ตอนที่ 30
“กี่ครั้งแล้วพี”
เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ผมเดินตามเขาออกมาจากห้องพักชั้นยี่สิบของสยาม ชโยดม จนถึงเพ้นต์เฮ้าส์ชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา เพิ่งเปิดปากเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ามาเจอผมกับดีนอยู่ด้วยกันบนเตียงในสภาพล่อแหลม ที่มองอย่างไรก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เขาไม่ควรคิดแบบนั้น เพราะเขาก็รู้ว่าผมมีแค่เขาคนเดียว รักเขาคนเดียว
“บอกฉันว่าเธอนอนกับมันกี่ครั้ง” เขาถามย้ำ ไม่หันกลับมามองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ออกจากโรงแรมสยาม ชโยดม เขาแทบไม่มองหน้าผมเลย เอาแต่เงียบ ผมรู้ว่าเขากำลังข่มความโกรธเกรี้ยวไว้อย่างสุดความสามารถ ผมถึงได้นั่งเงียบมาตลอดทาง จนถึงตอนนี้แหละที่ผมกับเขามีคำพูดต่อกัน
“คุณยะกำลังเข้าผิด” ผมเดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง ซบหน้าไว้กับแผ่นหลังกว้าง ไอร้อนระอุออกมาจากร่างกายเขาแบบที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ความอบอุ่นที่เป็นมาตลอด “พีไม่เคยนอนกับดีนนะครับ เราเป็นเพื่อนกัน” ถึงดีนอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนก็ตาม แต่สำหรับผมดีนคือเพื่อน ไม่ต่างจากปาลิน
“แล้วที่ฉันเห็นมันคืออะไร”
“คือ...” จะบอกยังไงดี ผมนึกคำโกหกไม่ออกเลย บอกความจริงก็ไม่ได้
“คืออะไรล่ะพี” ครั้งนี้เขาปลดมือผมออกจากตัว หันกลับมาจ้องหน้าผม สายตาของเขาขุ่นคลั่ก พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ “ที่ฉันเห็นคือเธอนอนอ้าขาให้มัน!” เขาจับไหล่ผมเขย่า
“เรา...เอ่อ...เราแค่เล่นกันครับ” มันเป็นคำแก้ตัวที่โง่เง่าและเขาไม่เชื่อ
“เล่น!” เขาตะคอกเสียงขุ่นจัด มือที่กำไหล่ผมไว้เพิ่มแรงบีบลงมาจนผมเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าบอกให้เขาปล่อย ตอนนี้ร่างกายเขาไม่ต่างจากภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ “เล่นกันบนเตียง เล่นจูบปากให้คนเห็นทั้งงานงั้นเหรอพี”
“...!?” ที่เขาพูด หมายถึงที่ดีนจูบผมในปาร์ตี้วันเกิดพี่พราวอย่างนั้นเหรอ และผมก็ได้คำตอบ เมื่อเขาปล่อยมือจากไหล่ผม ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า สักพักก็ยื่นรูปถ่ายที่ถูกส่งมาให้เขาในแชตไลน์
ทำไมทุกอย่างต้องมีหลักฐานด้วยนะ!
“ดูให้หมดพี” เขายัดโทรศัพท์ใส่มือผม “แล้วตอบฉันมาว่าเธอเล่นแบบนี้กับมันมากี่ครั้งแล้วหะ!”
