บทที่ 3
ผ่านเทศกาลปีใหม่มากว่าสองเดือน แต่ทว่ามันเป็นสองเดือนสุดแสนหฤโหดของกมลเลยก็ว่าได้ เพราะตารางงานในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์นั้นแน่นเอียด อย่างที่ใครๆก็รู้กันดีว่าเดือนมกราคมมักเป็นเดือนที่มีฤกษ์มงคลเยอะที่สุด ถือเป็นเดือนเปิดปีเปิดฟ้าใหม่ ดังนั้นคนจึงนิยมจูงมือเข้าพิธีวิวาห์อย่างล้นหลาม ส่วนเดือนแห่งความรักอย่างเดือนกุมภาพันธ์ก็คงไม่ต้องพูดถึง เพียงเดือนนี้เดือนเดียว I promise Tower ต้องจัดงานให้ลูกค้ามากกว่าค่าเฉลี่ยของทุกเดือนตลอดทั้งปีถึงสองเท่า ผู้บริหารหน้าหวานจึงแทบไม่มีวันได้หยุดพัก
มือเรียวถือปากกาจดรายละเอียดกำหนดการทำงานของเดือนมีนาคมอย่างขะมักเขม้น กมลคิดคำนวณบริหารจัดการเวลาเงียบๆในใจ แล้วพบว่ากว่าเขาจะได้พักผ่อนจริงๆจังๆก็คงจะเป็นช่วงสงกรานต์ เพราะก่อนสงกรานต์เขามีงานใหญ่งานยักษ์อีกงานที่ต้องจัดการให้ผ่านพ้นไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย ซึ่งงานที่ว่าก็คือ งานแต่งงานระหว่างคุณเกษสุดาและคุณณธิป
แม้การจัดเตรียมทุกอย่างจะลุล่วงไปกว่า 70% แต่ทว่าก็ยังมีรายละเอียดปีกย่อยเล็กๆน้อยๆที่ต้องคอยสะสางอยู่ ซ้ำยังเหลืองานตกแต่งสถานที่ซึ่งจะเริ่มทำได้ตอนสามวันก่อนวันจริง และก่อนหน้าที่จะถึงวันงาน กมลยังมีแผนการเดินทางไปออกบูธเวดดิ้งแฟร์ที่ปักกิ่ง ซึ่งแผนงานนี้ได้เตรียมการเอาไว้ราวๆครึ่งปีก่อนหน้านี้ ดังนั้นกมลจึงมีความพร้อมกับงานนี้มากๆ งานที่เหลือทาง I promise ก็จัดสรรและแบ่งงานให้ตามหน้าที่เรียบร้อย เสียก็แต่ตรงที่เวลาของการเตรียมงานให้ลูกค้ามาเบียดให้กระชั้นจนมีเวลาจัดกระเป๋าแค่คืนเดียวก่อนไป
การเดินทางไปประเทศจีนครั้งนี้ กมลตัดสินใจพาหทัยไปด้วยกันอีกคน เพราะเขาคงไม่มีใครรู้ใจและเหมาะสมต้องเรียนรู้งานอย่างใกล้ชิดเท่าน้องสาวเพียงคนเดียวอีกแล้ว จะติดก็ตรงที่หลานแฝดหยินหยางต้องถูกนำไปฝากเลี้ยงที่บ้านลูกพี่ลูกน้องอย่างจงรัก ตรงนี้เขาก็รู้สึกเป็นห่วงและเกรงใจน้องมากเอาการอยู่เหมือนกัน แต่นอกเหนือจากจงรักแล้ว กมลก็ไม่มีญาติมิตรชิดใกล้ที่สามารถพึ่งพาได้อีก
“พี่ไอคะ” ขณะที่กำลังทบทวนแผนงานของตัวเองในห้องทำงาน หทัยก็เปิดประตูเข้ามาเรียกหา
“ว่าไงอ้าย”
“ไปรับหลานกันเถอะค่ะ เด็กๆน่าจะใกล้เลิกเรียนว่ายน้ำกันแล้ว”
“จริงเหรอ” เขาลืมดูเวลาไปเสียสนิท ดังนั้นมือเรียวจึงรีบเก็บข้าวของลงกระเป๋าลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหาน้อง “ไปกันเถอะ”
ระหว่างทางเดินพนักงานหลายคนในบริษัทก็พากันออกมาส่งกมลกับหทัย อีกทั้งอวยพรให้เดินทางปลอดภัยและประสบความสำเร็จในการทำงานที่โน้น กมลจึงถือโอกาสกำชับให้ทุกคนทำงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดี หากมีปัญหาก็สามารถแจ้งเรื่องกับหัวหน้าฝ่ายได้เลย เพราะเขามอบอำนาจให้หัวหน้าทุกฝ่ายจัดการทุกอย่างตามที่เห็นสมควรตอนเขาไม่อยู่ เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วผู้บริหารหนุ่มหน้าหวานกับน้องสาวก็เดินมาขึ้นรถก่อนขับออกไปรับหลานชายที่โรงเรียน
รับหลานชายที่โรงเรียนเสร็จกมลก็พาทุกคนในครอบครัวไปทานอาหารเย็นในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เนื่องจากเขามีบางอย่างที่ยังขาดจะต้องซื้อติดกระเป๋าไปปักกิ่งด้วย ส่วนเด็กๆพอทานอาหารเสร็จก็ถูกผู้เป็นแม่พาไปทานไอศกรีมเป็นการฆ่าเวลารอคุณลุงซื้อของ
