ตอนที่ 27 : มาตรการสะพานเชื่อม
เพราะใกล้จะหมดสัญญาแล้ว ช่วงนี้ผมเลยถ่ายรูปนิฌานเยอะเป็นเท่าตัว
จากเดิมส่งให้แม่ของเขาวันละสามถึงสี่รูป กลายเป็นรายงานแทบทุกชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มงานยันเลิกงาน ถ้าวันไหนต้องนอนค้าง ก็ถึงขนาดแอบย่องไปถ่ายเขาตอนซ้อมบทในห้องน้ำ ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ เผื่อว่ามารดาเคารพรักจะแอบเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ แม้ไม่เห็นหน้าก็สัมผัสกันได้ผ่านรูปถ่าย!
ตอนแรกเกรงว่าจะโดนรำคาญอยู่เหมือนกัน แต่แม่นิฌานไม่ตอบอะไร อ่านแล้วก็เงียบ มีโต้ตอบบ้างเวลาผมชวนคุยเรื่องตัวเอง
ฮึ่ม ปากแข็ง ปากหนักแบบนี้ต้องใช้ไม้เด็ด!
“พี่ฌาน ถ่ายวีดีโอกันเถอะ!”
เมื่อรูปถ่ายไม่เพียงพอ ก็ต้องใช้ภาพเคลื่อนไหวเป็นสื่อกลาง!
เสียดายที่นิฌานเข้าใจผิด คิดว่าผมจะถ่ายวีดีโอส่งท้ายก่อนจะหมดสัญญาในวันพรุ่งนี้ ถึงได้รีบวิ่งมาด้วยความไวเสียงมานั่งจุ้มปุ๊กข้างๆ เตรียมนวยเนียแสดงความหวานเก็บไว้ดูย้อมใจเวลาต้องห่างกัน
“เก็บมือไปเลยพี่ฌาน ผมจะส่งคลิปนี้ให้แม่พี่นะ” ผมตีมือเขาที่มาถึงก็รวบเอวไปกอด นิฌานทำหน้างอออดอ้อนเป็นเชิงไม่เห็นด้วย
“จะส่งให้แม่พี่ทำไมล่ะครับ เกิดส่งต่อให้นักข่าวนี่ซวยเลยนะ”
“สัญญาผมหมดวันพรุ่งนี้แล้ว จะไม่ได้เป็นผู้จัดการให้พี่แล้ว กลัวอะไรล่ะครับ” ผมเอ่ยเสียงเรียบขณะตั้งกล้องโทรศัพท์เตรียมถ่าย “อีกอย่างผมตั้งใจจะถ่ายแบบบอกเล่าคุยเล่นกัน ไม่ได้ให้เราจี๋จ๋าโชว์คุณแม่สักหน่อย”
“ฮั่นแน่ น้องเจไม่ไว้ใจแม่พี่เหมือนกันล่ะสิเลยไม่ให้พี่จับไม่ให้พี่ทัช”
“ผมไม่กลัวแม่พี่ปล่อยคลิป แต่กลัวคนอื่นต่างหาก” ผมหันไปทำหน้าเพลียใส่นิฌานที่พยายามหาข้ออ้างไม่ให้ถ่ายวีดีโอ “อย่างช่างซ่อมโทรศัพท์ ไม่ก็เพื่อนสนิทคุณแม่ที่เปิดเจอโดยไม่ตั้งใจ ฉะนั้นพี่ฌานต้องทำตัวดีๆ เป็นเด็กดีที่ต่อให้คลิปหลุดก็สร้างชื่อเสียงให้พี่ได้ ไม่ใช่เรื่องฉาวนะครับ”
เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจในการเป็นสะพานเชื่อมของผมแล้ว แฟนคนดีก็ทำหน้างอนปากยื่นนิดๆ อย่างเสแสร้งเกินจริง
“พี่ฌานงอนอะไรอ่ะ ผมทำเพื่อพี่นะ” ผมจิ้มปากยื่นๆ ของเขาอย่างนึกสนุก
“ก็พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่น้องเจจะเป็นผู้จัดการแล้ว หลังจากนี้ไม่รู้จะหาเวลามาเจอกันตอนไหน แทนที่จะอยู่ด้วยกันสองคน เก็บเกี่ยวความหวานให้มากๆ น้องเจกลับคิดถึงแม่พี่มากกว่าพี่อีก” เรียกร้องความสนใจสำเร็จ คนตัวโตก็ยิ่งทำปากยื่น ขมุบขมิบต่อว่าผม “น้องเจใจร้าย”
