________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59  (อ่าน 16901 ครั้ง)

ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 7) 2/7/59
«ตอบ #30 เมื่อ02-07-2016 19:56:04 »

ธรณีครวญ
บทที่ 8
ห้วงแห่งการเยียวยา



              ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กว่าผมจะรู้สึกตัว มองดูเพดานและผนังห้องตรงหน้าอย่างช้าๆ มันคุ้นตาเหลือเกิน

เหมือนเคยได้หลับได้นอนได้อยู่อาศัยมาก่อนหน้านี้ พร้อมกันนี้ยังเห็นใครบางคนนั่งอยู่ข้างๆตัวเขา  เถ้าแก่ชัยนั่นเอง กรอบรูป

ขนาดใหญ่เมื่อครู่มันเป็นความจริงใช่ไหม? พี่บอร์นแต่งงานแล้ว?



“ฟื้นแล้วหรอ?” คุณหญิงเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ แต่หม่อนไม่ได้ตอบคำถามนั้นไป


“เถ้าแก่ครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว”


“โอเค ค่อยๆลุกนะ”


        สองมือหนาค่อยๆประคองเด็กหนุ่มให้ลุกจากเตียงนอน ท่ามกลางสายตาของคุณหญิงและมะกอกดูอยู่


“ผมลาแล้วนะครับคุณหญิง  ป้าเข็ม” หม่อนหันไปไหว้ตามชื่อที่กล่าวมา แต่แล้วกลับได้ยินเสียงคุณหญิงรั้งเอาไว้ก่อน


“เดี๋ยวก่อน! ลูกชายฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ไปอยู่ต่างประเทศกับภรรยาเขาสร้างครอบครัวที่โน่น ความฝันลมๆแล้งๆของเธอ ฉันขอ

ให้ถือว่าเลิกคิดเลิกฝันเสียเถอะนะ หวังว่าเธอจะเข้าใจนะหม่อน!”


“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมคงจะมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว กราบลาคุณหญิงเลยแล้วกันนะครับ”


“ขอให้โชคดี”


           แปลกตรงที่คราวนี้เธอมองผมด้วยแววตาอ่อนลงกว่าเดิม และรับไหว้ผมด้วย แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะอยู่ตรงนี้นาน

ไปกว่านี้ ก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังนี้ไป ผมไม่อายที่จะปล่อยโฮแล้วโผเข้ากอดป้าเข็มอีกครั้ง


“ฮือออออ ป้าเข็ม ขอบคุณป้ามากนะครับ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ป้าเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวของผม ฮึก ฮึก คราวก่อนผมไม่มี

โอกาสได้กราบลา แต่คราวนี้ ฮึก ฮือ ฮือ ผมขอกราบลาป้าแล้วกันนะครับ”


       หม่อนค่อยๆคุกเข่าลงช้าๆ แต่สองทั้งสองที่พนมก้มลงกราบไม่ถึงพื้น มือเหี่ยวย่นนั้นก็รีบคว้ารองรับเอาไว้ก่อน


“แกจะไปจากป้าจริงๆหรอหม่อน แกกลับมาหาป้าอีกนะ สัญญาป้าสิ”


            หม่อนร้องไห้ตาแดงก่ำทำได้เพียงส่ายหน้าช้าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่จะกลับมาที่นี่ ความตั้งใจของเขามันหมดลง

แล้วในวันนี้



“ไม่แล้วล่ะครับป้า ฮืออออ  ป้าเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ ”


“ไอ้หม่อน ฮืออออ แกนะมันใจร้ายจริงๆ ฮืออออ” ป้าเข็มได้แต่ร้องไห้เอาแต่โทษเด็กหนุ่มคราวหลานตรงหน้าอย่างเจ็บปวด


“ผมไปแล้วนะครับ ฮือออออ”


“ฮึกๆ โชคดีหม่อน โชคดีนะลูก คุณพระคุ้มครอง ฮือออ”


   ป้าเข็มอวยพรพร้อมลูบหัวหม่อนเบาๆ ก่อนจะโผเข้ากอดกันเป็นครั้งสุดท้าย ใช่เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ

สำหรับที่นี่


        ร่างบางเดินขึ้นรถ พร้อมกับกวาดสายตามองดูบริเวณบ้านหลังใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง คิดมาก็น่าเศร้า เวลาของมนุษย์เราช่าง

ผ่านไปไวจริงๆ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนแม้แต่น้อย รถคันหรูของเถ้าแก่ออกตัวห่างบ้านไปที่รั้วประตูเรื่อยๆ หญิงสูงอายุที่ร่ำไห้อยู่ด้าน

หลังยังยืนมองส่งเขาที่เดิมจนกระทั่งลับตาไป หม่อนลาพี่พันยามหน้าประตูบ้านแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน ในใจมันแหลกสลายและ

เจ็บปวดที่สุด มันจบแล้วจริงๆ 


“หม่อนโอเคไหม?” จู่ๆเสียงคนขับกลับถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง


“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ”


“หม่อน! หม่อนดูเสียใจมากเลยนะที่ลูกชายของคุณหญิงแต่งงานแล้ว ทำไมหรอบอกพี่ได้ไหม?”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ เถ้าแก่อย่าไปสนใจเลย ก็แค่เรื่องคิดไปเองคนเดียว”


“หม่อนชอบเขา?”


                 คำถามนั้นสุดท้ายเขาก็คงจะหลีกเลี่ยงคำตอบไมได้จริงๆ น้ำตาเจ้ากรรมกลับเริ่มคลอเบ้าอีกครั้งพร้อมๆกับใบหน้าที่

พะงึกขึ้นลงช้าๆ 


“ครับ!”


             ความรักเพื่อรักใครสักคนอย่างหนักแน่น แม้แต่อีกฝ่ายจะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ความรักของหม่อนมันก็หนักแน่นพอที่

จะยืนหยัดมาตลอด รอวันที่จะได้พบกันอีก แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว เขาต้องปฏิเสธกับชายกี่คนในชีวิตเพียงเพื่อคนคนเดียว คิดมา

แล้วน่าขำดีจริง แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า บางทีคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆเขา ณ ตอนนี้อาจจะคือคำตอบของ

ชีวิตแล้วก็ได้


“นี่ใช่ไหมที่หม่อนหนักแน่นมาตลอดเพื่อเขา”


               สุดท้ายคำพูดของเถ้าแก่ก็ทำให้น้ำตาที่คลออยู่ก่อนหน้าหยดไหลรินอาบแก้มจนได้ ไม่มีอะไรต้องปกปิดอีกแล้ว

นอกจากจะพยักหน้าตอบเบาๆ ซึ่งเขาเองรับรู้ได้ว่าคนข้างๆได้คำตอบนั้นแล้ว


“อิจฉาเขาคนนั้นจังเลยเนอะ พี่นี่สิยังไมได้ความหนักแน่นนั้นจากใครเลย แม้แต่แม่ของเปียงยางเองก็ตาม”


“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ เถ้าแก่เป็นคนดี ผมเชื่อว่าสักวันรางวัลแห่งความดีจะทำให้เถ้าแก่มีความสุข”


“แต่ความสุขของพี่ตอนนี้คือหม่อนนะ!”


“ผมรู้ดีครับ”


                    หม่อนตอบพ่อเลี้ยงทั้งๆที่มองออกไปนอกกระจก ดูข้างทางไปเรื่อยๆอย่างไม่มีเป้าหมาย


“พี่พอจะมีสิทธิ์อะไรในตัวหม่อนไหม?”


“ขอเวลานะครับเถ้าแก่”


“ครับคนดี อย่าร้องไห้อีกเลย อ่ะนี่ ผ้าเช็ดหน้า”


          ร่างสูงเห็นว่าหม่อนร้องไห้หนักเกินไปแล้วไม่อยากเซ้าซี้มากไปกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก เลยหยุดถามก่อนจะยื่น

ผ้าเช็ดหน้านั้นให้อีกคนเสีย


           เวลาผ่านล่วงเลยไปนานจนกระทั่งถึงวันแม่แห่งชาติประจำปีนั้นเอง ทางโรงเรียนของเปียงยางหยุดเรียนให้อยู่กับคุณแม่

แต่แปลกจากทุกปีที่คราวนี้ หนูน้อยร่างท้วมเดินเข้ามาหาเขาพร้อมดอกมะลิซ้อนหอม หม่อนทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากทึ่งในสิ่ง

ที่เด็กคนนี้ทำ เขาค่อยๆคุกเข่าต่อหน้าเด็กน้อย


“อาหม่อน ดอกมะลิให้อาหม่อนนะครับ” เด็กหนุ่มกระซิบบอกที่หูของเขา


“น้องเปียง คุณพ่อบังคับน้องเปียงทำแบบนี้รึเปล่าครับ?”


“เปล่าครับ เปียงไม่มีแม่ อาเป็นแม่ให้เปียงนะครับ”


“โถ เด็กน้อย”


              มือนุ่มๆของหม่อนเอื้อมไปลูบที่ศีรษะเด็กน้อย แล้วเลื่อนไปจับแก้มสองข้างเบาๆ


“อาเป็นแม่ให้เปียงไมได้หรอกนะครับ แม่ของน้องเปียง ถึงเขาจะไม่อยู่กับน้องเปียงแล้ว น้องเปียงต้องห้ามโกรธและเกลียดผู้ให้

กำเนิดนะ”


“แต่แม่ไม่รักเปียง แม่ทิ้งเปียงกับคุณพ่อ” เด็กน้อยวัยช่างพูด ได้เปรยออกมาตามที่ใจอยากจะพูด


“ไม่เอาครับ ทำอย่างนั้นเป็นเด็กไม่ดีเลย จะตกนรกนะรู้ไหม?”


“ไม่เอาครับเปียงไม่อยากตกนรก”


“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อที่อาหม่อนบอกนะครับ แต่เอาเถอะดอกมะลิดอกนี้อาจะรับไว้สำหรับเด็กดีและน่ารักของอานะ”


“ครับอาหม่อน”


       สุดท้ายรอยยิ้มของเด็กน้อยก็เผยให้เห็นพร้อมๆกับโอบกอดเขาเอาไว้แน่นทีเดียว


“เพราะหม่อนเป็นแบบนี้ไง แม้กระทั่งเด็กยังรักหม่อนเลย” เถ้าแก่ชัยเดินตามออกมาจากหลังร้าน


“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับเถ้าแก่”


“หม่อน! พี่ยังรอเวลานั้นอยู่นะ”


“ผมรู้ดีครับ เถ้าแก่ หากเป็นไปได้ ผมอยากให้เถ้าแก่เจอผู้หญิงสักคน และดีพอที่จะมาแทนคุณแม่น้องเปียงได้นะครับ”


“แต่หม่อนก็เห็นว่าเด็กเขาเลือกหม่อนนะ”


“มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ทำอย่างนั้นเท่ากับสร้างความสับสนให้เด็ก และเป็นการเยียวยาทางจิตใจแบบผิดๆนะครับ”


“แต่หม่อนพี่ว่า…”


“เถ้าแก่ครับ เชื่อหม่อนนะครับ วันนี้เป็นวันแม่ ผมว่าเถ้าแก่น่าจะปิดร้านแล้วพาน้องเปียงไปเที่ยวดีกว่านะครับ”


“ใช่ครับคุณพ่อ เปียงอยากไปเที่ยวกับคุณพ่อ คุณอาไปด้วยกันนะครับ”


          หม่อนมองดูดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์นั้นแทบจะไม่อยากปฏิเสธไปเลย เขาพยักหน้าตอบรับคำเด็กน้อย และแล้วการไป

เที่ยวสำหรับวันแม่ก็เริ่มขึ้น โดยเริ่มจากไปไหว้พระก่อน วัดที่พวกเขาไปนั้นเป็นวัดที่ค่อนข้างสงบ คนไม่พลุกพล่าน เพราะไม่ใช่

วัดสำหรับนักท่องเที่ยวรู้จัก มันเป็นวัดประจำชุมชนเท่านั้น แต่เป็นวัดที่เถ้าแก่ชัยมาทำบุญบ่อยครั้ง


“พาลูกชายมาทำบุญวันแม่ครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่พนมมือพูด


“อย่างนั้นหรอ นี่เปียงยางสินะ โตขึ้นเยอะเลย มานี่สิหลวงพ่อจะผูกแขนให้”


“ครับ”


      ร่างน้อยๆคลานเข่าเข้าไปหาหลวงพ่อที่นั่งขัดสมาธิรออยู่แล้ว ด้วยความน่าเอ็นดูนี้อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มมองตาม


“เอ้าเสร็จแล้ว”


“ขอบคุณครับหลวงตา”


“หลวงพ่อครับ นี่หม่อนครับเป็นคนงานในร้านของผมเอง ผมเพิ่งจะพามาที่วัดครั้งแรก”


“หน้าตาก็สดใสดีแต่ทำไมแววตาเศร้าอย่างนั้นล่ะโยม” หลวงพ่อเอ่ยวาจาถาม


“เรื่องปัญหาชีวิตครับหลวงพ่อ” หม่อนพนมมือตอบพร้อมกับยิ้มนิดๆ


“ยึดติดมากก็ทุกข์มาก ปล่อยๆไปบ้างเถอะนะโยม”


“ครับหลวงพ่อ”


“กรรมของคนมันหลีกไม่ได้ แต่เราสามารถสะสมบุญเพื่อความสุขทางใจได้นะโยม”


“ครับหลวงพ่อ”


                  ไหนๆก็มาวัดแล้ว หม่อนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อเลี้ยงกรบ้าง เท่าที่จำได้ก็นานมาแล้ว

ที่ทำบุญไปรอบก่อน


“เถ้าแก่ครับ ผมอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อเลี้ยงกรครับ”


“เอาสิ พี่ทำด้วย” ร่างสูงยิ้มให้อีกคนอย่างยินดี


“หลวงพ่อครับในวัดพอจะมีสังฆทานให้บูชาไหมครับ”


“น่าจะเหลืออยู่ชุดหนึ่งนะโยม ลองเดินไปดูที่หน้าโบสถ์สิ”


“ครับหวงพ่อ”


            สุดท้ายก็ได้ทำบุญสมใจ พร้อมอุทิศส่วนกุศลนี้ให้พ่อเลี้ยงกร และขอให้พ่อเลี้ยงกรอยู่ในภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไป จริงอย่าง

ที่หลวงพ่อว่า หากเศร้าเกินไปก็เป็นทุกข์ ตอนนี้เขารู้สึกปล่อยวางและมีความสุขขึ้นมากว่าเดิมมากจริงๆ


        ไม่นานก็กราบลาหลวงพ่อแล้วพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยววันแม่ต่อหลังจากได้บุญกันถ้วนหน้าแล้ว


“อาหม่อนครับ อยากไปนั่งตักอาจังเลย”


“มาสิครับคนเก่ง ”


    ว่าแล้วร่างน้อยๆก็เดินข้ามจากเบาะหลังมาด้านหน้านั่งลงระหว่างขาของหม่อนพร้อมรอยยิ้มดีใจและมีความสุข


“ดูเหมือนเปียงยางจะมีความสุขมากนะวันนี้”


“ดีแล้วล่ะครับ ผมว่าทำแบบนี้เด็กจะได้มีความสุข ไม่อยากให้ปมปัญหาไม่เหมือนเพื่อนทั่วไปมาทำให้เศร้า ไม่มีแม่ก็สนุกได้จริง

ไหมเปียงยาง”


“ครับอาหม่อน”


“แล้วน้องเปียงอยากไปเล่นบ้านบอลไหมครับ?” หม่อนถามเพราะที่กำลังจะไปคือห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งและมีบ้านบอลด้วยที่

นั่น


“อยากครับ เปียงชอบมากๆ คุณพ่อเคยพาไปครั้งหนึ่งแล้ว”


   ความไร้เดียงสานี้ทำให้รอยยิ้มของผู้ใหญ่ทั้งสองคนเผยยิ้มออกมาได้ ถึงแม้ว่าเถ้าแก่ชัยจะมีแผนการเอาลูกตัวเองมาผูกมัดใจ

หม่อนเองก็ตาม แต่ด้วยความรู้ทันของหม่อนนั้นได้แต่หลีกเลี่ยงออกห่างเว้นช่องว่างให้เหมือนเดิมจะดีกว่า เขาเปรยไปว่าขอ

เวลา แต่เอาเข้าจริงๆเขาไม่สามารถลืมคุณบอร์นได้เลยแม้แต่น้อย มีใครกันนะกล่าวไว้ว่าความรักครั้งแรกมันช่างลืมยากเสียจริง

ดูท่าน่าจะจริงเพราะสิ่งที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากประโยคเมื่อครู่เลย…



…อ้อมอกแม่นี้ยังรอซับน้ำตา

ให้ไหลพร่างพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…


*******************************



เอาล่ะ นี่คือคำเตือนชนิดรุนแรง ตอนต่อไปนี้กรุณาทำใจให้มากๆ หรือไม่ก็เตรียมทิชชู่เอาไว้เยอะๆ ผู้แต่งเตือนแล้วนะ ไม่ต้อง

ห่วงว่ามันจะไม่เศร้า  เศร้าหนักมากผู้แต่งร้องไห้นำร่องไปก่อนแล้ว เพราะแต่งเองนี่เนอะ!!!

