ตอนที่ ๒
แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงและค่อยๆเคลื่อนตัวลงต่ำจนลับหายไป ต้นไม่หนาใหญ่ที่ขึ้นคลุมเอาไว้ทำให้ดูมืดกว่าปกติ ทั้งกฤตนัย พัชรพล และธนุสใช้เวลาค่อนข้างนานในการสำรวจป่าแถบนี้ พรานอ่ำจึงแนะนำให้พักที่นี้สักคืนเพราะกลัวว่าหากเดินทางฝ่าความมืดไปจะเป็นอันตรายถึงแม้จะชินกับเส้นทางก็ตาม สัณหวัชและธนุสตอนนี้ทั้งคู่กำลังนั่งล้อมกองไฟ เพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำลงให้ความรู้สึกเย็นๆแต่ไม่ถึงกับหนาว พรานอ่ำลงมือย่างปลาที่จับมาจากแหล่งน้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก พัชรพลและกฤตนัยได้กลิ่นจึงเร่งเตรียมเต็นท์ 2 หลังสำหรับคืนนี้ โดยจะมีพรานอ่ำเฝ้ายามเป็นคนแรกและผลัดเวรกันไปเมื่อครบสองชั่วโมง
ทุกคนทานอาหารกันอย่างเงียบๆคงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางและการสำรวจ จนเมื่อจัดการกับอาหารตรงหน้าจนหมดแล้ว พัชรพลขอตัวเข้าไปเขียนรายงายการสำรวจในเต็นท์ พร้อมทั้งสัณหวัชและธนุสที่ขอตัวไปนอนเช่นเดียวกัน ด้านพรานอ่ำเองก็แยกตัวไปเฝ้ายามโดยทิ้งระยะห่างเต็นท์ไม่ไกลเท่าไร เมื่อได้มานั่งอยู่คนเดียวกับบรรยากาศเดิมๆแบบนี้ทำให้เขานึกถึงสมัยยังหนุ่ม ครั้งแรกๆที่เข้าป่าใหม่ เรื่องราวลี้ลับต่างๆ เขาฉุดคิดถึงเรื่องประหลาดที่แม้แต่คนที่อยู่กับป่ามาตั้งแต่เด็กอย่างพรานอ่ำเองก็แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เรื่องของ “เสือสมิง”
“กาแฟสักแก้วไหมครับพราน”กฤตนัยยืนแก้วกาแฟให้พรานอ่ะใกล้จนกลิ่นหอมลอยเข้าจมูก
“ขอบใจ”กฤตนัยยิ้มรับและนั่งลงข้างๆ
“เท้าเองเบาเหมือนกันนี่”พรานอ่ำเอยทักขึ้นเมื่อสังเกตว่ากฤตนัยเดินมาหาเขาโดยไม่มีเสียงฝีเท้าเลย
“ใช่ว่าคนตัวใหญ่เท้าต้องหนักทุกคนนี่ครับ ดูอย่างพรานสิ” พรานอ่ำมองกฤตนัยด้วยความชื่นชม เขารู้สึกว่ากฤตนัยเป็นคนฉลาดและมีความสามรถพอตัวเลยทีเดียว
บทสนทนาจบลงทั้งคู่นิ่งเงียบฟังเสียงหรีด หริ่ง เรไร ที่ร้องระงมทั่วป่า จนกระทั่งพรานอ่ำโพล่งเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“เองเคยได้ยินเรื่องเสือสมิงไหมว่ะ”กฤตนัยเลิกคิ้วเป็นเชิงตอบ แสงจากตะเกียงทำให้มองเห็นได้ชัดเจน
“สมัยข้ายังหนุ่มๆเคยเจอเสือสมิงครั้งหนึ่ง เกือบเป็นผัวเสือสมิงสะแล้ว อยากฟังไหมข้าจะเล่าให้ฟัง”กฤตนัยตอบตกลงทันที เขาเป็นคนชอบเรื่องลึกลับแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งได้มาฟังจากปากของคนที่มีประสบการณ์โดยตรงเอง ทำให้เขาตื่นเต้น
“เสือสมิงเป็นตำนานเล่าขานกันมานานมากแล้ว เล่ากันว่าเสือสมิงเป็นเสือที่ดุร้ายมักจับคนเป็นอาหาร เมื่อกินคนมากเข้าวิญญาณคนที่เสือกินเข้าไปนั้นก็จะสิงสู่ในกายเสือ ทำให้เสือตัวนั้นมีอาถรรพ์สามารถแปลงกายได้ แต่ก็มีคนต้องการเป็นเสือสมิงเช่นเดียวกัน คือเรียกเอาวิญญาณเสือสมิงนั้นเข้าสิงสู่ในกายตน ผนวกกับอาคมด้านเดรัจฉานวิชาทำให้คนนั้นกลายเป็นเสือสมิง และเมื่อกินคนเข้าไปก็จะกลายเป็นเสือสมิงโดยสมบูรณ์” พรานอ่ำเว้นช่วงในการพูดเพื่อให้กฤตนัยได้คิดตาม