ผมเบิกตากว้าง อึ้งไปครู่ใหญ่ถึงจะเพิ่งเข้าใจว่าเขากำลังเลียนแบบผมอยู่
“ทำไมพี่ฌานพูดคำว่า ‘ใจร้าย’ แล้วไม่เห็นน่ารักเลยล่ะ” ผมเอียงคอ “ไหนพูดใหม่สิครับ ขอน่ารักๆ นะ”
“น้องเจใจร้าย” นิฌานเอ่ยอย่างว่าง่าย เอียงคอตาม แถมขยิบตาใส่ ไหนกันคนขี้งอน หลุดยิ้มแล้วไม่ใช่หรือ “น้องเจใจร้าย น้องเจใจร้าย น่ารักหรือยังครับ”
“น่ารักก็ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับขอไปที ก่อนจะปล่อยไม้ตายด้วยการหอมแก้มเขาดังฟอด มันเขี้ยวชะมัดเวลาคนตัวโตแสร้งทำเล่นอย่างนี้ “งั้นถ่ายวีดีโอกันได้แล้วเนอะ”
“น้องเจ...” นิฌานเอ่ยเสียงระโหย ลูบแก้มตัวเองแล้วรีบชี้ที่ริมฝีปาก “จูบผิดที่รึเปล่าครับ มาจูบใหม่เร็ว”
“ถ่ายวีดีโอก่อนครับพี่ฌาน” ผมเดินไปตั้งกล้องใหม่อีกครั้ง ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ ซึ่ง...นิฌานก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ในเมื่อหลังคบกัน คนที่เป็นฝ่ายช่วงชิงริมฝีปากก่อนคือเขาตลอด ผมไม่เคยเริ่มจูบก่อนเลย
ไอ้เขินน่ะก็ใช่ แต่หลังจากจูบกันหลายครั้งเข้าก็เริ่มชิน
สาเหตุจริงๆ ที่ผมไม่กล้าเริ่มน่ะเพราะ...เฮ้อ! ผมจูบไม่เป็น!!
อย่าลืมสิว่าผมเคยคิดเรื่องความรักที่ไหนกัน แฟนเอย คนรักเอย นู้น กองไว้ข้างๆ นู้น แล้วจู่ๆ จับพลัดจับพลูมาคบกับนิฌานปลาไหลมือปลาหมึก สุดแสนจะช่ำชองคนนี้ ผมจะกล้าจูบเขาก่อนได้ยังไง
“รีบถ่ายเร็วน้องเจ จะได้เสร็จไวๆ!” พอมีข้อแลกเปลี่ยน คนทำปากยื่นหน้างอก็ยิ้มกว้างทันควัน ผมมองคนรักอย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ ตั้งกล้องกดถ่ายแล้วเดินไปนั่งข้างนิฌานด้วยรอยยิ้มสุภาพพร้อมยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณแม่ พรุ่งนี้สัญญาผู้จัดการผมจะหมดแล้ว คงไม่มีเวลาถ่ายรูปนิฌานส่งให้เหมือนเก่า ผมกลัวคุณแม่จะเหงา ก็เลยถ่ายเป็นคลิปมาแทน เผื่อเวลาไหนที่คิดถึงกัน จะได้เปิดคลิปนี้ดู มีทั้งภาพทั้งเสียง ดีกว่ารูปถ่ายใช่มั้ยล่ะครับ” ผมพูดเองเออเองคนเดียว ก่อนจะใช้ศอกสะกิดนิฌาน ผลคือ...เขานั่งกอดอกหันข้าง ยอมถ่ายด้วยแต่ไม่คิดหันมองกล้อง
ทำตัวไม่ถูกล่ะสิเนี่ยผมมองคนรักอย่างเข้าใจ ไม่ได้กะให้เขายิ้มร่าพูดกับแม่ตัวเองตั้งแต่ครั้งแรก เลยทำตามแผนที่วางไว้ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ ให้นิฌานคลายความเครียดขึง
“วันนี้พวกเราไปเข้ากองเช็กเมทกันด้วย อีกไม่กี่ตอนเช็กเมทก็จะจบแล้ว ผมเสียใจมากๆ เสียใจมากๆๆๆ เลยครับ เพราะเรื่องมาถึงจุดไคล์แมกซ์แล้วแท้ๆ เหลืออีกแค่ไม่กี่อาทิตย์จะฉายจบ แต่ผม...ผมกลับอดดูตอนถ่ายทำฉากสำคัญซะงั้นเลย!”