ผมเลื่อนปลายนิ้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมของโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นไป เพื่อดูรูปถ่ายของผมกับดีนตั้งแต่เข้ามาในงานจนถึงตอนที่ถูกดีนกอดคอออกจากห้อง คนที่ถ่ายรูปผมจับภาพทุกช่วงเวลาที่ผมสนุกสนานอยู่กับเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ควันบุหรี่ที่ลอยออกจากริมฝีปากของผม แผ่นหลังของผมที่กำลังนั่งอยู่บนตักของดีนและจูบกัน รวมทั้งตอนที่ผมถูกดีนดึงเอาตัวไปเต้นอยู่กลางห้องท่ามกลางเสียงดนตรีหวีดดังและแสงไฟหลากสีที่ไม่ต่างจากในเทคหรือผับ มีแม้กระทั่งรูปที่มือของดีนวางอยู่บนสะโพกของผมตอนที่เต้นกันอยู่นั้น ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ามือของดีนไหลไปตามร่างกายของผม คล้ายกับว่าผมกับดีนกำลังนัวเนียกันไม่ต่างจากคู่ของคนอื่นๆ ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยว่ามือดีนจะไหลไปทั่วขนาดนั้น หรือเพราะความเมาทำให้ผมไม่มีสติพอที่จะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“ตอบมาพีว่าเธอเล่นแบบนี้กับไอ้เด็กนี่มากี่ครั้งหะ!!”
“...” มือที่กำโทรศัพท์ไว้สั่นแบบที่ผมห้ามไม่ได้ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่เกรี้ยวกราดนั้นเลย และผมไม่อยากจะเชื่อด้วยว่า คนที่ส่งรูปในงานปาร์ตี้มาให้คุณยะคือ...คุณชลัช
ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นพี่เลม่อน ที่อาจจะรู้จากใครสักคนในงานปาร์ตี้ว่าผมอยู่ในงานนั้นด้วย เลยใช้ให้คนคนนั้นถ่ายรูปผมอย่างละเอียด เจ้าตัวจะได้เอารูปพวกนี้ส่งไปให้คุณยะดู เพื่อทำให้คุณยะโกรธผม แต่พอดูชื่อและรูปของคนที่ส่งพวกมันมาให้คุณยะกลับไม่ใช่พี่เลม่อน แต่เป็นคุณชลัช
พร้อมกับคำถากถางแบบสองแง่สองง่าม
‘...สงสัยน้องชายยังไม่อิ่ม เลยมากินกับเพื่อนต่อ ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีในฐานะพี่ชายที่หวังดีกับนายเสมอ...เลี้ยงให้อิ่มหน่อยนะ ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปหากินนอกบ้าน เดี๋ยวจะซวยเอาเชื้อโรคเข้าบ้านละแย่เลย’
...ถ้าเขาไม่ใช่พ่อของผม ผมจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้
“ฉันจะทำยังไงกับเธอดีหะพี”
“พีขอโทษ พีไม่ได้ตั้งใจ” ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ ที่ผมเห็นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด ถ้าเขาจับผมหักแขนหักขาได้ เขาก็คงจะทำมันไปแล้ว
“ถามจริงพี” เขาถามเสียงเข้มกดดัน ใจผมสั่นไปหมด กลัวเขาโกรธและบอกเลิกผม “เธอนอนกับเด็กนั่นแล้วใช่ไหม”
“พีไม่เคยนอนกับดีน จริงๆ นะ” ผมโผเข้ากอดเขา แต่เขากลับถอยหนี ผมเลยคว้าได้แค่ความว่างเปล่า สายตาเขาที่ทอดมองมาที่ผมเต็มไปด้วยความผิดหวัง มันทำให้ผมเจ็บปวด “พีรักคุณยะ พีไม่นอนกับใครนอกจากคุณยะคนเดียว”
“รักฉัน ?” เขาเค้นเสียงถาม “แต่ไปเปิดห้องนอนกับมัน”
“พีแค่จะเข้าไปนอน” ผมบอก แต่เขาไม่ฟังเลย
“ถ้าฉันไม่เข้าไปเจอ เธอกับไอ้เด็กนั่นก็คงคลานขึ้นสวรรค์แล้วมั้ง” เขายิ้มเยาะ คำพูดใส่ร้ายนั้นเสียบแทงเข้ามาในหัวใจผมจนพรุน แค่รูปที่มีคนแอบถ่ายผมไว้ตลอดงานปาร์ตี้ (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายแล้วส่งให้คุณชลัช) กับที่เขาเห็นผมอยู่กับดีนบนเตียง เขาก็ตัดสินได้แล้วเหรอว่าผมกับดีนมีอะไรกัน
“พีมีคุณยะคนเดียว” ผมเดินเข้าไปกอดเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ถอยหลังหนีไปไหน ผมกอดเขาแน่นเพราะกลัวเขาผลักผมออกไป แต่ก็อดตัดพ้อเขาไม่ได้ “คุณยะยังเคยนอนกับใครตั้งเยอะแยะ น้องพียังยอมรับได้เลย” แรกๆ ผมอาจจะรับไม่ได้ เคยรังเกียจสิ่งที่เขาทำ แต่หลังจากที่ผมกับเขาใจตรงกัน ผมก็พยายามมองข้ามมันไป เพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะมีแค่ผมคนเดียว ไม่ไปกอดใครที่ไหนอีกแล้ว
แต่ไม่คิดว่าคำตัดพ้อนั้นจะทำให้เขาเข้าใจผิดผมอีกแล้ว
“เธออยากให้ฉันยอมรับเรื่องที่เธอไปนอนอ้าขาให้ใครก็ได้งั้นเหรอ ?”
อดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ที่เขาใช้คำว่า ‘อ้าขา’ กับผมหลายครั้ง มันเหมือนคำดูถูกที่ไม่ต่างจากสายตาของเขาที่มองมาผมอยู่ในตอนนี้เลย
...มองไม่เห็นความรักอยู่ในนั้น
“พีไม่ได้หมายความอย่างนั้น พีแค่...” คำว่า ‘น้อยใจ’ ไม่ทันได้ออกจากปากผม เพราะเสียงโทรศัพท์ของเขาที่อยู่ในมือผมดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
Rrrrrr…
เจ้าของสายเรียกเข้าคือพี่เลม่อน และผมก็กดตัดสายทิ้งทันที
“อย่ายุ่งกับของฉัน”
แล้วเขาก็ดึงเอาโทรศัพท์ไปจากมือผม ผมก็ได้แต่มองตามเขาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ยืนหันหลังให้ผม เจ็บปวดไปกับคำพูดเหินห่างนั้น
“มีอะไรเลม่อน...ทำไมวันนี้เลิกกองดึก...อยู่ที่ไหน...ฉันจะรีบไป” เขาพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสาย แต่ไม่กี่ประโยคนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีเขาก็จะไปจากผม ทั้งที่เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย
“ห้ามไป” ผมพูดขึ้นตอนเขากำลังเดินไปที่ประตูห้องเพนส์เฮ้าส์
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน” เขาหันกลับมามองหน้าผมอย่างเฉยชา
“แล้วถ้าน้องพีขอล่ะ...” ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างอ้อนวอน ไม่อยากให้เขาออกไปทั้งที่เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน เขายังเข้าใจผมผิดอยู่เลย “...ไม่ไปหาพี่เลม่อนได้ไหม อยู่กับน้องพีนะ...ฮึก...นะครับคุณยะ” ผมเดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ กอดเขาไว้ให้แน่นที่สุด
“ปล่อย” เขาค่อยๆ แกะมือผม ผลักผมออกไปจากตัวเขา หันหลังให้ผมอีกครั้ง
“ถ้าคุณยะออกไป” ผมตัดสินใจขู่เขา หวังว่าจะได้ผล ถ้าเขายังแคร์ผมอยู่ “...เราเลิกกัน”
ดูเหมือนจะได้ผล มือของเขาแตะประตูค้างไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าผม และนั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้ผลสักนิด
“เธอก็ต้องการแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” เขาแสยะยิ้ม “จะได้กลับไปคบกับไอ้เด็กนั่น เสเพลเกเรแบบนั้นคงจะถูกใจเธอมากกว่าฉัน แต่ยังไงก็เพลาๆ เรื่องปาร์ตี้ยาด้วยละกัน ฉันไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ฉันต้องไปประกันตัวเธอที่สถานีตำรวจ ชื่อเสียงพวกท่านจะป่นปี้เพราะคนนอกอย่างเธอซะเปล่าๆ”
อึก!