“เมื่อข้ายังหนุ่มได้เข้าป่ามากับพรานเส็ง พรานมีชื่อในหมู่บ้านสมัยนั้น พร้อมกับไอ้ก้อนเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอีก 1 คน วันนั้นข้าตั้งใจจะเข้าล่ากวางอ่อนเห็นเขาบอกว่าเขามันขายได้เป็นหมื่น ข้าก็อยากจะจับเงินหมื่นกับเขาบ้าง เดินทางกันจนดึกดื่นค่ำมืดก็หยุดพักทำห้างกันเสร็จเรียบร้อย ข้าก็เฝ้ายามแบบเดียวกับคราวนี้ละ ข้าเฝ้าอยู่จนดึก ฟ้ามืดสนิทและเงียบมาก เสียวจิ้งหรีดสักตัวไม่มีให้ได้ยินสักเอะ สักพักก็มีผู้หญิงสวยเดินมาหาข้า ขอบอกว่าสวยนะโว้ย มันบอกว่ามันเหงาให้ข้าลงไปหา”
“แล้วพรานทำยังไงละครับ”กฤตนัยถามเมื่อเรื่องชักจะตื่นเต้นขึ้นทุกที
“ข้าก็ลงไปสิว่ะ สาวๆสวยๆใช่จะมีให้เห็นกันง่ายๆ”
“รนหาที่น่ะสิพราน”
“อ้าวไอ้นี่ เป็นเองจะไปไหมล่ะ สาวนะโว้ย สวยเสียด้วย อกนี้ยังกับลูกแตงโม”
“เอาละพอเถอะพราน แล้วเรื่องมันเป็นยังไงต่อ”
“พอข้าลงไปหามัน มันก็ลากไปพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ๆ กอด จูบกับมันได้สักพักข้าก็ได้กลิ่นคาวเลือด ตอนนั้นข้าชักใจไม่ดี สติกลับมา ผู้หญิงที่ไหนมันจะมาอยู่ในป่าลึกไม่มีคนอย่างนี้ ข้าก็ทำเนียนใจดีสู้เสือไปก่อน”
“อ่อ มีที่มาอย่างนี้เอง”
“อะไรของเอง”
“ก็ ใจดีสู้เสือไง พรานสำนวนสุภาษิตน่ะ”
“ทะลึ่งล่ะ ไอ้นี่”
“ล้อเล่นครับ แล้วพรานรอดออกมาได้ไง”
“ข้าก็เผ่นสิวะ รอจังหวะที่มันเผลอวิ่งกลับห้างเห็นพรานเส็งกับไอ้ก้อนไต่ห้างลงมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะถึงเสือมันก็กระโจนมาหาข้าเสียก่อน โชคยังดีที่พรานเส็งมีลูกปืนอาคม มันกระโจนมาก็ยิงขวางเอาไว้ สุดท้ายมันเจ็บหนัก ถอยไปเอง”
“อ้าวแล้วพรานไม่ได้ช่วยพรานเส็งเลยหรอ ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา”
“ข้าจะช่วยได้ไงล่ะวะ ข้ายังหนุ่มวิชาก็มีไม่มากแต่ตอนนี้สิใครหน้าไหนก็สู้ข้าไม่ได้”กฤตนัยเอือมกับพรานอ่ำที่อวยเข้าตัวเองตลอด พลันนึกถึงเรื่องของนาคา ดูพรานอ่ำเองท่าทางจะเข้าป่าบ่อยน่าจะรู้อะไรดีๆเยอะเลยทีเดียว
“พรานรู้อะไรเกี่ยวกับนาคาบ้างไหมครับ”
“นาคาหรอ ก็ไม่มากไปกว่าคนอื่นหรอกไม่มีใครเคยเจอนาคาตัวเป็นๆสักคนหรือไม่ก็ตายก่อนจะได้เจอ”
“ทำไมล่ะพราน”
“ก็ทางเข้าป่าลึกมันผ่านหมู่บ้านกินคนน่ะสิวะ ขึ้นเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามีหวังตายโหงกันพอดี”
“และทำยังไงถึงจะเข้าไปได้ล่ะพราน”
“ก็เข้าไปตอนมันหลับ แต่ใช่ว่ามันจะง่ายๆน่ะโว้ย ไอ้พวกนี่มันหูไวยังกับหมา ไม่เก่งจริงตายตั้งแต่ก้าวแรกนู้น เองจะรู้ไปทำไมวะหรืออยากเจอนาคา”
“แล้วลุงไม่อยากเจอหรอ”
“จะเจอไปทำไม เจอแล้วทำอะไรได้ แต่ถ้าเกิดเองได้เจอขึ้นมาจริงๆวันนั้นอาจจะเป็นวันตายของเองก็ได้ใครจะไปรู้ ข้าเตือนเองไว้น่ะโว้ยอย่าไปยุ่งกับเรื่องอย่างนี้ เกิดตายขึ้นมาจริงๆแล้วจะหาว่าข้าไม่เตือนเอง”