พูดถึงเรื่องนี้ อินเนอร์ก็เริ่มมา
“ความจริงไม่ได้เข้ากองก็ดีอย่างนะครับ ตรงที่ไม่รู้สปอย มาลุ้นเอาผ่านหน้าจอไปเลย แต่...พอได้เข้ากองบ่อยๆ ผมก็เสพติดสปอยไปแล้วอ่ะ! ฉากที่ต้องถ่ายวันพรุ่งนี้ก็สนุกมาก พอคิดว่าต้องมาค้างเติ่งคนเดียว รู้ล่วงหน้าก่อนคนอื่นอยู่คนเดียว คุยกับใครก็ไม่ได้ แถมยังคาใจกับตอนจบอีก ผมก็...เสียใจมากๆ เลยครับ!”
พลันคนที่นั่งกอดอกหันข้าง แต่เอนหลังพิงไหล่กันตัวสั่นกึกๆ ผมหันไปมองนิฌาน เจอภาพคนตัวโตกำลังกลั้นหัวเราะอยู่พอดี
“พี่ฌานจะหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ!” ผมศอกใส่คนข้างตัว หวังให้เขามีส่วนร่วม แต่นิฌานยังใจแข็ง ไม่พูดไม่จาไม่โต้ตอบ “คุณแม่อย่าไปสนใจเขาเลย ฟังผมเล่าดีกว่า เพราะวันนี้...ผมเจอความลับอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก!”
การคุยคนเดียวจะว่าน่าอายก็น่าอาย แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว นายเจตรินถอยกลับไม่ได้!
“พี่ฌานชอบบังคับให้ผมกินผัก แต่เขาเองก็ไม่ชอบกินผักเหมือนกัน!” พูดจบก็หัวเราะสะใจ “วันนี้ที่กองมีมะระยัดไส้ สร้างเสริมสุขภาพให้นักแสดง แต่พี่ฌานควักแต่ไส้มากินไม่ใยดีมะระเลย พี่ฌานเองก็ไม่กินผัก กลัวขมเหมือนผมนั่นแหละ!”
พลันคนที่นั่งเงียบมาตลอดขยุกขยิกเหมือนอยากประท้วง
“ในเมื่อพี่ฌานยังเขี่ยมะระได้ แล้วทำไมผมจะเขี่ยผักบ้างไม่ได้ คุณแม่ว่าจริงมั้ยครับ”
“แต่น้องเจจะเอาสารพัดผักกับมะระมาเทียบกันไม่ได้นะ”
และแล้วนายนิฌาน ชาญชัย ก็ทนคันปากไม่ไหว!
“ผมเขี่ยผัก พี่ฌานเขี่ยมะระ มันก็คือเขี่ยเหมือนกันนั่นแหละ”
“ถึงจะเขี่ยเหมือนกัน แต่พี่เขี่ยน้อยกว่าน้องเจนะ ของพี่น่ะแค่มะระ แต่น้องเจคะน้าก็ไม่กิน บวบก็ไม่กิน ขึ้นฉ่าย ใบกะเพรา ขิง ตะไคร้ หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศก็ไม่กิน!”