คำพูดของเขาเป็นยิ่งกว่ามีดที่เสียบค้างและกดลึกลงมาซ้ำๆ นานแล้วที่คำพูดทำนองนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากปากของเขา
“ทำตัวเหมือนแม่เธอไม่มีผิด... มั่วไปทั่ว”
...แม่
ผมเหมือนแม่...ผู้หญิงที่เขาทั้งเกลียดทั้งรักใช่ไหม ?
แต่...ผมไม่เหมือนเธอคนนั้น คุณยะจะมาเมารวมเพราะความเข้าใจผิดไม่ได้
“ผมไม่ได้มั่ว...ฮึก...ผมไม่เหมือนแม่” ผมเถียงทั้งน้ำตา เพราะผมไม่อยากเหมือนคนที่เขาเคยรัก ไม่อยากเป็นตัวแทน โดยเฉพาะตัวแทนที่ต้องมารองรับความเกลียดชังทั้งหมดของคุณยะไปตลอดทั้งชีวิต
“...” เขามองหน้าผมนิ่งนาน แต่เป็นการมองที่ไม่ต่างจากการเหยียบให้ผมจมลงไปในความผิดที่ผมไม่ได้ก่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงระหว่างพวกเขาทั้งสามคนเป็นยังไง
“อยากกลับไปหาพ่อแม่ของเธอไหม” สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่ไหม
“พี...ฮึก...ไม่อยาก” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา ผมอยากอยู่กับเขา อยากเป็นครอบครัวตรัยธาดาเหมือนเดิม ไม่อยากไปใช้นามสกุลของเขาคนนั้น
“แต่ฉันอยาก... อยากเห็นหน้ามันตอนรู้ว่าเธอเป็นลูก อยากรู้ว่ามันจะภูมิใจมากแค่ไหนที่มีลูกแบบเธอ”
“คุณยะไม่รักน้องพีแล้วเหรอ” ผมอยากรู้ เพราะเขากำลังกลับมาโหดร้ายกับผมเหมือนตอนที่เขายังไม่รักผม
“...”
“พีผิดอะไร ทำไมคุณยะถึงไม่รักพีแล้ว”
“เธอผิดตั้งแต่ยังไม่เกิด ผิดที่ทำให้ ‘มัน’ มาเยาะเย้ยฉัน ผิดที่คิดจะสวมเขาให้ฉันไงล่ะพี”
“แล้วให้พีเกิดมาทำไม” ถ้าจะเกลียดเจ้าของสายเลือดในตัวผมขนาดนี้
“...” เขาไม่ตอบ แต่หันไปกระชากประตูเปิดและเดินออกไปจากห้องทันที ขณะที่ผมไร้ซึ่งคำพูดจะมาเหนี่ยวรั้งตัวเขาเอาไว้
ผมผิดจริงๆ สินะ
...ผิดตั้งแต่ที่เกิดมา
...ผิดที่รักเขา
.
.
.