กฤตนัยคุยกับพรานอ่ำจนถึงเวลาเปลี่ยนเวรเฝ้ายาม เขาเลยอาสารับหน้าที่เฝ้ายามต่อ คำพูดของพรานอ่ำทำให้เขากลับมาคิดถึงจุดประสงค์ของตนเองว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ เขาเพียงแค่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นกับตาหลังจากนั้นก็ออกจากป่าแล้วกลับบ้าน หรือเมื่อได้เจอนาคาแล้วเขาจะจับกลับมาแต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยหรอ ไหนจะเผ่ากินคน ไหนจะสัตว์ป่ายิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งน่ากลัว เขารู้ว่านาคาเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมันอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เขาตัดสินใจลงไปแล้วยังไงสะเขาก็จะไป ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจอย่างแน่นอน
________________________________________________________
พรานอ่ำตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดพร้อมกับพัชรพลซึ่งทำหน้าที่เป็นคนเฝ้ายามคนสุดท้ายเข้าไปปลุกเพื่อนทั้ง 3 คนที่ยังหลับอยู่ภายในเต็นท์ เขาคิดว่าหากเดินทางตั้งแต่เช้าจะทำให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น บริเวณป่าที่ลึกเข้าไปมีต้นไม่ใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกันเต็มไปหมดอีกทั้งพื้นยังแฉะชื้นไปด้วยน้ำ พวกเขาต้องแต่งตัวกันอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันแมลงหรือถากที่จะเกาะกินเลือดหรือเข้าไปในร่างกายได้
“พรานอ่ำผมอยากรู้ว่าต้องเดินทางอีกกี่วันจะถึงป่าแถนนั้นครับ”พัชรพลถามเวลาเพื่อจะได้วางแผนการเดินทางได้อย่างถูกต้อง
“ถ้าไม่หยุดพักระหว่างทางเลยทั้งวันข้าว่าสองคืนก็น่าจะถึงแต่ถ้าพักก็คงจะมากกว่านั้น”
“แล้วไม่มีทางที่ไวกว่านี้แล้วหรอครับ”หากมีทางที่เร็วกว่านี้ก็คงจะดี พัชรพลเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูงเขามักจะตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดถึงถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้
“ไม่มีหรอก นี่ก็ไวสุดแล้วหรือเองจะเดินทางทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้ข้าไม่ว่าอะไรแต่เพื่อนเองจะไหวหรือเปล่าไอ้หนุ่มหน้ามนนั้น เมื่อวานลมก็จะจับมันเข้าให้แล้ว”นั่นสิ สัณหวัชคงจะไม่ไหวแน่ๆ อันที่จริงพัชรพลเอก็พอเหตุผลที่สัณหวัชมาในสำรวจในคราวนี้เขาอยากจะห้ามแต่ก็ไม่อยากก้าวก่ายจนเกินไป งั้นก็ไม่มีทางเลือกคงต้องเดินทางเฉพาะกลางวัน ถ้าหากพักเฉพาะเวลาทานอาหารคงจะช่วยเร่งเวลาได้มาก
อาหารเช้าวันนี้ยังคงเป็นปลาฝีมือพรานอ่ำเช่นเคยเพียงแต่เพิ่มอาหารกระป๋องที่เพิ่มด้วยเท่านั้น ตามด้วยกาแฟอีกคนละถ้วยทั้งคณะก็พร้อมเดินทางต่อ
“เอาล่ะทุกคน วันนี้เราจะเดินทางกันทั้งวันโดยไม่หยุดพักจะพักก็ต่อเมื่อถึงเวลาทานอาหารแล้วเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าเราทำอย่างนี้จะช่วยเร่งเวลาและทำให้งานสำรวจของเราในครั้งนี้เสร็จไวขึ้น มีใครจะแย้งอะไรไหม”พัชรพลแจงแผนการกับลูกทีมหลังจากที่เก็บของและจัดการกับสถานที่จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สัณหวัชรู้สึกไม่พอใจนิดๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาคงไม่ไหวแน่ๆทำไมถึงต้องเดินทางขนาดนั้นด้วย อีกอย่างงานครั้งนี้ก็ให้เวลาตั้งครึ่งเดือนไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบขนาดนี้ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อไม่มีใครแย้งเขาเองก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใคร
“ถ้าไม่มีก็ตกลงตามนี้ นัยผมฝากวัชไว้ด้วยนะ”พัชรพลรู้ดีว่าสัณหวัชไม่ไหวแน่นอน หากฝากไว้กับกฤตนัยคงจะทำให้คลายความกังวลไปได้บ้าง ที่จริงแล้วเข้าไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้ก็ได้แต่งานเสร็จเร็วเท่าไรก็ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น นี้เป็นนิสัยของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
พรานอ่ำเป็นคนหน้าทางเช่นเดิมโดยมีพัชรพลเดินรั้งท้าย เมื่อเดินทางมาเกือบครึ่งค่อนวันป่าแถบนี้เป็นอย่างที่พัชรพลคิดไว้ไม่มีผิดมันสมบูรณ์มาก เถาวัลย์ กิ่งไม้ขึ้นหนามากกว่าปกติเป็นอุปสรรคในการเดินทางของพวกเขา แต่พรานอ่ำเองยังคงทำงานได้เป็นอย่างดี ตลอดการเดินทางมีเสียงสัตว์ใหญ่ให้ได้ยินบ้างเป็นบ้างครั้งแต่ก็ไม่เห็นตัว
“วัชคุณเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดๆ”กฤตนัยถามขึ้นเมื่อสังเกตอาการของสัณหวัชมาสักครู่หนึ่งแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่รู้สึกเจ็บข้อเท้านิดหน่อย”
“ไหนขอผมดูหน่อย”เขาดันหลังให้คนเจ็บนั่งลงบนขอนไม้ทำให้ทั้งกลุ่มต้องหยุดและสิ่งที่พบก็คือปลิงที่ดูดเลือดจากข้อเท้าสัณหวัชจนตัวเขื่องโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลย พอเห็นตัวการสัณหวัชหน้าซีดลงยิ่งกว่าเก่าเขาไม่ได้กลัวปลิงแต่มันมาเกาะอยู่กับตัวอย่างมันก็ต้องมีบ้างที่จะรู้สึกกลัวปนขยะแขยง กฤตนัยคงจับสังเกตได้จึงพูดปลอบใจให้หายกลัว
“ธนุสขอไฟแฉกให้ผมหน่อย”กฤตนัยรับไปแฉกมาก่อนที่จะลนไปที่ตัวของปลิงโดยระวังไม่ได้โดนข้อเท้าเข้า ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าปลิงจะหลุดออกมาได้
เมื่อปลิงตัวดำหลุดออกมา สัณหวัชหน้าซีดลงยิ่งกว่าเดิมเลือดยังคงไหลจากแผลถึงแม้จะประคบสมุนไพรห้ามเลือดที่พรานอ่ำหามาให้แล้วก็ตาม กฤตนัยจึงให้สัณหวัชขี่หลังเขาอีกไม่นานก็เที่ยงแล้วเขาคิดว่าน่าจะไหว กระเป๋าจากหลังของเขาถูกถ่ายไปให้คนเจ็บที่เกาะอยู่บนหลัง
สัณหวัชรู้สึกเกรงใจและสงสารกฤตนัยที่ต้องมาแบกตนไว้อย่างนี้ เหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเป็นตัวบอกอาการของคนตัวโตได้เป็นอย่างดีแต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกดีนี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้กันมากขนาดนี้ เขาแอบเอนซบศีรษะลงบนไหล่กว้างอย่างลืมตัว ทางด้านกฤตนัยเองก็เกิดความรู้สึกอยากปกป้อง ดูแลสัณหวัชตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็ยังไม่รู้ เพียงแต่ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกอิ่มเอมใจเช่นเดียวกับสัณหวัช
-เนื่องจากนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องเเรก เนื้อเรื่องอาจจะดูไม่สมเหตุสมผล ถ้ามีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันไม่ดี ติชมได้เลยนะครับ คนเขียนจะได้เอาไปปรับปรุง
-ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อ่าน โพส และ+ นิยายให้นะครับ ^^