“ผมกินมะเขือเทศนะ” ผมทักท้วง
“ซอสมะเขือเทศไม่นับนะครับน้องเจ” นิฌานหรี่ตามองอย่างจับผิด
“งั้นเอาแบบนี้มั้ย ถ้าพรุ่งนี้พี่ฌานยอมกินมะระ ผมจะยอมกินผักหนึ่งอย่าง”
“ท้าดวลกันเหรอน้องเจ เหมือนพี่จะเสียเปรียบยังไงชอบกล”
“เสียเปรียบตรงไหน พี่ฌานยอมกินมะระหนึ่งครั้ง ผมจะยอมกินผักหนึ่งอย่าง พี่ฌานก็หัดกินมะระหลายๆ ครั้งสิ ผมจะได้กินผักหลายๆ อย่างไง”
ทุ่มเทกว่านายเจตรินมีบ้างมั้ย ผมถึงขนาดยอมเอาผักเป็นประกันเลยนะ!
“น้องเจ...ทุ่มทุนสร้างจริงๆ นะเนี่ย” มีหรือนิฌานจะไม่รู้จุดประสงค์ เขามองผมอย่างยอมรับนับถือกับการวัดใจครั้งนี้ แต่ไม่รู้ทำไม...ดวงตาเขาประกายวาวๆ ชอบกล
“แล้วพี่ฌานจะตกลงมั้ยล่ะครับ”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว...ก็ต้องตกลงสิครับ” นิฌานถอนหายใจเฮือกอย่างจำใจ ขยับตัวหันหน้าหากล้องอย่างอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด
“พี่ฌานตกลงแล้ว งั้นคุณแม่เป็นพยานในการท้าดวลครั้งนี้ของผมกับพี่ฌานด้วยนะครับ!” ทุกอย่างลงตัวตามแผน เมื่อมีเรื่องสุขภาพค้ำคอ ต่อให้ทิฐิแค่ไหนนิฌานก็อยากให้ผมกินผักมากกว่าอยู่ดี...
“งั้นเริ่มพรุ่งนี้เช้าเลยมั้ย หน้าปากซอยมีร้านตามสั่ง ทำแกงจืดมะระอร่อยมาก”
“เดี๋ยว พี่รู้ได้ไงว่าอร่อยมาก”
“ก็พี่เคยกินนี่ครับ” พลันคนที่เพิ่งทำหน้าเจื่อนเหมือนพลาดท่ายิ้มกริ่ม
...ผมสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล
“พี่ฌานไม่ได้เกลียดมะระเหรอ”
“ถ้ามีร้านทำอร่อยพี่ก็กิน แต่ในกองวันนี้ดันขมไปหน่อย แถมยังฝาดลิ้น พี่เลยเขี่ยทิ้ง ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้แต่ไม่อยากกิน น้องเจเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น”
“แล้วทำไมพี่ฌานไม่บอกผมก่อนล่ะ!” หมดกันนายเจตริน นึกว่าวางกับดักล่อเขาให้พูดกับกล้องสำเร็จ กลายเป็นตกหลุมเองซะงั้น
“ก็น้องเจกำลังสนุกนี่ พี่เลยสนอง” นิฌานหัวเราะร่า “อย่าคืนคำนะ แม่พี่ก็เป็นพยานแล้ว จะคืนคำไม่ได้นะครับน้องเจ”
มิน่าล่ะถึงจงใจหันหน้าตรงเผชิญกล้อง ที่แท้กะย้ำคำไม่ให้ผมบิดพลิ้วนี่เอง!
“คุณแม่ครับ พี่ฌานหลอกผมอ่ะ ท้าดวลเมื่อกี้เป็นโมฆะนะครับ”
“ไม่ได้ น้องเจเป็นคนยื่นข้อเสนอเองนะ พี่อุตส่าห์จำใจรับปาก ไม่ได้อยากตกลงเลยจริงๆ นะ”
“พี่ฌานแกล้งผมอ่ะ พี่ฌานใจร้าย!”