ขอบคุณที่ติดตามครับ บีบหัวใจไปเรื่อยๆ พลอตเรื่องเศร้ามาก เข้มข้นมาก พรุ่งนี้เจอกันตอนสายๆ


 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:



ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 8) 2/7/59
«ตอบ #31 เมื่อ02-07-2016 20:41:09 »

ไม่เอาอุบัติเหตุไรอีกนะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 8) 2/7/59
«ตอบ #32 เมื่อ02-07-2016 20:54:29 »

คนเขียนจ๊ะ แล้วน้องหม่อนจะสมหวังสักเรื่องไหมในชีวิตนี้ :ling2:

ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 8) 2/7/59
«ตอบ #33 เมื่อ03-07-2016 10:53:11 »

ธรณีครวญ
บทที่ 9
สิ่งที่เกิดขึ้น




                   แต่แล้วกลับเกิดเรื่องขึ้นจนได้ วันแม่แห่งชาติปีนั้นเลยกลายเป็นวันแห่งความเศร้าโศกที่สุด เมื่อจู่ๆระหว่างการ

เดินทางไปห้างสรรพสินค้าอยู่นั้น กลับมีรถบรรทุกมาขวางตัดหน้าที่ยูเทิร์นพอดี ความเร็วของรถทางเอกนั้นเร็วมากเกินกว่าที่จะ

เบรกทันและหนึ่งในนั้นคือรถของพวกเขาเองด้วย ภาพที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้านั้นเกิดขึ้นเร็วมากแทบอยากจะหยุดหายใจ



เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดด  ปี๊กกกกกกกกกกกกกกกก




                 เถ้าแก่ตกใจเหยียบเบรกพร้อมกับกดแตรรถพร้อมหมุนพวงมาลัยหลบไปข้างทาง ทุกอย่างอลหม่านไปหมด รถ

หลายๆคันก็เช่นกัน มีทั้งขับพุ่งชนกับรถสิบล้อ ขับชนท้ายกันเองเป็นทอดๆ ส่วนรถของพวกเขานั้นขับหลบชนเข้ารถตู้หนึ่งคันเลน

ซ้ายสุดก่อนจะพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างถนนอย่างแรง พร้อมกันนี้เสียงเบรกรถอึกกะทึกครึกโครมนั้นดังกึกก้องไม่ขาดสาย เพียงเท่านี้

เสียงวุ่นวายเหล่านั้นกลับค่อยๆเงียบไปพร้อมๆกับความรู้สึกของหม่อน จอภาพตรงหน้าเริ่มดับลงมองไม่เห็นอะไรเลย…




จนกระทั่ง…





“เอามีดมา”





“กรรไกรด้วย”



       เสียงใครบางคนกำลังทำให้ร่างบางได้สติ แต่มันช่างเจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดไปทั้งตัว ยากที่จะลืมตาขึ้นมองได้ เห็นแต่แสง

ไฟดวงใหญ่ตรงหน้าสาดส่องลงมา



“หมอคะ? คนไข้ได้สติแล้ว”


“อ้าวหรอ ฉีดยาสลบเลยเร็วเข้า!”




             เสียงนี้คุ้นจังเลย เหมือนผมได้ชินที่ไหนกันนะ  เพียงเท่านี้ผมก็ค่อยเพ่งไปที่ภาพเลือนรางตรงหน้านั้น ใช่จริงๆด้วย

คุณหมอเพื่อนของเถ้าแก่ชัยนี่นา ครั้งหนึ่งเขาเคยเย็บแผลที่ถูกมีดแทงให้ผม แล้วเขามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ หรือว่าผมมาโรง

พยาบาล ผมเป็นอะไรไปอีกแล้ว


            ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมาก ฤทธิ์ยาก็ได้ผล มันทำให้ผมสลบไปอีกครั้ง ไม่รู้สึกตัวไม่รับรู้อะไรอีกเลยจนกระทั่งผ่านไป

นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมกำลังได้ยินและรู้สึกตัว เสียงใครข้างๆผมกำลังเรียกผมอยู่เบาๆ



เสียงนี้มัน…


“ฟื้นแล้วหรอครับ!”


“ผม…ผมหลับไปนานเท่าไหร่?”


“สามวันติดครับ”


“อะไรนะครับ! แล้วนี่เถ้าแก่กับเปียงยาง?”


“ใจเย็นๆก่อนนะหม่อน อย่าเพิ่งขยับ”


“ทำไมละครับ?”


       หม่อนมองหน้าแพทย์หนุ่มตรงหน้าอยากแปลกใจ แต่แล้วคำตอบนั้นกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในตัวมันเอง เมื่อเขาพยายาม

ขยับตัวลุกออกจากเตียงสีเขียวนี้ แต่กลับทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันแปลกไป ทำไมที่ขาของเขาสองขากลับ…ไร้ความรู้สึก


“ขาผมเป็นอะไรครับหมอ?”


“เอ่อ…หมอเสียใจด้วยนะครับ คือว่า…ขาของหม่อน หม่อนเป็นอัมพาตแล้วครับ”


      แพทย์หนุ่มพูดพร้อมกับหลบสายตาไม่มองเขา หม่อนน้ำตาไหลรินเอามือเรียวนุ่มลูบขาทั้งสองข้างของตัวเอง แต่แล้วสิ่งที่

เขาเป็นห่วงมากกว่าขาของเขาตอนนี้นั่นก็คือ เถ้าแก่ชัยกับเปียงยาง


“ฮึก ฮือออออ หมอครับ แล้วสองคนพ่อลูกล่ะครับ?”


“หมอช่วยเหลือเต็มที่แล้วครับ แต่ว่า…”


“ม่ายยยยยยยยยย ไม่จริงใช่ไหม หมออออออ  หมอบอกมาสิ  หมอบอกผมสิว่าไม่จริงงงงงงงงง ฮืออออออ”


       หม่อนร้องไห้ปานจะขาดใจ เมื่อคำตอบนั้นหมอไม่ต้องบอกหรือพูดจนจบ เขาก็รู้แล้วว่า สองคนนั้นเป็นอะไรไป!


“หม่อน แต่ก่อนที่เถ้าแก่ชัยจะสิ้นใจ เขาฝากให้หมอดูแลหม่อนต่อนะครับ แล้วยังบอกอีกว่ากิจการเครื่องเขียนให้หม่อนดูแลต่อ

จากเขา”


 หมอบอกอย่างเศร้าใจ อย่างน้อยเถ้าแก่ชัยก็เพื่อนสนิทของเขาเหมือนกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเสียเพื่อนไปทั้งๆที่อายุไม่เท่าไหร่

เลย ไหนจะลูกน้อยด้วย


“ไม่จริงงงงงง เถ้าแก่ต้องไม่ตายสิ  ผมจะไปหาเถ้าแก่ หมอออ  หมอช่วยผมที”


        หม่อนพยายามขยับตัวเองอย่างยากลำบากเพาะขาที่ไร้ความรู้สึก แพทย์หนุ่มก็ทำใจลำบากที่เห็นภาพตรงหน้านี้ ถึงหม่อน

จะรอดแต่ก็ไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ถึงท่อนบนจะไม่ได้เป็นอัมพาตแต่ก็สาหัสเอาการต้องใช้เวลาเยียวยาและรักษา และเขา

ไม่อยากจะบอกหม่อนเลยว่าอวัยวะภายในหลายอย่างนั้นเป็นอวัยวะของเถ้าแก่ชัยที่ปลูกถ่ายได้สำเร็จเพื่อให้หม่อนรอดชีวิต

เพราะโอกาสของหม่อนนั้นครึ่งต่อครึ่ง เมื่อสามวันก่อน แต่สำหรับเถ้าแก่ชัยและเปียงยางโอกาสรอดยังไงก็เท่ากับศูนย์



“รอหมอก่อนนะ หมอจะไปเอารถเข็นมาให้”


“ฮึก ฮืออออออออ เถ้าแก่  เปียงยางงงงง ทำไมกัน ทำมายยยยยย”


           แพทย์หนุ่มได้แต่เก็บน้ำตานั้นไว้ไม่ให้ไหลรินไปตามภาพตรงหน้าที่เห็น ก่อนจะตัดสินใจออกจากห้องไปเอารถเข็นเข้า

มาในห้อง


           แพทย์หนุ่มพาร่างคนเป็นที่ไม่ต่างจากคนตายในตอนนี้ เข็นมายังด้านหน้าห้องดับจิต  แพทย์หนุ่มกำลังพูดคุยอะไรกับ

คนเฝ้าหน้าห้องอยู่สักพักก็เข็นรถอีกคนเข้าไปด้านใน บรรยากาศเบือกเย็ยเหน็บหนาวแล้วหยุดอยู่ที่ศพตรงหน้า สภาพที่คลุม

ด้วยผ้านั้นแตกต่างกัน อีกผืนยาวอีกผืนสั้น หม่อนต้องทำใจหนักมาก ก่อนที่ผ้าคลุมหน้าของสองคนตรงหน้านั้นจะถูกเปิดออก


“ทำใจดีๆไว้นะหม่อน”


“ผม ฮึก  ฮืออออ  ผมพร้อมแล้ว ฮึก ฮึก”




                ร่างบางตั้งใจมองภาพตรงหน้า ไม่นานผ้าคลุมหน้านั้นก็ถูกเปิดออก เป็นเถ้าแก่ชัยกับเปียงยางจริงๆด้วย



“ม่ายยยยยยยย ไม่จริงงงงงง นี่คือความฝันใช่ไหมมมมม บอกผมที เถ้าแก่จะทิ้งผมไปแบบนี้ไม่ได้นะ  เถ้าแก่บอกจะรอผมไม่ใช่

หรอออ ฮือออออ ตื่นสิครับ ตื่นขึ้นมา   เปียงยางงงง เปียงจะทิ้งอาไมได้นะ ไหนเปียงบอกรักอาเหมือนแม่ไง เปียงตื่นสิ เปียง”


                หม่อนเหมือนคนเสียสติกับศพสองคนตรงหน้านี้ สองคนยังไม่รอด แต่ทำไมเขากลับรอด ทำไมกัน? หม่อนใช้เวลา

อยู่กับศพสองคนในห้องลำพังและนานพอจนควบคุมสติตัวเองได้แล้วแพทย์หนุ่มเพื่อนสนิทของเถ้าแก่ชัยก็เข้ามาเข็นรถเข็นออก

ไป และไปซักที่ที่ทำให้ผ่อนคลาย…


             ในสวนหย่อมสุดสวยด้านหน้าตึกผู้ป่วย แต่ความสวยนั้นช่างไม่มีผลต่อจิตใจของคนบนรถเข็นเลยแม้แต่น้อย มีแต่แวว


ตาที่มองไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย


“หม่อน!”


        สุดท้าย เสียงเรียกชื่อดังมาจากข้างหลังก็ทำให้หม่อนตื่นจากภวังค์แห่งความทุกข์ใจได้


“ทำไมครับหมอ ทำไมผมรอดอยู่คนเดียว ทำไมผมไม่ตายตามพวกเขาไป” นี่ไม่ใช่ประโยคประชดประชันแต่เป็นความรู้สึกที่

ต้องการอยากจะเป็นจริงๆของหม่อน


“รู้ไหมว่าทำไม?”


“หมอพูดมาเถอะครับ”


“เพราะตอนนี้ถึงเถ้าแก่ชัยจะไม่อยู่กับหม่อนแล้ว แต่ลมหายใจเข้าออกของหม่อนนั้น เถ้าแก่ชัยยังอยู่กับหม่อนเสมอนะ”


“หมายความว่าไงครับ?”


“ก็เพราะว่าตอนเกิดอุบัติเหตุปอดและอวัยวะภายในหลายชิ้นถูกกระทบอย่างแรง ทำให้ต้องได้รับการปลูกถ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ใน

ตอนนั้นเหมือนอะไรดลใจให้เถ้าแก่พูดออกมาทั้งๆที่เขาอาการสาหัสพร้อมสิ้นใจทุกเมื่อ เขาบอกให้หม่อนต้องรอด และเต็มใจที่

จะเอาอวัยวะของเขาที่ยังดีอยู่บ้างให้กับหม่อนยังไงล่ะ”


“เถ้าแก่! ฮึกฮือออออ” สุดท้ายคนที่มาจากเขาไปอีกคนคือเถ้าแก่กับลูกน้อยสินะ


“เอาล่ะ หมอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาแนะนำตัว แต่หมอต้องขอแนะนำตัวเลยแล้วกัน หมอชื่อนพนะ เป็นหมอศัลยศาสตร์โดย

เฉพาะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับหมอ  ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ถึงสองครั้ง”


“มันเป็นหน้าที่ของหมอเองครับ ส่วนงานศพของเถ้าแก่กับลูกชาย หมอจะช่วยคุณเอง คุณเป็นอัมพาตอย่างนี้คงจะจัดการอะไร

ได้ไม่สะดวกเท่าไหร่”


“ขอบคุณมากครับหมอ”


“เรียกว่าพี่นพก็ได้นะ”


“ครับ!”


            หม่อนหันไปยิ้มให้คุณหมอหนุ่มตรงหน้านิดๆ แต่ความเศร้าจากแววตานั้นไม่อาจปกปิดต่อใครอื่นที่มองเห็นได้เลย

แม้แต่น้อย


“จะขึ้นห้องเลยไหม พี่จะเข็นเรากลับห้องเอง”


“ยังหรอกครับ อยู่ในห้องอุดอู้น่าเบื่อ ผมอยากอยู่คนเดียวเงียบๆตรงนี้ได้ไหมครับพี่หมอ”


“ได้สิ พี่เต็มใจ ไว้เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงพี่จะกลับมารับเรานะ”


“ครับ”


                พอร่างสูงสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเดินกลับเข้าตึกผู้ป่วยไป น้ำตาของหม่อนกลับไหลรินลงมาอีกครั้ง ชีวิตนี้มัน

ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยซักนิด พลาดไปนิดเดียวคือความตายทันที คนมีอนาคตอย่างเถ้าแก่ชัยและเปียงยางทำไมต้องอายุสั้นนัก

คนที่ตายไปซะน่าจะเป็นเขาแทนไม่ใช่สองคนนั้น สวรรค์ช่างโหดร้ายนัก ทำร้ายจิตใจของเขามาหลายหนแล้ว คราวนี้คงจะหนี

แม่ธรณีไม่พ้นจริงๆ



“แม่ธรณีครับ ฮึก ฮึก ลูกขอให้บุญกุศลที่เราทำกันมาส่งไปถึง เถ้าแก่ชัยและเปียงยางด้วยนะครับ ให้พวกเขา ฮึก ฮึก ไปสู่ภพภูมิ

ที่ดีด้วย ฮึก ฮึก” เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ด้วยความปวดใจนั้นดังต่อเนื่องตลอด


              และแล้ววันเวลาที่ผ่านไปก็พอจะเยียวยาความเศร้าได้เช่นเดิม งานศพของเถ้าแก่ชัยและลูกน้องจัดเสร็จไปอย่างเรียบ

ง่าย ส่วนร้านแห่งนี้หม่อนทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของเถ้าแก่ชัย เขาตั้งใจดูแลกิจการและจ้างลูกน้องมาช่วยงานเพิ่มสองคน

ส่วนหมอนพก็แวะเวียนมาเรื่อยๆที่ร้าน แต่ก็ไม่บ่อยนัก ด้วยภาระหน้าที่ที่โรงพยาบาลนั้นมากมายเหลือเกิน ส่วนใหญ่หม่อนก็อยู่ที่

ร้านและกินนอนที่นี่แทนการกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง



“หม่อน!”


  ช่วงเที่ยงวันนั้น จู่ๆก็มีคนโผล่เข้ามาในร้านพร้อมกับถือของเข้ามามากมาย ส่วนใหญ่เป็นอาหารการกินทั้งนั้น กลิ่นหอมโชยชวน

น่ากินมาแต่ไกลทีเดียว


“พี่หมอ ซื้อมาเยอะแยะเลยนะครับ ”


“ก็ซื้อมาทานกับหม่อนเป็นข้าวเที่ยงนี่ไง”


“ขอบคุณครับ อ้อจริงสิ วันเสาร์นี้ผมจะไปทำบุญที่วัดให้เถ้าแก่กับเปียงยาง พี่หมอว่างไหมครับ”


“ว่างสิ ว่างเสมอสำหรับหม่อน ขอให้บอกพี่นะ”


                จะว่าไปหม่อนเองก็เพิ่งจะสังเกตและพินิจดูรูปร่างหน้าตาของพี่หมอนพอย่างถี่ถ้วน เขาเป็นคนสูงและสมส่วนกล้าม

ไม่น้อยไปไม่มากไป กำลังพอดี ใบหน้าเรียวคมหล่อเหลาเอาการ กับแว่นกรอบดำนั้นเข้ากับใบหน้าพี่เขานัก แต่แปลกที่พี่นพไม่

ยอมมีแฟนเลยสักที


“พี่หมอ งานหนักทุกวันแบบนี้จะมีเวลาจีบสาวหรอครับ?” หม่อนเอ่ยถามขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร


“ก็ใช่! แต่ช่างเถอะ พี่ว่าพี่อยู่กับคนป่วยพี่มีความสุขมากกว่านะ”


“แต่เวลาพอพี่ไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วใครจะดูแลล่ะครับ”


“ก็ไม่เห็นยากเลย…น้องหม่อนไงครับ”


“พูดอะไรครับเนี่ย หม่อนไม่หลงกลพี่หมอหรอกนะ” หม่อนเอ็ดคนตรงหน้าด้วยสายตา


“ใครว่าล่ะครับ จำไมได้หรอก่อนเถ้าแก่ชัยเพื่อนพี่จะเสีย เขาสั่งเสียยกใหญ่ว่าให้ดูแลหม่อน ก็เท่ากับหม่อนก็ต้องดูแลพี่ด้วย”


“อย่างหลังนี่หม่อนว่าไม่น่าจะใช่นะครับ”


“ทำไมล่ะครับ ดูหม่อนสิน่ารักออกอย่างนี้พี่ไม่แปลกในเลยนะว่าจะเปลี่ยนชายหนุ่มหลายคนให้หลงชอบผู้ชายด้วยกันได้”


“แต่กลับบางคน ผมเปลี่ยนไม่ได้เลย”


                ร่างบางเปรยออกมาเบาๆ พร้อมกับมีภาพใบหน้าของบอร์นผ่านแว๊บเข้ามาในสมองทันที ยิ่งคิดก็ยิ่งช้ำใจ แต่ช่าง

เถอะ ไหนๆก็ผ่านมาแล้วให้มันเป็นอดีตที่อยู่ในความทรงจำก็แล้วกัน


“น้องหม่อนหมายถึงใครหรอครับ?”


