวตัวไปหมด แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าห้องน้ำก็โดนคุณเขารั้งเอาไว้
“เดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องห่วงผมขนาดนี้ก็ได้”
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงซักหน่อย แค่กลัวว่าไข้จะกลับแล้วนายจะตายคาห้องตังหาก”
ฟังแล้วก็อดที่จะเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ ดูเหตุผลของคุณเขาสิครับ ตายอะไรกันผมแค่เป็นไข้นิดหน่อย นี่ก็จะหายแล้วด้วย แต่แค่บอกมาว่าห่วงก็จบแล้วแท้ๆ ทำไมต้องมาโวยวายกลบเกลื่อนแบบนี้ทุกทีเลย คุณเขาไม่รู้รึไง ว่ายิ่งโวยวายผมยิ่งอยากแหย่น่ะ
“ครับๆ ไม่ห่วงเลยเนอะ” ผมพูดเย้า มิวก็หันมาค้อนเสียจนตากลับ ผมมองแผ่นหลังเล็กที่เดินหายเข้าไปในห้อง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูที่หมาดน้ำ
ผมบอกให้เขาใส่แมสก์ป้องกันเอาไว้ หายใจลดกันไปกันมาแบบนี้ เขาจะได้ไม่ติดหวัดผมไป ผมถอดเสื้อออก ทั้งเนื้อตั้งตัวเหลือเพียงแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ผ้าแตะลงบนผิวครั้งแรก ขนลุกตอนที่เขาถูผ้าไปมาตามแผ่นหลังและสีข้าง
“หนาวเหรอ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำอุ่นมาเช็ดให้มั้ย”
“เปล่า แบบนี้ดีแล้ว”
ผมส่ายหน้า มันไม่ได้หนาวหรอก แต่แค่รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา จะบอกว่าจั๊กจี้ก็ไม่เชิง มันสยิวมากกว่า ผมมองหน้าเขา มองคนใจดีตรงหน้า มิวเป็นคนที่ใจดีนะ เขาเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดีน่ะ ถึงแม้ว่าชอบโวยวายไปบ้างก็เถอะแต่ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง
“มองหน้าฉันทำไม”
“อยู่กันแค่สองคน ไม่ให้มองคุณแล้วผมจะไปมองอะไร”
“นายก็มองเก้าอี้ มองโต๊ะไปสิ”
“เก้าอี้กับโต๊ะมันไม่น่ารักเหมือนคุณนี่ครับ”
“... ปากดี”
คุณเขาพูดเสียงเบา มองผมตาขวางแล้วก็หลุบตาลง ผมไม่แน่ใจว่าแก้มเขาขึ้นสีรึเปล่าเพราะแมสก์ที่เขาใส่มันปิดใบหน้าเขาไปครึ่งหนึ่ง แต่ใบหูเขานะแดงระเรื่อได้ที่เชียวละ
ผมอมยิ้ม ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ดมกลิ่นหอมที่ลอยออกจากมาตอนที่เขาขยับตัวไปมา เป็นกลิ่นที่ผมไม่คุ้นชินเท่าไร แต่กลับยวนใจผมไม่น้อยเลยทีเดียว
“คุณเปลี่ยนน้ำหอมเหรอ?”