ผมก้าวลงจากแท็กซี่หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ตรงหน้าผมที่สูงตระหง่านขึ้นไปบนฟ้าคือโรงแรมสยาม ชโยดม ผมมาที่นี่ในสภาพตาบวมช้ำและแดงก่ำจากการนอนร้องไห้มาทั้งคืน สภาพที่ใครเห็นก็ต้องตกใจ แม้แต่ผมเองยังตกใจตัวเองเลยตอนส่องกระจก พี่แอลเลขาของคุณยะที่ขึ้นมาเอาชุดทำงานลงไปให้เจ้านายของเธอเห็นยังตกใจจนอ้าปากค้าง ปรี่เข้ามากอดผมไว้ด้วยความสงสาร ปลอบผมว่าคุณยะแค่โกรธผม รอใจเย็นอีกสักนิดก็คงจะขึ้นมาง้อผม แต่ผมก็ไม่เห็นวี่แววว่าคุณยะจะกลับมาหาผม มาขอโทษผม ผมนั่งรอตั้งแต่แปดโมงครึ่งที่พี่แอลออกไป รอจนถึงเที่ยงก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตูเข้ามา
ผมตัดสินใจลงไปหาเขา แต่ก็เป็นพี่แอลอีกนั่นแหละที่ห้ามไม่ให้ผมเข้าไปเพราะพี่เลม่อนอยู่ในห้องกับเขา
สุดท้ายผมก็ต้องถอย แล้วเลือกมาที่นี่แทน ไม่รู้ทำไมแต่ก็เป็นที่ที่เดียวที่ผมอยากมา... ถ้าผมเข้าไปบอกว่าผมเป็นลูกเขา ผมจะรู้ความจริงที่อยากรู้ไหม... ว่าแม่ผมเป็นใคร คุณยะเคยรักแม่ของผมมากแค่ไหน คุณชลัชทำอะไรถึงทำให้คุณยะเกลียดมาจนถึงวันนี้
“สวัสดีค่ะ ติดต่อห้องพักหรือคะ” พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ถามด้วยรอยยิ้ม ที่พยายามจะไม่แสดงความตกใจออกมาทางสีหน้าที่เห็นสภาพใบหน้าช้ำน้ำตาของผม
“ไม่ใช่ครับ” ผมตอบก่อนบอกจุดประสงค์ที่มายืนตรงนี้ “ผมอยากขอพบคุณชลัช”
“พบ...คุณชลัชหรือคะ” เธอถามเหมือนเห็นเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่เด็กอย่างผม ซึ่งเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้จะขอพบลูกชายเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ “เอ่อ...แล้วได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ครับ แต่รบกวนพี่ช่วยโทรขึ้นไปบอกเลขาคุณชลัชได้ไหมครับว่าผมมีเรื่องสำคัญมากจะพูดกับคุณชลัช” ...ความลับที่เขาไม่เคยรู้มาถึงสิบหกปี
“พี่เกรงว่าตอนนี้คงจะไม่ได้ค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ยังไงน้องให้ชื่อและเบอร์โทรติดต่อไว้ก่อนนะ แล้วพี่จะบอกเลขาของคุณชลัชให้ ถ้าท่านให้เข้าพบได้พี่จะโทรกลับไปบอกนะคะ”
“ครับ” ผมรับคำอย่างเสียไม่ได้ เข้าใจว่าเธอไม่มีอำนาจที่จะปล่อยให้เด็กอย่างผมขึ้นไปพบผู้บริหารระดับสูงได้ง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีขั้นตอนและกลั่นกรองอย่างละเอียด
“ฝากชื่อและเบอร์โทรไว้นะคะ” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตที่มีโลโก้ของทางโรงแรมอยู่บนหัวกระดาษให้ผมพร้อมปากกา ผมรับมาเขียนชื่อและเบอร์โทรศัพท์มือลงไป และไม่ลืมที่จะดึงเอาบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าตังค์ แนบไปกับกระดาษแผ่นเล็กนั้นด้วย เพื่อยืนยันชื่อที่ผมเขียนลงไป และมันอาจจะเป็นทางลัดที่ทำให้ผมได้พบคุณชลัชวันนี้เลย
“นี่ครับ”
“พีรัช ตรัยธาดา” เธอทวนชื่อผมเบาๆ ก่อนยื่นบัตรประชาชนคืนให้ผม แล้วถาม “น้องเป็นอะไรกับคุณอารยะเจ้าของพุฒิธาดาหรือเปล่าคะ”
“ผมเป็นน้องชายครับ” เพราะนามสกุลของตรัยธาดาทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ผมไม่ได้เป็นแค่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ในสายตาของพนักงานคนนี้อีกต่อไป
“งั้นเชิญน้องพีรัชนั่งที่โซฟาตรงนั้นก่อนนะคะ” เธอก้าวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ เดินนำผมไปนั่งที่ชุดโซฟาที่ตั้งวางอยู่ไม่ไกลนัก “พี่จะโทรขึ้นไปเรียนเลขาคุณชลัชให้นะคะ” แล้วก็เดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์และก็เปิดประตูด้านหลังเคาน์เตอร์เข้าไปอีกที หายเข้าไปสักพักใหญ่ๆ ถึงได้กลับออกมา
“คุณชลัชเชิญให้ขึ้นไปพบได้ค่ะ เชิญน้องพีรัชตามมาทางนี้ค่ะ” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายจะหยิบยื่นให้แขกวีไอพีมากกว่าตอนแรก
“ครับ”
ผมก้าวตามเธอไป ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกผลักให้เดินไปยังหน้าผาสูงชัน ที่ด้านล่างคือหุบเหวลึกที่จะพรากทุกสิ่งที่ผมเคยมีตลอดสิบหกปีไปตลอดกาล
ผมตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ?
