ตอนที่ ๑๐
๕๐%
เสียงซออู้แว่วหวานผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในดินแดนแห่งเมืองศิวิไลซ์ เรียวนิ้วแตะสัมผัสสายเอ็นสองเส้นสลับไปมาจนเกิดท่วงทำนองแว่วหวานจับจิต คุณเล็กในยามนี้เรือนกายสูงใหญ่ ใบหน้าที่เคยดูหวานก็คมเข้มขึ้น เรียวคิ้วดำสนิทเหมือนสีผมดวงตาที่เคยมองสิ่งต่างๆอย่างสุขุมนุ่มลึกบัดนี้มีแววไหวระริกตามแสงไฟที่ทอแสงนวล นิ้วเรียวแตะลงบนสายซอเป็นท่วงทำนองคล้ายจะส่งผ่านไปหาใครบางคนที่อยู่อีกซีกโลกให้เข้าสูนิทราฝันดี เหม่อมองดูดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลกลางนภามืดก็ให้คิดถึงคนที่อยู่ไกลสุดซีกโลก หวังให้เสียงซอแว่วหวานส่งสัญญาณของความคิดถึงคะนึงหาไปให้เจ้าตัวได้รับรู้ ว่าคนทางนี้คิดถึงสุดหัวใจ นับวันคอยที่จะได้กลับไปพบหน้า วันเวลาผันไปนานนับปีแต่ก็เหมือนจะช้ากว่าใจของคุณเล็กยิ่งนัก
การเรียนที่ว่ายากดูจะทรมานหากแต่ความคิดถึงเจ้ายอดดวงใจตัวน้อยนั้นกลับมีมากกว่า หนูแสนเขียนจดหมายหาเขาน้อยฉบับลง เช่นเดียวกับที่คุณเล็กเองก็แทบไม่มีเวลา จากที่ได้พูดคุยผ่านตัวอักษรปีละ 3-4 ฉบับ มาปีนี้พวกเขาต่างได้รับจดหมายของอีกฝ่ายแค่เพียงฉบับเดียว รู้เพียงว่ากิจการน้ำอบน้ำปรุงของคุณพะยอมนั้นขยายใหญ่ขึ้นด้วยพวกพ่อค้าแม่ค้าเร่ที่ได้ลองซื้อจากคนกลางไปใช้ต่างก็ติดใจในกลิ่นหอมไม่เหมือนใครทำให้หนูแสนต้องเข้ามาช่วยแม่อย่างเต็มแรง อีกทั้งเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำให้เวลาว่างนั้นหายากยิ่ง ความคิดถึงมันอัดแน่นในอกจนต้องหยิบซอขึ้นมาเล่นกลั่นเอาความคิดถึงนั้นออกมาเป็นท่วงทำนองแสนเสนาะ
พระแย้มยิ้มพริ้มเพราเย้าหยอก สัพยอกยียวนสรวลสม
พักตร์เจ้าเศร้าสลดอดบรรทม พี่จะกล่อมเอวกลมให้นิทรา
สายสมรนอนเถิดพี่จะกล่อม เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดังเลขา
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน
งามเนตรดังเนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดังคันศิลป์
อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน หวังถวิลไม่เว้นวายเอย
[/i]
คุณเล็กแย้มยิ้มยามนึกถึงดวงหน้าเจ้าน้องน้อยที่เคยวิ่งตามเขาต้อยๆราวกับลูกไก่ตัวเหลืองๆวิ่งตามแม่ของมันคุ้ยเขี่ยหากิน ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มเต็มตัวคงไม่นุ่มนิ่มน่ากอด ร่างกายอาจจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบที่ชายพึงมี ในหัวใจมีแต่ความคะนึงหา ป่านนี้จะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจจะรู้ได้ ทุกคืนก่อนนอนได้แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่หนูแสนปักให้มาสูดดม