“นายเหม็นเหรอ”
มิวชะงัก นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและยกแขนตัวเองขึ้นมาดม ผมหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นท่าทางไม่มั่นใจของเขา พร้อมดึงตัวเขาให้เข้ามาใกล้ กดปลายจมูกลงลำคอขาวผ่อง กลิ่นน้ำหอมผสมกับกลิ่นผิวของเขาอย่างลงตัว
“หอมดี กลิ่นนี้ทำคุณดูเซ็กซี่กว่าเดิมยังไงไม่รู้”
“อือ…”
มิวครางเสียงแผ่ว เขาเอียงคอเงยหน้าขึ้นเปิดทางให้ผมซุกจมูกไปทั่วซอกคอ ผมสูดดมเข้าไปเต็มปอด เริ่มหลงไหลไปกับกลิ่นหอมของเขา
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนติดกับดัก อยากจะผละออกเพราะกลัวว่าอาจเลยเถิดไป ผมไม่สบายและไม่อยากให้เขาไม่สบายตาม แต่ผมโงหัวไม่ขึ้นเลย กลิ่นและท่าทางของเขาปลุกเร้าผมได้เสมอ
“นายกำลังทำให้ฉันมีอารมณ์นะ”
“ก็คุณยั่วผมก่อน”
“ฉันเปล่า…”
ผมเห็นว่าเขากลืนน้ำลาย ดวงตากลมโตมองต่ำไปที่เป้าของผมที่มันเริ่มตื่นตัวดันกางเกงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาช้อนตามองผมเหมือนขออนุญาต พอเราสบตากันเขาก็ขยับมือไปตรงส่วนนั้นสัมผัสเจ้าชายน้อยของผมผ่านกางเกงแล้วรูดรั้งมันเบาๆ
“แต่คุณอาจติดหวัดผมได้นะ”
เขาจิ๊ปากแล้วทำตาขวางใส่ ที่ผมพูดก็เพราะว่าห่วงเขานะ แต่พูดไปก็เท่านั้นล่ะนะ ผมไปปลุกอารมณ์เขาขนาดนนี้ คุณเขาไม่ยอมหยุดให้ง่ายๆ
มิวไม่พูดอะไร เขาแค่ขยับมือนวดแก่นกายให้ผมไปเงียบๆ ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้แล้วขยับตัวออกไปหยิบหน้ากากอนามัยของผมมาใส่ให้ หลังจากนั้นก็ขยับตัวขึ้นนั่งบนตักผม
“ใส่หน้ากากเอาไว้ แค่นี้ฉันก็ไม่ติดหวัดนายแล้ว”
ผมรู้ว่าเขาคงอมยิ้มอยู่ใต้แมสก์นั่นเพราะดวงตากลมโตของเขามันหยีเป็นสระอิอยู่ มิวคล้องแขนโอบลำคอผมไว้แล้วก็ขยับเอวช้าๆ ให้ส่วนอ่อนไหวของเราสองคนนั้นบดเบียดกัน
“เอวดีชะมัด”
เขายักคิ้วให้เมื่อได้ยินคำชมจากผม ก่อนจะเพิ่มลีลาการร่อนเอวไปมา คุณเขาให้ผมซี๊ดได้เสมอ ทั้งลีลาท่าทาง น้ำเสียงและแววตาที่มองมา เหมือนเขาตั้งใจทำให้ผมหลงจนไปไหนไม่ได้
“อา...”
เขาครางและแหงนหน้าขึ้น ลำคอขาวเผยอยู่ตรงหน้าผม อยากจะกัดอยากจะเลียแต่ก็ติดตรงมีแมสก์กั้นเอาไว้ ทำได้แค่ซุกไซร้ดมกลิ่นหอมแค่นั้น ผมโอบสะโพกเขาแล้วดึงเข้าหาเป็นจังหวะให้ส่วนของเขาและของผมแนบสนิทไปด้วยกัน เราสองคนไม่มีใครที่ถอดกางเกงเลย แต่กลับสัมผัสได้ถึงความร้อนของกันและกันอย่างชัดเจน