ผมพร้อมที่จะออกมาจากครอบครัวตรัยธาดาแล้วใช่ไหม ?
และพร้อมจะตัดใจจากคุณยะแล้วจริงๆ เหรอ ?
“น้องคะ น้องพีรัชคะ ลิฟต์มาแล้วค่ะ”
“คะ...ครับ” ผมยิ้มขอโทษให้เธอที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดความเครียดของตัวเอง ก่อนจะก้าวตามเธอเข้าไปในห้องโดยสารสี่เหลี่ยมที่จะพาผมขึ้นไปบนหน้าผาสูง
ผมมองหมายเลขชั้นที่หมายด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มือที่กำเข้าหากันทั้งสองข้างนั้นชื้นเม็ดเหงื่อ ราวกับว่ามันจะไหลเป็นสายน้ำได้เลยทีเดียว ทั้งที่อากาศเย็นเฉียบและคล้ายจะกรีดผิวเนื้อของผมก็ไม่ปาน
ถึงอยากให้ระยะทางไปหน้าผาสูงยาวไกลไปอีกสักอีกสิบยี่สิบชั่วโมง แต่ผมก็รู้ดีกว่าระยะทางจากชั้นล็อบบี้จนถึงชั้นสิบแปดใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที สุดท้ายผมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของเขา
“เชิญข้างในได้เลยครับ” เลขาหน้าห้องของคุณชลัชเป็นผู้ชาย หน้าตาท่าทางและรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างมากทีเดียว เขายิ้มให้ผมและผายมือให้ผมผลักประตูบานนั้นเข้าไปด้วยตัวเอง
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยเบาๆ สูดหายใจเข้าลึก พลางขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ประตูมากพอที่จะผลักมันเข้าไปด้านใน
ขาผมหนักราวกับเสาปูน ก้าวแทบไม่ออก แต่ผมก็ลากเอามันเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้ม ไร้เนกไท กระดุมยังปลดถึงสามเม็ด ต่างกับคุณยะลิบลับ รายนั้นแต่งตัวถูกระเบียบความเป็นผู้บริหารทุกกระเบียดนิ้ว
...คุณยะ
ผมกล้าไปจากเขาแล้วจริงๆ ใช่ไหม ?
คำถามดังซ้ำๆ ในหัวผม ภาพของคุณยะแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มของเขา ความอบอุ่นของเขา คำบอกรักของเขา แม้แต่ความใจร้ายของเขาที่สาดใส่ผมนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม ทั้งหมดมันทำให้ผมได้แต่ยืนจับประตูค้างอยู่อย่างนั้น
“เข้ามาสิ” จนกระทั่งเจ้าของห้องเอ่ยออกมา ผมถึงได้ปล่อยมือจากที่จับประตู “มีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับฉัน ? หรือว่าเรื่องเมื่อคืน” เขาปิดแฟ้มและวางปากกาในมือลง
...ไม่ใช่เรื่องเมื่อคืนหรอกแต่มันเป็นผลกระทบจากเรื่องเมื่อคืนต่างหาก
“จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วคุยกับฉันหรือไง” เขาถามเสียงดุตามมาอีก เพราะผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินเข้าไปหาเขาที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ “งั้นก็ตามใจ อยากยืนคุยตรงนั้นก็เอา มีอะไรว่ามา”
“ผมเป็น...”