หลังจากได้ของครบกมลจึงพาหลานๆไปส่งที่บ้านของจงรัก ตอนนี้เจ้าตัวย้ายไปอยู่กับเมฆาซึ่งเป็นคนรักไม่ได้อยู่คอนโดคนเดียวเหมือนแต่ก่อน บ้านของเมฆาอยู่ห่างจากตัวเมืองมากสักหน่อยเพราะเป็นเขตกรุงเทพรอบนอก กว่าจะเดินทางมาถึงก็ค่ำแล้ว กมลบีบแตรครั้งหนึ่ง รอไม่นานร่างเล็กๆของลูกพี่ลูกน้องก็วิ่งออกมาเปิดประตูให้ เมื่อขับรถเข้าไปจอดสนิทด้านในเรียบร้อย หลานคนเล็กของเขาก็วิ่งตื๋อออกจากรถเพื่อไปหาคุณน้าคนโปรดทันที จนหทัยต้องรีบปรามเสียงเขียวเพราะกลัวเจ้าแสบจะล้ม
“น้ารัก!~”
“น้องหยางอย่าวิ่งลูก!!”
ลูกพี่ลูกน้องของเขาถูกหลานชายวิ่งเข้าชาร์จจนเซถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อตั้งตัวได้จงรักจึงย่อตัวลงนั่งในระดับเดียวกับหลาน ก่อนจะปรามเด็กซ่าด้วยท่าทางใจดี
“โดนคุณแม่ดุแล้วเห็นไหมครับน้องหยาง”
“ก็หยางคิดถึงน้ารักนี่ครับ” เด็กน้อยบอกซื่อๆจงรักจึงหอมแก้มใสทั้งสองข้างเป็นรางวัลให้คนปากหวาน
“น้ารักสวัสดีครับ” มัวแต่สนใจหลานชายคนเล็กจนลืมหลานอีกคนที่กมลจูงมือตามหลังมา
“สวัสดีครับน้องหยิน ตัวโตขึ้นหรือเปล่าครับ ไหนมาให้น้าหอมแก้มหน่อยเร็ว” ได้ยินผู้เป็นน้าบอกแบบนั้นเด็กชายหยินจึงปล่อยมือคุณลุงแล้วเดินเข้ามายื่นแก้มให้หอมอย่างว่าง่าย
แม้หยินกับหยางจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยนั้นค่อนข้างต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อาจด้วยความเป็นพี่ทำให้หยินมีนิสัยสงบเรียบร้อยและเชื่อฟังคำสั่งมากกว่า ส่วนหยางเป็นเด็กร่าเริง ยิ้มง่าย ค่อนข้างเอาแต่ใจนิดๆตามสไตล์น้องชายคนเล็ก ไม่เพียงแต่นิสัย แม้กระทั่งหน้าตาของทั้งสองก็ยังต่างกันจนสามารถแยกออกได้ง่ายว่าคนไหนหยิน คนไหนหยาง
“น้องหยางสวัสดีน้ารักกับน้าเมฆหรือยังครับ”
“สวัสดีครับน้ารัก” เมื่อได้ยินเสียงเตือนของกมล หยางจึงผละจากอ้อมกอดของจงรักแล้วก้มหัวสวัสดีจนเกือบทิ่มพื้น ก่อนจะหันไปมองผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนทำหน้าทะมึนดุดันอยู่ข้างๆจงรัก
“สวัสดีครับน้าเมฆ” หยินเป็นคนเริ่มต้นทักทายก่อน จากนั้นจึงสะกิดน้องชายที่ดูเหมือนจะช็อคอยู่กับหน้าตาดุดันของเจ้าบ้าน
“สะ…สวัสดีครับ น้าเมฆ” หยางเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆกระเถิบเข้าไปชิดจงรักจนแทบจะเกยตัก
“สวัสดีเด็กๆ”
เสียงทุ้มต่ำของเมฆาผนวกกับรอยยิ้มเกร็งๆที่มุมปากจนคล้ายเจ้าตัวกำลังแสยะยิ้ม ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวขึ้นไปอีกเท่าตัวในสายตาเด็กๆ ทำเอาหยินที่ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก ผงะตัวถอยหลังไปคว้ามือของกมลจับไว้แน่น หทัยมองเห็นท่าทางของลูกชายทั้งสองเป็นคนแรกจึงรีบบอกกับเมฆา
“สงสัยเด็กๆคงยังไม่ชินน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เข้าบ้านกันก่อนดีกว่า มืดแล้วยุงเยอะ”
คนรักของจงรักว่าอย่างไม่ถือสาเอาความอะไรกับเด็ก ก่อนให้จงรักพาหลานเข้าบ้านพร้อมกับคุณแม่ ส่วนตัวเองก็หันมาช่วยกมลยกสัมภาระของเด็กน้อยทั้งสองที่ขนมาราวกับจะย้ายสำมะโนครัว