“กางเกงแฉะไปหมดแล้ว” เขาพูดกลั้วหัวเราะ ปลายนิ้วก็จิ้มไปตรงส่วนปลายของผม สัมผัสความชื้นแฉะผ่านกางเกงบ็อกเซอร์ และเขารู้ว่าทำยังให้ให้ผมรู้สึกเสียวจนแทบทนไม่ไหว
“คุณ อย่าทำแบบนั้น...ผมจะแตกเอานะ”
“ก็ไม่ได้ห้ามนี่”
มิวช้อนตามองผม เราสบตากันเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะให้ผมต้องหลับตาปี๋เพราะปลายนิ้วนุ่มนั้นวนไปมาอยู่รอบๆ รูตรงส่วนปลาย ซึ่งเขาเองก็รู้ดีเลยล่ะว่ามันเป็นส่วนที่อ่อนไหวของผม
เขาเกลี่ยปลายนิ้วกับตรงนั้นไปมาไม่หยุด อารมณ์ของผมก็ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ สองมือของผมนั้นบีบบั้นท้ายเขาเอาไว้ ดึงเข้าหาตัวสลับกับขยำอย่างมันมือ และในที่สุดผมก็ปลดปล่อยออกมาจนเปื้อนกางเกง
“ข้นเชียว”
มิวพูดปลายนิ้วนังคงขยี้ไปตรงส่วนปลายที่ชุ่มน้ำ เขาดันกางเกงผมลง เจ้าชายน้อยของผมก็ค่อยโผล่ออกมาทักทายเขา
“วันนี้ผมไม่ได้เตรียมถุงยางไว้นะ”
ผมบอกเมื่อเห็นว่าเขาขยับตัวออกไปถอดกางเกงของตัวเอง ก็เมื่อวานเขาบอกว่าจะไม่มา ผมก็เลยไม่ได้เตรียมเอาไว้ ของเก่าก็หมดไปแล้ว แต่จะให้ทำแบบไม่ใส่ผมก็เกรงใจเขา
“งั้นวันนี้ทำแค่ข้างนอกนะ”
“จะทำยังไง”
มิวพูดเสียแผ่วแล้วขยับตัวเปลี่ยนท่าเป็นคลานเข่าแล้วแอ่นสะโพกขึ้น ภาพตรงหน้าทำเอาน้ำลายผมเหนียวขึ้นมาทันที ระหว่างที่มิวบีบเจลหล่อลื่นใส่ขาตัวเองผมก็ใช้เวลานั้นรูดรั้งของตัวเองไปด้วย ตาก็มองก้นขาวส่ายไปมาอยู่ตรงหน้ารับกันดีกับต้นขาเนียน ก็คุณเขาเซ็กซี่น้อยอยู่เสียเมื่อไรละครับ จะให้ยืนเฉยๆ ผมทำไม่ได้หรอก
“นาย...ใช้ตรงนี้แทน”
มิวบอกให้ผมสอดเข้าไปตรงหว่างขาของเขา แล้วขยับช้าๆ แรกๆ มันก็รู้สึกแปลก แต่เขาพอบีบขาเข้าหากัน ก็ทำเอาผมอดทึ่งกับเขาไม่ได้
“ขาคุณนุ่มมาก อือ”
ผมเคยเห็นการกระทำแบบนี้ในเอวี แต่ไม่คิดว่ามันทำให้ความรู้สึกที่ดีได้ขนาดนี้ มันอาจไม่อุ่นและกระชับเท่าในตัว แต่พอคิดว่าของของผมมันเสียดสีอยู่กับขาอ่อนของคุณเขา ผมก็ร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ๊ะ...นาย อือ” ผมหอบหายใจ เห็นว่าหยดเหงื่อของตัวเองมันหยุดลงบนแผ่นหลังของคุณเขา เห็นสะโพกขาวที่ขึ้นเป็นคลื่นเล็กๆ ตอนที่โอนผมกระแทกเข้าไปและได้ยินเสียงหวานครางอย่าพึงพอใจ