“ว่าพี่ใจร้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกครับน้องเจ ใช่มั้ยครับ คุณแม่”
นิฌานชะงักกึก เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมา
พลันคนยิ้มแป้นแล้นสะใจที่ไล่ต้อนผมสำเร็จกลายเป็นเก้อกระดากทำตัวไม่ถูก นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่นิฌานเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงระรื่นยิ้มทั้งตาทั้งปากขนาดนี้
ด้วยกลัวว่าจะเสียบรรยากาศ ผมเลยรีบตามน้ำ เลิกโมโหโวยวายแต่หันไปพูดใส่กล้องแทน
“งั้นคุณแม่ตัดสินแล้วกัน ว่าจะเข้าข้างผม หรือจะเข้าข้างพี่ฌาน”
“คุณแม่ก็ต้องเข้าข้างน้องเจอยู่แล้ว” นิฌานหลบตาพลางพึมพำเสียงเบา
“โธ่ มีเด็กขี้ใจน้อยอยู่ตรงนี้คนหนึ่งนี่นา” ผมจิ้มแก้มคนที่หันหน้าหนี “ตัวโตขนาดนี้ยังทำตัวเป็นเด็กอีกเหรอครับ ไหนเด็กชายนิฌานอายุเท่าไหร่เอ่ย”
“แปดขวบ”
ในใจผมลอบสะท้านเฮือก แปดขวบ...คือช่วงเวลาที่เริ่มเข้าวงการ และตอนที่ความรักในครอบครัวของเขา...เริ่มจะพังทลายสวนกับความสำเร็จด้านการงาน
“เด็กชายนิฌานอยากให้คุณแม่เข้าข้างหรือเปล่าครับ”
นิฌานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับโดยไม่หันไปมองกล้อง
“ถ้างั้นคุณแม่คงต้องเอาใจลูกชายสักหน่อยแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ผม...จะยอมกินผักก็ได้” พอนึกถึงผักเขียวๆ ผมก็เผลอทำหน้าพะอืดพะอมวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบกล้ำกลืน ยกมือไหว้เป็นการส่งท้าย “ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณแม่”
ทุกอย่างจบลงด้วยดีเกินคาด อย่างน้อยผลตอบรับก็ดีมากกว่าที่คิดไว้มากโข ผมเดินไปปิดกล้อง โหลดคลิปส่งให้แม่นิฌานทันที ก่อนจะเดินมานั่งยองๆ ใช้สองมือยันใต้คางตัวเองขณะยื่นหน้าหาคนที่นิ่งเงียบทำอะไรไม่ถูก คล้ายยังสับสนลังเลอยู่ในใจ
“ไม่ยากใช่มั้ยล่ะครับ” ผมถามเขา ส่งยิ้มให้กำลังใจหนึ่งที “การคุยกับคุณแม่น่ะไม่ได้ยากอย่างที่พี่คิดใช่มั้ย ดูสิ บทจะพูดก็พูดได้นี่นา ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ แถมยังอ้อนขอความรักอีกต่างหาก ตอนอยู่กับผม พี่ฌานบอกรักตั้งหลายครั้ง สารภาพอย่างตรงไปตรงมา แต่กับคุณแม่ คงไม่เคยพูดความในใจ แสดงความน้อยอกน้อยใจเลยล่ะสิ”
“กับน้องเจน่ะพูดแล้วได้รับกลับเป็นเท่าตัว แต่กับแม่น่ะ...” นิฌานถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นคำตอบ “แม่เคยมองพี่เป็นลูกชายที่ไหน”
“เราถึงต้องพยายามปรับทัศนคติไงครับ!” ผมกำหมัดฮึดสู้ “เมื่อก่อนพี่ฌานทำงานอย่างเดียว ก้มหน้าก้มตารับคำสั่ง พอถึงตอนปฏิวัติขึ้นมาก็ตัดฉับๆ ไม่คิดสานต่อ เลยไม่เคยได้คุยกันดีๆ สักครั้ง คุณแม่เองก็ไม่ทันสังเกต ว่าพี่ฌานตอนยิ้มน่ะดูดีแค่ไหน เธอเห็นแต่ตอนพี่ทำงานจริงจัง ว่าง่าย ไม่ก็ดื้อด้าน ไม่รู้เลยว่าบทจะรั่วก็รั่วกระจุยกระจาย”