“ของเยอะนิดนึงนะครับ พอดีมีชุดนักเรียนกับเครื่องเรียนของเด็กๆด้วย” คนหน้าสวยว่าขณะส่งกระเป๋าเสื้อผ้าสองแฝดให้กับเมฆา
“คุณไอกับคุณอ้ายไปกันกี่วันครับ”
“สามวันครับ บินวันนี้ตอนตีหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้มีงานแต่เช้าเลย” เมื่อเอาของออกจากรถหมดแล้วเมฆาก็เดินนำกมลเข้ามาในบ้าน
“เหนื่อยแย่เลยนะครับ”
“ก็แบบนี้แหละครับ ใครว่าเป็นผู้บริหารแล้วสบาย ผมเถียงขาดใจเลยนะ” กมลบอกพร้อมกับทำหน้าขึงขังจริงจังทำให้เมฆาอดรู้สึกขำขึ้นมาไม่ได้
เมื่อถึงห้องนั่งเล่นเมฆาก็อาสาเป็นคนขนของทั้งหมดขึ้นไปเก็บบนห้องแทน เพราะคิดว่ากมลอาจต้องการเวลาในการคุยกับจงรักและเด็กๆก่อนเดินทาง ระหว่างนั้นกมลกับหทัยจึงนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ของบ้านแล้วจับเด็กๆสองคนมานั่งด้วยกัน ก่อนกำชับให้เด็กสองคนเชื่อฟังคุณน้าจงรักระหว่างที่เขาและน้องสาวไม่อยู่
“พี่หยินกับน้องหยางครับ ลุงไอกับแม่อ้ายต้องไปทำงานเหมือนที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น เมื่อหนูๆมาอยู่กับน้ารัก หนูสองคนต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังน้ารักกับน้าเมฆ ไม่ดื้อไม่ซน เข้าใจไหมครับ”
“เข้าใจครับ” หยินว่า
“ดีมากครับพี่หยิน” กมลดึงหลานชายคนโตมากอดและหอมแก้มยุ้ย ก่อนหันไปหาเจ้าคนเล็กที่เอาแต่ซุกอยู่กับผู้เป็นแม่ พาลทำให้หทัยทำหน้าเหยเกร่ำๆจะร้องไห้ไปด้วย “แล้วน้องหยางล่ะครับ เข้าใจที่ลุงบอกหรือเปล่า”
“เข้าใจแล้วครับ” หยางว่าหงอยๆ ก่อนหันไปอ้อนแม่ “แต่คุณแม่กับลุงไอต้องกลับมาเร็วๆนะครับ”
“ตกลงจ้ะลูก” หทัยกอดลูกด้วยความอาลัย ก่อนกางแขนเรียกน้องหยินให้เข้าไปหาเพื่อกกกอดเช่นกัน
แต่อารมณ์แสนเศร้าเคล้าน้ำตานั้นอยู่ไม่นาน พอผ่านไปสักพักเด็กๆก็หันไปสนใจคุณน้าจงรักซึ่งเป็นคนโปรด จนลืมแม่อ้ายกับลุงไอไปเสียสิ้น กมลมองหลานยิ้มๆ รู้สึกเบาใจไปมากเมื่อเห็นว่าสองแสบเศร้าได้ไม่นาน นั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เมฆาที่หายขึ้นไปบนชั้นสองสักพักก็ลงมาข้างล่าง เป็นเวลาประจวบเหมาะกับที่กมลกับหทัยต้องเตรียมตัวกลับไปเอากระเป๋าเพื่อเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ
เมฆาสังเกตเห็นว่าแววตาของหทัยมีแววกังวลอยู่ไม่น้อย ระหว่างที่เดินไปส่งขึ้นรถชายหนุ่มจึงพูดบางอย่างเพื่อบอกกับเธอให้คลายกังวล
“คุณอ้ายไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับจงรักจะดูแลพวกเด็กๆให้ดีที่สุด”
“ขอบคุณนะคะ อ้ายรู้ว่าคุณเมฆกับรักต้องดูแลเด็กๆดีอยู่แล้ว แต่ที่อ้ายกังวลเพราะไม่ค่อยห่างกับเด็กๆนานๆ อีกอย่างก็กลัวว่าพวกแกจะสร้างปัญหาให้คุณเมฆน่ะค่ะ”
“ผมรับปากจะดูแลพวกแก เรื่องอื่นๆไม่ต้องกังวลนะครับ”
“ขอบคุณจริงๆค่ะ ยังไงอ้ายฝากน้องหยินกับน้องหยางด้วยนะคะ ถ้าพวกแกดื้อมากๆก็ดุได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ” เมฆาคลี่ยิ้มรับ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรคุณเมฆให้จงรักโทรติดต่อพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” กมลหันมาบอกเมฆาเมื่อสั่งเสียเรื่องหลานๆกับจงรักเรียบร้อยแล้ว
“ครับ” หนุ่มหน้าดุตอบรับ
“พี่ไปก่อนนะรัก ฝากดูหลานด้วย” กมลว่า