ผมก้มลงไปหาในขณะที่เอวก็ขยับไม่หยุด ดมกลิ่นหอมตรงท้ายทอยของเขา ขบกัดเนื้อนิ่มทั้งที่ยังใส่หน้ากากนี่อยู่ มิวเอียวตัวมาหา เขาคล้องแขนข้างหนึ่งเข้ากับลำคอของผมในขณะที่อีกข้างก็ยังคงเท้าลงกับเตียงนอน
เราสบตากัน และไม่มีใครหลบตาไปก่อนเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา มิวมองผมเขม็งในขณะที่เข้าขยับต้นขาบีบรัดของผมเอาไว้แน่น ผมดันตัวเข้าหาแรงขึ้น เขาก็บีบขาแน่นกว่าเดิมและเป็นผมเองที่เป็นไอไก่อ่อน ทนไม่ไหว ปลดปล่อยก่อนเขาไปอีกครั้ง
ผมพลิกจัวคุณเขาให้นอนหงายและแยกขาเขาออกกว้าง ส่วนผมก็แทรกตัวเข้าไปนั่งตรงหว่างขาของเขา
“นายจะทำอะไร”
“ก็คุณยังไม่เสร็จ”
ผมขยับมือรูดรั้งแก่นกายให้เขา ตัวผมเองเองชอบชักแบบไหน ผมก็ชักให้เขาแบบนั้น มืออีกข้างที่ว่างก็ดันเสื้อยืดเขาขึ้นแล้วก้มตัวลงไปหา ดุนดันไปปลายลิ้นไปรอบๆ ยอดอกที่แข็งชัน และพึงพอใจเมื่อคุณเขาหวีดครางออกมาเมื่อผมใช้ฟันขบเนื้อนิ่มของเขาเบาๆ โดยมีหน้ากากนี้กั้นเอาไว้ สัมผัสแปลกๆ จากเนื้อผ้าของหน้ากากนี้คงทำให้เขาเสียวกว่าเดิม
ผมพยายามระวังให้มันไม่เป็นรอยฟัน เพราะเมื่อไรที่ที่กัดจนเป็นรอย นั้นหมายความว่า เขาจะเจ็บ ผมไม่ได้อยากทำให้เขาเจ็บ ผมแค่อยากให้เขาเสียว
“อ๊า! อ๊ะ กร อื้อ”
มิวคราวดังและถี่ขึ้น เขาเกร็งไปทั้งตัว นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาใกล้จะถึงจุดหมาย ผมเร่งมือพร้อมกับมองใบหน้าของเขาไปด้วย เขาหลับตาพริ้มคิ้วก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน หยาดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม ไม่นานเขาก็ปล่อยออกมา น้ำรักสีขุ่นทะลักเต็มฝ่ามือ ผมก้มลงไปมองอย่างพอใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาของมิวที่มองอยู่ เขามองมาที่ผมนิ่งๆ
“มองอะไรครับคุณ”
“อยู่กันแค่สองคน ไม่ให้มองนายแล้วจะให้ไปมองอะไร”
ดูเขาพูดสิ นั่นมันประโยคเดียวกันกับที่ผมพูดออกไปก่อนหน้านี้ชัดๆ ผมหัวเราะแล้วมองเขากลับไป ยอกย้อนเก่งนักนะคุณเขาอ่ะ
“หึหึ นั่นสิเนอะ งั้นก็มองผมนี่แหละอย่าให้เห็นไปมองอย่างอื่นนะ เก้าอี้ โต๊ะ โคมไฟของผมก็ห้ามมอง”
“อือ นายก็มองแค่ฉันนะ อย่าไปมองอย่างอื่น...”