กลิ่นร่ำที่อบจางหายไปหลายปีแล้ว เขาสู้อุตส่าห์ทะนุถนอมไม่เคยเอาออกมาใช้เลยซักครั้ง ทำเพียงพกติดกระเป๋าไว้ข้างตัว ยามว่างก็นั่งลูบไล้รอยปัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูแสนฝากมากับเรือในแต่ละครั้งหากเป็นของกินรสมือหนูแสนแล้วลิขิตทำตัวราวกับหัวขโมยที่คอยแอบซ่อนขวดโหลให้ไกลตาเพื่อนร่วมบ้าน เขาไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวอะไร หากเป็นของจากทางบ้านส่งมาหรือของที่หนูแสนไม่ได้เขียนกำกับมาว่าทำเองเขาก็จะให้พ่อบ้านจัดใส่จานถวายเจ้านายพระองค์อื่น เอาไปฝากเพื่อนที่อยู่ห้องอื่นบ้านให้ทุกคนพอได้คลายความคิดถึงอาหารไทย แต่หากเป็นของที่หนูแสนทำส่งมาให้เขาจะเก็บงำไว้ในห้องนอนไม่ยอมแบ่งใครแม้เพียงเศษขนมร่วงๆ จนโดยท่านชายอาทิตย์เย้าไปหลายหน
“เธอนี่ช่างหวงของเสียจริง อยากรู้นักว่าใครทำส่งมาให้ ทำราวกับทองคำ”
“คนสำคัญกระหม่อม”
“น่าจะสำคัญจริง ลูกสาวบ้านไหนรึ กลับไปจะให้เสด็จพ่อไปขอให้”
“หามิได้กระหม่อม หม่อมฉันยังไม่เคยคิดเรื่องสู่ขอ”
“คิดเมื่อไหร่ก็บอกฉันแล้วกัน เธอก็เปรียบเหมือนเพื่อนรักของฉันร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายปีไม่ต้องเกรงใจกัน”
หากท่านชายอาทิตย์ทรงทราบว่าคนที่อยู่ในใจของคุณเล็กเป็นใครก็คงจะตบอกผาง เผลอๆจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียเปล่าๆปล่อยให้เข้าใจผิดว่าเป็นลูกสาวไปก็แล้วกันไม่ถือว่าหลอกลวงแต่ประการใด
“คุณสนเจ้าขา ทานข้าวเถอะเจ้าค่ะ”นังเฟื้องคุกเข่าข้างเจ้านายที่ครรภ์ใหญ่ใกล้คลอดเต็มที หากแต่คุณสนกลับไม่ได้สนใจคำพูดของนังเฟื้องเลย กลับเดินประคองท้องตัวเองชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนอยู่บ่อยครั้ง
“ข้ายังไม่หิว จะรอกินพร้อมคุณใหญ่ เอ็งเก็บไปก่อนเถอะ”
“แต่นี่มันมืดแล้วนะเจ้าคะ ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกในท้องบ้างเถอะเจ้าค่ะ ป่านนี้คุณหนูหิวแย่แล้ว”
“เฟื้อง พักนี้คุณพี่กลับบ้านช้ามากเลยนะ”คุณสนยอมกลับมานั่งที่โต๊ะกินข้าว อาหารสองสามอย่างถูกอุ่นมาตั้งให้จนร้อนน่ากินหากแต่คุณสนนั้นไม่ได้มีกะจิตกะใจจะแตะต้องอาหารเหล่านั้นซักเท่าไหร่นัก ชีวิตหลังการแต่งงานนั้นไม่เหมือนกับตอนที่คบหาดูใจกันเลยซักนิด
จากหญิงสาวที่มั่นใจในความคิดของตัวเอง เอาอารมณ์และความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้งก็เริ่มปรับตั้งแต่ย้ายมาอยู่เรือนหอคุณสนต้องเริ่มตั้งแต่เรียนรู้งานบ้านงานครัว จริงอยู่แม้จะมีบ่าวไพร่ทำให้แต่บ่อยครั้งที่คุณหญิงผกาคอยพร่ำบอกเรื่องหน้าที่ของแม่ศรีเรือนที่ดี