“เดินทางปลอดภัยนะครับพี่ไอ พี่อ้าย”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” กมลกับหทัยยิ้มรับคำอวยพรของน้องชายกับคนรักก่อนขึ้นรถแล้วขับออกไป
กระเป๋าเดินทางถูกจัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนถูกนำขึ้นรถ สองคนพี่น้องช่วยกันดูแลปิดบ้านเรียบร้อยก่อนเดินทางไปยังสนามบิน เมื่อไปถึงก็ใกล้เวลาเดินทางแล้ว กมลตรวจเช็คสัมภาระและเอกสารต่างๆเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนส่งข้อความไปหาเจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปจัดบูธที่ปักกิ่งก่อนหน้าถึงกำหนดเวลาที่จะเดินทางไป พร้อมสอบถามการทำงานทางโน้นว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างที่วางแผนเอาไว้ ตอนขึ้นเครื่องกมลจึงได้หลับโดยที่ไม่มีความกังวล อย่างน้อยได้พักสายตาสักสี่ห้าชั่วโมงก็ถือว่าดีมากแล้ว
สามวันหลังจากเดินทางไปปักกิ่งกมลก็กลับมากรุงเทพโดยสวัสดิ์ภาพ การทำงานเป็นไปได้ด้วยดี แม้จะมีปัญหาเล็กๆน้อยๆให้แก้กันอยู่บ้าง ทว่าโดยรวมก็ถือว่าไม่เลว เนื่องจากเขาสามารถเจรจากับคู่ค้ารายใหม่ของทางโน้นได้เจ้าหนึ่ง ซึ่งถ้าหลังจากนี้ตกลงรายละเอียดส่วนแบ่งและสัญญากันเรียบร้อย บริษัทนั้นก็จะส่งลูกค้ากระเป๋าหนักจากทางจีนเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆกับ I promise ในไทย ทั้งถ่ายพรีเวดดิ้ง หรือจัดงานแต่งที่ไทยเลยด้วยซ้ำ
ส่วนลูกค้ารายย่อยหรือเรียกง่ายๆว่าบุคคลทั่วไป ก็เข้ามาขอข้อมูลและเซ็นสัญญาที่จะบินมาจัดงานที่ไทยหลายคู่ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็ถือว่าประสบความสำเร็จกว่าที่กมลคาดไว้มาก
จบจากการเดินทางครั้งนี้กมลก็เหนื่อยล้าเสียจนอยากหลับไปเสียตอนนั้น ติดแต่ว่าเขายังต้องไปรับหลานๆจากบ้านของจงรัก เมื่อรับหลานๆกลับมาบ้านพร้อมกับน้องสาว กมลก็อาบน้ำอาบท่าก่อนกระโจนลงเตียงแล้วหลับไปราวกับปิดสวิตช์
เป็นเวลากว่าเดือนที่กมลวุ่นวายอยู่กับงานหลายๆอย่าง ทั้งงานนอกและงานในประเทศ จนเผอเรอลืมสนใจเรื่องเล็กน้อยแต่จะว่าไปก็ไม่เล็กสำหรับคนบางคน กระทั่งพนักงานที่เป็นฝ่ายดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายของ I promise ขอเข้ามาพบและแจ้งว่า ชุดของณธิปเจ้าบ่าวไฮโซตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทางเจ้าบ่าวกลับไม่มีเวลามาลองชุดด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังไม่มีแม้แต่เวลาจะให้ทางช่างตัดเสื้อเข้าพบ
ไม่ต้องมองวันที่ในสมุดบันทึก กมลก็รู้ได้ทันทีว่างานแต่งของณธิปกับเกษสุดาจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า ผู้บริหารหนุ่มหน้าสวยขมวดคิ้วเป็นปมชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะตีสีหน้าเหมือนเก่าแล้วสั่งช่างเสื้อเสียงเรียบ
“เดี๋ยวผมต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอกตอนสี่โมง เจี๊ยบช่วยเอาชุดของคุณณธิปตามไปให้ผมที่รถทีนะครับ ผมจะแวะเอาไปให้เขาลองเอง”
“แต่คุณไอคะ…เอ่อ…เมื่อเช้าเจี๊ยบโทรไป ทางเลขาเขาบอกว่าวันนี้คุณณธิปมีประชุมค่ะ” ช่างตัดเสื้อสาวว่าอย่างเกรงๆ เธอรู้สึกว่า แม้คุณไอของพวกเธอจะยิ้มน้อยๆที่มุมปาก แต่ก็มีรังสีบางอย่างแผ่ออกมาบางๆชวนให้ขนลุก