“เปล่าหรอกครับ พี่หมอทานข้าวเถอะ มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลย”


        หม่อนเปลี่ยนท่าทีจากเศร้าๆกลายเป็นเสียงหัวเราะและยิ้มให้พี่หมออย่างรวดเร็ว แต่นั่นไมได้ทำให้แพทย์หนุ่มวางใจ

แม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่าต้องเป็นใครสักคนที่หม่อนแอบชอบแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครก็เท่านั้นเอง


…อ้อมอกแม่นี้ยังรอซับน้ำตา

ให้ไหลพร่างพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



***********************************


ตามนั้นแหละครับผู้อ่าน   หายตัวแป๊บ  กลัวโดนด่า   :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:


เอาน่าๆ ให้ตามต่อไป อีกนิดก็จะจบแล้ว บางทีอาจจะทำให้ยิ้มได้แทนการเสียใจนะ   :hao3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
«ตอบ #34 เมื่อ03-07-2016 12:09:24 »

เหมือนเกิดมาสร้างความหายนะให้กับคนที่มาช่ววเหลืออะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
«ตอบ #35 เมื่อ03-07-2016 14:04:04 »

 :z3:  โหยยยยยย ชีวิตหม่อนนี่มันเศร้าจริงๆ แต่แอบคิดเหมือนเม้นท์ข้างบนว่า หม่อนเกิดมาเพื่อสร้างหายนะให้คนที่มาช่วยเหลือหรือเปล่า 55555

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
«ตอบ #36 เมื่อ03-07-2016 14:21:26 »

หม่อนนี่ตัวซวยป่ะเนี่ยใครช่วยเนี่ยตายหมดเลย
เราว่าอารมณ์ของตัวละครมันไม่สุดอ่ะมันเลยไม่เศร้าอย่างที่ควรจะเป็น

ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
«ตอบ #37 เมื่อ03-07-2016 18:15:36 »

ธรณีครวญ
บทที่ 10
รำลึกความทรงจำ



           ผ่านไปนานพอสมควรจนกระทั่งหม่อนอายุครบ 20 ปี  ร่างบางตั้งใจปิดร้านสองวันเพื่อจะเดินทางไปที่บ้านไร่ของพ่อ

เลี้ยงกร อำเภอปากช่อง จังหวัดโคราช โดยมีพี่หมอนพ อาสาเป็นคนขับรถให้ แต่ความยากลำบากอยู่ที่การเสียความรู้สึกที่ขาทั้ง

สองข้างไปแล้วนั้น ทำให้การไปไหนมาไหนต้องคอยให้คนอื่นช่วยตลอดและคนอื่นที่ว่านั้นไม่ใช่ใครไกลอื่นเลยนอกจากหมอนพ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พี่หมออุ้มเขาขึ้นรถอย่างช่ำชอง ราวกับตัวของหม่อนไมได้หนักอะไรเลยและดูเหมือนเขาจะแอบแกล้งเด็กหนุ่ม

เล่นทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างเช่นแกล้งทำเหมือนจะปล่อยมือบ้าง โยนขึ้นลงอย่างกับลูกบอลบ้างสร้างความตื่นเต้นให้เขาไมไม่

น้อยทีเดียว 



“พร้อมจะไปต่างจังหวัดรึยังครับคนเก่ง!”


“พร้อมครับพี่หมอ”


“พาคนรัก กลับไปรื้อฟื้นและความทรงจำดีๆที่บ้านไร่คราวนี้ ไม่รู้ว่าอีกคนจะนอกใจพี่ไหมน้า!”



            ย้อนความกลับไป ผมมานั่งคิดๆดูผมไม่อยากเสียเวลาให้มันผ่านเลยไป ทั้งที่อดีตมันกลับมาไมได้แล้วนั้น ผมควรจะอยู่

กับปัจจุบันและความเป็นจริงจะดีกว่า สำหรับใครบางคนในความรักครั้งแรกก็ปล่อยเขาไปมีความสุขตามที่เขาควรจะเป็น และ

ปล่อยให้เป็นความทรงจำดีๆในจิตใจของผมเองจะดีกว่า



            ผมจะไม่ทำให้ทั้งพ่อเลี้ยงกร และเถ้าแก่ชัยต้องเสียใจอีก หากเห็นว่าผมยังคงปฏิเสธคนที่ดีแสนดีเช่นนี้ให้หลุดลอยไป

อีกคน และผมเองก็คงจะทำใจไมได้อีกแน่หากคนที่รักผมต้องมาเป็นอะไรไปอีก ทั้งที่ผมกลับไม่ให้โอกาสเขาเลย ผมเลยตัดสิน

ใจลองเปิดใจตัวเองอีกครั้งและคุณหมอก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีเสียด้วย


        ตลอดเวลาหนึ่งปีที่พี่หมอมาอยู่และช่วยดูแลกิจการของเถ้าแก่ชัยเพื่อนสนิทนั้น มันทำให้ผมเห็นแล้วว่า คนเราอย่าไปปิด

กั้นโอกาส มีอะไรก็เรียนรู้กันไป อย่าได้เสียเวลาทิ้งเปล่าไป ไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะต้องเสียพี่หมอไปอีกรึเปล่านั้นไม่มีใครตอบได้

แต่หากจะเกิดขึ้นจริงคราวนี้ขอให้เป็นเขาเองเถอะที่ต้องตายจะดีกว่า



           รถห้าประตูขับไปบนถนนเส้นใหญ่มุ่งหน้าสู่ถนนมิตรภาพ ที่จะนำพาพวกเขาไปยังบ้านไร่แห่งนั้นอันเป็นจุดหมายปลาย

ทาง สุดท้ายก็มาถึงบ้านไร่ อำเภอปากช่องเพียงเวลา 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง สิ่งแรกที่เขาเข้ามาเห็นและได้สัมผัสความ

เปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควร สงสัยจะเป็นความคิดบริหารธุรกิจของคุณกัน น้องชายคนเดียวของพ่อเลี้ยงกรเป็นแน่




“พี่นาย!”



              หมอนพเข็นรถเข็นของหม่อนมาหยุดที่โรงเก็บหญ้าฟาง ชายคนนั้นค่อยๆหันกลับมามองกลังจากได้ยินคนเอ่ยชื่อ แต่

แล้วรอยยิ้มนั้นก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของพี่ชายผิวคล้ำคนเดิมที่เขารู้จัก


“หม่อน! หม่อนจริงๆด้วย มาได้ยังไง แล้วนี่ทำไมถึงได้…”


             จากรอยยิ้มกลับหายลับเข้ากลีบเมฆเมื่อพี่นายสังเกตเห็นคนตรงหน้านั้นนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีร่างสูงใส่แว่นหล่อเหลา

เป็นคนเข็นอยู่ด้านหลัง


“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับพี่นาย”


“ไม่นิดแล้วมั้งหม่อน โถ่เอ้ย ไปโดนอะไรเข้าล่ะ?” พี่นายถามร่างบางด้วยความเป็นห่วง


“ช่างมันเถอะครับ ผมไม่อยากรื้อฟื้นมันอีกแล้ว”



“แล้วนี่ใครกันหรอ?”


“แฟนผมเองครับพี่นาย นี่คุณหมอนพครับ พี่นพครับส่วนนี่พี่นาย พี่ชายของหม่อนเอง”


“สวัสดีครับ” ร่างสูงไหว้คนผิวคล้ำตรงหน้า


“ครับคุณหมอ เอ่อพี่ว่าพาคุณหมอเข้าบ้านดีกว่านะ ตากแดดอยู่อย่างนี้ไม่ดีแน่”


“ไม่เป็นไรครับผมทนได้”


“เอาอย่างนั้นหรอครับหมอ” นายทำสีหน้าลังเล


“พี่นาย คุณกันอยู่ไหมครับ?”


“อยู่สิ น่าจะที่กลางไร่โน่นเลย ถ้าจะไปคงไม่สะดวกเพราะไม่ใช่ทางรถยนต์เอาเป็นว่า รออยู่ที่บ้านไปก่อน เดี๋ยวพี่จะไปตามให้”


“ขอบคุณมากครับพี่นาย”


“ไม่เป็นไรๆ แค่ได้เห็นหม่อนกลับมาก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว ”


                ระหว่างนั่งรอในบ้านผมรู้สึกแปลกใจนิดๆ ทั้งๆที่พ่อเลี้ยงกรตายไปได้หลายปีแล้ว แต่ทำไมภายในตัวบ้านกลับยังคง

อยู่เหมือนเดิมล่ะ ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนตกแต่งเพิ่มเติมไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนนั่งรออยู่ที่โซฟาได้ไม่นาน ก็มีหญิงสาว

แต่งตัวสวยเดินออกมาพร้อมกับน้ำส้มสองแก้ว



“น้ำส้มค่ะ ”


“ขอบคุณมากนะครับ” หม่อนเอ่ยปากบอกเธอพร้อมกับยิ้มให้


“ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เพราะคุณหม่อนลงไปกรุงเทพเสียก่อน”


“อย่าเรียกคุณเลยครับ ผมไม่ค่อยชิน” หม่อนบอกอย่างเกรงใจ มันดูสูงส่งเกินไปที่เขาจะถูกเรียก


“ไม่ได้หรอกค่ะ คนของพ่อเลี้ยงกรฉันต้องพูดให้เกียรติสิคะ ตายจริงฉันลืมแนะนำตัว ฉันชื่อ หน่อย ค่ะเป็นภรรยาของคุณกัน”


“โห จริงหรอครับ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ สวัสดีครับคุณหน่อย คุณกันแต่งงานตอนไหนไม่เห็นส่งข่าวผมเลย”


“ไม่นะคะ เขาบ่นอยากชวนคุณมาร่วมงานมากๆ แต่ไม่รู้ที่อยู่ของคุณและไม่มีเบอร์คุณด้วย”


“เออจริงสิ ตอนนั้นผมไม่มีมือถือนี่นา ขอโทษจริงๆนะครับที่พลาดงานมงคลแบบนี้ไป ขอแสดงความยินดีย้อนหลังนะครับ”


“ขอบคุณค่ะ แล้วนี่คุณหม่อนพาใครมาด้วยคะ?”


“นี่นายแพทย์นพครับ เป็นแฟนผมเอง” เธออึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาแทนเพื่อกลบเกลื่อน


“อ่อค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”


               ตอนนั้นเรานั่งคุยกันไปนานพอสมควรจนกระทั่งมีอีกคนที่ต้องการจะเจอนั้นกลับมาถึงบ้านพอดี แต่การเจอกันครั้งนี้

ทำให้หม่อนรู้ว่าคุณกัน ช่างมีใบหน้าคล้ายกับคุณกรมากเลยทีเดียว ตอนนี้เขาไว้หนวดและเคราเหมือนพ่อเลี้ยงกรทุกอย่างไม่มี

ผิด           



“สวัสดีครับคุณกัน”


            ผมไหว้คนตรงหน้าที่อายุมากกว่า 10 ปีพร้อมกับหมอนพที่ลุกขึ้นไหว้ให้เกียรติพ่อเลี้ยงคนใหญ่ของที่นี่ แววตาดีใจปน

ตื่นเต้นนั้นกำลังเดินเข้ามาหาหม่อนอย่างรวดเร็ว


“หม่อน! รู้ไหมว่านายไปตามฉันกลับมาที่กลางไร่ ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นหม่อนที่กลับมา”


“ผมตั้งใจอยากจะมาหลายปีแล้วครับแต่ไม่มีโอกาส คราวนี้ได้คนขับรถคนใหม่เลยพามาที่นี่ด้วยเลย”


“คนนี้นะหรอ?” กันมองหน้าหมอนพด้วยความฉงนใจ

“ใช่ครับ นี่คือหมอนพ แฟนใหม่ของผมเอง”


“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหมอ” พ่อเลี้ยงกันแห่งบ้านไร่คนใหม่กล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้ม


“คุณคะสิ่งหนึ่งที่คุณไม่รู้นะ คุณหม่อนเขาอัมพาตที่ขาทั้งสอง ตอนคุณเดินเข้ามาในบ้านหม่อนเลยไมได้ลุกขึ้นไหว้คุณนะค่ะ”


“จริงหรอ โถเอ้ยหม่อน ทำไมมีแต่เคราะห์ร้ายอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้นะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องมันก็ผ่านมา 1 ปีแล้ว คุณกันอย่าเอาไปคิดมากเลยครับ”


“แล้วนี่ตั้งใจมาหาฉันกี่วันกันล่ะ”


“สองวันครับ กะว่าจะขอพักค้างคืนที่นี่ เช้าพรุ่งนี้กะว่าจะไปทำความสะอาดธาตุของพ่อเลี้ยงกรแต่เช้าด้วย”


“ดีเลย คุณหน่อย พรุ่งนี้เราก็ถือโอกาสทำบุญไปด้วยเลยดีไหม ไม่ได้ทำนานแล้วเหมือนกัน”


“ดีค่ะพี่กัน ”


“เอาล่ะคืนนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยนะหม่อน”


“ครับคุณกัน”


            บทสนทนามีแต่ความปราบปลื้มปีติยินดี ทั้งสี่คนนั่งทานข้าวกันไป คุยเฮฮากันไป โชคดีแค่ไหนแล้วที่คุณกันตัดสินใจ

แต่งงานกับหน่อย หญิงสาวงามทั้งกิริยาและมารยาทอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นหม่อนเองก็ไม่รู้จะคิดยังไงหากกลับมาที่บ้านไร่แห่งนี้

แล้วคุณกันยังไม่หยุดเลิกรักเขาอยู่



                และแล้วพอถึงตอนเช้าพวกผมทั้งสี่คนก็ตื่นไปทำบุญที่วัด เสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้พ่อเลี้ยงกร ต่อด้วยทำความ

สะอาดบริเวณธาตุเก็บเถ้ากระดูกนั้นจนสะอาด พอสายหน่อยก็กลับมาที่ไร่ดูบรรยากาศเก่าๆที่ครั้งหนึ่งผมเคยอยู่ที่นี่ และรู้จัก

ความรักครั้งแรกสำหรับคนที่รักผมจริง แต่ผมสิที่แย่ปฏิเสธคนที่รักผมครั้งแรกได้ลงคอ โดยไม่ยอมให้โอกาสเขาเลย ทั้งๆที่เขา

เป็นคนที่แสนดี แต่บางทีที่ผมตัดสินใจไปแบบนั้น อาจจะเพื่อได้เดินทางมาพบ พี่นนท์ เถ้าแก่กร เปียงยาง และคนล่าสุดคือหมอ

นพก็เป็นได้




                 และพิเศษที่สุดคือผมให้โอกาสเขา เป็นคนที่สองของหัวใจและเป็นคนแรกที่ผมพยายามจะรักเพราะไม่อยากให้อีก

ฝ่ายนั้นรอความรู้สึกของผมเก้อฝ่ายเดียว และที่สำคัญผมอยากจะให้ชีวิตของผมหยุดอยู่ที่หมอนพเป็นคนสุดท้ายจะได้ไหม? ผม

ไม่อยากเปลี่ยนไปไหนอีก เพราะคำว่าเปลี่ยน นั่นคือคนคนนั้นได้สิ้นชีวิตแล้วนั่นเอง


                 ผมขอร้องให้หมอนพเข็นรถมาหยุดที่ทุ่งแกะ ผมเรียกชื่อนี้เองตรงหน้ามีแต่แกะทั้งนั้น และต้นไม้ต้นใหญ่ที่ที่เดิมที่

ผมมักจะมาร้องไห้และร้องขอความเมตตาจากแม่ธรณี พอนึกกลับไปผมนี่เป็นเด็กที่ขี้แยเสียจริงๆเลย




“พี่หมอครับ รู้ไหมว่าที่นี่มีความสำคัญต่อจิตใจของผมมากเลยนะ”


“ยังไงครับหม่อน”


“เวลาผมเสียใจผมจะแอบมาร้องไห้และขอพรความเมตตาจากพระแม่ธรณีที่นี่  ให้ดูแลและปกปักรักษาผม และผมก็เชื่อด้วยว่า

แม่ธรณีได้ยินสิ่งนั้น ผมถึงได้รอดพ้นจากเหตุการณ์ต่างๆมาได้”


“อย่างนี้สินะ หม่อนเองเป็นคนดี ถึงไม่ใช่แม่ธรณีช่วย พี่ว่าอย่างน้อยพี่เองแหละคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างหม่อนและคอยช่วยเหลือ

หม่อนนะ”


“ขอบคุณมากๆนะครับพี่หมอ ผมจะเก็บความรู้สึกดีๆของพี่หมอให้กลายเป็นความรักให้เร็วที่สุดนะ”


“พี่ก็ต้องขอบคุณหม่อนเช่นกันที่ให้โอกาสพี่ อย่าคิดเพียงว่าเป็นความต้องการของเถ้าแก่ชัยเลยนะ เพราะในใจจริงๆพี่เองก็คิด

กับหม่อนอย่างนั้นแต่แรกแล้ว แต่เพราะเห็นเป็นคนของเพื่อน พี่เลยทำอะไรไม่ได้”


“นี่ผมเพิ่งรู้ครั้งแรกเลยนะครับ?”


“ฮ่าๆๆ อย่าเขินสิ นี่พี่จะลองปรึกษาถามเพื่อนหมอเก่งๆต่างประเทศดูนะ เผื่อเขาจะมีวิธีบำบัดรักษาอาการอัมพาตของหม่อน

หม่อนจะได้กลับมาเดินปกติเหมือนเดิมไง”


“ขอบคุณมากนะครับ ”


“ไม่เป็นไรครับหม่อน พี่เต็มใจนะ”


             ร่างสูงละจากรถเข็นหายไปชั่วครู่เพื่อไปแอบเก็บเอาดอกหญ้าหน้าหนาวที่ขึ้นแตกกอพลิ้วลู่ลมแถวๆนั้นมาหนึ่งกำมือ

ก่อนจะซ่อนมันไว้ด้านหลังแล้วยื่นโผล่ไปตรงหน้าอีกคนอย่างรวดเร็ว หม่อนตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มดีใจที่ได้เห็นสิ่งนั้นจากคนที่รัก

เขาทำให้


“เนื่องในโอกาสอะไรครับ?”