...ลูกคุณ
คำคำนี้ไม่ยอมหลุดออกมาจากปากผม
“เป็น ?” เขาทวนคำกลับมา ยืนตัวขึ้นหน่อยๆ คล้ายอยากจะฟังคำที่ผมยังพูดออกมาไม่หมด
ผมยังลังเล...บอกความจริงออกไป ผมอาจจะต้องไปอยู่กับเขา
“ว่าไง จะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งรอเธอพูดเป็นชั่วโมงๆ หรอกนะ...กลัวดอกพิกุลร่วงหรือไง” ปากคอก็ยังร้ายกาจกับเด็กที่ไม่มีทางสู้เหมือนเดิม
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้!
“ผมจะมาบอกคุณว่า...ผมเกลียดสิ่งที่คุณทำกับผม เกลียดที่คุณรังแกเด็กอย่างผม ทั้งที่ผมไม่เคยทำร้ายอะไรคุณเลย ผมเกลียด...” ...เกลียดที่คุณเป็นพ่อที่ใจร้ายที่สุดในโลก
“มาเพื่อบอกแค่นี้” เขาขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเยาะ ไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับคำพูดของผมแม้แต่นิดเดียว “ฉันจะรับไว้ละกัน เผื่อเธอจะได้สบายใจขึ้น แต่ว่า...เรื่องเมื่อคืน เธอทำตัวเองนะ ฉันไม่เกี่ยว”
ใช่! ผมทำตัวเอง
ถ้าผมไม่ไปกับดีน ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เข้าไปในห้องกับดีน ไม่อยู่กับดีนบนเตียง ผมก็คงไม่มีจุดจบอย่างเมื่อคืน
“แล้วมีอะไรอีกไหม” เขาถาม พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ท่าทางผ่อนคลายและมีความสุข ต่างกับผมเหลือเกินที่ร้องไห้มาทั้งคืนกับสิ่งที่เขาทำร้ายผม
“มี!” ผมมองหน้าเขาเขม็ง กลั่นคำพูดออกมาอย่างเจ็บปวดที่สุด “คุณจะไม่มีวันรู้ความจริงไปตลอดชีวิต...คุณชลัช!” พูดจับผมก็หันหลังให้เขาทันที มือจับประตูกระชากออกอย่างแรง กะว่าก้าวขาออกไปแล้วผมจะปิดประตูให้ดังสนั่นไปทั้งชั้นสิบแปดเลย
“เดี๋ยวก่อน” เขาเรียกผมไว้ก่อนที่จะก้าวออกไป
“...” และผมก็เผลอหันกลับไปหาเขา สิ่งที่ผมเห็นคือเขาที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในระดับสายตา แม้แต่คนโง่ก็รู้ครับว่าเขากำลังยกมันขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้
“เผื่อพี่ชายเธออยากเห็นสภาพน้องชายตัวเอง” เขาพูดยิ้มๆ
...ผมขออนุญาตเกลียดรอยยิ้มของเขาได้ไหม!
.
.
.