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะโทรเข้าไปก่อน ลองเสื้อแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ทำธุระเสร็จผมก็ไปรอให้เขาเลิกประชุมได้ ขืนปล่อยให้นานกว่านี้ ถ้าเกิดว่าชุดต้องแก้ เราจะทำทันได้ยังไง นี่เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้นนะครับ ผมจะไปรอที่รถ ยังไงเจี๊ยบตามไปแล้วกันนะครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแกนๆก่อนเดินตัวลีบออกจากห้องทำงานของกมลไป
กมลเองพอเห็นว่าพนักงานออกไปแล้วก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวเล็กๆในใจ ได้แต่ปลอบตัวเองว่าอีกไม่กี่วันก็จะผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับงานของคู่วิวาห์ที่ชวนให้หัวหมุนคู่นี้
หลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่นหลังจากที่กมลต่อสายตรงไปหาณธิปด้วยตัวเอง พอฝ่ายนั้นรู้ว่าเป็นใครโทรมา ไม่ว่าด้วยธุระอะไรก็พร้อมจะให้เข้าพบทันทีหลังทานอาหารกลางวันเสร็จ แต่กมลก็เอ่ยย้ำด้วยความเกรงใจว่าจะขอใช้เวลาไม่นานเท่านั้น เนื่องจากไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายที่ต้องเตรียมตัวเข้าประชุมบอร์ดบริหารในช่วงบ่าย
กมลขับรถมาถึงก่อนเวลาที่นัดหมายไว้จึงตั้งใจว่าจะขึ้นไปรอด้านบน ทว่าขณะที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ เขาก็พบบุคคลซึ่งได้นัดเอาไว้ยืนอยู่ในนั้นโดยบังเอิญ ทันทีที่ดวงตาเรียวมองเห็นกมลยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ยกยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปกดลิฟต์รอให้กมลขึ้นไปพร้อมกัน
คนหน้าหวานเอ่ยขอบคุณเรียบๆขณะเดินหอบถุงใส่ชุดสูทเข้าไปยืนเคียงข้างคนตัวสูงกว่า หลังจากประตูลิฟต์ปิดลงกั้นสรรพเสียงของผู้คนภายนอกเอาไว้ความเงียบก็มาเยือน ดวงตาคู่สวยเพ่งมองไปที่จุดเดียวนั่นคือหน้าปัดบอกตัวเลขระดับชั้นที่กำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนดวงตาคู่เรียวฉายแววเจ้าเล่ห์กลับจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของกมลนิ่ง ราวกับพยัคฆ์จ้องเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
ก่อนจะถึงชั้นที่ต้องการ เสียงทุ้มมีเสน่ห์ของผู้บริหารโรงแรมก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบอันชวนอึดอัด ทำให้ผู้บริหาร I promise Tower อย่างกมลต้องส่งเสียงตอบอย่างเสียไม่ได้
“คุณไอนี่เป็นผู้บริหารที่ทุ่มเทนะครับ แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ ถึงกับต้องมาด้วยตัวเอง”
“ขอบคุณที่ชมครับ ตัวผมคิดว่า
ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับลูกค้าไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เห็นคุณณธิป
ยุ่งจนไม่มีเวลา พนักงานที่ I promise ก็ไม่กล้ากวน ผมก็เลยต้องมาเอง เพราะถ้ามีตรงไหนต้องแก้ เราจะได้แก้ทันท่วงทีก่อนวันงานน่ะครับ” กมลว่าด้วยสีหน้าที่ถูกฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มการค้า แต่คนฉลาดอย่างณธิปก็พอจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกตำหนิอ้อมๆ ที่เป็นสาเหตุให้ทางผู้จัดงานวุ่นวาย เนื่องจากบอกปัดไม่ไปตามนัดหลายต่อหลายครั้ง