“เป็นผู้หญิงก็ต้องทำให้เป็นตอนนี้ก็หัดทำเพื่อดูแลผัวอีกหน่อยมีลูกก็ต้องทำให้ทั้งลูกทั้งผัวกิน แม่สนจะไว้ใจให้คนอื่นมาทำให้คนที่เรารักกินโดยไม่ดูแลไม่ใส่ใจไม่ได้”
“สนจะพยายามค่ะคุณแม่”
ในช่วงปีแรกนั้นชีวิตหลังการแต่งงานหอมหวานตามแบบของข้าวใหม่ปลามัน คุณสนยอมปิดห้องเสื้อเพราะคุณใหญ่ขอให้มาอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนด้วยให้เหตุผลที่จำต้องฟังว่า
“สนเป็นเมียพี่ หากยังออกไปทำงานนอกบ้านหาเงินเอง คนอื่นจะเอาไปนินทาได้ว่าร้อยโทอนลปล่อยให้เมียไปเร่ขายเสื้อขายผ้า ไม่มีปัญญาเลี้ยงเมียให้สุขสบาย”
“แต่ร้านของสนกำลังขึ้นนะคะ ขายดีขนาดนั้นเงินเข้ามือไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เลิกไปสนเสียดาย”
“เชื่อพี่เถอะคนดี อีกหน่อยสนได้เป็นคุณหญิงอย่างไรก็ต้องปิดอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นสนขอเปิดไว้แต่ให้รำภาดูแลแทนแล้วกันค่ะ สนอยู่บ้านเฉยๆก็เบื่อขอสนได้ออกแบบเสื้อผ้าอยู่กับบ้านก็ได้ค่ะ”
“ดื้อจริง เอาเถอะ ถ้าสนสบายใจแบบนั้นพี่ก็จะยอมให้ตอนนี้พี่อยากให้สนจำไว้ว่าสนเป็นเมียพี่แล้วต้องรักษาเกียรติของตระกูลสรอรรถโยธาไว้ให้มาก พี่รู้ว่าบางอย่างอาจไม่ถูกใจสนนักแต่ขอให้ค่อยๆปรับกันไปสนทำให้พี่ได้ไหมคะ?” “ได้ค่ะ สนจะทำทุกอย่างให้คุณพี่มีความสุข”คุณสนตักข้าวเข้าปาก รสชาติอาหารฝีมือแม่ยังคงกลมกล่อมเหมือนเดิมหากแต่คุณสนกลับไม่รับรู้รสชาตินั้นเลย หลายเดือนมานี้คุณใหญ่เริ่มกลับบ้านผิดเวลา แรกๆก็อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง วันหยุดที่เคยอยู่บ้านเคยออกไปไหนมาไหนด้วยกันมาตอนนี้ตั้งแต่คุณสนตั้งครรภ์คุณใหญ่ก็ห่างบ้านมากขึ้น พอเอ่ยปากถามคุณใหญ่ก็มักจะลงเอยด้วยประโยคเดิมๆทุกครั้งว่า
“พี่ใกล้ได้เลื่อนยศก็ต้องติดตามเจ้านายไปนู่นไปนี่ สนอย่าคิดมากสิ เดี๋ยวกระทบลูกในท้องนะจ๊ะ”คุณสนรวบช้อนแล้วหยิบน้ำขึ้นดื่ม
“อิ่มแล้วหรือเจ้าคะ นังเฟื้องมองอาหารที่แทบไม่พร่องลงไปเลยด้วยความหนักใจ คนสนในยามนี้ไม่ผุดผ่องอิ่มเอิบเหมือนก่อนออกเรือนเลยซักนิด แม้ท้องจะใหญ่หากแต่ตัวไม่ได้มีน้ำมีนวลแบบที่คนท้องควรจะเป็น ไม่เหมือนตอนท้องคุณหนูยิ่งคุณสนนั้นอวบอิ่มเปล่งปลั่งไม่เหมือนที่โบราณว่าเอาไว้ซักนิดว่าหากได้ลูกชายคนเป็นแม่จะโทรม ตอนนี้คุณหนูยิ่งวัยสามขวบกว่ากำลังน่ารัก ตกกลางคืนหากคุณหญิงผกาคิดถึงก็จะให้บ่าวมาพาไปนอนด้วย คุณสนแทบจะไม่ได้เลี้ยงลูกเองเลย ตอนคุณหนูยิ่งคลอดนั้นทั้งฝ่ายย่าฝ่ายยายวิ่งกันให้หัวหมุนเพราะคุณสนเจ็บท้องมาก คุณใหญ่รีบกลับจากกรมมาเฝ้าอยู่หน้าห้อง ทั้งร้อนรน ตื่นเต้น และดีใจ เมื่อลูกคลอดออกมาเป็นชาย สมใจทั้งย่าและพ่อคุณหนูยิ่งก็ถูกประคบประหงมราวไข่ในหิน คุณสนมีหน้าที่ให้นมเพียงอย่างเดียว