“ก็เนื่องในโอกาสคนน่ารักและสุดหัวใจของพี่ไงล่ะครับ”


“ขอบคุณนะครับพี่หมอ”


“บอกแล้วไงว่าอะไรที่พี่ทำได้ พี่ทำให้หม่อนหมดทุกอย่างเสมอ จะไปที่ไหนอีกไหม?”


“สวนกุหลาบครับ ผมเคยปลูกต้นนี้ไว้กับพ่อเลี้ยงกร ผมอยากไปดูว่ามันเป็นยังไงบ้างแล้ว”


“พ่อเลี้ยงกรนี่เป็นคนดีจริงๆ ตั้งแต่ฟังมาพี่ยังไมได้ยินเรื่องเสียหายของเขาเลยซักอย่างเดียว”


“ใช่ครับ แต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมกลัวพ่อเลี้ยงกรมากเลย คิดว่าเขาเป็นคนใจร้าย ด้วยดวงตาและสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์นั้น”

หม่อนบรรยายพร้อมกับนึกย่อนกลับไปหลายปีทีเดียว


“ฮ่าๆๆ จริงหรอเนี่ย สีหน้าของหม่อนตอนกลัวพ่อเลี้ยงกรจะเป็นยังไงนะ”


“พี่หมอครับ!”


                  หม่อนเขินอายเล็กน้อย ไม่คิดว่าแฟนหนุ่มแกล้งเขาแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ มันเป็นความจริงนี่นา ไม่มีใครหลีกเลี่ยง

ได้หรอก คิดเสียว่าเป็นสีสันให้พี่หมอได้ยิ้มและมีความสุขจะดีกว่าจริงไหม สถานที่แห่งนี้คือความทรงจำของเด็กหนุ่มคนนี้เสมอ

และตลอดไป…


…อ้อมอกแม่นี้ยังรอซับน้ำตา

ให้ไหลพร่างพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



********************************


อีกไม่นานก็จบ เพราะตอนนี้แต่งจบแล้ว  :katai2-1: :katai2-1:  มีความยิ้มแฉ่ง ติดตามนะครับ  :mew1: :mew1:


ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 10) 3/7/59
«ตอบ #38 เมื่อ04-07-2016 10:24:07 »

ธรณีครวญ
บทที่ 11
เสียตัว




              จากวันนั้นก็ผ่านเลยมาอีกหลายสัปดาห์ ผมยังคงทำหน้าที่นั้นได้ดีทีเดียวคือการบริหารร้านเครื่องเขียนต่อจากเถ้าแก่

ชัย เงินทุกบาททุกสตางค์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ ไม่ให้ขาด เงินบางส่วนก็เอาไปซื้อของกลับเข้าร้าน บางส่วนก็ทำบุญให้เถ้าแก่

ชัยกับเปียงยาง ทำแบบนี้เหมือนเดิมมาตลอดมีพี่หมออยู่เคียงข้างก็พอจะลืมคนรักคนแรกไปได้บ้าง ไม่สิตอนนี้ผมลืมพี่บอร์นไป

เสียสนิทใจแล้วต่างหาก



             ชีวิตกำลังจะไปได้ดีจนกระทั่งวันแห่งความอดสูกลับหวนวนมาที่ผมอีกครั้ง ใครคนหนึ่งที่ห่างหายไปจากชีวิตของผม

เกือบสามปี แต่มาตอนนี้ผมกลับมาอีกครั้งแล้ว ปรากฏและประจักษ์ตรงหน้าผม ตอนนี้ทำอะไรแทบไม่ถูกสิ่งแรกที่ผมทำคือ

อุทานเรียกชื่อนั้น




“พี่นนท์”



“ยังจำกันได้ด้วยหรอ?”


“พี่นนท์ออกจากคุกตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”


“ก็ได้สักพักแล้ว สืบสาวหาที่อยู่หม่อนนานทีเดียวกว่าจะหาเจอ เป็นไงชีวิตใหม่ที่แสนสบายกับการเป็นเมียเถ้าแก่ชัย ไม่สิกับไอ้

หมอหน้าจืดยังสุขสบายดีรึเปล่าล่ะ?”


                นนท์ หนุ่มหล่อเหลาพูดเย้ยหยัน พลางเดินไปเดินมาภายในร้าน ดวงตาของหม่อนจับจ้องมองร่างสูงนั้นไม่กระพริบ

ตา ไม่รู้ว่าการกลับมาครั้งนี้ของนนท์คืออะไรกันแน่



“พี่ถามทำไมไม่ตอบครับคนดี!”



“ผมสบายดี!” หม่อนนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยความสั่นผวา


“ฮ่าๆๆๆๆ ดี มีความสุขได้ก็ดี พี่กำลังเดือดร้อนเงินทอง พอจะมีให้พี่ยืมบ้างไหม?”


               แย่แล้ว มาเรื่องเงินจริงๆด้วย คราวนี้เขาจะไม่ยอมเอาเงินให้กับคนเลวแบบพี่นนท์อีกแล้ว คราวก่อนต้องยอมรับว่าพี่

นนท์นั้นเล่นตบตาปิดบังความชั่วไว้ได้แต่รอบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้วเป็นแน่


“พี่นนท์ ผมให้พี่ไมได้หรอก เงินนี้ได้จากการขายของในร้านและเป็นเงินของเถ้าแก่ชัยด้วย!”


“เฮ้ย อย่าเป็นคนดีนักเลย ถึงยังไงเงินนี่ก็ไม่ใช่ของนายหรอกจริงไหม? แบ่งๆกันใช้เสียก็สิ้นเรื่อง” คำพูดเอาแต่ได้ของพี่นนท์นั้น

หม่อนแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเลยทีเดียว


“ผมไม่ให้ครับ เงินนี้พี่จะเอาไปไหนไม่ได้”


“เอามาให้พี่นะหม่อน ตัวเองก็เป็นอัมพาตอยู่อย่างนี้ อย่าขัดขืนให้มากความเลย” นนท์ขู่พร้อมกับมองกวาดดูขาสองข้างของ

หม่อน



“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย คนร้ายเข้าร้าน…อุ๊บ”


            ยังไม่ทันที่จะได้ร้องตะโกนให้คนข้างนอกได้ยินเท่าไหร่ ปากชมพูนั้นถูกปิดทันทีด้วยมือหนาๆของนนท์ และสิ่งที่หม่อน

ทำ มันทำให้นนท์โกรธและหมดความอดทน


“ปากมากนักใช่ไหม ดี!    มาเป็นเมียพี่อีกคน  ก็แล้วกันหม่อน!”


      หม่อนทำตาเหลือกลานทั้งกลัวทั้งเสียใจ เขาไม่น่าไปรู้จักกับคนแบบพี่นนท์ตั้งแต่เรียกเลย รถเข็นถูกพาเข้าไปข้างในร้าน

กระจกฝ้ากั้นขวางอยู่ พอเข้าไปได้นนทหันหลังกลับมาล็อคประตูเบ็ดเสร็จ แค่นี้คนภายนอกก็เข้ามาด้านในไมได้แล้ว


       ร่างสูงอุ้มร่างของหม่อนขึ้นไปบันไดชั้นสอง ตรงเข้าไปที่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว นนท์ทิ้งตัวหม่อนลงกลางที่นอนอย่างไม่

ปราณี พร้อมกับขึ้นมาคร่อมตัวเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี คนเป็นอัมพาตไหนเลยจะสู้แรงของคนปกติสมบูรณ์ได้ สุดท้ายหม่อนก็ต้องเสีย

ตัวครั้งแรกให้กับนนท์ ทั้งๆเป็นคนที่หม่อนไม่เคยรัก และในขณะเดียวกันหม่อนไม่เคยได้รับความช่วยเหลือหรือเป็นห่วงจากเขา

เลย แต่ดูสิ่งที่เขาทำสิ ช่างน่าเจ็บใจนัก




“อ่า!....”




       เสียงร้องครวญครางจากลำคอนั้น เปล่งออกมาพร้อมกับปล่อยน้ำอุ่นๆบางอย่างฉีดเข้าข้างในร่างกายของหม่อน หลังจาก

กิจกรรมบนเตียงดำเนินไปนานร่วมชั่วโมง นนท์เหมือนจะเหนื่อยพอสมควรแต่กลับปาดเหงื่อบนหน้านั้นพร้อมกับถอดแท่งเนื้อนั้น

ออกไป ก่อนจะรีบแต่งตัวลงไปด้านล่าง



           ตอนนี้หม่อนกำลังเปลือยกายบนที่นอน ทั้งหมดแรงทั้งจมกองน้ำตาอยู่อย่างนั้น เขาพลางแต่เดาเองเองว่า พี่นนท์ต้อง

รีบลงไปเปิดเอาเงินเหล่านั้นใต้ลิ้นชักโต๊ะแน่นอน  ความเหนื่อยล้าและเจ็บช้ำนั้นทำให้หม่อนสลบไปบนเตียงของเถ้าแก่ชัย


             ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่สลบไป จนกระทั่งเหมือนรู้สึกมีอะไรเย็นๆมาแตะที่ใบหน้า ไม่สิทั้งเรือนร่างของหม่อนนั้นเย็น

ไปหมด และตอนนี้เขาแทบอยากจะลืมตาขึ้นมามองแล้วสิว่าเกิดอะไรกับตัวเขาตอนนี้กันแน่




“ตื่นแล้วหรอหม่อน!”


“พี่หมอ นี่ผมอยู่โรงพยาบาลอีกแล้วหรอครับ”


“ใช่!  พี่ขอโทษนะหม่อน พี่ทิ้งหม่อนให้อยู่ร้านคนเดียว พี่มันไม่ดี”


“อย่าโทษตัวเองเลยครับ จริงสิพี่หมอ พี่นนท์เขาเอาเงินเถ้าแก่ไปแล้วครับ ทำยังไงดี”


“หม่อนใจเย็นๆนะ ตอนนี้สิ่งที่หม่อนต้องห่วงคือชีวิตของตัวเอง”


“หมายความว่าไงครับ”



“ที่ก้นของหม่อนมันฉีกเพราะการร่วมเพศทางทวารหนัก! ครั้งแรก” หมอนพ อธิบายอย่างยากลำบาก แผ่วเสียงท้ายประโยค

พร้อมทั้งกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ


“ขอบคุณพี่หมอมากนะครับ”


“มันเป็นใครหรอหม่อน ทำไมมันถึงได้ทำกับหม่อนแบบนี้”


“เขาเป็นคนที่ขายบ้านของเขาให้หม่อนครับ แต่หม่อนก็ถูกเขาหลอกเอาเงินไปจนหมดเพื่อไปเล่นพนัน หลังจากนั้นก็ถูกจับ แต่

ตอนเกิดเหตุเขาบอกว่าเขาออกจากคุกได้สักพักแล้ว ไม่นึกว่าเขาจะตามผมมาอีก ”


“โถ่หม่อนไม่น่าเลยจริงๆ พี่ผิดเองที่ไม่ดูแลหม่อนดีๆ”


“ไม่ใช่ความผิดใครหรอกครับ มันคงเป็นชะตาชีวิตของหม่อนเองนั่นแหละ จริงอย่างที่หลวงพ่อกล่าวว่า คนเราหนีกรรมของตัว

เองไม่พ้นจริงๆ”


                   พูดมาแล้วเขาแทบอยากจะไปหาหลวงพ่อที่วัดเสียตอนนี้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเขาอยากจะปลงไม่ยึดติด แต่มัน

กลับทำได้ยากเหลือเกิน ยากมากทีเดียว ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ


“หม่อน พี่พาตำรวจมาด้วย หม่อนให้ปากคำตามจับคนร้ายเลยนะ”


“ครับ!”


                หมายออกจับนนท์ก็เริ่มขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนข่าวการจับกุมนนท์ก็ออกข่าวไปทุกช่องและดู

เหมือนว่าโทษครั้งนี้นนท์จะไม่ได้ออกมาจากคุกอีกเลย แต่ก็ทำให้หม่อนสบายใจได้ในระดับหนึ่ง เขาแค่คิดว่ามันน่าจะหมดเรื่อง

หมดราวเสียทีในชีวิตนี้


          และวันนั้นเป็นวันที่สุดแสนวิเศษที่สุดในชีวิตของหม่อน พี่นพเดินเข้ามาในร้านแล้วคุกเข่าตรงหน้ารถเข็นที่ร่างบางนั่งอยู่

พร้อมกับจับมือเรียวเล็กนั้นไว้ แววตาพี่หมอดูจริงใจและอ่อนโยนที่สุดทีเดียว




“หม่อน! แต่งงานกับพี่นะ”


“ครับ!”



          คำตอบที่ไม่ต้องคิดอะไรแล้วของผมตอนนั้น ผมเต็มใจและรอคอยวันนี้มาตลอดที่เปิดใจว่าพี่หมอเป็นแฟน ผมไม่อยาก

ทำให้ใครต่อใครต้องมารอคอยและเสียใจกับความรักของผมอีกแล้ว ผมทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ลืมความรักเก่าไป และพี่

หมอนี้เองที่ทำให้ผมลืมได้สนิทจริงๆ ตอนนี้หัวใจของผมเริ่มให้กับพี่หมอคนนี้ ส่วนพ่อเลี้ยงกรและเถ้าแก่ชัยผมจะถือว่าเป็นความ

ทรงจำที่ดีและเป็นเครื่องย้ำเตือนชีวิตของผมว่าไม่ควรจะรอกับความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว




         งานแต่งของผมถูกจัดขึ้นเรียบง่ายไม่หวือหวา และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมมีความสุขมากในชีวิตกับคนสุดท้ายที่ผมจะใช้

ชีวิตอยู่ด้วยบนโลกใบนี้ ผมรักพี่หมอมากขึ้นทุกวันๆ จนตอนนี้ปฏิเสธไมได้แล้วว่าพี่หมอแทรกแซงหัวใจของผมทุกห้อง ไม่เหลือ

ห้องว่างไหนให้ชายอื่นอีกแล้ว



“หม่อน เดือนหน้านี้พี่ติดต่อหมอเก่งๆที่ต่างประเทศได้แล้วนะ พี่จะพาหม่อนไปอเมริกา ไปรักษาขาที่นั่น”


“ผมจะหายหรอครับ”


“ต้องลองดู แต่อัมพาตพูดตามหลักมันหายไมได้ แต่หมอที่นั่นเขาทำวิจัยเรื่องนี้มาพอสมควร หากหม่อนเป็นกรณีที่พอจะรักษา

ได้ หม่อนจะได้กลับมาเดินได้เหมือนเดิมไง”


“ขอบคุณพี่หมอมากนะครับ พี่เป็นทุกอย่างในชีวิตผมเลย”



       ร่างบางโผกอดอีกคนที่นอนขนาบข้างบนเตียงนอนเดียวกันนั้น ก่อนจะหลับตาไปในค่ำคืนที่แสนจะอบอุ่นที่สุดในชีวิต


       และแล้ววันเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหนึ่งปี เป็นอย่างที่พี่หมอนพบอกจริงๆด้วย สมรรถภาพขาของผมทั้งสองกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยเทคโนโลยีอะไรก็ตามแต่   ที่ต่างชาติเขาคิดค้นและวิจัยมา และมันทำให้ขาของผมดีขึ้นมากจริงๆถึงจะไม่สมบูรณ์เต็มร้อย

ก็ตาม



“ค่อยๆเดินนะหม่อน อย่างนั้นแหละ อย่างนั้น ช้าๆ”


           เสียงเอาใจช่วยของพี่หมอยืนดูอยู่ข้างๆ ผมกำลังเดินอยู่ที่ทางเดินขนาบข้างของผมเป็นราวเหล็กให้จับไปเรื่อยๆเป็น

ทางยาวเพื่อหาที่ค้ำจุน จริงๆผมถูกฝึกให้เดินแบบนี้มานานแล้ว แต่วันนี้การฝึกเดินด้วยขาของผมมันแทบจะเป็นปกติทีเดียว แต่ก็

ยังต้องนั่งรถเข็นอยู่เพราะขายังไม่แข็งแรง




“พี่ดีใจจริงๆ หม่อนดีใจไหม?”


“ดีใจสิครับ ขอบคุณพี่นพมากๆนะครับ”


“เปลี่ยนจากขอบคุณเป็นหอมแก้มพี่ได้รึเปล่า?”


“ฟอดดดดด”


             หม่อนไม่รอที่จะทำตามคำขอร้องนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่พี่นพควรจะได้รับทุกประการ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำที่ผมจะต้อง

ทำให้ เราเดินทางกลับไปบ้านพัก พี่นพได้ซื้อเอาไว้เพื่อพักอาศัยในระหว่างที่ดูแลผมที่นี่


      ระหว่างช่วงเวลาที่ไมได้ไปบำบัดรักษา พี่นพอาสาพาผมไปเที่ยวที่โน้นบ้าง รัฐนี้บ้าง เป็นกำไรชีวิตของผมเหลือเกินที่ได้มา

เจอพี่นพ


     ในขณะที่เรานั่งรับประทานอาหารที่กลางสวนสาธารณะ มันทั้งเงียบ ร่มรื่น และสงบ ผมร้อนรนใจอยากจะพูดคำคำหนึ่งออก

มา แต่ถึงยังไงก็ไม่กล้าพูด ผมแต่งงานกับพี่หมอก็จริง อยู่กินกันมานานแล้วก็จริง แต่ผมยังไม่เคยเอ่ยคำคำนี้ออกมาจากปาก

แม้แต่น้อย



“มีอะไรรึเปล่าหม่อน ทำไมดูไม่นิ่งเลย” หมอนพหันมาถาม


“พี่หมอครับ ผมมีเรื่องจะบอกพี่”


“อะไรครับ?”