“ผมล่ะซึ้งใจจริงๆ ทั้งที่เป็นงานแต่งของผมแท้ๆ แต่คุณดูจะทุ่มเทกว่าผมเยอะเลย ไม่รู้เสร็จงานจะต้องตกรางวัลด้วยอะไรดีถึงจะชดเชยให้กับความเหนื่อยยากครั้งนี้ได้” ประโยคหลังณธิปจงใจหยอกเอิ้นอีกฝ่ายเป็นนัยๆ แต่สีหน้าเรียบนิ่งที่เขาเห็นก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด ทั้งอีกฝ่ายยังยิ้มบางๆให้ราวกับไม่รู้ความหมาย ทว่าคำตอบของกมลกลับทำให้ณธิปรู้สึกว่าเขาโดนหลอกด่าไปอีกคำ
“อย่ากังวลไปถึงเรื่องนั้นเลยครับ มันเป็น
หน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
“อืม…นั่นสินะ ผมควรจะต้องกังวลในส่วนของผมมากกว่า”
“…” ถึงตรงนี้เป็นจุดที่กมลชักไม่อยากตอบโต้ โชคดีว่าประตูลิฟต์เปิดพอดี พวกเขาจึงต้องเดินออกมาสู่โถงด้านนอก และเป็นณธิปที่เดินนำกมลเข้าไปยังห้องทำงานส่วนตัว ตอนที่เดินผ่านหน้าเลขาสาวสวยยังไม่วายกำชับว่าไม่ให้ใครเข้ามากวนจนกว่าแขกของตนเองจะกลับ
กมลเดินตามเข้าไปในห้องแล้วเริ่มทำงานของตนเองในทันทีเพราะไม่ต้องการจะรั้งรอให้เสียเวลา อีกทั้งยังรู้สึกไม่อยากอยู่กับณธิปตามลำพังด้วย มือเรียวรูดซิปเอาชุดสูทสีขาวงาช้างออกมาก่อนนำไปยื่นให้กับคนที่ยืนกอดอกรออยู่ก่อนแล้ว
“ลองสวมดูนะครับ เสร็จแล้วช่วยออกมาให้ผมดูสักนิด เผื่อถ้าตรงไหนคับไปหรือหลวมไปผมจะได้วัดและนำไปแก้ไขได้ถูก”
“ถ้างั้นก็นั่งรอผมตรงนี้สักประเดี๋ยวแล้วกัน” ณธิปว่าก่อนเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนที่มีแยกออกไปทางด้านข้าง แต่กมลไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายหยิบไปแต่กางเกง ทว่าวางเสื้อเชิ้ตและเสื้อสูททิ้งไว้ข้างนอก
รอไม่นานอย่างที่เจ้าตัวว่า ณธิปก็ออกมาจากห้องพักส่วนตัวพร้อมกับกางเกงแสลกสีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีต กมลมองดูแวบเดียวก็รู้ว่ามันพอดีตัวเหมาะเจาะ ตัวกางเกงคงไม่ต้องแก้อะไร แต่ส่วนที่ทำให้หนุ่มหน้าหวานเริ่มรู้สึกหนักใจคือร่างกายช่วงบนต่างหาก มีอย่างที่ไหน เป็นผู้บริหารออกใหญ่โตกลับเดินโทงๆไม่ใส่เสื้อออกมาโชว์คนอื่นเสียอย่างนั้น ในทีแรกกมลก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำอะไร แต่พอคนเจ้าเล่ห์หยิบเสื้อแล้วเดินตรงมาหาเขา ก่อนยื่นให้แล้วสั่ง
“คุณใส่ให้ผมหน่อยสิ ผมผูกหูกระต่ายไม่ค่อยเก่ง”
กมลรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวกันตรงไหนกับไอ้การผูกหูกระต่ายไม่ได้ แล้วเดินโชว์กล้ามท้องออกมาให้เขาใส่เสื้อติดกระดุมให้ อยากจะปฏิเสธเสียเหลือเกิน แต่ก็คิดว่ารีบๆทำให้จบไป เขาจะได้รีบหนีออกจากที่นี่เร็วๆ พอคิดได้แบบนั้นหนุ่มหน้าหวานก็พยายามตีสีหน้าเรียบเฉยไว้อย่างสุดกำลัง ก่อนเอื้อมมือไปใส่เสื้อให้ณธิปราวกับกำลังช่วยหลานชายสวมเสื้อผ้า
แต่ไอ้คนคิดไม่ซื่อก็ยังดำเนินแผนร้ายที่คิดไว้อยู่ในใจไม่เลิกรา เพราะขณะที่กมลติดกระดุมให้อีกฝ่ายก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้จนกมลต้องขยับถอยหนี หนีไปสุดทางจนสัมผัสได้ว่าด้านหลังมันสิ่งของวางอยู่ คนโดนรังแกจึงเงยหน้าจากกระดุมเม็ดสุดท้าย แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ใกล้ไปหรือเปล่าครับ”