ผิดกันกับครั้งนี้ ด้วยเป็นท้องที่สองความตื่นเต้นก็คลายลงไปมาก มีเพียงคุณพะยอมที่มาหาแทบจะทุกวัน เอาข้าวปลาอาหารมาให้แต่อยู่คุยเป็นเพื่อนได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับไปคุมบ่าวทำน้ำอบน้ำปรุง หากมียอดสั่งซื้อมากๆคุณพะยอมก็จะให้บ่าวเอากับข้าวมาให้ไม่ได้มาด้วยตัวเอง มีเพียงหนูแสนที่จะวิ่งมาเล่นกับหลานโดยอุ้มเอาคุณอ้นกับคุณอิ่มลูกชายลูกสาวของคุณเสนมาหาช่วงวันหยุดเรียนเท่านั้น
คุณสนมีปัญหาหนักอยู่ในอกหากแต่ก็ไม่ยอมปริปากบอกใครแม้แต่คุณพะยอมผู้เป็นแม่
“ข้ากินไม่ลงแล้วล่ะเฟื้อง เก็บไปเถอะ”คุณสนลุกขึ้นยืน ยังไม่วายจะเดินไปชะเง้อมองหน้าบ้านว่าจะมีแสงไฟจากรถยนต์ของคุณใหญ่เข้ามาหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีเลยซักนิด ลมเย็นพัดมาต้องผิวให้รู้สึกไหวยะเยือกในจิตใจ เรือนใหญ่และเรือนของเมียรองของเจ้าคุณสรอรรถเงียบสงบไร้เสียงพูดคุย มองไปทางตึกที่เคยอยู่ตั้งแต่อ้อนแต่ออกยังคงเห็นแสงไฟสว่าง
แต่กลับไปไม่ได้แล้ว...
เหงาจับใจ
เหงาเสียจนอยากจะร้องไห้
“คุณสนเจ้าขา เข้ามาเถอะเจ้าค่ะ โดนลมมากๆเดี๋ยวจะป่วยนะเจ้าคะ”นังเฟื้องแตะต้นแขนของผู้เป็นนายเบาๆด้วยความห่วงใย
“เฟื้อง ข้าคิดถึงแม่”
“พุทธโธ่เอ๋ย คุณแม่ก็มาหาทุกวันเอากับข้าวกับปลามาให้ไม่ได้ขาดนี่เจ้าคะไม่ได้อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ห่างกันแค่รั้วกั้นแค่นั้นเอง คิดถึงก็แค่เดินไปหาคุณแม่เธอไม่ว่าอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
“มันไม่เหมือนกันหรอก ข้าออกเรือนมาแล้วจะทำตัวเป็นลูกแหง่ติดแม่ เอะอะมีอะไรก็วิ่งโร่ไปหาแม่แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว อีกอย่างข้าก็ถือดีเกินกว่าจะแบกหน้าไปเล่าเรื่องในครอบครัวให้แม่ฟัง ผัวคนนี้ข้าก็เลือกเองกลับไปก็อายเขา”
“คุณน่ะคิดเยอะเกินไปเจ้าค่ะ ออกเรือนแล้วอย่างไรเสียก็ยังเป็นแม่ลูกกัน”
“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ข้าไม่อยากให้แม่ต้องมาวิตกทุกข์ร้อนไปกับเรื่องของข้า หากปริปากพูดไป บ่าวคนอื่นๆมันมาได้ยินข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน ข้าก็ได้แต่หวังว่าคุณพี่คงจะยุ่งเรื่องงานจริงๆไม่ได้แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยที่ไหนนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงอกแตกตายเป็นแน่”คุณสนถอนหายใจอย่างหนักอึ้งที่ในอก เมื่อรอจนดึกคุณใหญ่ยังไม่กลับก็ยอมเข้าไปนอน แต่แม้จะข่มตาให้หลับซักเท่าไหร่ก็ไม่อาจหลับได้ ยังคงคิดฟุ้งซ่านวนเวียนจนเกือบค่อนรุ่งจึงได้เผลอหลับไปโดยไร้เงาของคุณใหญ่จนรุ่งเช้า