“ผมขอบูลเบอรี่ชีสเค้กกับน้ำมะนาวครับ” ผมบอกพนักงานสาวร่างอวบอิ่มของร้านเชิญครับ ร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ คลินิกรักษาสัตว์ของอานุ
หลังจากออกมาจากโรงแรมสยาม ชโยดม ด้วยความโมโหแบบที่หัวแทบร้อนไหม้ ทั้งที่ตอนเข้าไปผมเหมือนถูกห่อด้วยแท่งน้ำแข็ง ผมก็ไม่รู้จะไปไหนดี จะไปหาดีนที่ไลน์มาหาผมทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังไลน์มาหาผมอยู่แต่ผมไม่อ่าน ผมก็ไม่อยากจะไป ไม่อยากเจอหน้าดีนตอนนี้ เพราะผมก็โกรธดีนด้วยที่มีส่วนทำให้ผมถูกคุณยะเข้าใจผิด ส่วนเพื่อนอีกคนของผมอย่างปาลิน ไปต่างจังหวัดกับอาจารย์เพ็ญศิริตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ
ให้กลับบ้านด้วยสภาพแบบนี้ก็คงไม่ได้ ถึงแม้รอบหน่วยตาของผมจะหายบวมแล้วก็ตาม แต่ผมคงซ่อนความเจ็บปวดจากสายตาของพวกท่านไม่ได้ เพราะลำพังแค่นั่งอยู่ตรงนี้ น้ำตาผมก็ปริ่มๆ จะไหลออกมาได้ทุกนาทีอยู่แล้ว แต่ผมก็โทรบอกท่านทั้งสองแล้วว่าผมจะค้างที่บ้านเพื่อนอีกคืนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ผมจะนอนที่ไหน สงสัยต้องหาโรงแรมนอนไปก่อน
ถ้าผมกินเค้กเสร็จ ผมอาจจะไปหาอานุ ไปกอดอานุ เอาความอบอุ่นของอานุมาเติมเต็มในส่วนที่ถูกทำลายลงไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วบนชั้นสิบแปดของสยาม ชโยดม... สิ่งที่ผมไม่เคยได้จากพ่อของตัวเอง
แต่ถ้าน้ำตาของผมมันควบคุมไม่ได้ ผมก็คงเอาหน้าเปื้อนน้ำตาและลูกตาแดงๆ ไปหาอานุไม่ได้หรอก
ครืดๆๆๆ...
ผมยังไม่ทันตักเค้กเข้าปาก โทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างจานเค้กก็สั่นอย่างแรง (ผมปิดเสียงไว้ครับ) ชื่อที่อยู่บนหน้าจอ เป็นชื่อของคนที่ผมไม่คิดว่าจะโทรมาหาผม ทั้งที่ตลอดทั้งวันผมอยากเจอเขาแทบตาย ผมเดาสาเหตุที่เขาโทรมาหาผมได้เลย คงเป็นเพราะเรื่องที่ผมไปหาคุณชลัชแน่ๆ
อยากจะรับสายเขานะ แต่ผมรู้ว่าตอนนี้เขาคงโกรธผมมากกว่าเมื่อคืนแน่ๆ ผมเลยปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่อย่างนั้น ดีที่เคาน์เตอร์บาร์ที่ผมนั่งอยู่นี้มีแค่ผมคนเดียว ไม่อย่างนั้นเสียงสั่นครืดๆ จะต้องไปรบกวนพวกเขาพอสมควร
ชีสเค้กที่ผมตักเข้าปาก ความหอมหวานและรสชาตินุ่มลิ้นของมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นได้เลย เพราะโทรศัพท์ของผมไม่ยอมหยุดสั่นเสียที มันเคยเลิกสั่นแต่ก็กลับมาสั่นต่อ ตอนนี้เป็นรอบที่ห้าได้แล้วมั้ง จนกระทั่งมันหยุดสั่น
ครืด...
เปลี่ยนเป็นข้อความไลน์เด้งขึ้นมาแทน และรัวๆ ด้วย ไม่รู้มาก่อนว่าคุณยะจะพิมพ์ได้ไวขนาดนี้ ผมอ่านแทบไม่ทัน คือผมไม่ได้กดเข้าไปอ่าน เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมอ่านแล้วไม่ตอบ ผมก็อาศัยตอนที่มันเด้งขึ้นมาบนหน้าจอแทน แต่สุดท้ายผมก็ทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ได้ อยากรู้ว่าระดับความโกรธที่ถ่ายทอดลงมาในตัวอักษรบนแชตไลน์อยู่ในระดับไหน ...ผมพอจะรับมือได้หรือเปล่า
.
.
.
อ่านต่อด้านล่าง