“คุณรู้สึกอย่างนั้นเหรอ” ณธิปทำหน้าเหรอหราอย่างตั้งใจ ก่อนก้มลงไปกระซิบเสียชิดริมติ่งหูกลมกลึงน่าขบเล่นของคนตัวเล็กกว่า “แต่ผมว่าเราน่าจะ
ใกล้ได้อีกนะ”
แทนที่กมลจะเคลิบเคลิ้มอย่างที่ณธิปตั้งใจให้เป็น เหมือนกับคนอื่นๆที่เขาใช้วิธีนี้ด้วย แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยกข้อศอกขึ้นมาขนานกับลำตัวแล้วดันให้ณธิปออกห่าง
“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะใกล้ขนาดนั้นผมผูกหูกระต่ายไม่ถนัด”
นอกจากจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้ว ดวงตาที่ช้อนขึ้นมองด้วยแววโกรธกรุ่นบางๆ ก็ทำให้ณธิปเป็นฝ่ายที่ต้องยอมถอยมาตั้งหลักใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นณธิปก็ยังรู้สึกว่า ยามที่กมลทิ้งหน้ากากยิ้มแย้มหลอกลวงนั่นไป แล้วเผยให้เห็นแววตาที่บอกความรู้สึกแบบอื่น มันก็ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนฝ่ายกมล เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระและมีพื้นที่ให้หายใจ เจ้าตัวก็ฝืนกดอารมณ์โกรธกรุ่นและหงุดหงิดเอาไว้ ก่อนขยับเข้าไปผูกหูกระต่ายให้เสร็จ โดยทำเป็นไม่สนใจสายตาที่คอยจ้องจะฮุบเหยื่ออยู่ตลอดของอีกฝ่าย พอเสร็จเรียบร้อยดีแล้วคนหน้าหวานจึงทำการสำรวจตรวจดูว่ามีจุดไหนต้องแก้บ้าง
ชุดที่ตัดออกมาพอดีตัวอย่างเหลือเชื่อ ณธิปใส่ได้เหมาะเจาะเข้ากับรูปร่างโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนเพิ่มอีก อีกทั้งคนตาเจ้าเล่ห์ยังยืนยันเองว่าใส่สบาย เดินได้สะดวกดีด้วย ดังนั้นกมลจึงตกลงใจกันว่าจะไม่แก้ไขตรงไหนแล้ว ทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่เรื่องก็มาเกิดอีกจนได้ เพราะเมื่อตอนใส่กมลเป็นคนใส่ให้ ดังนั้นตอนถอดณธิปจึงไม่ยอมถอดเองเสียดื้อๆ ทั้งยังจ้องมองราวกับว่า ถ้าคุณไม่ทำ คุณก็กลับไปไม่ได้
กมลจึงกลั้นใจปลดกระดุมเสื้อให้อย่างรวดเร็ว ไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว แต่หลังจากถอดเสื้อเสร็จ อะไรๆก็ไม่เสร็จตามอย่างใจปรารถนา เพราะหูของกมลได้ยินเสียงโวยวายดังอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง ก่อนจะมีใครบางคนเปิดกระชากประตูห้องทำงานของณธิปเข้ามาอย่างอุกอาจ
คนที่เข้ามาใหม่เป็นผู้ชายดวงหน้าติดจะเซ็กซี่เล็กๆ ซึ่งกมลได้ยินณธิปเรียกอีกฝ่ายว่า หนึ่งนที ทันทีที่หนึ่งนทีพบคนรักของตัวเองกำลังยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาสวยหวานราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เขาโกรธจนแทบจะลุกเป็นไฟ เพราะคิดไปว่าณธิปกล้านัดคนอื่นมาคั่วถึงห้องทำงานทั้งที่เวลาเขาโทรมากลับบอกว่ายุ่งนักยุ่งหนา
“หนึ่ง เข้ามาได้ยังไง! ผมบอกให้รอก่อนไม่ใช่หรือไง” ณธิปพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ถ้ารอหนึ่งก็ไม่เห็นสิว่าคุณเล็กทำอะไรอยู่”
“ทำอะไร” แทนที่อีกฝ่ายจะร้อนใจหรือมีท่าทีลนลาน แต่เปล่าเลย ณธิปกลับค่อยๆ หยิบเสื้อเชิ้ตทำงานขึ้นมาสวมอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“ยังจะมาถามอีกว่าทำอะไร ก็เห็นกันอยู่ตำตาขนาดนี้นะคุณเล็ก ตกลงว่าคุณมีคนอื่นซ่อนอยู่กี่คนกันแน่ ทั้งนายคนนี้หรือแม้กระทั่งลูกสาวรัฐมนตรีนั่น!”