“ยายแช่ม แม่เป็นอย่างไรบ้าง บ่าวที่ครัวบอกว่าวันนี้คุณแม่เป็นลมล้มลงไปอีกแล้วรึ?”หนูแสนเอ่ยถามบ่าวคนสนิทอย่างร้อนใจ เด็กหนุ่มบัดนี้เติบใหญ่อายุเข้า 19 ปี สาวเท้าก้าวเข้ามายังห้องโถงที่ยายแช่มยืนรอด้วยท่าทีร้อนรนกระวนกระวาย
“ฟื้นแล้วเจ้าค่ะแต่บอกว่าเวียนหัว หน้าเธอซี้ดซีดเจ้าค่ะ”ยายแช่มรับกระเป๋าหนังสือให้กับนายมีแล้วรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองก้าวเข้าไปในห้องนอนของแม่ด้วยความเป็นห่วง คุณพะยอมนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางซูบโรย หนูแสนทิ้งตัวนั่งที่ข้างเตียงคว้ามือซูบของแม่มากุมไว้ ด้วยทั้งรักและทั้งห่วงใย คุณพะยอมมองหน้าลูกเล็กแล้วน้ำตาพาลจะไหลด้วยร่างการที่อ่อนแอพาลพาให้จิตใจหม่นหมองตามไปด้วย
“แม่จ๋า แม่เป็นอย่างไรบ้างคะ ไม่สบายตรงไหนบอกหนูแสนได้มั้ยคะ?”
“แม่ไม่มีแรงเลยหนูแสน ใจแม่มันหวิวๆ หนาวๆเหมือนเป็นตะพ้าน”
“แม่ไปโรงหมอกันดีกว่ามั้ยจ๊ะ หนูแสนเป็นห่วง”
“ไม่เอา ไม่เอา แม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก อายุมากแล้วเลือดลมเดินไม่สะดวกเหมือนตอนสาวๆ พักซักหน่อยพรุ่งนี้แม่ก็เดินปร๋อแล้ว หนูแสนกลับมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมกินข้าวเถอะลูก”คุณพะยอมรีบปฏิเสธทันทีเมื่อหนูแสนชวนไปโรงหมอ หล่อนคุ้นชินกับแพทย์แผนไทยมากกว่าจะเอาชีวิตไปฝากกับหมอฝรั่ง
“ดื้อจังค่ะ งั้นแม่รออยู่นี่นะคะเดี๋ยวหนูแสนลงไปทำข้าวต้มมาให้นะจ๊ะ”
“อย่างนั้นก็ได้ลูก”คุณพะยอมนอนลงตามเดิม มองหนูแสนที่เดินกลับห้องตัวเองด้วยสายตาทั้งรักทั้งห่วง คนเราไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำก็ต้องตายทุกคน คุณพะยอมรู้ดีว่านี่คือสัจธรรมของมนุษย์ คุณเสนเองก็มีครอบครัวมีลูกเมียสมบูรณ์พูนสุข อย่างไรเสียสมบัติของเจ้าสัวเช็งก็ต้องตกเป็นของคุณเสนเสียส่วนมากด้วยเป็นลูกชายคนโต คุณสนเองก็ออกเรือนไปกับคุณใหญ่ที่กำลังรุ่งเรืองทางราชการ อนาคตอาจจะได้ตำแหน่งคุณหญิงมีทั้งยศและเงินทองไม่ต้องกังวลสิ่งใด อีกทั้งยังมีลูกชายไว้สืบสกุลคุณหญิงผกาทั้งรักทั้งหลง ชีวิตของคุณสนจึงไม่น่าห่วง มีเพียงหนูแสนเท่านั้นที่ดูไม่มีอะไรอย่างพี่ๆเขาเลย ลูกชายคนเล็กของหล่อนมีเพียงฝีมือทำอาหารและความจิตใจดีเท่านั้น หากพ่อแม่ตายไปก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน คุณเสนเองก็จะเมตตาน้องๆเหมือนตอนที่พ่อแม่ยังอยู่หรือไม่ น่าเป็นห่วงเสียเหลือเกิน หากเติบใหญ่เป็นชายเต็มตัวได้ตบแต่งกับลูกสาวคหบดีมีฐานะมั่นคงเสียตั้งแต่พ่อแม่ยังอยู่ก็คงจะดีไม่น้อย แต่คุณพะยอมเลี้ยงลูกมาเหตุใดเล่าจะไม่รู้ว่าหนูแสนหาได้มีใจปฏิพัทธ์แก่หญิงใด ตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงคนสำคัญในชีวิต หนึ่งในนั้นต้องมีคุณเล็กรวมอยู่ด้วยเสมอ