“ผม รักพี่นะครับ”


“ว้าว วิเศษจริงๆ พี่ก็รักหม่อนครับ เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆอยากจะบอกคำนี้กับพี่”


“ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนจะจากกันยังไงก็ไม่รู้” หม่อนทำหน้าเศร้า


“ไม่เอาน่าหม่อน เป็นคำที่ไม่ดีเลยนะ ไม่ควรพูดเด็ดขาด หม่อนจะจากพี่ไปไหน พี่ดูแลหม่อนดีขนาดนี้”


“มันก็ใช่ครับ แต่ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน ผมเลยอยากจะบอกพี่นพให้รู้ว่าผมคิดกับพี่นพยังไง”


“ครับ ขอบคุณมากนะ สำหรับความรู้สึกนี้ พี่จะจดจำมันตลอดไปเลย ว่าแต่หม่อนเถอะแค่อย่าจากไปไหนก็พอแล้ว พี่คงจะทำใจ

ไมได้ อย่าทิ้งพี่อยู่คนเดียวนะ”


“ครับ!”


    เป็นคำตอบรับที่สุดแสนยากจะเอ่ย แต่ก็ต้องขานรับไป เพราะอยากให้อีกคนสบายใจ และไม่ต้องเครียดกังวล ส่วนตัวเขานั้น

มันกลับเหมือนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ เหมือนเวลาชีวิตของหม่อนกำลังจะหมดลงแล้วสิ อะไรล่ะที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น ก็ไม่รู้

เหมือนกัน?


        สายตาของร่างบางมองทอดผ่านเพื่อพักผ่อนสายตา เขามองดูไปรอบสวน แต่กลับสะดุดตาเข้ากับคู่ชายหญิงคู่หนึ่งตรง

หน้าถัดไปนั้น เขาแทบจะกลั้นหายใจเลยทีเดียว เป็นไปไมได้!   จะเจอกันได้ยังไง? เขาฝันไปรึเปล่านะ?


…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา   

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา       

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่   

 รองรับความทุกข์ไว้   

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



******************************


ใกล้แล้วๆๆ  ใกล้จบแล้ว รู้สึกยิ้มแก้มปริจริงๆ หมายถึงชีวิตหม่อนนะ

ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 11) 4/7/59
«ตอบ #39 เมื่อ04-07-2016 13:26:29 »

ธรณีครวญ
บทที่ 12
คนแอบรักเก่า




“พี่บอร์น!”  เสียงอุทานเบาๆนั้นกับแววตาที่ดูตกใจเกินเหตุ ทำให้นพที่นั่งอยู่ข้างๆ มองไปตามสายตานั้นที่ทอดตรงไปอย่างฉงน

ใจ พลางเห็นคู่ชายหญิงใบหน้าคร่าตาน่าจะเป็นคนไทยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวถัดออกไปตรงหน้า  ทั้งคู่กำลังสวีทหวานกันอยู่



“หม่อนรู้จักเขาหรอ?”


“ใช่ครับ นั่นแหละพี่บอร์น พี่ชายที่ผมแอบชอบคนแรกในชีวิต” หม่อนหันมาบอกนพตรงๆ ยอมรับเพราะไม่มีอะไรที่ต้องปกปิดอีก

แล้ว


“หม่อนโอเคไหม?”


“ครับ!”


“งั้นไปกับพี่!” ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมจับข้อมืออีกคนแน่น


“ไปไหนครับ?” หม่อนทำสีหน้าสงสัยและตกใจด้วย


“ก็ไปหาเขาไง หม่อนคิดถึงเขาไม่ใช่หรอ ไม่ได้เจอกันนานนี่นา”


“แต่ว่าเรื่องมันผ่านมา 6  7 ปีแล้วนะครับ พี่บอร์นคงจำผมไมได้หรอก”


“ไม่มีใครเขาลืมกันง่ายขนาดนั้นหรอก เชื่อพี่”


       สุดท้ายก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย นพตัดสินใจให้หม่อนเดินเองครั้งแรกโดยมีเขาประครองตัวอยู่ตลอดๆ เดินไปข้างหน้า

ช้าๆ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ตรงหน้าชายหญิงสองคน


      การมาเยือนของสองหนุ่มที่ยืนบังแสงแดดนั้นทำให้ทั้งคู่ที่นั่งอยู่เก้าอี้เหล็กยาวเงยหน้าขึ้นมอง หนึ่งคนทำสีหน้าสงสัยอีกคน

กลับมองมาด้วยความทึ่งและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น



“ขอโทษนะครับ เราเคยรู้จักกันมาก่อนไหม?” บอร์นเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจนัก แต่ใบหน้าเค้าโครงของร่างบางนั้น ทำให้

รอยยิ้มมุมปากค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของบอร์น



“ผมเองครับพี่บอร์น”



“ใช่หม่อนจริงๆด้วย พี่จำได้ว่านายตัวเล็กกว่านี้ซักหน่อย ไม่สิตัวเล็กมาก เราไม่เจอกันนานเท่าไหร่นะ 6 ปี 7 ปี หรือ 8 ปีกันนะ”

บอร์นทำสีหน้าครุ่นคิด น้ำสเยงตื่นเต้น ตกใจ ดีใจปนกันไปหมด แต่ก็อดไมได้ที่จะยิ้มให้น้องชายที่เขาอยากเจอที่สุดในชีวิต



“พี่บอร์นสบายดีนะครับ” หม่อนยิ้มอ่อนๆให้ในใจอยากโผกอดเหลือเกินแต่ก็เกรงใจพี่นพและแฟนสาวของพี่เขา ตอนนี้ไม่เหมือน

ก่อนแล้ว และที่สำคัญเขารักพี่นพไปหมดทั้งใจแล้ว


“หม่อน นี่ใครหรอ?”


“อ้อ ขอโทษทีครับพี่บอร์น นี่พี่หมอนพครับ เป็นแฟนหม่อนเอง”


 หม่อนภูมิใจและกล้าเสนอพี่นพในนามแฟนได้อย่างเต็มปาก และการเปรยออกไปแบบนั้น ดูเหมือนร่างสูงใส่แว่นคนนี้จะพึง

พอใจในคำแนะนำของหม่อนมาก


        บอร์นกลับแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยิ้มให้น้องชายตรงหน้าอยู่ ก่อนจะหันไปมองหญิงอีกคนที่เป็นคนรักของเขาอย่างดีใจ


“นี่แฟนพี่เหมือนกัน เธอชื่อ สาริน เป็นคนเชียงใหม่ ” บอร์นยิ้มบอกหม่อนและนพอย่างภูมิใจ


    และทั้งหมดก็พากันนั่งทานข้าวกลางวันไปในตัว ด้วยชุดปิกนิกเล็กๆที่เตรียมกันได้ง่ายๆ บรรยากาศไมได้เศร้าไปเหมือนที่คิด

ต้องขอบคุณพี่หมอนพที่ตัดสินใจและทำในสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าหม่อนลืมความรู้สึกกับพี่บอร์นไปแล้วจริงๆด้วย ตอนนี้หม่อนรู้ใจ

ตัวเองแล้วว่าเขารักแค่พี่หมอนพคนเดียวเท่านั้น


           สุดท้ายพี่บอร์นก็ขอเบอร์โทรที่อยู่เสร็จสรรพ หากมีโอกาสกลับประเทศไทยจะได้ไปหาผมถูก ซึ่งผมก็ให้ไปไม่มีอะไร

เสียหายอยู่แล้ว อีกอย่างพี่หมอนพก็ยินดีและสนับสนุนอีกต่างหาก  สุดท้ายผมก็จบครอสการบำบัดขาทั้งสองข้างที่นี่แล้ว และ

พร้อมจะบินกลับประเทศไทยในเร็ววันนี้


                    ชีวิตผมราบรื่นดีกว่าเดิม เดินเหินไปมาสะดวกขึ้น เวลาท้อจากการทำงานก็มีพี่นพอยู่เคียงข้างเสมอ ส่วนพ่อเลี้ยง

กร รูปภาพรูปเดียวที่พกติดตัวมานั้นเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำจริงๆ ส่วนเถ้าแก่ชัยกับเปียงยางยังอยู่ในใจของหม่อนเสมอ


                   พี่บอร์นทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดีมาก แวะเวียนโทรมาเล่นด้วยตลอดทั้งๆที่อยู่เมืองนอก ตอนนี้ผมมีความสัมพันธ์กับ

พี่บอร์นแบบพี่ชายน้องชายจริงๆ ไม่มีติดขัดหรือข้องใจอะไรอีกแล้ว แต่ผมก็ได้กำชับบอกพี่บอร์นว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับคุณหญิง

และพี่บอร์นก็ทราบดี ว่าเพราะอะไร…


                แต่สิ่งที่ยังคงค้างคาใจผมอยู่นั้นก็คือการกลับไปหาสองป้าลุงที่เป็นต้นเหตุให้ชีวิตของผมดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ที

เดียว ผมขอพี่นพไปหาพวกเขา พี่นพก็ไมได้ว่าอะไร และปล่อยให้ผมไปคนเดียว ในตอนนั้นพี่เขามีผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดค่อยข้าง

เยอะ ผมเลยไม่ขอรบกวนจะดีกว่า ผมเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นคนเดียวด้วยความคิดถึง


        จนกระทั่งผมลงจากรถแท็กซี่ได้ แอบมองส่องเข้าไปในรั้วบ้านตรงหน้าดู มันช่างเงียบจริงๆ ข้างในดูรกร้างเหมือนไม่มีใคร

อยู่ และปล่อยทิ้งไว้นานพอสมควร ความสงสัยในใจของผมนั้นมีมากเหลือเกิน จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินสวนมาทางนี้พอดี 

ผมเลยตัดสินใจถามเรื่องบ้านหลังนี้ทันที


“พี่ชาย ป้าเนตรกับลุงสมเจ้าของบ้านหลังนี้เขาไปไหนเสียแล้วครับ?”


“อ้อ สองป้าลุงนั่นนะหรอ ย้ายออกไปตั้งนานแล้ว เห็นบอกว่าทำงานที่กรุงเทพมันไม่พอกินพอใช้เลยกลับไปที่ต่างจังหวัดแล้ว”


“เอ่อ แล้วพี่รู้ไหมครับว่าเขาสองคนไปที่ไหนแล้ว”


“เท่าที่รู้น่าจะจังหวัดอุทัยธานีนะ แต่อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน อันนี้ไม่รู้จริงๆ”


“ขอบคุณพี่มากนะครับ”


“เออๆ ว่าแต่ถามหาสองป้าลุงนี่ทำไมพ่อหนุ่ม”


“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ยังก็ขอบคุณมากนะครับ”


“อื้มๆ ไม่เป็นไร ขอตัวนะข้ารีบ”


                 หม่อนปล่อยให้พี่ชายคนนั้นเดินเลยผ่านไป ตัวเขาเองก็คงต้องกลับแล้วเหมือนกัน หม่อนหันกลับเข้าไปมองข้างใน

บ้านอีกครั้ง น่าเสียดายนะที่สองคนไม่อยู่รอให้เขากลับมาทดแทนพระคุณ อย่างน้อยก็พาเขามาเลี้ยงดูถึงมันจะไมได้ดีเท่าตอน

อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วก็ตามที


           ความผิดหวังปนเสียใจนิดๆยังคงติดค้างคาในใจ หม่อนกำลังคิดว่าหากเขาสืบตามหาและไปที่จังหวัดอุทัยธานีล่ะ แต่ก็

แค่ความคิดเท่านั้นแหละ พี่นพไม่ยอมให้ไปหรอก อีกอย่างผมจะอยากตามไปหาป้าลุงสองคนนั้นให้มันได้อะไรขึ้นมา ผมควรจะ

อยู่เฉยๆบ้างสักครั้ง ไม่ต้องดิ้นรนไปไหนอีกแล้วจะดีที่สุด เพาะสิ่งที่เถ้าแก่ชัยทิ้งเอาไว้ให้นั้นมันมีค่ามากพอที่เขาแทบจะไม่ต้อง

ไปไหนอีกเลย



                 ผมกลับบ้านคอตก กลับเข้ามาในร้าน คนงานภายในร้านสองคนนี้ ผมเองก็ยังไม่เคยแนะนำให้รู้จักสินะ พวกเขาสอง

คนชื่อ ก้อง กับ เอ  สูงกว่าผม แต่หุ่นก็ไมได้หนามาก ออกจะสูงโปร่งเสียด้วยซ้ำ ทั้งสองคนนั่นแหละ  นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว คนก็

เริ่มจะไม่ค่อยมีแล้ว ให้พวกเขากลับไปก่อนเวลาก็ดีเหมือนกันนะ


“ก้อง เอ กลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เอาแค่นี้แหละ”


“ครับคุณหม่อน”



              ผมจำได้ว่าผมเดินเก็บร้านอยู่คนเดียวก่อนจะเลื่อนเอาประตูม้วนที่อยู่ด้านบนลงมาปิดหน้าร้านเอาไว้ ยังไม่ทันจะดับ

ไฟดีเลย เสียงเคาะประตูม้วนกลับดังขึ้นเสียก่อน  สามทุ่มกว่าๆแล้ว ใครกันนะที่มาหา?


         หม่อนค่อยๆเดินไปเปิดประตูม้วนให้ เพียงแค่ประตูมันยกขึ้นจากด้านล่าง หม่อนก็รู้แล้วแหละว่าใครมา พี่หมอนพนั่นเอง


“พี่นพ วันนี้ผ่าตัดผู้ป่วยเสร็จแล้วหรอครับ”


“เสร็จแล้วครับ เออจริงสิหม่อน! พี่มีเรื่องจะบอก”


            นพทำสีหน้าคร่าตาทำราวกับมีเรื่องกังวลและนั่นทำให้หม่อนอยากรู้มากว่าร่างสูงตรงหน้าจะบอกอะไร


“เข้ามาข้างในก่อนเถอะครับ”


“อืม!”


“พี่นพกำลังจะบอกอะไรหม่อนหรอครับ”


“พี่จะย้ายที่ทำงานแล้วนะ ไปแถวบ้าน หม่อน!...”


“ไม่นะครับ อย่าปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวนะ!”


“โอเคๆ พี่ไม่ได้จะปล่อยหม่อนไป พี่กังวลอย่างเดียวว่าถ้าพี่ชวนหม่อนไปด้วย กลับไปอยู่บ้านจริงๆของพี่ที่ต่างจังหวัด หม่อนจะ

ว่าอะไรไหม ”


“แล้วที่ร้านนี้ล่ะครับ”


“ก็นั่นแหละที่พี่หนักใจ พี่กลัวว่าหม่อนจะไม่ไปกับพี่เพราะห่วงร้านนี้อยู่เสียอีก”


“ร้านเถ้าแก่คงจะต้องปิดเอาไว้สินะครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะหม่อน พี่ไปคราวนี้พี่จะไปอยู่บ้าน ทำงานที่โรงพยาบาลจนเกษียณ เราจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว!”


“ไม่จริงใช่ไหม พี่นพ  พี่กำลังจะบอกให้ผมขายร้านนี้ใช่ไหม?”


“ไม่หรอกมันมีทางออกเสมอ ที่นี่เราก็ไม่ต้องขาย ปิดล้อคร้านเอาไว้ เพราะหม่อนเองคงไม่คิดเซ้งร้านต่อหรอก พี่รู้ดี ที่นี่เป็นที่

ของเถ้าแก่ชัย เถ้าแก่รักและหวงที่นี่มาก เอาเป็นว่าตามนี้แล้วกันนะ”


“ครับ”


                     วันเวลาผ่านพ้นเลยไป ผมตัดสินใจไปกับพี่นพ บ้านพี่เขาอยู่ที่ลำพูน และผมเพิ่งจะรู้ว่าพี่นพทำงานที่เชียงใหม่

เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ จำได้ลางๆและคนพูดติดปากว่า สวนดอก ผมมาอยู่บ้านของพี่นพท่ามกลางญาติทางฝ่ายของเขา

แต่มันไม่มีปัญหาอะไร เพราะครอบครัวพี่นพเป็นคนเหนือแท้ๆ วิถีชีวิตการเป็นอยู่ที่ลำพูนนั้นช่างสุขสบาย แต่ช่วงที่พี่นพย้ายมา

อยู่นั้นตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี


              เช้าก็หมอกลงหนาทึบมองอะไรแทบไม่เห็น เย็นก็หนาวจนตัวสั่น แต่ดูพี่หมอสิ ยังต้องทำงานหนักเหมือนเดิม ก็หมอ

ต้องรักษาคนป่วยนี่นา อีกอย่างคนป่วยก็มีมาทุกวัน ยิ่งฤดูหนาวแบบนี้คนเป็นไข้ เป็นหวัด นั้นมีมากขึ้นทีเดียว


             ผมคงทำอะไรได้ไม่มากนอกจาก คอยดูแลและทำในสิ่งที่พี่นพต้องการและขอร้องเวลากลับมาบ้าน ผมเต็มใจนะ ผมก็

ทำได้ดีเท่านี้ ชีวิตคู่เกิดมาเพื่อดูแลกัน ตอบสนองความต้องการให้กัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


              พรุ่งนี้วันเสาร์ พี่หมอค่อนข้างว่าง และเอ่ยปาดชวนผมไปกราบไหว้พระธาตุหริภุญชัย หลายคนคงจะเคยได้ยินมามาก

มันสวยมากจริงๆ เป็นพระธาตุสำหรับปีระกา คนมาที่วัดแห่งนี้มากมาย ผมกราบไหว้พระธาตุขอพร ดูพี่นพจะมีความสุขมากกว่า

เดิม ชีวิตใหม่ของผมที่เมืองเหนือ ต่อจากนี้ไปผมคงจะใช้ชีวิตที่เหลือนี้อยู่ที่นี่เสียส่วนใหญ่สินะ คิดไปคิดมาก็คิดถึงกรุงเทพ

เมืองนครที่เป็นต้นกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างของผมอย่างไรล่ะ แต่ผมจะเก็บความทรงจำนี้เอาไว้ในใจตลอดไป มาอยู่ที่นี่ผมไม่ได้ทิ้ง

พ่อเลี้ยงกร เถ้าแก่ชัย และเปียงยางแม้แต่น้อย ผมเอาพวกเขามาด้วย ด้วยรูปที่เป็นตัวแทนของพวกเขา พร้อมกันนั้นทุกเช้าผมก็

หมั่นทำบุญไปให้ทั้งสามคนเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยความคิดถึงจากใจ…



        ผ่านไปอีกแล้วหลายเดือน จนจะถึงเดือนกุมภาพันธ์ปลายหนาวต้นร้อน พี่หมอนพเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้ม และ

เป็นรอยยิ้มที่แปลกพอสมควร ผมจะยังไม่ถามอะไรรอให้พี่ชายตรงหน้าพูดออกมาจะดีกว่า



“หม่อน!”