“ขอโทษนะครับ”
แล้วในที่สุด หนุ่มหน้าสวยที่ถูกพาดพิงถึงก็เอ่ยขึ้นมาเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกรื่นหูแต่ก็แฝงไปด้วยความเย็นชา หนึ่งนทีตวัดตากลับไปมองด้วยความไม่พอใจ ดวงตารีเหลือบมองคนที่ยืนถือสูทสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพิจารณา สวยทั้งรูป น้ำเสียงหรือก็เพราะ ทั้งที่เป็นผู้ชายแท้ๆ มิน่าเล่าณธิปจึงพามาคั่วถึงนี่โดยไม่อายว่าจะเป็นขี้ปากพนักงาน
“มีอะไร”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเข้าใจเรื่องอื่นๆยังไง แต่อยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดในส่วนของผมนิดหน่อย” เมื่อเห็นว่าหนึ่งนทีหยุดฟัง กมลจึงพูดต่อ “ผมกับคุณณธิปไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่ผมมาที่นี่ก็แค่เอาชุดแต่งงานมาให้ลูกค้าซึ่งก็คือ คุณณธิป ลองตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น”
“ลองชุด?”
“ครับ
แค่ลองชุดเท่านั้น ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณเข้าใจผิด” หนุ่มหน้าสวยว่าแค่นั้น ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าที่นำมาให้ว่าที่เจ้าบ่าวลองใส่กลับลงในถุงที่เตรียมมาเงียบๆ เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าตัวก็หันไปพูดกับเจ้าของห้องด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุด “ชุดที่ผมนำมาวันนี้พอดีตัว ไม่มีตรงไหนที่ต้องการจะแก้นะครับ”
“ไม่มีครับ” ณธิปว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน
ขอบคุณที่สละเวลาครับ” รอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากช่วยส่งให้คนพูดดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่าตัว ติดอยู่เพียงแต่ว่าตาคู่หวานนั้นฉายแววเย็นชาออกมาอย่างชัดเจน
กมลหอบชุดเจ้าบ่าวออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลายยากที่จะบรรยาย แต่หนึ่งในความรู้สึกนั้น มีอยู่ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ โกรธ
เขาโกรธเพราะณธิป โกรธที่ต้องมาเจอกับพฤติกรรมของคนร้ายกาจใจโลเลอย่างนั้น กมลเคยคะเนมาตลอดว่าณธิปเจ้าชู้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นถึงขนาดนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังจะแต่งงานอยู่รอมร่อแล้ว ยังมีหน้ามาทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่เขา ซ้ำยังมีใครคนอื่นตามมาอาละวาดหึงหวงถึงที่ทำงาน
กมลกดลิฟต์ด้วยมือที่สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาอดไม่ได้จริงๆที่จะสงสารคุณเกษสุดาอย่างสุดหัวใจ แม้เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนเป็นแบบไหนมาก่อน หากเมื่อคิดว่าคุณเกษสุดาจะต้องทนอยู่กับคนที่ไม่พร้อมจะลงหลักปักฐานเช่นนี้ไปชั่วชีวิต ผู้หญิงดีๆอย่างนั้นจะต้องทุกข์ทนแค่ไหนกัน
กมลทำงานนี้ งานที่ต้องคอยดูแลคู่บ่าวสาวมานับไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ทำหน้าที่เขาจะมีความสุขมากๆ เพราะเห็นว่าผลงานที่เขาคอยดูแลจัดการให้เป็นส่วนที่ทำให้คู่รักมีความสุขแค่ไหน
การแต่งงานที่เกิดจากความรัก แม้บางครั้งคู่บ่าวสาวอาจทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่ทั้งคู่ก็มีเป้าหมายเดียวกันคืออยากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แต่งานแต่งงานที่เขากำลังจัดให้ของเกษสุดา กลับไม่เป็นอย่างที่เคยทำเช่นที่ผ่านมาเลย เพราะว่าที่เจ้าบ่าวเป็นคนไม่ได้ความแบบนั้น
คำว่างานประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในแบบของกมล ไม่ใช่เงินทองหรือชื่อเสียงเป็นตัวชี้วัดอย่างเดียวเท่านั้น แต่คุณค่าที่เขาใช้ประเมินคือ งานที่เขาทำจะช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์และทำให้คู่รักมีความสุขแค่ไหน ตอนนี้ยังไม่ถึงวันงานของคุณเกษสุดา แต่กมลก็พอจะประเมินได้ว่า การทำงานของเขาครั้งนี้คงไม่ประสบความสำเร็จไปในทิศทางที่ตั้งใจแต่แรกอีกแล้ว เรื่องที่ต้องพบเจอในครั้งนี้มันจึงบั่นทอนความรู้สึกของกมลเหลือเกิน
++++++++++++++++++++++++++++
บทที่ 3 ค่าาาาา
ฝากติดตามด้วยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ
ละอองฝน.