ผมพูดพลางเปิดโทรศัพท์ให้ดูรูปนับร้อยของเขาที่ส่งผ่านไลน์
“ดูสิ มีแต่รูปตลกๆ ของพี่ฌานทั้งนั้นเลย” ผมยิ้ม “ผมเดาว่าต่อหน้าแม่ พี่คงไม่เคยหัวเราะให้เธอเห็นเลยใช่มั้ย”
นิฌานพยักหน้ารับ เริ่มสลดลงอีกครั้ง
“แม่พี่เองก็คงไม่เคยหัวเราะให้พี่เห็นเหมือนกัน”
พลันเขาชะงัก ก่อนจะ...ค่อยๆ พยักหน้าลง
“พี่ฌานบอกว่าแม่ไม่เข้าใจพี่ มองในคนละมุม แต่บางที...พี่ฌานก็คงไม่เคยเข้าใจคุณแม่เหมือนกัน และไม่คิดจะเข้าใจด้วย ถึงได้ใช้วิธีหักดิบ ตัดสัมพันธ์ซะเลย” ผมอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เว้นจังหวะการพูด ไม่ให้บีบคั้นเกินไปนัก “ผมไม่ได้โทษพี่ฌานนะครับ แต่อยากให้ลองลดทิฐิลงสักนิด ก็พี่กับแม่น่ะหัวแข็ง ปากแข็งยิ่งกว่าอะไร พอขัดกันปุ๊บก็เอาแต่โจมตีอีกฝ่าย มองในแง่ร้าย โบ้ยความผิดให้อีกคนที่ไม่ได้ดั่งใจ จนเรื่องราวบานปลายมาถึงขนาดนี้”
พูดจบ ก็เหล่มองคนรักเป็นระยะ
“เพราะแตกหักกันมานาน เลยยิ่งเข้าหน้ากันไม่ติด แต่...การคุยกันอีกครั้งก็ไม่ได้ยากเกินไปใช่มั้ยครับ อย่างน้อยพูดผ่านกล้อง ไม่ต้องเจอหน้าคุณแม่ ไม่ต้องรับรู้ว่าจะโดนตอกกลับให้เจ็บปวดใจยังไง พี่ก็ทำได้ดีนะ” ผมขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด “ผมว่าแม่พี่ต้องยอมใจอ่อนบ้างล่ะ”
นิฌานแค่นยิ้มไม่ค่อยเชื่อถือนัก แต่ผมยังใจเย็น พยายามประนีประนอม
“ผมว่าความจริงแล้ว...ทั้งพี่ทั้งแม่ต่างก็อยากแก้ไขความสัมพันธ์ให้มันดีขึ้น แต่มันถึงจุดที่ไม่รู้จะหันหน้าเข้าหากันยังไง ต่างคนต่างไม่อยากเป็นฝ่ายผิด ยึดความคิดตัวเอง ถึงได้ยิ่งดึงดันไปคนละทาง”
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะรีบหันหน้าจอให้นิฌานอ่าน
- รับปากแล้วอย่าคืนคำพี่เขานะลูก -
“ดูสิ คุณแม่เข้าข้างพี่จริงๆ ด้วยล่ะ”
“แม่อยากให้น้องเจกินผักต่างหาก” นิฌานยังคงงึมงำไม่ยอมรับ แต่ผมเห็นหรอก ว่าเขาใจชื้นขึ้นเยอะ แต่ยังไม่กล้าเชื่อเพราะกลัวผิดหวัง
ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา“ไหน เด็กชายนิฌาน ชาญชัยแปดขวบ พร้อมจะรับรางวัลมั้ยครับ” ผมหลอกล่อด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พลันคนที่นั่งเซื่องซึมกลายเป็นจอมหน้าด้านหน้าทน รีบรวบเอวผมไปกอด พร้อมเงยหน้าทำปากจู๋ในทันที
“จูบพี่เร็ว จูบพี่เร็ว”
“กระตือรือร้นไปแล้ว!” ผมทั้งฉุนทั้งขัน ยังแอบเคืองหน่อยๆ นะที่เขาหลอกเรื่องเกลียดมะระกันจนเข้าใจผิดไปไกลโข แต่เอาเถอะ วันนี้ความสัมพันธ์ตระกูลชาญชัยพัฒนาขึ้นมาก ในฐานะสะพานเชื่อมอย่างผมก็ดีใจด้วย
“โอ๊ย!”