“ครับพี่นพ”


“สองวันข้างหน้านี้พี่จะพาหม่อนเที่ยว หม่อนไปกับพี่นะ”


“สองวันเลยหรอครับ ไปไหนบ้างเอ่ย”


“แม่ฮ่องสอนครับ”


“ว้าว ตกลงครับ”  หม่อนทั้งดีใจและตื่นเต้นมากทีเดียว จังหวัดที่ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาลำเนาไพรมากที่สุดจังหวัดหนึ่ง นี่เขาจะ

ได้ไปที่นั่นแล้วสินะ



…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา   

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา     

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่   

รองรับความทุกข์ไว้   

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน



*****************************


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 11) 4/7/59
« ตอบ #39 เมื่อ: 04-07-2016 13:26:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 12) 4/7/59
«ตอบ #40 เมื่อ04-07-2016 13:51:21 »


ธรณีครวญ
ตอนที่ 13
ความสุขที่ไม่อาจลืม




              นั่นสิ!  เป็นความสุขที่ไม่อาจลืมได้เลยจริงๆ เราออกเดินทางไปกันสองคนตั้งแต่ตีสาม กะให้ขับรถไปถึงที่อำเภอ

แม่สะเรียง อำเภอหนึ่งของแม่ฮ่องสอน  รอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่น   ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเลือกมาเที่ยวช่วงนี้เยอะพอสมควร ทำให้

ดูไม่เหงาเลย



       แสงพระอาทิตย์ส่องย้อมสีเหลืองทองบนท้องฟ้าและกลีบเมฆยามเช้า ก่อนจะค่อยๆโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ทักทายมนุษย์โลก

ทีนะนิดๆ จนกระทั่งทั้งดวงตั้งตระหง่านอยู่บนฟ้า และแสงนั้นค่อยๆให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขึ้นทีละน้อยๆ ทะเลหมอกที่สวยงาม

เบื้องหน้าค่อยๆเลือนรางจางหายไปตามแสงแดดที่สาดส่องและตกกระทบลงบนละอองน้ำเกาะกลุ่มเป็นหมอกนั้น



“สวยไหมหม่อน!”


“มากๆเลยล่ะครับ ขอบคุณมากๆนะครับพี่หมอที่พามา”


“ไม่เป็นไร ลงไปที่รถกันเถอะ เราจะต้องเดินทางต่อ  ไปที่ทุ่งดอกบัวตอง!”


“ดอกบัวตอง?” ร่างบางทำสีหน้าสงสัย


“เอาน่า หม่อนไปถึงเดี๋ยวจะรู้เองครับ ที่นั่นสวยราวกับสวรรค์เลยล่ะ”


“ตื่นเต้นจังเลยครับ”


“ไปเถอะสุดที่รัก หนทางยังอีกไกลนะ”


“พี่หมอ ไม่ทานข้าวเช้าก่อนหรอครับ”


“เออใช่ พี่ลืมไปเลย ชักหิวแล้วสิ ดูสิว่าแถวนี้มีร้านอาหารอะไรบ้าง”




                 สองหนุ่มลงมาจากลานหินจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น พลางเดินดูร้านอาหารที่พอจะมีเปิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่


มีอะไรก็กินไปตามนั้นก่อน จนกระทั่งเลือกร้านๆหนึ่งลักษณะเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ ด้านในมีแต่โต๊ะขาสั้นกับที่นั่งเป็นเบาะนุ่มรอง

พื้นพอดีก้น คล้ายๆเบาะนั่งของชาวญี่ปุ่น เมนูอาหารมีตั้งแต่ทั่วไป ไปจนถึงอาหารพื้นเมืองของคนเหนือจริงๆ





                ร่างสูงจัดแจงทุกอย่าง ส่วนหม่อนก็นั่งรอแต่กินข้าวเท่านั้น ไม่นานอาหารก็ยกนำมาเสิร์ฟรวดเร็วทันใจ  อาหารที่พี่

หมอสั่งอร่อยใช่เล่น หม่อนลองกินบางเมนูครั้งแรกยังต้องร้องติดใจมากทีเดียว




“หม่อนใจเย็นๆ อ่ะนี่น้ำ!” หนุ่มแว่นสุดหล่อ ยื่นน้ำให้อย่างเป็นห่วง


            ก็อาหารที่กินบางอย่างเผ็ดมาก แต่ทำไม ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกินต่อเรื่อยๆจนหยุดไม่อยู่ ทำให้ความเผ็ด แสบร้อนเกิดขึ้น

ในปากทันทีเลยทีเดียว


“อึก อึก อึก” เสียงดื่มน้ำอย่างเร็วของร่างบางทำให้อีกคนแอบหลุดขำออกมา


“เฮ้ออออ  ค่อยยังชั่ว ”


“ถ้าไม่ไหวก็ทานอันอื่นได้นะหม่อน ไม่เห็นต้องกินแต่ของเผ็ดๆเลย” พี่หมอแนะนำ


“มันอร่อยจริงๆนะพี่หมอ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ”


“โอเค แต่พี่ว่ากินครั้งแรกจะไม่ดีต่อระบบทางเดินอาหารนะ เดี่ยวเจ็บท้องขึ้นมาจะแย่ได้ ”


“ครับผม ทราบครับพี่หมอ ฮ่าๆ”


               เราอยู่ที่ร้านอาหารตรงจุดท่องเที่ยวได้สักพักก็อิ่มพร้อมเดินทางขับรถต่อไปแล้ว เส้นทางยังอีกไกลโข หมอนพตั้งใจ

ที่จะขับไปให้ถึงที่หมายแล้วจะได้เดินทางเข้าตัวจังหวัดเพื่อพักผ่อนที่นั่นในค่ำคืนนี้


              แต่ว่าระหว่างทางเราแวะพักชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน เพราะหนทางมันคดเคี้ยวเลี้ยวลดเสียจริงๆ นั่งในรถนานๆก็

เวียนตัวได้ อย่างเช่นตอนนี้ แต่ความมุ่งมั่นมักจะชนะทุกอย่างเสมอท้ายที่สุดแฟนหนุ่มของหม่อนก็พาร่างบางๆของเขาขับมา

จนถึงที่หมายจนได้!


                ดูตรงหน้าของพวกเขาตอนนี้สิ แทบอยากจะร้องว้าวเลยทีเดียว  ดอกบัวตองสีเหลืองอร่ามเบ่งบานท้าแสงแดดและ

ความหนาวเย็นทีเดียว ขึ้นบานสะพรั่งปกคลุมเต็มเนินเขาไปหมด มันกว้างใหญ่สุดลูกหูตาเลยทีเดียว  นักท่องเที่ยวดูจะชอบและ

สนใจสถานที่แห่งนี้มากพอสมควร แต่ผมนี่สิเหมือนจะไม่ไหว เพราะเมารถ แค่ลงจากรถได้เลยขอพี่นพไปนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้

ใกล้ๆแถวนี้ก่อน พี่นพก็ตามมาดูแลเป็นอย่างดี   


“พี่นพ พี่ไม่ต้องดูแลผมก็ได้นะ พี่ไปถ่ายรูปเถอะ เดี๋ยวผมดีขึ้นแล้วจะรีบตามไป”


“เอาอย่างนั้นหรอหม่อน ถ้างั้นตามพี่มาแล้วกันนะ”

“ครับผม”



                ร่างบางนั่งมองแฟนหนุ่มเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ลมหนาวกำลังพัดพลิ้วมากระทบร่างพอให้หนาวเย็นได้เป็นพักๆ คน

เยอะมากจริงๆ มันคุ้มมากที่ดั้นด้นมาจนถึงจุดนี้ สักพักน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นข้างๆเขา หม่อนละความสนใจจากทุ่ง

ดอกบัวตองมาหันไปอีกทางทันที


“ขอป้านั่งด้วยคนนะพ่อหนุ่ม”


“ครู?”


             หม่อนอุทานเบาๆ ไม่นึกว่าจะเจอคุณครู ครูที่เป็นทั้งพ่อแม่และเป็นทั้งผู้อบรมเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังจำความได้ แต่มา

วันนี้ดูครูเปลี่ยนไปนิดๆ เธอทำสีหน้างุนงงให้กับหม่อนอีกด้วย


“หนูรู้จักฉันด้วยหรอจ้ะ?”


      หม่อนถึงกับอึ้ง หรือว่าเขาจำผิดคน ไม่สิต้องไม่ผิดคนสิ นี่คุณครูคนเดิมที่เขารู้จักแน่นอนเขามั่นใจ ทำไมครูจำเขาไมได้ล่ะ


“ผมไงครับหม่อน คนที่ครูเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนผมที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า 10 ปีแล้วนะครับที่ไมได้เจอกัน” หม่อนพยายาม

เล่าแต่ดูเหมือนเธอจะลังเลใจ แต่ก็มองหน้าหม่อนอย่างฉงนใจอยู่ดี



“อย่างนั้นหรอจ้ะ”


               สักพักก็เห็นใครบางคนเดินตามมาติดๆ เป็นผู้หญิงอายุน่าจะมากกว่าหม่อนเสียด้วย ดูเธอสิน่ารักและสวยงามทีเดียว


“แม่มาอยู่นี่เอง ป๊อบตามหาแทบแย่”


“หนูเป็นใครหรือจ้ะ?”


           มาถึงตอนนี้หม่อนเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่า ที่ครูต้องลาออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมาอยู่ที่ลำปางบ้านเกิดเพราะเหตุนี้

เองหรอ  ครูความจำเสื่อม?



“ขอโทษนะครับ นี่ใช่คุณครูอัมรินไหมครับ”


          หญิงสาวตรงหน้าที่อายุมากกว่าเขา มองเขาด้วยความสงสัยอาจจะเป็นเพราะหม่อนเอ่ยชื่อจริงของแม่เธอได้ถูกละมั้ง


“ใช่ค่ะ คุณรู้จักแม่ของฉันด้วยหรอคะ?”


“ครับ ผมเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็กๆ ที่กรุงเทพฯ ครูอัมรินเป็นคนเลี้ยงดูผมเองครับ คิดเอาไว้ว่าคงจะไม่ได้เจอครูอีกแล้ว แล้วนี่ครู

เป็นโรคความจำเสื่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”


“ก็นานแล้วล่ะค่ะ พอเป็นหนักเข้าทางโรงเรียนสถานสงเคราะห์เลยแจ้งมาว่า ต้องพาแม่กลับมาอยู่บ้านแล้วลาออกจะได้ไม่มี

ปัญหา”



“เสียใจด้วยนะครับ แต่เท่านี้ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับที่ได้เจอครู อย่างน้อยครูก็ยังคงสบายดี ผมก็หายห่วง”


“ขอบคุณค่ะ แล้วนี่เป็นมายังไงคะถึงได้มาเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนได้”


“อ้อ พอดีผมย้ายมาอยู่กับแฟนที่ลำพูนนะครับ แล้ววันนี้เขาว่างเลยอยากพาผมมาเที่ยว”


“เขา?” ลูกสาวของครูอัมรินถามด้วยความอยากรู้และแปลกใจนิดๆ


“ใช่ครับ แฟนผมเป็นผู้ชาย เห็นร่างสูงที่ใส่เสื้อโปโลสีขาวลายน้ำเงินตรงโน้นไหมครับ!”ผมชี้ให้เธอดู


“หล่อๆใส่แว่นนะหรอคะ?”


“ใช่แล้วล่ะครับ”


“ว้าว คุณโชคดีจัง แบบนี้สินะที่ผู้หญิงหลายคนปัจจุบันนี้เขาโสดกัน ฮ่าๆๆ ฉันล้อเล่นนะคะ”


“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณป๊อบ มาเที่ยวกับใครบ้างครับ”


“ก็ทั้งครอบครัวเลยค่ะ แล้วนี่ก็ตัดสินใจพาแม่มาด้วย ที่นี่เป็นความฝันของแม่ แม่อยากเห็นดอกบัวตองจริงๆสักครั้งในชีวิต ”


“ผมว่าคุณป๊อบทำถูกแล้วล่ะครับ เชื่อว่าครูท่านต้องดีใจมากที่ได้เห็น   ถึงแม้จะจำอะไรไมได้ก็ตามแต่ ณ ขณะนี้เธอกำลังเห็นมัน

ทุ่งดอกบัวตองที่ครูรัก”


“ฉันคิดเหมือนคุณเลยค่ะ ดูแม่จะชอบมากด้วย”




          หม่อนกับลูกสาวของครูอัมรินมองชำเลืองไปหาเธอ จริงๆด้วยครูกำลังยิ้มมีความสุข ดูครูจะชราไปมากกว่าเดิม ก็มันผ่าน

มา 10 ปีแล้วนี่นา ผมดีใจมากที่ได้เห็นครูเหมือนชะตาฟ้าลิขิตยังไงก็ไม่รู้ เหมือนผมนึกอยากเจอใครกลับชวดและแคล้วคลาดกัน

ไปตลอด แต่พอจะเจอกลับเจอกันโดยบังเอิญ ประหลาดใจดีแท้ทีเดียว



“ผมคงต้องขอตัวแล้วนะครับคุณป๊อบ”


“จะไปถ่ายรูปหรอคะ?”


“ใช่ครับ ”



  หม่อนตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปคุกเข่าตรงหน้าหญิงผู้เป็นคุณครูและพ่อแม่ในชีวิตของหม่อน


“ครูครับ ลูกศิษย์คนนี้ไม่เคยลืมพระคุณของครูนะครับ ถึงครูจะจำผมไม่ได้แล้วในวันนี้ แต่ผมจะขอเป็นคนจำครูไปตลอดชีวิตของ

ผมก็แล้วกัน ผมกราบลาครูตรงนี้นะครับ ถ้าหากมีโอกาสผมจะไปเยี่ยมครูที่ลำปางนะครับ”



      หม่อนพูดพร้อมกับน้ำตาคลอ ทำเอาป๊อบลูกสาวของครูอัมรินพลอยซึ้งไปด้วย  สองมือประนมกราบไม่แบมือลงแทบเท้า

ของคุณครูผู้นี้ แต่ดูเธอจะมีปฏิกิริยาตอบรับ เธอเอามือขึ้นมาลูบหัวของหม่อนที่ก้มกราบลงไป


          จุดนั้นเองทำให้หม่อนถึงกับน้ำตาไหลพรากแล้วโผเข้ากอดครูด้วยความคอดถึงและสงสารครูไปในช่วงเวลาเดียวกัน



“ดูสิ เธอร้องไห้อีกแล้วนะ ร้องไห้เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ฉันรู้จักเลย แต่เด็กคนนั้นตัวเล็กๆ อายุ 12 ปี ฉันยังคิดถึงเขามากเลยนะ”


             คำพูดของครูตรงหน้ายิ่งทำให้หม่อนดีใจ ครูไมได้ลืมเขา แต่ครูกลับจดจำเรื่องราวภาพความทรงจำสุดท้ายตอนเด็กๆที่

ผมเดินออกไปจากรั้วโรงเรียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นต่างหาก  แค่นี้หม่อนก็สบายใจแล้วล่ะอย่างน้อยครูก็ไม่มีวันลืมเด็กน้อย

คนนั้น คนที่เดินออกจากอ้อมอกของครูอัมรินไป



“ฉันว่าแม่จำคุณได้ แต่แย่หน่อยที่ไม่ใช่ปัจจุบันนี้”


“ครับผมเข้าใจ ครูครับ ดูแลตัวเองดีๆนะ พระคุณของครู  ผมอาจจะไม่ได้ตอบแทน อนาคตข้างหน้าผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

ผมขอให้ครูมีความสุขมากๆนะครับ”



“จ้ะ โชคดีนะ ว่าแต่หนูเป็นใครกันจ้ะ” ครูอัมริมถามขึ้นอีกครั้ง


“ผมคือเด็กตัวเล็กๆคนนั้นของครูไงครับ เด็กชายหม่อนไงครับครู”


“หม่อนนะหรอ ฉันจำเขาได้นะ หนูรู้จักเด็กคนนี้หรอจ้ะ เขาเป็นยังไงบ้าง ฉันคิดถึงเขามากเลย”


“เขาสบายดีครับ ตอนนี้เขามีความสุขมากเลย ฮึก ฮืออออ เขาฝากมาบอกผมด้วยว่าคิดถึงครูที่สุด เขาไม่ดื้อไม่งอแงด้วยครับ ฮึก

ฮึก”


        หม่อนทั้งยิ้มและบอกด้วยน้ำตา ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะประติดประต่อให้หญิงสูงอายุตรงหน้านี้จำเขาได้ เขาได้แต่ใช้

ความทรงจำของเธอในอดีตให้เป็นประโยชน์เท่านั้นเอง


        หม่อนค่อยๆ เดิน ออกมาจากที่พักตรงนั้นไปตามถนนที่ทอดผ่านทุ่งดอกบัวตอง เห็นร่างของแฟนหนุ่มที่กำลังยิ้มแย้มถ่าย

รูปดอกบัวตองเล่นอยู่  เขาเองก็อดมีความสุขนั้นไม่ได้ ความสุขที่ไม่มีวันจะลืมเลยในชีวิตนี้


“เฮ้ยๆๆ  รถไหลๆ”


“อร้ายยยยยย  คุณระวังรถ!”