หากสัญชาติญาณความเป็นแม่ของหล่อนไม่ผิดนัก
ลูกชายคนเล็กของหล่อนนั้นมอบใจรักให้กับลูกชายคนเล็กของคุณหญิงผกาไปทั้งดวงแล้วแน่นอน
หนูแสนอาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดลำลองเสร็จก็เข้ามาในครัว บ่าวกำลังเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นให้ท่านเจ้าสัว ส่วนคุณอุ่นเรือนพี่สะใภ้เข้ามาช่วยด้วย ถึงแม้ว่าคุณเสนจะแยกเรือนไปแล้วหากแต่ก็อยู่ใกล้ในรั้วเดียวกัน เจ้าสัวเช็งชอบความเป็นครอบครัวใหญ่จึงบอกให้บุตรชายคนโตนั้นกลับมากินข้าวร่วมสำรับกัน หนูอ้นกับหนูอิ่มก็เล่นกับลูกบ่าวอยู่นอกครัวโดยมีคนสนิทนั่งเฝ้าไม่ให้คลาดสายตา
“วันนี้น้องแสนกลับบ้านเร็ว”เอ่ยทักน้องสามีที่เดินเข้ามา หนูแสนยกมือไหว้ตามความเคยชิน
“เลิกเรียนไวน่ะค่ะ เป็นห่วงอยากกลับมาหาแม่ นายมีบอกว่าแม่เป็นลมใจก็จะแล่นกลับมาเสียให้ได้”
“แล้วนี่จะทำอะไรคะ ทำสำรับให้คุณแม่เหรอ?”
“ค่ะ แม่ไม่สบาย หนูแสนว่าจะต้มข้าวต้มกุ๊ยแล้วยำปลาทูใส่มะดันสดให้แม่ทาน ยายแช่มจ๊ะ ช่วยต้มข้าวต้มให้หนูแสนทีนะจ๊ะ ใส่ใบเตยลงไปด้วยจะได้หอมๆ”
“เจ้าค่ะ”ยายแช่มลุกไปต้มข้าวต้มตามคำสั่ง หนูแสนหยิบปลาทูนึ่งที่เจ้าสัวเช็งได้มาจากแม่กลองเมื่อวานนี้มาจัดการทอดแล้วเลาะก้างเป็นชิ้นๆ สับมะดันสดหยาบๆหั่นหอมแดงและพริกขี้หนูสวนเตรียมไว้ เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดก็ผสมน้ำปลา น้ำตาลทราย มะนาวและพริกขี้หนูสวนคนจนเข้ากันจึงน้ำปลาทูทอด มะดันสับหอมแดงใส่ลงไป คุณอุ่นเรือนมองน้องสามีที่ลงครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วได้แต่นึกชม หากเป็นลูกสาวขี้คร้านหนูแสนจะได้ออกเรือนก่อนคุณสนน้องสาวคนกลางเป็นแน่ หนูแสนตักยำปลาทูทอดลงจานแบ่งเป็นสองจานแล้วโรยใบสะระแหน่ด้านบนเป็นอันเสร็จ
“เดี๋ยวผัดไชโป้วใส่ไข่อีกอย่างหนูแสนจะยกไปให้แม่เลย ฝากบอกคุณเตี่ยว่าให้รับมื้อเย็นไปได้เลยไม่ต้องรอนะคะหนูแสนจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน”หันกลับมาบอกพี่สะใภ้แล้วจึงง่วนกับการทำกับข้าวอีกหน เย็นนั้นคุณพะยอมรับข้าวได้เยอะกว่าทุกวันด้วยรสชาติยำปลาทูทอดนั้นกลมกล่อมถูกใจ หนูแสนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนแม่ก็พลอยใจชื้นขึ้นบ้าง ได้แต่หวังว่าอาการป่วยของแม่จะดีวันดีคืนไม่แย่ไปกว่านี้อีก
หนูแสนหวังแค่ว่าแม่จะแข็งแรงและอยู่กับหนูแสนไปนานๆเท่านั้นเอง
...............................
#แสนคำนึง