แต่ก็อดเอาคืนไม่ได้จริงๆ ผมเลยจูบ ไม่สิ ขบลิ้นอีกฝ่ายแบบไม่เบา
“ชอบแบบเจ็บปวดเหรอครับน้องเจ” คาดไม่ถึง คนเจ็บจนน้ำตาเล็ดไม่ยอมปล่อยมือจากเอวผม แถมยังรั้งเข้าหา บังคับให้โน้มหน้าจูบใหม่อีกครั้ง
“อืม...พี่ฌาน”
เทียบกับจูบอนุบาลของผมแล้วทาบกันไม่ติดเลยสักนิด ถึงจะเจ็บลิ้น แต่นิฌานก็ยังกระเหี้ยนกระหือรือ ดุนลิ้นกับริมฝีปากผมให้เปิดช่องได้คืบคลาน แทรกแซงเข้ามาพัวพันชุลมุนกลายเป็นสงครามย่อมๆ ผมครางในลำคอ หายใจกระชั้นแทบหมดลม ให้ตายเถอะ เรื่องนี้มิอาจทัดเทียมคนเก่งกล้าเลยจริงๆ จนสุดท้ายก็หน้าแดงใจสั่น เป็นฝ่ายยันมือกับอกเขาให้ผละออก
“วันนี้นอนกับพี่นะครับ” นิฌานเอ่ยหลังผมเริ่มปรับลมหายใจให้เป็นปกติ สองมือยังเกาะเอวไม่ห่างสมฉายามือปลาหมึก เหนียวหนึบยิ่งกว่ากาวตราช้าง “พี่ไม่ทำอะไรน้องเจหรอก แต่น้องเจใกล้จะไม่ได้เป็นผู้จัดการแล้ว ขอพี่ชาร์ตแบต กอดน้องเจให้เต็มอิ่มนะครับ”
หลังจากเป็นแฟนกัน แม้จะมาค้างคืนบ้าง แต่ผมก็นอนโซฟาเหมือนเดิมด้วยกลัวว่าคนทำงานหนักจะหมกมุ่นเรื่องใต้ร่มผ้าจนสมาธิหลุด...
“แค่กอดอย่างเดียวนะ”
นิฌาน ชาญชัยขึ้นชื่อเรื่องมุดโปงขนาดไหน ผมที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องจึงไม่ค่อยกล้าเสี่ยงนัก ก็บางครั้งบางทีแค่กอดกันตรงโซฟา ไอ้ส่วนกลางลำตัวของเขาก็ปูดโปนทักทายกันซะงั้น เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ผงะถอยแทบไม่ทัน
เพิ่งคบกันไม่ถึงเดือน ยังไม่พร้อมเสียตัวโว้ย!“ถึงไอ้ส่วนนั้นจะไม่รักดี แต่พี่ควบคุมตัวเองได้ครับน้องเจ แค่กอดจริงๆ”
ผมหรี่ตามองนิฌานอย่างจับผิด เห็นเขาทำหน้าซื่อตาใส ก็ถอนหายใจเฮือก
“ก็ได้ครับ”
สิ่งที่เชื่อมั่นเสมอมา คือนิฌานไม่มีวันทำให้ผมเสียใจ
แต่ที่ไม่ค่อยจะเชื่อน่ะคือตัวเองต่างหาก! ผมน่ะเป็นวัยรุ่นฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ไอ้เรื่องเคารพธงชาติทุกเช้าก็เรื่องปกติมั้ย! เกิดมึนๆ เผลอเอาของตัวเองไปชนของเขาก่อนจะทำยังไง ต้องหยั่งใจไว้นะเจตริน!!