      เสียงร้องดังตะโกนมาทางผม ผมหันไปเร็วพอที่จะรู้ว่าเป็นเสียงของป๊อบ ลูกสาวของครูอัมริน แต่ในขณะที่หันกลับไป ทุก

อย่างสายไปแล้ว เหมือนเวลาชีวิตของผมมันช้าลง ผมกำลังมองเห็นรถยนต์คันใหญ่ที่ไร้คนขับกำลังไหลมาที่ผมเรื่อยๆ จน

กระทั่ง!



“ตึ้ม!  อึก ”



               รถกระบะคันใหญ่เข้ากระทบร่างของผมอย่างแรง ร่างบางกระเด็นพุ่งไปข้างหน้าตามทิศทางของรถเข้าชน แต่โชค

ร้ายไปหน่อยเท่านั้นเอง ร่างของผมมันไมได้กระเด็นไปที่ราบสูง แต่มันกระเด็นลงไปในเหวต่างหากล่ะ



            ผมรู้ตัวเองแล้วว่าไม่มีทางรอด ผมได้แต่หลับตาแล้วยิ้มให้กับชีวิตที่มันจบและครบสมบูรณ์ ผมลอยตัวอยู่ในอากาศนาน

ถึงได้รู้ว่าเหวนี้ลึกพอสมควร ร่างของผมมันมาถึงจุดจบแล้วสินะ…



อึก!



       เสียงกระแทกเข้ากับโขดหินเบื้องล่าง พร้อมกับรถยนต์ไร้คนขับนั้นทับเข้าร่างของผมซ้ำ แน่นอน ผมไม่มีทางรอดแล้ว ใน

ดวงตาที่เลือนรางพร้อมจะปิดลงทุกเมื่อกลับปรากฏเห็นร่างของพ่อเลี้ยงกร เถ้าแก่ชัย และเปียงยางกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆผมแล้ว



“ถึงเวลาของผมแล้วใช่ไหมครับพ่อเลี้ยง” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเรือนร่างเหลือเกิน


“มาเถอะ พ่อหนุ่มน้อยของฉัน ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หลับตาลงซะ”


“หลับตานะอาหม่อน มาอยู่กับเปียง”


“ครับ ผมจะไปอยู่กับทุกคน”



พรึบ!



        ทันทีที่ตัดสินใจหลับตาไป ทุกอย่างก็มืดสนิท ลมหายใจเข้าออกหยุดชะงัก ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะที่จะยืดเยื้อต่อไป

ผมขอโทษนะพี่หมอนพ ผมมันไม่ดี ผมมันคนไม่ดี ผมทิ้งพี่หมอไปแล้ว พี่หมอยกโทษให้ผมนะ


        สุดท้ายแล้วความดีของหม่อน แม่ธรณีกลับยังคอยเมตตาประทานผืนดิน ผืนป่าเขา อุ้มร่างไร้วิญญาณนี้เอาไว้ เพื่อดูดซับ

น้ำตาของคนดีอย่างเขาไปตลอดกาล กว่าจะมีคนหาร่างของหม่อนเจอ ก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่ถ้าโชคร้ายหน่อย คือ

จะไม่มีใครหาร่างนี้พบเลย แต่ไม่ต้องเศร้าใจไป เม็ดดิน ผืนป่าแห่งนี้จะยังคงอยู่เคียงข้างกายของหม่อนตลอดไป ตราบจนร่างนั้น

เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาใต้ก้นเหวแห่งนั้นเอง…






เอ๋? เดี๋ยวสิ!…




จริงๆแล้วเรื่องราวชีวิตของผมมันควรจะจบบริบูรณ์แล้วไม่ใช่หรอ?





แต่เดี๋ยวก่อน…





จินตนาการฝันของผมจบ แต่ความจริงของผมยังไม่จบ!





โธ่เอ้ย  นี่ต้องตื่นขึ้นรับความจริงแล้วสินะ




ใช่แล้ว ความฝันที่เนิ่นนานเมื่อครู่มันเศร้าเกินไป ผมต้องจบความฝันเอาไว้เท่านี้ก่อน





เรื่องของผม ผมไม่ได้อยากให้คุณมองว่าเศร้าหรอก





แต่มันอดไม่ได้ที่อยากจะคิดต่างไปอีกมุมมอง





คุณควรจะได้รู้เรื่องราวในโลกแห่งความจริงของผมเสียแล้วตอนนี้





คุณไม่ต้องทนเจ็บปวด และเศร้าโศกให้กับชีวิตผมอีกต่อไป






เหมือนในจินตนาการฝันที่ผ่านมา




เพราะตอนนี้ผมกำลังตื่นจากความฝัน




เสียงใครคนหนึ่งกำลังปลุกผมอยู่…






ฟังสิ...




“หม่อนตื่นได้แล้วววววว…”




…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา   

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา       

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่   

รองรับความทุกข์ไว้   

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน



**********************************



ก็บอกแล้วว่า  ตอนสุดท้ายมันต้องมีรอยยิ้ม อิอิ    :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ผู้อ่านเดาถูกนะครับ  แต่เดาไม่สุดทางเท่านั้นเอง แฮร่ๆ  ไมไ่ด้คิดจะหลอกนะ ขอโทษจริงๆ ก็พลอตเรื่องไว้แบบนี้แล้วอ่ะ ต้อง

แต่งตามนั้นแหละ
   ซ่อนตัวแป๊บบ  ฟิ้ววววววววววววววววววว  :ling3: :ling3: :ling3:





ออฟไลน์ กล้วยไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 13) 4/7/59
«ตอบ #41 เมื่อ04-07-2016 13:57:53 »

ธรณีครวญ
ตอนที่ 14
โลกแห่งความจริงของหม่อน




              คิดต่างเรื่องราวที่ผ่านนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งในอีกมุมมองที่อยากจะสะท้อนและเกิดขึ้นในชีวิตของเด็กหนุ่ม ทุกอย่าง

ที่เล่ากล่าวมาเสร็จสัพนั้น มันจบลงแล้ว ท่ามกลางความฝันที่อยากลองคิดฝันเมื่อคืน  บนเตียงนอนสุดแสนจะอ่อนนุ่มและน่า

สัมผัสกลับปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องแห่งนี้กำลังนอนคลุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แสงตะวันที่โผล่พ้นบนขอบ

ฟ้านั้นสาดส่องเข้าที่กระจกหน้าต่าง ทำให้หนึ่งชีวิตค่อยๆตื่นจากการหลับใหล





“หม่อนตื่นได้แล้วลูก!” เสียงร้องตะโกนดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นจากห้วงแห่งการพักผ่อน

อะไรกันนี่



เช้าแล้วอย่างนั้นหรอ?



“อืมมมมมมมมม อือออออออ” เด็กหนุ่มในวัย 23 ปีกับความงัวเงียหลังตื่นนอนนั้นไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว




            ใช่แล้วความเป็นจริงก็คือผมอายุ 23 ปี ผมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเดชและแม่พร เจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่กลาง

กรุง แต่ดูเหมือนตอนนี้เรื่องราวที่ผมอุตส่าห์มโนแต่งขึ้นในความฝันนั้น ผมคงต้องหยุดเอาไว้ก่อน เพราะในฝันฉากสุดท้ายคือผม


ตายไปแล้วนะสิ แย่ยังเลยที่ต้องตื่นมารับรู้ความจริง ที่คุณจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว  อย่าเพิ่งมองว่าผมเป็นพวกบ้าคิดไม่ปกติล่ะ

แต่มันอดคิดมุมมองชีวิตอีกด้านไม่ไหวนี่นา หากชีวิตของผมไมได้เศร้าโศกเลย แต่ความจริงผมมีความสุขมาก สุขจนล้นเกินจริง

ต่างหาก ไม่เชื่อก็ลองดู




“หม่อน ตื่นเถอะลูกพ่อ! เดี๋ยวไม่ทันไปทำงานพอดี”


       รอยจูบจากริมฝีปากหนาประทับลงที่หน้าผากผมแบบนี้ทุกเช้า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณพ่อเดชของผมเองล่ะครับ


“คุณพ่อ! หม่อนขออีก 2 นาทีไม่ได้หรอครับ”


“ไมได้ครับ เพราะพี่หมอนพมานั่งรออยู่ด้านล่างแล้ว เดี๋ยวสายเข้างานพี่เขานะ พี่นพต้องรีบไปโรงพยาบาลดูแลคนไข้อีกรู้ไหม?”


“ก็ให้พี่หมอไปทำงานก่อนเลยสิครับ” ผมไมได้ต้องการจะสื่อความไม่มีเยื่อใยนะ แต่ผมไม่มีความเป็นส่วนตัวของผมต่างหาก

อยากรู้ก็ตามไปดูเลย



“ได้ไงล่ะวันนี้วันศุกร์เป็นเวรของพี่หมอนพที่มารับเรานะ”


“วันศุกร์อีกแล้วหรอครับ”


“ไม่เอาน่าคนดี พี่นพจะรอนานแล้วนะลูกไปอาบน้ำเร็วเข้า”


“ก็ได้ครับ” ร่างบางลุกจากเตียงด้วยความขี้เกียจ ไม่มีหรอกนะหม่อนคนเดิมที่อยู่ในฝัน มีแต่หม่อนในชีวิตจริงนี้ต่างหาก ผมออก

จะดื้อรั้นไม่ยอมใครเท่าไหร่ เพราะเป็นลูกคนเดียวไงล่ะ


              คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ แต่ชีวิตผมเหมือนจะน่ารักกิ๊กก๊อกดีจริงใช่ไหมล่ะ จะมีใครเข้าใจผมบ้างว่าการมีแฟน ไม่สิต้อง

เรียกว่า สามี ถึงจะถูก  มาทีเดียวเลย 5 คนมันช่างเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน ทั้งเหนื่อยใจและเหนื่อยกับเรื่องบนเตียงสัปดาห์หนึ่ง

ผมจะมีเวลาพักประตูหลังได้ 2 วัน นอกนั้นที่เหลือก็แทบเลี่ยงไมได้ที่บ่นไม่ใช่ไม่รักพวกเขานะ แต่เพราะมีสามีเยอะแบบนี้ไงผม

ถึงได้ล้าตัวอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวล่ะ




               วันจันทร์เป็นพี่บอร์นลูกชายพันตำรวจเอกกับคุณหญิงผู้แสนดีไม่เห็นร้ายเหมือนที่ผมฝันเอาไว้ก่อนหน้าแม้แต่น้อย

ทั้งคุณพ่อคุณแม่พี่บอร์นรักและเอ็นดูผมมาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร  ส่วนรายนั้นนะจองวันจันทร์ของผมตลอดชีวิตเลยก็

ว่าได้ พอถึงวันนี้เข้าหน่อย ผมนี่ขยับไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ





                วันอังคารนะหรอไม่ได้แตกต่างเลยจากวันจันทร์ ต้องเอาใจคนคนนี้ให้ดีทุกอย่าง ก็แน่ล่ะถ้าดูแลน้อยกว่าสามีทั้ง 4

คนผมนั่นแหละโดนหนักแน่ โดนอะไรนะหรอไม่ต้องเดายากหรอก เรื่องบนเตียงไงล่ะ พ่อเลี้ยงกรผู้ซาดิส ได้ยินชื่อนี้ผมแทบจะ

หาใจติดขัด ไม่ได้ดีอะไรเลยในฝันของผม ออกจากหึงหวงเกินเหตุด้วยซ้ำ




                 ส่วนวันพุธหรอพี่นนท์ไง หนุ่มที่แต่งตัวเนียบตลอดเพราะที่บ้านรวยมากมาย ไม่ได้ร้ายหรือเป็นคนไม่ดีเหมือนในฝัน

ที่ผมแอบสร้างคาแรกเตอร์ให้ บางทีผมก็คิดนะว่าทำไมถึงได้มาชอบเขาทั้งๆที่เป็นผู้ชายร่างบาง ผิวขาว ปากชมพู ทายาท

โรงแรมกลางเมืองแค่นี้เอง? ไม่เข้าใจเลยจริงๆ




               วันพฤหัสบดีนี่สิ ดีมาหน่อยพี่ชัยมีความอ่อนโยน  แต่ในขณะเดียวกันก็เอาแต่ออดอ้อนอยากมีลูก จนได้แม่อุ้มครรภ์

จนได้ ก็คลอดออกมาจากการใช้อสุจิของผมกับพี่ชัยผสมกันนั่นแหละ แล้วตั้งชื่อว่า เปียงยาง น่ารักดีไหมล่ะ ผมเองแหละที่คิด

ริเริ่มชื่อนี้ ตอนนี้ก็คงจะหลับปุ๋ยอยู่ห้องของแม่ผมนั่นแหละ วัยกำลังซุกซนเลยทีเดียว




               เป็นไงล่ะห้าวันมหัศจรรย์แห่งรักของผม มีใครอยากจะมาเป็นผมบ้างไหม ขอมือหน่อย ผมอยากจะลาออกจากชีวิต

ตัวเองชั่วคราว นี่แหละเป็นสาเหตุให้ผมอยากจินตนาการคนรักแต่ละคนให้ดูตรงข้ามไปเลยและเป้นไปได้ให้หายๆไปจากชีวิต

ของผมได้ยิ่งดี (ประชดนะ) แต่ก็แค่ชั่ววินาทีเดียวแหละที่คิดแบบนี้ มันเบื่ออ่ะ แต่ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่ผมคนเดียวต้องเอาใจทั้ง 5

คนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ มีที่ไหนกันให้คนร่างบาง ตัวเล็กแบบผมเอาใจดูแล แทนที่จะเป็นห้าสิงห์หนุ่มที่ดูแมนกว่า เข้มแข็งกว่า

คอยดูแลผมจะดีกว่าล่ะไม่ว่า เฮ้อออ คิดมาแล้วก็ต้องถอนหายใจแรงๆ





            แต่ไม่หรอก เชื่อไหมล่ะ สุดหล่อทั้งห้ามีความหล่อเป็นอาวุธเลือกคู่ได้ตามใจ แต่พวกเขากลับเลือกและมีผมคนเดียว

สงสัยละสิว่าเสือห้าตัว เอ้ย ห้าคนอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันได้อย่างไร จริงๆก็ไม่ได้หรอกครับ ไม่ถูกกันอย่างหนักและอย่างแรง ผมถึง

ได้แบ่งวันแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนไม่อย่างนั้นนะ เฮ้อ ไม่อยากคิด!


            คุณพ่อเดชและคุณแม่พรก็ช่างใจดี ใจกว้าง เป็นพ่อแม่มหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ ผู้ทันสมัย พูดไปก็เหมือนรักผม แต่ดู

สิตั้งแต่ได้สามีมา 5 คนแล้ว ตอนนี้ผมเหมือนถูกทิ้งก็มิปาน ดูเกรงใจและรักลูกเขยทั้งห้ามากกว่าลูกแท้ๆของตัวเองอีก ยิ่ง

เปียงยางแล้วไปกันใหญ่เลย ทั้งโอ๋ทั้งรัก แย่แล้วนี่ผมกำลังอิจฉาลูกตัวเองหรอ? ไม่สิๆ สลัดความคิดเดี๋ยวนี้หม่อน!




“สวัสดีครับพี่หมอ” ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว พร้อมทำงาน ผมต้องไปที่โรงแรมกลางเมือง แต่จริงๆผมไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ แต่เพราะ

เพิ่งจะจบจากต่างประเทศมาหมาดๆทางด้านนี้ ผมเลยถูกทั้งพ่อแม่และบรรดาสามีทั้งหลายขู่เข็นให้ไปเรียนรู้งานให้ได้ ถ้าฝึก

คล่องเมื่อไหร่ งานใหม่จะมาทันที




            นั่นคือไปทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยงอีกคนที่บ้านไร่ปากช่องคู่กับพ่อเลี้ยงกรเป็นเวลาสองเดือน โอ้แม่เจ้า แล้วอย่างนี้ผมก็

ต้องถูก กด ขี่ ข่ม ขย่ม บนเตียงร่มเป็นเวลาสองเดือนเลยหรอ สะเทือนใจจัง



“หม่อนแต่งตัวแบบนี้แล้วน่ารักจังเลยครับ”




       นั่นไงประโยคแรกที่ชื่นชมสำหรับเช้าวันศุกร์ พร้อมประกายในแววตาระยิบระยับทีเดียว



“ลูกตื่นยังหม่อน?”



     แหนะทักทายกันยังไม่ถึง 2 ประโยคถามหาไอ้ตัวเล็กซะแล้ว คืองี้ครับถึงผมจะมีลูกกับพี่ชัยเป็นคนแรก แต่บรรดาสามีที่น่ารัก

ชอบคิดว่าเป็นลูกตัวเองทั้งนั้น เพราะอะไรนะหรอ เพราะว่า 25% ของพันธุกรรมในตัวเปียงยางนั้นคือของผมเอง แค่หนึ่งส่วนสี่

เท่านั้นนะ แต่พวกเขากลับเหมารวมว่าเป็นลูกผมกับพวกเขาไปเสียแล้ว



“ก็ยังไม่ตื่นครับ ไปเถอะพี่หมอ! เดี๋ยวสาย”


“คุณพ่อหม่อน คุณพ่อนพ จะไปแล้วหรอครับ ลืมอะไรรึเปล่า?”