คุณเขาพูดถึงสิ่งของใช่มั้ย? แต่ทำไมผมฟังแล้วถึงคิดว่าเขาหมายถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่สิ่งของ
ผมมองตาเขา เราสบตากัน ผมอมยิ้ม ยักคิ้วทะเล้นใส่ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ผมแค่อยากจะแกล้งเฉยๆ แต่พอเห็นแววตาของคุณเขาผมก็อยากทำอย่างอื่น ดวงตาสีน้ำตาลที่มองมามันมีอะไรบางอย่าง เหมือนเขาขอร้องและอยากพูดอะไรซักอย่าง ผม...ผมไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าตอนที่คุณเขาทำสีหน้าแบบนี้แล้วมองมาที่ผมนั้น น่าจูบมาก
ผมยังคงจำรสจูบหวานละมุนที่เขาเคยทำกับผมได้ดี ผมชอบจูบแบบนั้นจากเขาและตอนนี้ผมอยากได้อีก อยากให้เขาจูบผมแบบนั้นอีก
“นาย…”
มิวเรียกเมื่อผมมองเขานิ่งๆ ผมกลืนน้ำลายอยากจะจูบเขา แต่เราใส่แมสก์อยู่และผมเป็นหวัด มิวเอียงหน้า ผมเห็นว่าเขากลืนน้ำลายตามก่อนจะยกแขนขึ้นมาดึงคางผมลงไปประกบจูบ ผมไม่ได้ขัดขืนกลับเป็นฝ่ายเอียงคอให้เราสัมผัสกันอย่าถูกองศา
เราจูบกันผ่านหน้ากากอนามัยนี่แหละ รสชาติแปลกใช้ได้ ผมก็รู้สึกได้ถึงลิ้นเล็กๆ ที่พยายามดุนเข้ามาแต่ก็ติดตัวแมสก์ที่กั้นเอาไว้
มันคงง่ายกว่าหากเราผละออกจากันซักเล็กน้อยเพื่อดึงแมสก์นี่ออก แต่ในตอนนี้ไม่มีใครอยากผละออกจากกันซักวินาทีเดียว ผมดันลิ้นเข้าหา เราดุนลิ้นใส่กันจนแมสก์ที่ขวางเอาไว้ชุ่มด้วยน้ำลายไปหมด
ผมผละออกเมื่อรู้สึกได้ว่ามิวตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง และผมเองก็เช่นกัน
“วันหลังนายไปซื้อแพ็คใหญ่มาเก็บไว้เลยนะ”
“ครับผม”
สองวันถัดมา เมื่ออาการไข้หวัดผมดีขึ้นแล้วก็กลับมาเรียนตามปกติ ตอนนี้มันช่วงพักเที่ยง ผมและกลุ่มเพื่อนที่ทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วก็มานั่งที่หอประชุมกลางของคณะเพื่อรอเรียนวิชาในช่วงบ่าย
ผมคงจะเผลอหลับไปแล้วถ้าไม่เห็นว่ามิวบังเอิญเดินผ่านมาเสียก่อน เขาใส่หน้ากากอนามัยและไอค่อกแค่กออกมา เราสบตากันเล็กน้อย ผมยักคิ้วทักทายแต่มิวกลับเมินแล้วเดินไปทางอื่น ผมเตรียมจะหลับตาลง นอนพักสายตาเล็กน้อย แต่เพื่อนในกลุ่มก็พูดออกมา
“ไข้หวัดระบาดแน่เลย มึงเพิ่งจะหาย กูก็เห็นคนอื่นเป็นอีกแล้ว คงต้องซื้อแมสก์มาใส่กันไว้บ้าง...”
ฟังแล้วผมก็แอบหัวเราะในใจ อยากจะบอกเพื่อนเหลือเกินว่า แมสก์นะมันป้องกันได้ไม่ดีเลย เชื่อผมเถอะผมพิสูจน์มาแล้ว แต่ถ้ายังไม่เชื่อจริงๆ ก็ไปถามคุณเขาสิเขาคงรู้ดีเลยล่ะ
สวัสดีค่า ตอนนี้ยังคงเรื่อยๆ เนอะ เห็นความคืบหน้าขึ้นมานิสนุงง แต่ก็คิดว่าเป็นความคืบหน้าที่สำคัญสำหรับมิวนะคะ พอจะจับสังเกตกันได้มั้ยคะว่าตรงไหน 5555
ตอนนี้อาจจะเห็นไม่ชัดเท่าไร แต่รอตอนหน้านะคะ พี่มิวอาจจะชัดเจนกว่าเดิม ให้เวลาเขาเนอะ มิวเขาผ่านอะไรๆ ที่ไม่ดีมา ก็ต้องรู้สึกกลัวเป็นธรรมดา มาเอาใจช่วยพี่มิวกันค่า