....ผมรู้นะว่าพวกคุณคิดอะไรอยู่
ยังครับ ผมยังปลอดภัยดี เมื่อคืนก็นอนกอดกันสงบเสงี่ยมดีครับ แม้ตื่นเช้าจะเคารพธงชาติอย่างที่คิดไว้ไม่ผิดก็เถอะ แต่นิฌานทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ...ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติจริงๆ นั่นแหละ ผมที่ตอนแรกแอบเขินๆ เลยพลอยหน้าหนามากขึ้น ไม่พูดเรื่องไม่เหมาะไม่ควรปล่อยให้สงบลงไปเอง เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องกล้ำกลืนเผชิญหน้า
นั่นคือ...แกงจืดต้มมะระ!
นิฌานไม่ยอมให้ผมบิดพลิ้ว ตั้งกล้องถ่ายเป็นหลักฐานส่งให้แม่ด้วยตัวเองเลยทีเดียว เห็นเขาเริ่มเข้าใจและพยายามจะเป็นฝ่ายเข้าหามากกว่าหลบเลี่ยงอย่างเคย ผมก็จำใจต้องกินทั้งน้ำตา
แต่ไม่น่าเชื่อครับ มะระร้านนี้อร่อยสมคำล่ำลือ! ไม่ค่อยขม แถมยังต้มจนเปื่อย กินแล้วเคี้ยวงุบๆ เหมือนกำลังกินฟักมากกว่ามะระ การท้าดวลครั้งนี้เลยราบรื่น ไม่มีใครบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
มาลุ้นเหงื่อตกเอาตอนส่งคลิปรายงานผลให้แม่ของเขานั่นแหละ เพราะผมเป็นฝ่ายถูกกระทำ โดนนิฌานแกล้งหยอก แถมแม่ของเขาไม่เข้าข้าง หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมส่งคลิปเด็ดขาด นิฌานจึงนั่งทำหน้าเคร่งถือโทรศัพท์ คานิ้วเหนือปุ่มกดส่ง
“แค่จิ้มลงไปเองครับพี่ฌาน” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมคนที่ต่อสู้กับจิตใจตัวเองจนเส้นเลือดสมองปูด “แค่จิ้มลงไปเบาๆ นะพี่ฌาน ไม่ได้ยากเลย สู้ๆ”
แล้วนิฌานก็สูดหายเข้าลึก หลับตาข้างหนึ่งจิ้มจึกสำเร็จ
ผมปรบมืออย่างชื่นชมในความกล้าทลายกำแพงครั้งแรกของเขา
“รู้สึกยังไงบ้างครับ”
“ก็...โล่งๆ ดีมั้ง” นิฌานตอบอย่างงุนงง เพราะไอ้ทิฐิที่ถือไว้นับปี เมื่อลองวางลงแล้วกดปุ่มจิ้มส่งแค่ครั้งเดียว กลับง่ายดายเหลือเชื่อ
แต่สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร
ผมกับเขานั่งเคียงกันในห้อง รอผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ
ไม่นาน แม่นิฌานก็ส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งชมเชยตอบกลับมา
นิฌานถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองสติกเกอร์นั้นจนมั่นใจว่าไม่ถูกต่อว่าหรือได้รับคำพูดจาทำร้ายกันเหมือนในอดีตก็หลุดยิ้ม
“ขอบคุณนะครับน้องเจ”
“ยินดีเสมอครับ”
ผมยิ้มรับคนที่ยื่นหน้ามาจุ๊บเบาๆ บนริมฝีปาก ก่อนต่างคนจะต่างแยกย้ายรีบเก็บของออกจากห้อง เพราะว่า...
วันนี้เป็นการเข้ากองเช็กเมทครั้งสุดท้ายของผมแล้ว!
---------------
ลักกี้อินเกม ลักกี้อินเลิฟค่ะ
สัญญาณของคู่แม่ลูกตระกูลชาญชัยเริ่มดีขึ้น เพราะสองคนนี้เหมือนเป็นทางขนาน ต่างมองโทษกันไปมา ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด แล้วก็ระทดระท้อใจทำร้ายกันเอง จนหาทางเข้าหน้ากันดีๆ ไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้...จึงต้องมีสะพานเชื่อมอย่างน้องเจนี่เอง!
#น้องเจที่น่าลัก
เพจนักเขียนที่อยากมีน้องเจมาเลี้ยงไว้ที่บ้านTwitter :
@ MajaYnaja