         นั่นไงๆ เสียงแจ้วๆลงมาจากบันไดอย่างเร็ว มีใครว่ากันนะว่าเด็กวัยเพียง 4 ขวบ  5 ขวบนี้นอกจากความน่ารักมีมีให้เห็น


อยู่แล้วแต่แฝงไปด้วยความรู้ทันและเก่งเกินกว่าเพื่อนวัยเดียวในโรงเรียนจะรู้ทันกันเสียอีก เหมือนใครกันนะเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้

อ้อนึกออกแล้ว…พ่อเลี้ยงกรไง เดี๋ยวเปียงยางไม่มีพันธุกรรมของพ่อเลี้ยงกรนี่นา นี่สงสัยจะอยู่ใกล้พ่อเลี้ยงกรมากเกินไปเสียแล้ว

ล่ะสิ




“ครับๆ มาให้พ่อนพหอมแก้มหน่อยเร็วเข้า”


“ฟอดดดด ชื่นใจจังเลย” หมอนพทำน้ำเสียงร่าเริงและดีใจมากทีเดียว



“พ่อหม่อน ทำไมไม่หอมแก้มน้องเปียงเลยครับ” ตัวเล็กทวงเอาหน้าตาเฉยพร้อมกับยืนกอดอกอย่างไม่พอใจ ให้ผมด้วย  ได้

แบบนี้ตลอดสิลูกพ่อ!



“ฟอดดดดดด อย่าดื้อนะคนเก่ง ไปโรงเรียนแล้วเดี๋ยวตอนเย็นพ่อกับพ่อนพจะไปรับนะครับ” ผมบอกลูก


“คร้าบบบบบบ ตั้งใจฝึกงานนะพ่อหม่อน”


“เปียงยางลูกกก พ่อไมได้อยู่ในช่วงฝึกงานครับ พ่อไปทำงานต่างหาก”


“ก็เหมือนกันแหละ ถ้าฝึกไม่ดี เปียงจะโทรไปหาพ่อกรที่ปากช่องแล้วให้พ่อกรทำโทษด้วย”


   โถ่เอ้ยลูกรักจะทรยศพ่อไปถึงไหนกัน คิดมาแล้วปวดหัวจริงๆ นี่มีความรักให้กับพ่อหม่อนบ้างไหมเนี่ย!


“ไปแล้วนะตัวเล็ก ไว้พ่อนพไม่เหนื่อยและพร้อมเมื่อไหร่จะอ้อนพ่อหม่อนมีลูกอีกซักคนเป็นน้องของเปียงนะครับ”


“บ้าหรอพี่นพ ไม่เอาแล้ว คนเดียวก็ปวดหัวแล้วเนี่ย”


“พ่อหม่อน เปียงอยากมีน้องครับบบ”


   นั่น! เป็นเรื่องเข้าแล้ว เออๆ ยังไงผมก็ไม่ได้ตั้งครรภ์เองหรอก ก็แค่ลูกแต่ละคนมีพันธุกรรมของเขา 25% เหมือนเดิมเท่านั้น

เองล่ะน่า



        ทุกอย่างก็วนกันไปแบบนี้ จนกระทั่งเย็นวันเสาร์ทุกสัปดาห์ เป็นธรรมเนียมของบ้านผมเลยก็ว่าได้ อาหารมื้อเย็นชุดใหญ่ถูก

จัดขึ้น ทุกคนจะได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านของผม โต๊ะยาวขนาดใหญ่ถูกพ่อเดชนั่งหัวโต๊ะ ขนาบ

ข้างด้านซ้ายเป็นแม่พร พี่บอร์น พี่นพ และพี่นนท์ ส่วนขนาบข้างด้านขวาคือผมกับเปียงยาง พ่อเลี้ยงกร และเถ้าแก่ชัย



        มีวันนี้วันเดียวล่ะนะที่มาเจอกันแล้วบ้านไม่แตก เพราะเกรงใจพ่อเดชกับแม่พรกันทุกคนล่ะนะ ผมว่าผมก็ชอบนะบรรยากาศ

แบบนี้ อีกอย่างวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ผมก็อิสระด้วย ไม่ต้องคอยเจาะแจะกับสามีคนไหนคนหนึ่งในป่วนหัวใจ


            แต่มองไปรอบๆโต๊ะสิ เหมือนครอบครัวใหญ่นั่งทานข้าว แต่ถ้าหากคุณเป็นผม คุณจะต้องทึ่งกับความสามารถของเรือน

ร่างและใบหน้าของผมที่ดึงดูดห้าสิงห์สุดหล่อจากทั่วทุกสารทิศให้มาเป็นลูกเขยของบ้านหลังนี้ได้ ให้ตายสิโรบิ้น!




“หม่อน ช่วงนี้มีใครเข้ามาคุยหรือสนใจหม่อนเพิ่มไหมลูก”



พรึบ!



ทันทีที่พ่อเดชเอ่ยถามกลางโต๊ะทานข้าว ห้าสิงห์หันขวับมาอย่างรวดเร็วมีทั้งมองแล้วหึง มองแล้วหวง มองแล้วงอน มองแล้ว

กำลังเศร้าใจ มองแล้วน้อยใจไปตามๆกัน โถ่พ่อครับถามอะไรออกมาผมแย่แล้วแน่ๆ แม้แต่ลูกชายสุดน่ารักของผมที่นั่งอยู่

ระหว่างขานั้นก็หันขวับเงยหน้ามองผมด้วยสายตาค้อนๆด้วยเช่นกัน




“มะ…ไม่ครับ  ไม่มีเลยครับพ่อ ไม่อยากมีด้วย เท่านี้ก็….ก็พอแล้วเนอะ” ผมตัดสินใจบอกพ่อไป พร้อมๆกับหันไปยิ้มเจื่อนๆให้

บรรดาสามี และแววตาเหล่านั้นหลายคู่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ บางทีมีสามีเยอะนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันเนอะ



“พ่อเดชครับ ผมอยากจะให้พ่อเดชออกความเห็นหน่อยครับ เปียงยางไม่มีน้องเลย ผมว่าจะอาสาปั้มลูกคนที่สองคุณพ่อจะว่ายัง

ไงครับ” พี่หมอนพไม่นะไม่ พูดออกมาจนได้ให้ได้อย่างนี้สิ นึกว่าพูดเล่นเสียอีก


“เฮ้ยไอ้หมอ ถ้าจะปั้ม ก็ทำทั้งหมดนี่เลย เหลือไว้แต่เถ้าแก่ชัยแล้วกัน เพราะเถ้าแก่มีลูกกับหม่อนแล้ว” พ่อเลี้ยงกรพูดจาโผงางอ

อกมาเลย



“เอาล่ะๆใจเย็นๆ พ่อว่าก็ดี อยากได้หลานเพิ่ม เอาเป็นว่าคราวนี้มีหลานทีเดียว 4 คนไปเลยดีไหม”


“พ่อครับ ผมต้องเสียน้ำ ถึง 4 ครั้งเลยนะ”


“ไม่หรอกหม่อน น้ำเดียวก็พอ แล้วเดี๋ยวพี่จะปรึกษากับเพื่อนๆพี่ให้คัดเลือกเอาตัวที่แข็งแรงที่สุด 4 ตัวมาผสมกับของพวกพี่ที่

เหลือแล้วกัน” หมอนพพยายามอธิบาย แต่ละคนดูหน้าตาตื่นเต้นอยากจะเป็นพ่อมือใหม่กันทั้งนั้น ผมจะว่าอะไรได้ล่ะ โอเคเอาก็

เอา



“เรื่องรีดน้ำปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง รับรองว่าผ่านมือฉันไป หม่อนต้องให้อสุจิที่แข็งแรงที่สุดแน่นอน”


    พ่อเลี้ยงกรบอกพร้อมกับเอามือมาดอบกอดที่ไหล่ผม พลางทำแววตาเจ้าเล่ห์สุดๆ ให้ตายสิ


“ฮ่าๆ แม่ได้ยินไหมเราจะมีหลานกันถึง 5 คนเลยนะ คราวนี้พ่อขอลูกสาวสองคน และลูกชายอีก 2 คนแล้วกัน ส่วนใครอยากจะ

ได้ลูกชายหรือลูกสาวแบ่งกันดีๆ นี่คือโจทย์การบ้านของพวกลูกเขยนะ เรื่องนี้นพจัดการได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม”



“ไม่มีปัญหาครับคุณพ่อ เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ก้าวหน้ามาก คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ”


“ส่วนค่าใช้จ่ายครั้งนี้ผมจะออกให้หมดเลยครับเรื่องเงินทองปล่อยให้ผมทำดีกว่า” พี่นนท์พูดน้อยแต่พอพูดทีเหมือนจะแฝงว่าตัว

เขาเองก็แน่นอนไม่แพ้คนอื่นๆตลอดเวลา






**



      สุดท้ายวันเวลาผ่านไปนานถึง 5 ปี บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่เพิ่มมาถึง 4 คนเปียงยางไม่มีทางเหงากลับมาจาก

โรงเรียนพี่ชายคนโตอย่างเขาก็มาดูแลน้องๆช่วยตากับยายเลยทีเดียว อยากรู้ไหมล่ะว่าลูกชายลูกสาวทั้ง 4 คนของผมชื่ออะไร

กันบ้าง




      คนแรกเลยเป็นลูกสาว ลูกของผมกับพี่บอร์น หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู วัยห้าขวบชื่อว่าน้อง เปียโน 


      คนที่สองเป็นลูกชายตามจุดประสงค์ไม่ยอมท่าเดียวของพ่อเลี้ยงกร อยากได้ลูกชายไปสืบสานบ้านไร่ต่อในอนาคต ทีแรก

จะให้ลูกชายชื่อ ชนะศึก โห พ่อเลี้ยงตั้งชื่อให้คนกลัวไปไหม แต่พอผมเอ่ยปากบอกว่าถ้าอยากได้แบบแมนๆและศัตรูพ่ายแพ้

ผมขอเสนอ เก้าทัพ ไม่มีกว่าหรือ? สุดท้ายกลับกลายเป็นที่พอใจของพ่อเลี้ยงมาก ขอบคุณผมยกใหญ่ว่าเป็นชื่อเรียกที่เพราะ

และถูกใจเขามาก สรุปคือ เก้าทัพ




      คนที่สามเป็นลูกสาว เรียบร้อย ขี้อาย เหมือนคุณพ่อนนท์ และเป็นหน้าที่ของผมอีกเพราะพี่นนท์ไม่ยอมตั้งชื่อเพราะอยากให้

ผมผู้เป็นสุดดวงใจของพี่นนท์ตั้งให้มากกว่า  ผมก็ตั้งให้ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู ขอตั้งว่า  ไออุ่น ก็แล้วกัน




          คนสุดท้ายลูกชายสมใจของพี่หมอนพ รายนั้นบอกจะตั้งชื่อให้ลูกเอง ผมก็รอฟังชื่อนั้นนะ น้องเขาชื่อ คิมหันต์  แปลว่า

ฤดูร้อนร้อนแรงดีจริง แต่ก็น่ารักดีนะ



       นี่คือชีวิตจริงของผม ที่ไม่ได้เศร้าโศกเหมือนกับที่อยากลองจินตนาการฝันชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง ชีวิตของผมมันสบายและ

มีความสุขมาก แต่ไม่ว่าจะในโลกความฝันจินตนาการหรือโลกแห่งความจริง ผมก็ยังเคารพและเทิดทูนพระแม่ธรณีเช่นเดิม พระ

แม่ผู้อุ้มชูชีวิตของเหล่าผู้คนให้มีที่อยู่ ที่กิน แก่มนุษย์ทั้งหลาย ถึงชีวิตจริงผมนั้นจะไมได้ทำให้พระแม่ธรณีต้องร่ำไห้สงสาร

เหมือนในความคิดจินตนาการของผม แต่พระแม่ธรณีก็ยังคงช่วยเหลือจุนเจือและโอบอ้อมอารีแก่เหล่าชีวิตสรรพสิ่งบนโลกนี้ต่อ

ไปไม่มีวันจบสิ้น




         ขอบคุณชีวิตที่ทำให้ผมได้เกิดมามันวิเศษณ์ล้ำค่าที่สุดเลยทีเดียว ขอจบเรื่องเล่ามุมมองชีวิตอีกด้านในความฝันและความ

จริงบนโลกใบนี้ของผมไปพร้อมกับเพลงอกธรณี เพลงที่ซึ้งกินใจผมที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมาเลยทีเดียว สุดท้ายนี้ต้องกล่าวคำ

ว่า…


                ขอบคุณจริงๆที่สละเวลาอ่านเรื่องราวของผม



                           จากใจน้อยๆดวงนี้ที่ยังคงดำเนินต่อไปในโลกแห่งความจริง



                                               หม่อนขอบคุณครับ




…เธออาจเป็นฟ้าล่องลอยคอยลิขิต     กำหนดชะตาชีวิตของผู้คน

เมฆดำจ้องทำร้ายคงสะใจฟ้าเบื้องบน  ไม่เคยปลอบโยนมีแต่ซ้ำเติม


…ผ่านร้อนหนาวกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม   ใจมันร่ำร้องหาความอบอุ่น

ไม่เคยได้จากฟ้าไม่มีเมตตาเจือจุน       อาจเป็นเพราะฟ้าว่าไม่มีหัวใจ


…ก็คนเดินดินเสียใจต้องมีร้องไห้    พลั้งเผลอทำผิดไปใครตัดสิน

จะเก็บน้ำตาไว้ไปร้องไห้กับพื้นดิน   แม่ธรณีได้ยินคงเข้าใจ


…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา    ให้ไหลพรั่งพรูออกมา       ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่    รองรับความทุกข์ไว้    ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน




อวสาน





แฮร่ๆๆๆๆๆ  ตามพลอตเรื่องเป๊ะ!   ขอบคุณที่ติดตามครับ นี่ไม่ยืดไม่ยาวอะไรเลยทั้งนั้น เอามาแต่เนื้อๆ น้ำไม่เอา  เดี๋ยวจะ

ยาวกว่านี้ อิอิ 
   :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


บ้ายบายครับผม


 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 11) 4/7/59
«ตอบ #42 เมื่อ04-07-2016 14:23:56 »

กราบบบบ!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2016 20:11:44 โดย •♀NoM!_KunG♀• »

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #43 เมื่อ04-07-2016 18:54:30 »

 o22 o22 o22 o22 o22 o22



ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #44 เมื่อ04-07-2016 23:10:11 »



พลิกล็อกหนักมาก

เล่นเอาคนอ่านอย่างข้าเจ้าไปไม่เป็นเลยทีเดียว

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #45 เมื่อ04-07-2016 23:20:45 »

คุณหลอกดาววววว :hao7:

เดียวกลับมาเม้นท์นะจ๊ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #46 เมื่อ05-07-2016 23:17:25 »

 :a5: :a5: :a5:

 :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #47 เมื่อ09-07-2016 09:41:17 »

....... :a5: :a5: :a5: .........

ออฟไลน์ jessiblossom

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #48 เมื่อ09-07-2016 20:14:06 »

 o18 o18 o18

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #49 เมื่อ09-07-2016 21:10:43 »

ตายจริงด้วย!!! ตาย...ในฝัน
เอาความคับแค้นใจไปลงในฝันใช่ไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
« ตอบ #49 เมื่อ: 09-07-2016 21:10:43 »





ออฟไลน์ Egonoki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #50 เมื่อ10-07-2016 23:40:52 »

เอ่ออ อ.

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #51 เมื่อ11-07-2016 04:28:42 »

555 สนุกมากๆคับ 555ชอบบทอวสานคับ มีลูกเยอะๆดีคับ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #52 เมื่อ11-07-2016 11:33:36 »

อ่านแรกๆแอบคิดว่าหม่อนนี้ตัวซวยจริงๆ 55555

หลังๆแอบฮา

ออฟไลน์ TiwAmp_90

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #53 เมื่อ11-07-2016 23:09:24 »

 :hao7:

อ่านจนจบแล้วยังนึกคำที่จะพูดไม่ออกเลย เหอๆ โดนต้มเปื่อยมากกกกกก!
ตอนแรกก็แอบคิดนะว่ามันจะมีคนจริงๆที่มีชีวิตใกล้เคียงกับหม่อนบ้างมั้ย บ่อน้ำตาแตกไปหลายสิบรอบ
กลับกัน ชีวิตจริงของนางดันดีดี๊ดีจนน่าปวดหัวแทนด้วยเลย 55555
อย่างน้อยก็ทำให้เห็นบทเรียนชีวิตหลายๆอย่างจากเรื่องนี้นะคะ

ปล.เอาใจช่วยให้หม่อนแบ่งเวลาให้สามีและลูกเท่าๆกันด้วยค่ะ ^^'

ออฟไลน์ neno.jann

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #54 เมื่อ16-07-2016 15:05:54 »

มีความเงิบขั้นสุด  :a5: :a5:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #55 เมื่อ16-07-2016 16:19:12 »

กำลังน้ำตาซึมอยู่
คดีพลิกซะงั้น

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #56 เมื่อ17-07-2016 16:12:17 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Cheese[C]ake

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #57 เมื่อ31-07-2016 15:44:14 »

เล่ามาตั้งนาน คือไร ฝัน.  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
«ตอบ #58 เมื่อ06-06-2017 08:27:21 »

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 1) 29/6/59
«ตอบ #59 เมื่อ06-10-2020 00:00:25 »



 

 


“อย่าครับป้าเข็ม! ไม่เป็นไรหรอก หม่อนเองก็ซักให้พี่มะกอกทุกครั้ง ผมไม่เหนื่อยหรอก”


“แกก็เป็นซะอย่างนี้ไง เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณท่านก็สิ้นเรื่อง อย่างคุณหญิงนะคุณท่านพูดอะไร เธอก็ทำตามทั้งนั้น ”

 


 


 

 


“ไม่เอาน่าป้า ผมทำได้ เสื้อผ้าพี่มะกอกก็ไมได้เยอะอะไรมากมาย ป้าไปพักผ่อนเถอะนะ ”


“แกนี่นะจริงๆเลยไอ้หม่อน เครื่องซักผ้าก็มีกลับไม่ใช้  แปลกคนจริงๆ”


 
ยอมเขาเอง มีเครื่องซักก็ไม่ใช่ ไม่น่าสงสารเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2020 00:50:26 โดย Musashi »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด